ท.ญ.วิริยา ออประยูร
เมื่อคราวที่หมอฟันคนหนึ่ง ริอ่านหยุดทำงานเพื่อมาเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง มันเป็นอะไรที่โกลาหลมาก เสียงคัดค้านมีมาให้ได้ฟังจนหูชา "อะไรกัน แล้วที่อุตสาห์ร่ำเรียนมา เพื่อมาเป็นแม่บ้านเลี้ยงลูกเองเนี่ยนะ" "ทำไมจะต้องเลี้ยงเอง จ้างพี่เลี้ยงเอาแสนสะดวกสบาย คิดผิดหรือเปล่า" |
ในที่สุดก็ไม่มีอะไรห้ามได้ หมอได้มีโอกาสเลี้ยงลูกด้วยตัวเองจริง ๆ ค่ะ ช่างเป็นประสบการณ์ที่วิเศษสุด ลูกทั้งสองเติบโตขึ้นด้วยน้ำมือของแม่ล้วน ๆ
จนถึงบัดนี้ หมอก็ยังคิดเสมอว่า การตัดสินใจครั้งนั้น ถูกต้องที่สุด
การเลี้ยงดูเด็ก เป็นงานที่ละเอียดอ่อนจริง ๆ ต้องศึกษาหาความรู้ตลอด
ท่านผู้อ่านเชื้อไหมค่ะ ว่าหมอหาซื้อตำรับตำราเกี่ยวกับการเลี้ยงดูเด็ก มาศึกษาเป็นว่าเล่น เนื่องจากการเป็นครอบครัวเดี่ยว ไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วยเลย ความรู้จากหนังสือจึงสำคัญมาก บางครั้งสงสัย หรือมีปัญหา ก็เปิดดูได้ทันที และเพราะหมอเป็นคุณแม่ที่เลี้ยงลูกจากหนังสือ นี้เอง เมื่อทาง บ.ก.นิตยสาร "แม่และเด็ก" เสนอให้เขียนเรื่องยาว เกี่ยวกับการเลี้ยงดูเด็กทารก ด้วยลีลาการเขียนแบบง่าย ๆ คล้ายกับเป็นการคุยกันของคุณแม่ด้วยกัน หมอจึงตอบตกลง ด้วยคิดเสมอว่าประสบการณ์และความรู้ในการเลี้ยงดูเด็กที่เขียนง่าย ๆ ให้อ่านง่าย ๆ จะมีประโยชน์ต่อคุณแม่คนใหม่ทุกคนที่ต้องการกำลังใจ และความรู้เรื่องเด็กบ้าง ไม่มากก็น้อย
ไม่ต้องบอกผู้หญิงทุกคน (ที่เคยท้อง) ย่อมทราบกันดีว่า ตัวเองตั้งครรภ์นั้น เป็นช่วงเวลา ที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ สำหรับคุณแม่ทั่ว ๆ ไป มักจะมีความรู้สึกคล้าย ๆ กัน คือ ดีใจ ตื่นเต้น บางคนแถมด้วยอาการหวั่น ๆ ว่า เออหนอ
เราจะเป็นแม่คนได้กับเขาไหมเนี่ย
สิ่งแรกที่ควรทำหลังจากทราบว่าตัวเองตั้งครรภ์ก็คือ การไปฝากท้องกับคุณหมอที่เราคิดว่า สะดวกที่สุด เดินทางสะดวก การฝากครรภ์นั้นไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยาก แต่เป็นเรื่องที่จำเป็น และควรทำเป็นอย่างยิ่ง การท้องของแต่ละคน ตั้งแต่เริ่มต้นจนครบกำหนดคลอด มีอะไรมากมาย ที่อาจเกิดขึ้นได้ แล้วแต่สภาพร่างกายของแต่ละคน เช่น บางคนแท้งง่าย บางคนมีเลือดออกบ่อย บางคนแพ้ท้องหนักมาก บางคนมีโรคประจำตัวพิเศษ ซึ่งต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ มีสารพัดรูปแบบค่ะ ดังนั้น การฝากครรภ์ จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นจริง ๆ
