มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://geocities.datacellar.net/Tokyo/Harbor/2093/

[ คัดลอก จากนิตยสารแม่และเด็ก ปีที่ 20 ฉบับที่ 307 กันยายน 2540 ]

พ่อแม่เป็นต้นแบบ ให้ลูกคิดหรือทำ

รศ.สุพัตรา สุภาพ


พ่อแม่มีความหมายแก่ลูกมาก โดยเฉพาะพ่อมีอิทธิพลต่อลูกสาว แม่มีอิทธิพลต่อลูกชาย ผู้เขียนจำได้ว่าตั้งแต่เด็กพ่อเป็นคนที่รักลูกรักเมีย ขยันในการทำมาหากิน และไม่เคยตีลูกที่ซนยิ่งกว่ามีลิงสักฝูง

สิ่งที่ตามมาก็คือ ผู้เขียนเห็นผู้ชายคล้าย ๆ พ่อดีไปหมด ดีขนาดยอมไปคุยกับ อาแป๊ะ ข้างห้องเช่าพ่อ ไปดูแลเวลาเขาเจ็บป่วย อาแป๊ะคนนั้นก็แสนดี เอาใจผู้เขียน และพาไปเที่ยวเป็นประจำ

พ่อกับอาแป๊ะเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน ขณะเดียวกันผู้เขียนรู้สึกกับผู้ชายคนอื่น ๆ ก็ดีไปด้วย ไม่รังเกียจ   ดีว่าคนสมัยนั้นดี   เด็ก ๆ จึงปลอดภัย   ตอนนั้นผู้เขียนแค่ 5-6 ขวบเท่านั้น

ขณะเดียวกัน   แม่เป็นคนรักลูกรักสามี ขยันขันแข็ง ทำกับข้าวเก่ง เลี้ยงลูกอย่างดี แม้จะดุไปหน่อย เพราะเห็นพ่อตามใจมาก แม่เลยดูเป็นเทพธิดาแบบอารมณ์ผันผวน เล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง น้องชายผู้เขียนซึ่งมีอยู่สองคน   รักแม่และกตัญญูต่อแม่มาก พวกเขาเห็นผู้หญิงอื่น ๆ ดีไปหมดเช่นกัน และเข้ากับผู้หญิงได้ง่าย ยิ่งคนแก่ ๆ ยากจน น้องชายจะสนใจ เอาใจใส่มาก ช่วยเหลือทุกอย่างด้วยความสงสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พอน้องชายมีรายได้ เขาจะให้แม่ และเลี้ยงแม่อย่างดียิ่ง

นักจิตวิทยาคนดัง คือ "จอยส์ บราเธอร์" ให้ข้อคิดเรื่องพ่อแม่ลูกได้น่าคิดไว้ว่า "แม่จะเป็นจุดสำคัญในชีวิตของลูกตอนยังเล็ก ๆ และลูกเป็นชีวิตจิตใจของแม่"

แม่คือทุกสิ่ง แม่เป็นความหวัง เป็นความรัก เป็นความอบอุ่น เป็นที่พึ่งทั้งกายและใจ

ถ้าแม่เป็นคนที่จิตใจดีและน่ารัก ภาพของแม่แบบนี้จะตราตรึงในใจเด็ก และจะชอบผู้คนที่คล้าย ๆ แม่หรือเป็นที่ชอบช่วยเหลือคน ถ้าแม่เป็นคนเข้มแข็ง และค่อนข้างเจ้าอารมณ์อาจมีอิทธิพลในการเลือกคู่ที่รักความยุติธรรม

แม่มีอิทธิพลต่อลูกชายในการเลือกคู่ครองหรือต่อผู้หญิง ถ้าแม่ใจดี อ่อนหวาน   ลูกชายจะเจริญเติบโตขึ้นเป็นผู้ชายที่ชอบช่วยเหลืองานบ้านและเป็นคู่ครองที่ดี แต่ถ้าแม่เป็นคนเจ้าอารมณ์ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เขาจะกลายเป็นคนที่กลัวความรัก เพราะแม้แต่แม่ยังเอาความแน่นอนไม่ได้

ถ้าเป็นพ่อก็จะมีอิทธิพลต่อลูกสาวคล้าย ๆ กัน คือ ถ้าพ่อรักใคร่ลูกสาว ลูกจะคิดว่าตัวเองดูดี และไม่รังเกียจผู้ชาย ถ้าพ่อเข้มงวดหรือเย็นชาหรือไม่ใส่ใจ ลูกสาวจะคิดว่า ตัวเองไม่น่ารักเท่าไหร หรืออาจกลัวผู้ชายเอาก็ได้ เหมือนกรณีที่เด็กถูกข่มขืน มักจะกลัวผู้ชาย

โดยเฉพาะถ้าคนโดนข่มขืนเป็นพ่อเด็กคนนั้น จะยิ่งไม่ไว้ใจผู้ชาย เนื่องจากเด็กเห็นว่า คนใกล้ตัวที่สุดยังทำร้ายแกทั้งกายและใจ แล้วแกจะไว้ใจผู้ชายคนไหนได้

"จอห์น มันนี่" จิตแพทย์และกุมารเวช เสริมความเห็นเรื่องพ่อแม่มีอิทธิพลต่อลูกว่า เป็นสิ่งที่เข้าไปซึมซาบในสมองของเด็กว่า ชอบหรือไม่ชอบ โดยเฉพาะช่วง 8 ปี จะเป็นจุดเริ่มของการตัดสินใจว่าจะชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไร

