น.พ.พนิตย์ จิวะนันทประวัติ
วันนี้ผมมีคำถามของคุณแม่บางคน มันเป็นคำถามที่ไม่ทราบวัตถุประสงค์ที่แท้จริง ว่าถามไปทำไม ถามเพราะอยากมีลูกกันเร็วที่สุด หลังจากคลอดลูกแล้ว หรือว่าถามไปเพราะจะติดลูกเร็วเกินไป ครับคำถามนั้นมีว่า
"เมื่อคลอดแล้ว โอกาสที่จะตั้งครรภ์อีกนานเท่าไหร่คะ ถ้าหากไม่ได้คุมกำเนิด"
ผมอ่านคำถามแล้ว ถ้าจะตอบให้มันกระชับค่อนข้างจะลำบาก จึงขอเปลี่ยนคำถามใหม่ เป็นว่า"หลังคลอดแล้ว คนเราจะตั้งครรภ์ได้เร็วที่สุดเมื่อไหร่ ถ้าหากไม่ได้คุมกำเนิด และไม่ได้อาศัยการช่วยให้ตั้งท้องกันเร็ว ๆ "
คำตอบก็คือ เก้าวันหลังคลอด ครับ
นั่นเป็นรายงานทางการแพทย์ ที่ว่าคุณผู้หญิงตั้งครรภ์เร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมา คลอดลูกได้เพียงเก้าวัน ลูกอายุได้เพียงเก้าวัน หน็อยแน่ะ ท้องอีกแล้ว มันจะเร็วอะไรปานนั้น
ครับ มันเกิดขึ้นมาแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้เกิดขึ้นกับคนไทยก็ตาม แต่ตราบใดที่ เป็นมนุษย์ด้วยกัน เหตุการณ์ทำนองนี้ก็สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ทั้งนั้น แม้ว่าโอกาสจะน้อย แต่มันก็สามารถเกิดขึ้นได้หละ
ดังนั้นทางแพทย์จึงมักจะแนะนำคุณ ๆ หลังคลอดว่าในช่วงหลังคลอด 6 สัปดาห์แรกนั้น อย่าเพิ่งได้มีเพศสัมพันธ์กัน ควรจะได้ไปพบหมอทำการตรวจในภายหลังคลอดเสียก่อน และที่สำคัญต้องเริ่มต้นการคุมกำเนิดด้วย ทั้งนี้เพื่อไม่ประมาทนั่นเอง ด้วยสมัยนี้ ใครมีลูกกันหัวปีท้ายปีเป็นต้องอายเขาแน่ ๆ
เพราะยุคนี้มันเป็นยุคที่ใคร ๆ ก็รู้ว่ามีลูกแต่พอดีเป็นสิ่งที่ดีกับครอบครัว หมายความว่า มีลูกภายใต้การวางแผนที่ดี ไม่ได้ปล่อยกันตามยถากรรม เหมือนสมัยโบราณ
แน่นอนแหละครับว่าสมัยโบราณนั้น ประชากรโลกหรือประชากรไทยเรา ยังมีจำนวนน้อย การมีลูกกันมาก ๆ ในแต่ละครอบครัวจึงไม่ใช่ของแปลกอะไร และถ้าหากจะบอกว่า สมัยห้าสิบปีก่อนโน้นเมืองไทยเรามีการประกวด "แม่ลูกดก" กันเรียกว่า "แม่พันธุ์ดี" เหมือนพันธุ์หมู ที่ออกลูกมาทีละหลาย ๆ ตัวนั่นแหละ
การมีลูกหลาย ๆ คนต่อครอบครัวในสมัยห้าสิบปีก่อน จึงนับเป็นการช่วยชาติวิธีหนึ่ง เนื่องจากรัฐบาลท่านคิดว่า การที่ชาติจะเป็นมหาอำนาจได้นั้นจะต้องมีพลเมืองมาก ๆ รัฐจึงได้ตกรางวัลให้กับคุณแม่ลูกดกทั้งหลาย ปรากฏว่าคุณแม่พันธุ์ดี พันธุ์ลูกดก ที่พอจะติดอันดับกะเขานั้น จะต้องมีลูกกันอย่างน้อย ๆ ก็ต้องสิบห้าคนขึ้นไป และดูเหมือนว่าคุณแม่พันธุ์ดีที่ได้รับถ้วยรางวัลนั้น จะต้องมีลูกกันยี่สิบขึ้นไป กันทีเดียว การมีลูกหัวปีท้ายปีจึงเป็นเรื่องธรรมดาในสมัยนั้น
แต่รูปการณ์มันกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง เพราะตั้งแต่รัฐบาลท่านกระตุ้น ให้มีลูกกัน มาก ๆ ซึ่งก็ได้ผลดีเป็นที่พอใจของท่านผู้นำในสมัยนั้น แต่ปรากฏว่าประเทศไทยเรา ก็ยังไม่มีแววว่าจะได้เป็นประเทศมหาอำนาจ
