พญ.ชัญวลี ศรีสุโข
"มาตรวจการตั้งครรภ์ค่ะ" หญิงสาววัยยี่สิบปีเศษเอ่ยขึ้น
เจ้าหน้าที่ยิ้มรับ พร้อมกระวีกระวาด ส่งอุปกรณ์ในการเก็บปัสสาวะให้ สองนาทีหลังจากได้น้ำปัสสาวะผลการตรวจก็ออกมา
"คุณอวยพรตั้งครรภ์แล้วละค่ะ"
ฉันเอ่ยขึ้นไม่กล้าบอกขอแสดงความดีใจด้วยค่ะเหมือนในโทรทัศน์ เพราะบางท่านมาตรวจและรู้สึกเสียใจเมื่อทราบว่า ตนเองท้องก็มี
"กี่เดือนแล้วละค่ะหมอ" คุณอวยพรย้อนถาม ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอาการดีใจเสียใจ
"ประจำเดือนคุณอวยพรมาครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ล่ะคะ" ฉันกลับถามแทนที่จะตอบ
"หนูก็จำไม่ได้แล้ว ประจำเดือนเป็น ๆ หาย ๆ จนขี้เกียจจะจำ"
"งั้นคุณอวยพรขึ้นนอนบนเตียงตรวจนะคะ หมอจะคลำท้องดู ถ้ามดลูกเริ่มคลำได้เหนือหัวหน่าว ก็ท้องได้ประมาณสามเดือนนะคะ"
ฉันคลำท้องคุณอวยพร ไม่พบยอดของมดลูกเลย
"หมอคงบอกคุณอวยพรแน่นอนไม่ได้ว่าคุณตั้งครรภ์กี่เดือนนะคะ ปกติถ้าทราบประจำเดือนครั้งสุดท้ายแน่นอน ก็จะทราบอายุครรภ์ ถ้าไม่ทราบและคลำหน้าท้องไม่พบ ก็น่าจะท้องต่ำกว่าสามเดือน ถ้าคุณอวยพรอยากทราบว่ากี่เดือน เพื่อจะได้รู้ว่าจะครบกำหนดคลอดเมื่อไหร่ คุณคงต้องตรวจเพิ่มเติมนะคะ เช่นตรวจภายใน หรืออัลตราซาวนด์ดูขนาดของเด็กทารก ซึ่งจะมีการคำนวณออกมาเป็นอายุครรภ์ได้ค่ะ"
"กี่เดือนก็ช่างมันเถอะค่ะคุณหมอ หนูคงยังไม่ตรวจเพิ่มเติม หนูจะรีบไปทำงาน ยังไม่รู้จะบอกสามีว่าอย่างไรเลย เศรษฐกิจอย่างนี้ด้วย แล้วว่าง ๆ หนูจะมาฝากท้องนะคะ เฮ้อ! ท้องอีกแล้ว ลูกคนก่อนยังอายุไม่ถึงหกเดือนเลย" คุณอวยพรบ่นก่อนลากลับไป
การตรวจการตั้งครรภ์ในสมัยนี้ เป็นเรื่องง่ายดายมาก เพียงนำน้ำปัสสาวะมา ใช้อุปกรณ์เป็นกระดาษเคลือบน้ำยาชิ้นเล็ก ๆ จุ่มแช่ลงไป ปุ๊บปั๊บ-สองนาทีก็ทราบผลแล้ว ว่าตั้งครรภ์หรือไม่ แต่สมัยก่อนเพียงนับย้อนหลังไปสี่สิบปีก่อน การตรวจว่าสตรีใดตั้งครรภ์หรือไม่ โดยใช้อุปกรณ์การตรวจจากน้ำปัสสาวะนั้นเป็นเรื่องยุ่งยากมาก ๆ ฉันจะย้อนอดีตให้ท่านฟัง
จริง ๆ แล้ว ฉันก็เกิดไม่ทันยุคสมัยนั้นหรอก แต่ได้ยินท่านอาจารย์สูติ-นรีเวช เล่ากันมา ถึงความยากลำบากในการตรวจการตั้งครรภ์ ชนิดที่ต้องใช้ชีวิตสัตว์หลายชนิดเป็นเดิมพัน