ยิ่งตอนวัยรุ่นเด็กจะมีแบบฉบับของตัวเองก็จริง แต่สิ่งที่ได้เรียนรู้จากพ่อแม่ จะเข้าไปฝังรากลึก โดยไม่รู้ตัว ขณะเดียวกันก็อยากจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ อยากเหมือนเพื่อน ไม่อยากแปลก แตกต่างออกไป ด้วยเหตุนี้ จึงไม่น่าประหลาดใจ ที่วัยรุ่นจะถือกระเป๋า รองเท้า หรือใส่เสื้อผ้า ทำผมคล้าย ๆ กัน เป็นช่วงเวลา หาเอกลักษณ์ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นตอนต้น ตอนกลาง หรือตอนปลาย

การที่วัยรุ่นอยากเป็นตัวของตัวเอง ไม่ได้แปลว่าจะไม่รักพ่อแม่ เพียงแต่ไม่อยากได้ชื่อว่า ลูกแหง่ นี่เป็นเหตุหนึ่งที่วัยรุ่นไม่น้อย ทั้งหญิงและชาย เวลาต้องเดินทางไปทำกิจกรรม ตามที่โรงเรียนสั่ง จะไม่ชอบให้พ่อแม่ไปส่ง เพราะอายเพื่อน

มีเด็กชายคนหนึ่งอายุ 9 ปี ต้องไปฝึกลูกเสือที่โรงเรียน พอแม่มาส่งแล้วกอดจูบ แกจะบอกแม่ว่า "หนูโตแล้วนะ" แล้วแกก็มองเพื่อนอย่างเขิน ๆ

ส่วนเด็กผู้หญิงก็อายถ้าแม่ทำตัวเชย ๆ แกจะทนไม่ได้หากเพื่อนของแกมีแม่แต่งตัวสวย ๆ มีโรงเรียนสาธิตแห่งหนึ่งเด็กชายวัย 12 ปี บอกพ่อให้ติดเครื่องปรับอากาศในรถ โดยให้เหตุผลง่าย ๆ "เพื่อน ๆ มีกันน่ะพ่อ"

แม้แต่การเล่นหรืองานอดิเรกวัยรุ่นจะทำคล้าย ๆ กัน เช่น ฟังเพลงนักร้องคนโปรด สะสมลายเซ็นดารา แต่งตัวเหมือนดารา ตอนมีของเล่นจากญี่ปุ่นที่เป็นเกมกดสัตว์เลี้ยง เด็กหลายคนก็อยากมีบ้าง พอไม่มีก็คุยกับเพื่อนไม่รู้เรื่อง เข้าทำนองเชย มีเด็กชายคนหนึ่งอายุแค่ 10 ปี ชอบสะสมเพลงญี่ปุ่น ซีดี เล่นเอาพ่อแม่เสียเงินไม่น้อย แต่พ่อแม่คู่นี้บอกว่า

ส่วนลูกชายคุณพัตรตอนเด็ก ก็สะสมเพลงภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ทั้ง ๆ ที่ภาษาอังกฤษ ไม่เก่งเลย แต่ความที่ฟังเพลงภาษาอังกฤษมาก ๆ พยายามร้อง พยายามเข้าใจ ลูกชายคุณพัตรเลยเก่งภาษาอังกฤษขึ้น ตอนหลังก็เลยชอบภาษาอังกฤษ

งานอดิเรกที่ดี ๆ ของเด็กจึงเป็นเรื่องดี พ่อแม่ไม่ควรห้ามปราม และเด็กจะทำอะไร มักขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ไม่น้อย เช่น

ผู้ใหญ่ไม่ค่อยรู้ว่าเรานี่แหละ คือแบบอย่างที่สำคัญ ขอให้สังเกตเด็กยากจน จะไม่ชอบเรียนหนังสือ เด็กชั้นกลางกับมั่งมีจะเห็นว่าเรียนสำคัญ เด็กชั้นกลางกับมั่งมีอยากมีอนาคต อยากมีอาชีพ เข้าทำนองหวังความสุขข้างหน้า

แต่เด็กยากจนจะชอบความสุขที่เห็น เช่น ออกจากโรงเรียนแต่เด็กเพื่อหาเงินทั้ง ๆ ที่พ่อแม่อ้อนวอนเท่าไร เด็กก็ไม่ยอมเรียน ส่วนเด็กยากจนบางคนอยากเรียน แต่ไม่มีเงินเรียน จึงได้แต่เสียใจทั้ง ๆ ที่ตั้งใจเรียน บางคนก็เรียนดีด้วย

จากตัวเองที่กล่าวมาแต่ต้นจะเห็นได้ว่า อิทธิพลของพ่อแม่ต่อด้านต่าง ๆ ของลูก จึงมีทั้งทางตรงและทางอ้อม อย่างเพียงแต่ว่าพ่อแม่จะมีอิทธิพลในด้านบวกหรือลบ พ่อแม่ควรส่งเสริมลูกแต่เด็ก ให้มีแบบฉบับของตัวเอง เพราะนั่นคือ การสอนลูกให้ช่วยตัวเอง ค้นพบตัวเอง ให้ลูกรู้ว่าลูกเป็นใคร ควรทำตัวแบบไหน หรือต้องทำอะไร ทำอย่างไร

โดยพ่อแม่ต้องเป็นต้นฉบับที่ลูกพอใจศรัทธา รักใคร่ ลูกจะได้ไม่ไปหาแบบฉบับนอกบ้าน ที่มีปัญหาจนอาจเสียคนได้

รศ.สุพัตรา สุภาพ


ขอบคุณนิตยสารแม่และเด็ก ที่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21]resolution 800x600
1