ตรงกันข้ามกับยากจนลงเรื่อย ๆ อาหารการกินที่เคยอุดมสมบูรณ์ เพราะมีเหลือเฟือ ขณะที่ผู้คนยังมีไม่มากนัก ปากท้องที่จะต้องกินมีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตามคำแนะนำ ของรัฐบาล ประกอบกับชาวบ้านชาวช่องทั้งหลายให้ความร่วมมือร่วมใจเป็นอย่างดี
เพราะของพรรค์นี้ชอบกันอยู่แล้วไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องใช้สมองมาก ค่ำลงก็มุดเข้ามุ้งทำการบ้าน อยู่ไปอยู่มาก็ป่องได้ทันใจ การคุมกำเนิดในสมัยนั้น ไม่มีใครรู้จักแม้แต่จะได้ยินชื่อ จะมีก็แต่การเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแม่เท่านั้นแหละ ที่ช่วยเว้นช่วงของการมีลูกออกไปได้บ้าง เรียกว่าโชคดีที่ธรรมชาติมีส่วนช่วยอยู่บ้าง
คุณแม่คนท่านใดที่มีน้ำนมเหลือเฟือ และให้ลูกดูดนมอยู่นานเดือนหรือเป็นปี ก็มักจะเว้นช่วงการมีลูกออกไปนาน หรือมีลูกกันไม่มากนัก แต่แม่คนใดที่ขี้ตืด แม้แต่นมตนเองก็ไม่ให้ลูกดื่ม ปล่อยไว้จนแห้งคาเต้า แม่เหล่านี้แหละครับ จะมีลูกกันดกเกินความต้องการ
ทั้งนี้เพราะว่าในช่วงที่มีน้ำนมแม่ไหลอยู่นั้น รังไข่มักจะไม่ค่อยทำงานหรือยังไม่ทำงาน ดังนั้นก็จะยังไม่มีการตกของไข่ เมื่อไม่มีไข่ตกออกมาก็จะไม่มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น อย่างแน่นอน
โดยปกติทั่ว ๆ ไปแล้ว การที่แม่ยังคงมีน้ำนมอยู่นั้น สามารถคุมกำเนิดได้มากถึง 60 เปอร์เซ็นต์ หมายความว่า ขณะที่แม่ให้นมลูกนั้น โอกาสจะตั้งท้องได้มีเพียง 40 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น การให้นมแม่แก่ลูก จึงใช่ว่าจะสามารถคุมกำเนิดได้ผลอย่างชะงัด มันก็เพียง 60 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ทางการแพทย์ จึงมักแนะนำให้ใช้วิธีคุมกำเนิดวิธีอื่นควบคู่กันไปด้วย เพื่อเป็นการ ไม่ประมาท และวิธีคุมที่คิดว่าน่าจะเหมาะสมในช่วงที่แม่ยังคงให้นมลูกนั้น ถ้าไม่ต้องการใช้ถุงยางอนามัย ก็ควรจะเป็นวิธีการฉีดยาคุม ไม่แนะนำการทานยาคุม ที่มีฮอร์โมน อีสโตรเจนผสมอยู่ด้วย เพราะฮอร์โมนตัวนี้ทำให้น้ำนมแห้งเร็ว ไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงลูกอีกต่อไป มันก็น่าเสียดาย ที่พลาดโอกาสไปโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ก็ขอให้ทราบไว้นะครับ
ก่อนจบขอวกเข้าสู่ข้อสงสัยอีกครั้งว่า การตั้งครรภ์ที่เร็วที่สุดหลังคลอดเท่าที่เคยมีรายงาน คือ 9 วัน แต่นั่นเป็นเพียงส่วนน้อยนิดเท่านั้น หากเป็นส่วนใหญ่แล้วละก็ จะตั้งครรภ์กันหลังคลอด มักจะเกิดขึ้นหลังคลอดอย่างน้อยก็สามเดือนไปแล้วโน่นแหละ เพราะรังไข่มัน เพิ่งจะเริ่มต้นทำงานนั่นเอง
น.พ.พนิตย์ จิวะนันทประวัติ
main |