หากจะพูดถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ และมีค่ายิ่ง หลายคนมักพูดว่า ต้องยกให้เป็นความรักระหว่างแม่ที่มีต่อลูก เพราะเป็นความรักที่ไม่ต้องการการตอบแทน เป็นการให้อย่างแท้จริง แต่พอนานวันเข้าข่าวคราวของแม่ที่ทิ้งลูก และแม่ที่ทำแท้งเ พราะไม่ต้องการมารหัวขนยิ่งมีมากขึ้น และเพื่อมิให้แม่ประเภทนี้ คิดว่าสิ่งที่ตัวทำถูกต้องทั้งหมด และเพื่อเป็นวิทยาทาน และข้อคิดสำหรับแม่ หรือคนที่กำลังจะเป็นแม่ได้เห็นคุณค่า ความสำคัญของลูก ได้เห็นความพยายามที่แม่ต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของลูก เพียงเพราะเขาเป็นลูกเท่านั้น สิ่งในใจแม่ทั้งสองนี้ น่าจะเป็นข้อคิดสำหรับแม่ที่กำลังท้อ และเป็นกำลังใจให้สู้และฟันฝ่าอุปสรรคต่อไป
ผาสุก ถมยา เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ที่พาลูกที่เธอพูดเสมอว่า คือสิ่งที่มีค่าที่สุด ไปหาแพทย์ที่ดีที่สุดรักษาลูก ให้กลับมาดำเนินชีวิตได้อย่างปกติจากโรคที่เป็นอยู่ น้องบัว ลูกสาวคนที่สองเธอคลอดออกมาปกติเหมือนเด็กทั่วไป ตากลม ผิวขาว หน้าตาน่าเอ็นดู จะมีที่ไม่เหมือนคนอื่นก็ตรงที่ปานแดงที่ปลายจมูก แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าหนักใจ เพราะโตขึ้นก็ทำศัลยกรรมได้ และหมอก็บอกว่าไม่ต้องหนักใจ เป็นโรคเส้นเลือด ปานแดงอย่างนี้เด็กเป็นกันมาก พอ 4-5 ขวบก็จะจางหายไปเอง ในครอบครัวไม่ค่อยหนักใจ แม้จะรู้สึกกังวลบ้าง
แม้เหตุการณ์ความโหดร้าย ที่เกิดขึ้นระหว่างคุณตู่ หรือคุณผาสุก กับลูกสาวจะผ่านไปกว่า 8 ปีแล้ว แต่คุณตู่ยังจำเหตุการณ์ และความรู้สึกทุกตอน ทุกขณะความคิดได้ เหมือนเหตุการณ์นี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันวาน ความสุขต่างๆ ในบ้านแย่ลงเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน เมื่อลูกบัวอายุได้ 6 เดือน ฝันร้ายมาเยือนครอบครัว บัวมีเลือดเหมือนเลือดกำเดาออกมาจากรูจมูกทั้งสองข้าง จนต้องไปหาหมอ และจากนั้นลูกก็มีเลือดออกที่จมูกเกือบทุกวัน และวันละจำนวนมากๆ จนทุกคนในครอบครัว รวมทั้งพี่เลี้ยงของเขานั่งร้องไห้ เพราะความสงสาร ลูกบัวเลือดออกมากจนช็อก ต้องให้เลือด และหมอมาบอกเราว่า ลูกเราจะเสียชีวิตภายใน 6 เดือน จากโรคที่ทำให้เกิดความผิดปกติของเส้นเลือดในสมอง เป็นเส้นเลือดแดง ต่อกับเส้นเลือดดำแบบผิดปกติ จึงโป่งพองออกมา ทำให้เลือดออกง่าย และเมื่อถึงเวลาก็จะแตก และทำให้เสียชีวิตเมื่อมีอายุไม่เกิน 8 ปี ก้อนเลือดในสมองใหญ่เท่าลูกส้ม ภาษาแพทย์เรียกว่า AVM หรือ Arteriovenous Malformation
