มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://geocities.datacellar.net/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโรคไวรัสตับอักเสบบี


โรคไวรัสตับอักเสบ บี เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ผู้ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่มักไม่มีอาการป่วยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็ก ผู้ติดเชื้อส่วนน้อยจะกลายเป็นผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร อาจมีไข้ต่ำๆ ในวันแรกๆ จุกแน่นท้อง ปวดท้อง ตัวเหลือง ตาเหลือง (ดีซ่าน) ปัสสาวะสีเข้ม ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายจากโรค และมีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้น แต่ 10-20% ของผู้ป่วยจะมีเชื้อไวรัสในเลือดและตับ โดยอาจมีอาการของตับอักเสบเรื้อรัง หรืออาจไม่มีอาการ

บุคคลทั้ง 2 กลุ่มนี้ สามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นต่อไปได้ เราเรียกบุคคลทั้ง 2 กลุ่มนี้ว่า เป็น "พาหะ" หรือตับอักเสบเรื้อรัง ปัจจุบันในประเทศไทยมีผู้เป็นพาหะเฉลี่ย 6% ของประชากร หรือประมาณ 3 ล้าน 6 แสนคน ขณะที่ในอดีตเมื่อ 20 ปีก่อน เคยมีผู้เป็นพาหะสูงถึง 10% ของประชากร ประมาณ 10% ของผู้เป็นพาหะ จะกลับเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรังได้อีก และบางรายอาจตายด้วยโรคตับแข็ง ตับวาย ท้องมาน อาจเสียชีวิตในที่สุด นอกจากนี้ ผู้เป็นพาหะมีโอกาสเกิดเป็นโรคมะเร็งตับสูงกว่าคนปกติถึง 100 เท่า เชื้อไวรัสตับอักเสบ บี เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งตับถึง 80% ของผู้ป่วยทั้งหมด โอกาสการเกิดมะเร็งจะมีมากหากผู้ป่วยติดเชื้อนี้ตั้งแต่วัยเด็ก เช่น ติดจากมารดาตอนแรกเกิด

โรคไวรัสตับอักเสบ บี ติดต่อได้อย่างไร

โรคนี้สามารถติดต่อกันได้โดยการสัมผัสกับเลือด น้ำเลือด น้ำคัดหลั่งของผู้ป่วยตับอักเสบระยะปัจจุบันหรือระยะเรื้อรังหรือผู้เป็นพาหะ ซึ่งเกิดขึ้นได้ในลักษณะต่างๆ กัน เรียกว่าปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อ โรคไวรัสตับอักเสบ บี ได้แก่
  • การรับถ่ายเลือด หรือผลิตภัณฑ์จากเลือดที่มีเชื้อไวรัสนี้อยู่
  • การใช้เข็มฉีดยาที่มีเชื้อปนเปื้อน การเจาะหู การสัก การทำฟัน ที่ใช้อุปกรณ์ร่วมกับผู้ที่มีเชื้อไวรัสอยู่โดยไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างถูกต้อง
  • การใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกันกับผู้ที่มีเชื้อ เช่น แปรงสีฟัน มีดโกน ที่ตัดเล็บ เพราะอาจปนเปื้อนเลือดของผู้ที่มีเชื้ออยู่
  • การร่วมเพศกับผู้ที่มีเชื้อไวรัสอยู่
  • การสัมผัสกับเลือด น้ำเลือด น้ำคัดหลั่ง ของผู้ที่มีเชื้อไวรัสอยู่ โดยผ่านเข้าทางบาดแผลโดยไม่รู้ตัว เช่น การกอดรัดฟัดเหวี่ยง หรือกัดกันเล่นๆ ของเด็ก
  • การถ่ายทอดเชื้อจากมารดาที่เป็นพาหะหรือเป็นโรคอยู่ไปยังลูก ระหว่างอยู่ในครรภ์ หรือระหว่างคลอด
การป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ บี

พยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวข้างต้น และรับวัคซีน ป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ บี ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากวัคซีนนี้มากที่สุดคือ เด็กแรกเกิด เพราะจะช่วยป้องกันการติดเชื้อตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งควรฉีดครั้งแรกโดยเร็วที่สุด หรือภายใน 24 ชม. หลังคลอด ครั้งที่สองอายุ 1-2 เดือน และครั้งที่สามอายุ 6-7 เดือน สำหรับในกลุ่มอายุอื่น ฉีด 3 ครั้งเช่นกัน โดยฉีดครั้งที่สอง ห่างจากครั้งแรก 1-2 เดือน และครั้งที่สามห่างจากครั้งที่สอง 5-6 เดือน



[ ที่มา...หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันเสาร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ.2543]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21]resolution 800x600
1