เมื่อไปฝากครรภ์ คุณแม่มือใหม่เตรียมตัวไว้เลยค่ะ คำถามที่ว่าเราควรจะทราบ และตอบได้คือ มีประจำเดือนครั้งสุดท้ายเมื่อไร วันที่คุณหมอสูตินรีเวชท่านต้องการนั้นคือ "วันแรกของการมีประจำเดือนครั้งสุดท้าย" ค่ะ เพราะเจ้าวันนี้แหละ ที่คุณหมอสามารถนำไปหาได้ว่า ลูกในท้องของเรา จะคลอดในวันที่เท่าไร เดือนอะไร นอกจากนี้ก็คงเป็นการถามคำถามทั่วไป การตรวจเลือด หรืออาจตรวจภายในและอื่น ๆ แล้วแต่กรณี คุณแม่ก็มีหน้าที่คือรับฟัง และปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด รวมทั้งรับประทานวิตามินที่คุณหมอให้มาอย่างสม่ำเสมอ มีข้อสงสัยอะไร ก็ถามได้ไม่ต้องอาย คุณหมอ ถึงแม้จะเป็นเรื่องส่วนตั๊ว ส่วนตัวก็ถามได้เลยค่ะ เขียนมาถึงตรงนี้นึกขึ้นได้ว่า มีเรื่องแปลกคือ คนไข้ที่มาทำฟันกับหมอ (เธอกำลังตั้งท้องอยู่) ไม่กล้าถามหมอ ที่ตัวเองไปฝากท้อง (ซึ่งเป็นผู้ชาย) เป็นคำถามที่เธออยากถามมาก แต่อายจริง ๆ พอมาเจอหมอฟันผู้หญิงเข้า เอาละ! ค่อยกล้าถามหน่อย อยากทราบไหมค่ะ คำถามมีว่าอะไร หมอจะเล่าพร้อมเฉลยคำตอบที่ถูกต้องให้ด้วยเลย เธอถามว่า "คุณหมอค่ะระหว่างที่ท้องนี่ หนูจะยุ่งกับสามีได้ไหมคะ" ถามเสร็จก็หน้าแดงอายม้วนต้วน อยู่บนเก้าอี้ทำฟันนั่นแหละ ไม่ต้องอายค่ะ เป็นเรื่องที่ธรรมชาติจริง ๆ คำเฉลยก็คือ ว่ากันตามตำราแล้ว ไม่มีข้อห้าม ในการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างตั้งครรภ์ ยกเว้นกรณีที่คุณแม่มีประวัติแท้งง่าย ก็ควรจะงด การมีเพศสัมพันธ์ในช่วง 3 เดือนแรก และช่วงใกล้คลอด เพราะอาจกระทบกระเทือน ทำให้เกิดการแท้งได้
นอกจากนี้การดูแลตัวเองของคนท้อง ก็มีหลักการง่าย ๆ คือ ให้รับประทานอาหารที่มี ประโยชน์ ให้ครบทุกหมู่ และเพียงพอ สมัยนี้นิยมการมีหุ่นผอมเรียว ทำให้คุณแม่บางท่าน ทานอาหารแบบ "หนีบ ๆ " กลัวตัวเองจะอ้วนเกิน หลังคลอดจะไม่สวย หมอจึงขอเน้นว่า อย่ากลัวอ้วนจนเกินไป ถ้าลูกในท้องขาดอาหาร สิ่งที่จะตามมาคือ ลูกจะไม่แข็งแรงสมบูรณ์ ขอให้ถือทางสายกลาง คือทานอาหารให้พอเหมาะ เพราะก็พบบ่อยเช่นกันที่คุณแม่ ทานมากเกิน จนลูกตัวใหญ่ไป คลอดยาก และคุณแม่เอง ถ้าอ้วนเกินพิกัดจริง ๆ อาจมีโรคแทรกระหว่างตั้งครรภ์ได้ หลายท่านอ่านถึงตรงนี้ อาจจะกำลังคิดว่า แล้ว "พิกัด" จริง ๆ ควรเป็นเท่าไร เอาเป็นว่า ตั้งแต่เริ่มท้องจนคลอดโดยทั่วไป ที่กำลังเหมาะคือ น้ำหนักควรจะขึ้นมาจากก่อนตั้งท้อง 12 กิโลกรัม โดยประมาณ ขออย่าถือว่าเป็นสูตรเฉพาะ นะคะ แล้ว แต่สภาพร่างกายแต่ละคนด้วย ให้ปรึกษาและอยู่ในความดูแลของคุณหมอ ที่คุณแม่ไปฝากครรภ์ไว้เป็นดีที่สุดค่ะ