คุณผาสุกและครอบครัวลงความเห็นว่า จะต้องพาลูกสาวคนนี้ ไปรักษาตัวที่สหรัฐอเมริกา หลังจากที่ทำการรักษาในเมืองไทย แต่ไม่สามารถประสบความสำเร็จ ภาพของบัวที่ต้องทรมานจากโรคที่เป็นอยู่ นมก็กินไม่ได้ต้องให้ด้วยวิธีหยดนมใส่ในปาก ความคิดของเธอตอนนั้นก็คือ ใจของแม่ทุกคนไม่มีใครปล่อยให้ลูกตาย และไม่มีใครที่อยากจะทิ้งลูกของตัวเอง สิ่งที่เกิดขึ้นพูดได้ว่าโหดร้ายที่สุด เหมือนนรกมีจริง การเดินทางไปต่างประเทศนั้น คุณตู่เล่าว่า แม้จะมีความหวังแค่ 1-2% แต่ก็จะทำ จึงหอบลูกสาวไปสหรัฐอเมริกา เพื่อพบกับ ดร.เบนจามิน คาร์สัน แพทย์ผิวดำที่มีชื่อเสียงในการผ่าตัดสมองของสถาบัน จอห์น ฮอพกินส์ เบนจามินบอกว่า เมื่อคุณเป็นแม่ที่แสดงความพยายามมาพบเขาถึงที่นี่ เขาก็จะแสดงความพยายาม และผ่าตัดลูกคุณ แม้ว่าจะไม่ทราบว่าผลจะเป็นอย่างไร เขาทำงานร่วมกับ ดร.เดอบรุน แพทย์ชาวฝรั่งเศส คุณตู่เล่าด้วยว่า การผ่าตัดให้ลูกครั้งแรกเริ่มขึ้น พยาบาลในห้องเล่าว่า เลือดลูกคุณพุ่งไปจนถึงเพดานห้อง และขณะผ่าตัดต้องให้เลือดมากถึง 4 เท่าของเลือดในตัว
หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์โหดร้ายในครั้งนี้มาแล้วคุณตู่เธอว่า แม้วันนี้เศรษฐกิจจะตกต่ำ จนทำให้เหลือแต่กางเกงชั้นในเพียงตัวเดียวก็อยู่ได้ เพราะผ่านวันที่หฤโหดที่สุดในชีวิตมาแล้ว การเดินทางครั้งแรกคุณตู่ กับน้องบัวอยู่ที่สหรัฐอเมริการาว 9 เดือน ผ่านการผ่าตัด 11 ครั้ง และครั้งที่สองอีกราว 11 เดือน และรวมการผ่าตัดทั้งเล็ก และใหญ่ที่ต้องถลกหน้าออก เปิดกะโหลกศีรษะ เพื่อหาทางหยุดเลือดที่ออกมา รวมแล้ว 30 กว่าครั้ง ทุกครั้งที่ผ่าตัด คุณตู่มีความมุ่งมั่นที่จะให้ลูกคนนี้กลับมาเป็นปกติ แต่หลังผ่าตัดบางวัน บัวก็มีเลือดออก แต่วันไหนที่เลือดไม่ออก เขาจะอารมณ์ดีและเหมือนเด็กคนอื่นๆ การผ่าตัดครั้งหลังสุดเมื่อน้องบัวอายุได้ 2 ขวบเศษ เขาผ่าตัดสมองอีกครั้ง แต่ร่างกายทนไม่ไหว ตัวบวม และชัก ซึ่งตอนหลังหมอบอกว่า สมองติดเชื้อ และจากนั้นน้องบัวก็ไม่มีสติ และไม่กระดุกกระดิก นอนอยู่เฉยๆ บนเตียง หลังผ่าตัดนอนอยู่อย่างนั้นที่โรงพยาบาลในสหรัฐอเมริกา ประมาณ 4 เดือน และกลับมาเมืองไทยจนอายุได้ 5 ขวบ น้องบัวจึงจากไป