การตรวจการตั้งครรภ์สมัยก่อน หลักการคือ ใช้น้ำปัสสาวะของสตรีที่สงสัยว่าตนตั้งครรภ์นั้น ตรวจหาฮอร์โมนที่ปรากฏในน้ำปัสสาวะของหญิงตั้งครรภ์ หลักการนั้นเหมือนกันกับสมัยนี้ แต่สมัยก่อนสตรีที่ต้องการตรวจว่าตั้งครรภ์หรือไม่ ต้องอดข้าวอดน้ำหลังเที่ยงคืนของวันก่อนมาตรวจ (ปัจจุบันไม่ต้องอดข้าวอดน้ำ ไม่ต้องใช้ปัสสาวะตอนเช้าตรู่ก็ได้)
พอรุ่งเช้าก็เก็บน้ำปัสสาวะจำนวนประมาณ สามร้อยหกสิบซีซีใส่ขวดสะอาด นำมาให้สูตินรีแพทย์ตรวจ ในสมัยก่อนฉันเกิดนั้นทำได้ยุ่งยากหลายวิธีดังนี้
|
เมื่อครบหนึ่งร้อยชั่วโมง หลังการฉีดน้ำปัสสาวะก็ฆ่าหนู ตรวจดูรังไข่ของหนูแต่ละตัวว่า มีจุดเลือดออกที่รังไข่ไหม ถ้ามีแสดงว่า สตรีผู้นั้นมีฮอร์โมนของหญิงตั้งครรภ์ แปลว่าท้องแล้วค่ะ
โดยการนำน้ำปัสสาวะนั้นมา ผสมกรดไฮโดรคลอริก สารคาโอลิน จนมีความเป็นกรดด่าง พอเหมาะ นำไปปั่นเอาตะกอนทิ้ง เทน้ำใสของปัสสาวะออกมาเติมโซเดียมไฮดรอกไซด์ สารคาโอลินแล้ว ปั่นอีกครั้งหนึ่ง จึงเอาน้ำปัสสาวะใสมาใช้ฉีดเข้าคางคก
นำคางคกที่ฉีดน้ำปัสสาวะมาวางไว้ในจานทดลองที่มีรูตรงกลาง ถ้าคางคกปล่อยไข่ออกมาภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง ก็ถือว่า ปัสสาวะของสตรีนั้นมีฮอร์โมนของสตรีตั้งครรภ์ นั่นคือท้องแล้วค่ะ
3 ชั่วโมงหลังจากนั้น ก็ใช้เครื่องมือ (pipette) ไปดูดเอาน้ำในรูขับถ่ายของมัน มาตรวจหา เชื้ออสุจิของคางคก ถ้าพบก็แปลผลว่า เจ้าของปัสสาวะนั้นท้องแล้วค่ะ
วิธีที่สามสี่นั้น ว่ากันว่าไม่โหดร้ายเพราะไม่ต้องฆ่าสัตว์ แต่ในทางเป็นจริง คางคกที่จับได้ก็จะถูกนำมาทดลองหลายครั้ง ขณะที่บางทีคางคกก็ไม่ได้กินอะไร กว่าจะใช้ประโยชน์จากเจ้าคางคกจนคุ้ม มันก็หมดแรงสะบักสะบอมตายไปในที่สุด
นั่นเป็นเรื่องย้อนอดีต จะเห็นความยุ่งยากมากมายแม้แต่การวินิจฉัยการตั้งครรภ์ไม่รวมถึงการคลอด การเลี้ยงลูก ซึ่งสมัยใหม่นี้ง่ายกว่ากันมาก
สมัยนี้การทดสอบว่า ตั้งครรภ์หรือไม่ก็แค่เดินเข้าไปในร้านหมอหรือร้านแล็บ ไม่เกินห้านาทีก็ทราบผลแล้ว และถ้าหากขี้เกียจไปเจอหน้าหมอไม่อยากเจอหน้าเจ้าหน้าที่ห้องแล็บ ก็ซื้อแผ่นทดสอบ (test) จากร้านขายยา มาตรวจเองที่บ้านก็ยังได้
หลายคนกล่าวว่า เพราะความง่ายนี้ ทำให้เราไม่ค่อยเห็นคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าชีวิตของมนุษย์ สัตว์ สิ่งแวดล้อม เพราะความง่ายนี้ทำให้เกิดจิตใจที่หยาบกระด้าง ไม่มีความเอื้ออาทร เพราะขาดความผูกพันที่ลึกซึ้ง