อีกเรื่องหนึ่งที่จะต้องกล่าวถึงเพราะสำคัญมาก ๆ คือ ในระหว่างตั้งครรภ์ให้ระมัดระวัง ในเรื่องการกินยา จริง ๆ แล้วหมอได้อ่านพบในหลายตำราบอกไว้ว่า ถ้าเป็นไปได้ ในระยะเริ่มตั้งครรภ์ จนถึง 3-4 เดือนแรก ไม่ควรกินยาใด ๆ เพราะระยะนี้เป็นระยะที่ อวัยวะต่าง ๆ ของเด็ก กำลังสร้างตัว เป็นรูปเป็นร่างขึ้น แต่ถ้าจำเป็นต้องกินยาในช่วงนี้จริง ๆ ให้อยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ อย่าซื้อยากินเอง เป็นอันขาด ที่ต้องกล่าวถึง เพราะยาบางชนิด มีอันตรายต่อลูกมาก (ไม่ว่าจะกินตอนตั้งครรภ์ได้กี่เดือนก็ตาม) ขอยกตัวอย่างง่าย ๆ คุณแม่จะได้ระวังในเรื่องนี้ เช่น ถ้าฉีดยาสเตรปโตมัยซิน หรือกาน่ามัยซิน ระหว่างตั้งครรภ์ ลูกของคุณอาจหูพิการได้ หรือถ้ากินยาที่มีส่วนผสมของเตตราซัยคลิน ลูกของคุณจะมีฟัน ออกสีเหลืองเข้ม ๆ เทา ถึงเทาเข้มได้ ซึ่งข้อนี้ในฐานะหมอฟัน ซึ่งผ่านพบคนไขัมามาก เราพบว่าคนที่มีฟันลักษณะนี้ มักจะมีความกังวล ไม่ค่อยมั่นใจเวลาจะยิ้ม จะพูด ดูน่าเห็นใจมาก และไม่อยากให้เกิดกับลูกของใครเลยค่ะ
แพ้ท้องใครไม่เคยก็ไม่รู้
เรื่องนี้อดไม่ได้ที่จะพูดถึง บางคนแพ้มากบางคนแพ้น้อย และผู้มีบุญไม่แพ้เลยก็มีค่ะ มักจะแพ้ท้องกันมากในช่วง 3-4 เดือนแรก ซึ่งน่าเห็นใจมาก ๆ ก่อน หมอเองยังเคยคิดเลยว่า แพ้ท้องเป็นยังไงน้า ? หรือว่าเป็นการงอแงสามีมากกว่า แต่พอเจอเข้ากับตัวเอง เข้าใจแล้วค่ะ ทรมานจริง ๆ ได้กลิ่นอะไรเป็นเหม็นไปหมด กลิ่นที่เคยชอบนักชอบหนา เช่นน้ำหอม กลิ่นโปรด หรืออาหารสุดอร่อย กลายเป็นเหม็นไปหมด แล้วไม่รู้เป็นไงจะอาเจียนตลอด หมอจึงเข้าใจคนแพ้ท้องมาก ๆ เลย และขอให้กำลังใจว่า เป็นเรื่องธรรมดา พอพ้นช่วงของ ฮอร์โมนต่าง ๆ ที่มีผลต่อตัวเราแล้วเลิกแพ้ไปเอง (แต่ก็มีบางรายที่แพ้ท้องจนคลอด) ถ้าทนได้ขอให้อดทน (บางรายถ้าเป็นมากจริง ๆ คุณหมออาจพิจารณาให้ยาแก้แพ้ท้อง)
ที่หมอเอาเรื่องของการแพ้ท้องมาพูดถึง เพราะมีสิ่งที่อาจช่วยได้บ้างคือ ถ้าตื่นเช้าขึ้นมา รู้สึกคลื่นไส้จะอาเจียน ลองทานขนมปังกรอบลงไปสักนิดหน่อย อาการจะดีขึ้น ช่วยได้บ้างนะคะ และข้อสำคัญ ให้เข้มแข็งอดทนเข้าไว้ ท่องไว้เสมอว่า แล้วมันจะผ่านไป บางคนแพ้ท้องจนหมดกำลังใจ เพราะลำบากมาก ผ่ายผอม อย่างไรก็ขอให้อดทนนะคะ
ท.ญ.วิริยา ออประยูร
main |