คุณตู่เล่าว่า เธอไม่ได้เป็นคนเก่ง แต่สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ และจากการป่วยของลูก ทำให้ได้คิดในสิ่งต่างๆ มากมาย ข้อแรกอย่าหลงกับความสุข วันใดที่ลูกไม่มีเลือดออก เราก็มีความสุขสดชื่น และหลงไปกับมัน แต่จากนั้นทุกข์ก็มาเยือนอีก ทำให้คิดว่าเ ราอย่าติดสุขจนเกินไป ให้พร้อมที่จะเผชิญอุปสรรค ขวากหนาม ที่เราต้องพร้อมที่จะแก้ไข สัญชาตญาณของแม่ทุกคนนั้นรักลูก ตนจึงแปลกใจที่เห็นแม่บางคนทิ้งลูกหรือทำแท้ง เพื่อทำลายลูกที่ตัวเองเป็นผู้ทำให้เกิดมา ซึ่งสิ่งนี้ตนอยากจะบอกว่า หากเราไม่เห็นแก่ตัว และยอมรับว่าอุปสรรคเป็นสิ่งหนึ่งที่เกิดได้ในชีวิตของเรา เราก็คงไม่คิดที่จะทิ้งลูก อย่ารักตัวเองมากเกินไป กรณีนี้ไม่ได้พูดถึงผู้ที่เจ็บป่วย ถูกข่มขืน อยากจะบอกว่า ผู้ที่กำลังจะมีลูกนั้นโชคดีมากมาย เพราะลูกเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม ไม่ว่าลูกจะเรียนไม่เก่ง ไม่สวย ไม่หล่อ หรือไม่ได้ดั่งใจ แต่ขอให้ภูมิใจว่าเรามีลูก และพร้อมจะเฝ้ามองเขาอย่างมีความสุข สุขของลูกอยู่ที่ไหนแม่ก็พอใจแล้ว เพราะแม่มีหน้าที่เลี้ยงดูลูกให้ดีที่สุด ลูกเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของผู้หญิงทุกคน เงินเท่าไรก็ไม่ทำให้มีความสุขเท่ามีลูก แล้วเราจะคิดทำลายสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต หรือทอดทิ้งเขาได้อย่างไร และเธอขออุทิศเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิต เพื่อเป็นกำลังใจให้แม่ที่กำลังสู้เพื่อลูกทุกคน
ผศ.ทิพย์วัลย์ สีจันทร์ รอง ผอ.สำนักงานอธิการบดี สถาบันราชภัฏสวนดุสิต คุณแม่ของลูกหญิงชาย ที่แม้ว่าทั้งคู่จะมีปัญหาพิการทางสมอง แต่คุณแม่ก็ไม่ทิ้งขว้าง และเลี้ยงดูจนวันนี้ ทั้งคู่มีอายุ 23 และ 20 ปีตามลำดับ อ.ทิพย์วัลย์เล่าว่า ลูกชายคนโตนั้น สมองขาดออกซิเจน ในช่วงที่อยู่ในห้องไอซียูของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง หลังจากที่เข้ารับการรักษาโรคลำไส้กลืน การขาดออกซิเจนทำให้ร่างกายด้านขวาเป็นอัมพาต เกร็ง และสมองไม่พัฒนาตามอายุ ส่วนลูกสาวนั้นแพทย์สันนิษฐานว่า แม่ไปสัมผัสกับโรคหัดเยอรมัน แต่มาทราบเมื่อท้องได้ 7 เดือน เพราะเด็กมีขนาดเล็กมาก เมื่อออกมาเขาหนักแค่ 1.6 กก. มีพัฒนาการช้า แต่แม้ลูกจะเป็นอย่างไรในสายตาคนอื่น อ.ทิพย์วัลย์และสามี ก็ไม่เคยทอดทิ้ง และเฝ้าประคบประหงมดูแลทั้งสองอย่างเต็มที่