ก็น่าจะเป็นจริงเช่นนั้น ฉันเองรู้สึกเพิ่มเติมหลังจากย้อนอดีตการตรวจการตั้งครรภ์ว่า มนุษย์เรานั้นเป็นสัตว์ที่เห็นแก่ตัวตลอดมา ไม่ว่าในปัจจุบันและอดีต ดูสิแค่อยากรู้ว่าตนเองท้องหรือไม่ก็ต้องสังเวยชีวิตสัตว์นานาชนิดเพียงเพราะข้าต้องการรู้
พระอาทิตย์อ่อนแสงลง เป็นแสงลำสุดท้ายของวันนี้ ฉับพลันแสงก็จ้าขึ้นเป็นแสงสีเหลืองส้ม แสงผีตากผ้าอ้อมแผ่นโชนความสว่างไปทั่วหล้า ก่อนพระอาทิตย์จะอับแสงมักจะเป็นเช่นนี้คือ เปล่งแสงให้จ้าที่สุด ไม่ต่างอะไรกับชีวิตของมนุษย์ที่เจ็บป่วยก่อนจะจากโลกนี้ไป มักจะมีอาการดีขึ้นกระเตื้องขึ้นเหมือนคนปกติ
ดวงตาของชายชรา ที่ลืมขึ้นมองดูญาติที่นั่งอยู่เต็มห้อง ใสแจ๋วผิดไปจากเดิม ทำให้ลูกเมียและหลาน กรูเข้าไปหาที่เตียง ก่อนร้องเรียก
"คุณพ่อ คุณพี่ คุณตา คุณปู่" เสียงเรียกเซ็งแซ่รอบเตียง ผู้ป่วยที่นอนอยู่บนเตียงลุกขึ้นนั่งอย่างมีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ผิดไปจากเดิมที่นอนแซ่วอยู่หลายวัน
ไม่นาน คนป่วยก็ดูแปลก ๆ ไป เขาหันมาดูรอบ ๆ อย่างเลือนลอย ก่อนยืดคอแลบลิ้นออกมา ทางซ้ายทางขวา ตาเหลือกปลิ้น มือเท้าไขว่คว้าราวเห็นภาพน่ากลัวอะไรในภวังค์ ใช่ ชายชราเห็นภาพของคางคกจำนวนมากมายที่นำมาตรวจการตั้งครรภ์สตรี นอนก่ายกองหมดแรงหายใจรวยระรินอยู่มุมหนึ่งของห้องทดลอง งานของห้องทดลองปฏิบัติการตรวจการตั้งครรภ์ ผุดขึ้นราวภาพยนต์กำลังฉายย้อนอดีต เขาเห็นภาพตนเองจับเจ้าสัตว์สี่เท้าหนังขรุขระมั่น ฉีดน้ำปัสสาวะเข้าหลัง เข้าท้องของมัน คางคกจำนวนมากมายขยายขนาดพองตัวขึ้น มือเท้าของมันเกาะกุมเต็มหน้าของเขา บางตัวตะเกียกตะกายกระโดเข้ามาร่วมวงป่ายปีนตัวเขา โน่น-ภาพตัวเขาเองในตอนหนุ่ม กำลังหัวเราะพลางดูดน้ำจากรูขับถ่ายของคางคกออกมา หาเชื้ออสุจิ ภาพฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ชายชราคนป่วย หายใจเฮือก ๆ อย่างไม่เต็มอิ่ม ทิ้งตัวลงเตียงอย่างหมดเรี่ยวแรง เสียงครืดคราดดังรุนแรงราวเสลดพันคอตามมา สายลมกระโชกมาวูบหนึ่ง พาลมหายใจของเขาจากไป พร้อมเสียงโหยไห้ของญาติพี่น้อง หลังจากเขาทะลึ่งพรวดโก่งคอส่งเสียงร้องสุดเสียงออกมา จนทุกคนตะลึงงันเงียบสนิทไปชั่วครู่
"อ๊บอ๊บ อ๊บอ๊บ อ๊บอ๊บ อ๊บอ๊บ อ๊บอ๊บ อ๊บอ๊บ"
พญ.ชัญวลี ศรีสุโข
main |