อ.ทิพย์วัลย์เล่าว่า เมื่อคลอดก็บอกหมอว่าเราเลี้ยงลูกได้ไม่เป็นไร อย่ากังวล ลูกสาวอายุไม่กี่เดือน ก็ต้องผ่าตัดต้อกระจกที่ตาทั้งสองข้าง และต้องช่วยพัฒนาการของเขา ซึ่งเรื่องนี้เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ยังไม่มีใครสนใจ แต่เราก็ดูแลลูกเท่าที่จะทำได้ คอยสังเกตและแก้ไข ตลอดจนช่วยพัฒนาให้ทั้งคู่มีพัฒนาการที่ดีขึ้น เรียกว่าหาทฤษฎีฝึกด้วยตัวเอง และแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปทุกวัน เราพยายามไม่ปิดกั้นเขา พาลูกไปทุกที่ที่เขาพอจะไปได้ และฝึกเขาให้ช่วยเหลือตัวเอง และต้องขอบคุณ ร.ร.ราชานุกูล ที่ช่วยดูแล และพัฒนาเขาจนถึงวันนี้
ความรู้สึกที่ทิ้งลูกนั้นไม่เคยเกิดขึ้นเลยสำหรับ อ.ทิพย์วัลย์ เรามีความสุขกับลูก เพราะเมื่อเขาเป็นลูกเรา ก็อย่าเอาไปเปรียบเทียบกับลูกคนอื่น ยังไงเขาก็น่ารัก การเปรียบเทียบจะทำให้พ่อแม่เป็นทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นลูกใคร หรืออยู่ในครอบครัวใด ลูกฉันสอบได้สี่หมด ลูกเธอสอบได้แค่สาม แค่นี้ก็เป็นทุกข์แล้ว การเลี้ยงลูกสำหรับตัวเองไม่หวังการตอบแทน จะดีใจก็เมื่อเห็นเขาพัฒนาดีขึ้น เขายิ้มให้เรา และมีความสุข เวลาที่พ่อแม่ทำสิ่งที่เขาชอบ แค่นี้ก็ชื่นใจ เพราะความรักนั้นอยู่ที่เราพร้อมที่จะให้ และไม่พร้อมที่จะรอรับ ดังนั้นจึงมีความสุขอยู่กับลูกของเรา หากถามว่าเหนื่อยไหม ทุกข์ไหม ก็ทั้งเหนื่อยและทุกข์แต่วันนี้ไม่คิด เพราะลูกทั้งสองต้องการเรา เราจะมัวท้ออยู่ได้อย่างไร และลูกก็ทำให้เราเห็นสัจธรรมหลายอย่าง ซึ่งเราต้องทำใจให้พร้อม
ยอมรับว่าเหนื่อยมากจนคิดอยากตาย และเคยคิดว่าตัวเองโชคไม่ดี แต่เมื่อเกิดมาในโลกที่ต้องต่อสู้เพื่อการอยู่รอด แล้วเราจะมานั่งกลุ้ม นั่งอยากตายทำไม ก็อยู่ไปแบบองุ่นเปรี้ยว มะนาวหวานนั่นหละ คืออยู่ไปและคิดไปในทางที่ดี เราก็สบายใจขึ้น และรู้อนาคตในระดับหนึ่ง ทำให้คิดว่าสมบัติก็ไม่ต้องหาให้มาก หาเท่าที่จำเป็น ไม่ต้องตะเกียกตะกาย หรือแก่งแย่งกับใคร ลูกสอนให้เรารู้จักพอ และไม่ต้องไขว่คว้าหาอะไรมาให้มากกว่านี้ แต่ตัวเองก็ไม่เคยตำหนิคนที่ทำแท้งหรือทิ้งลูก เพราะเวลานั้น เขาอาจหาทางออกไม่ได้ และปัญหาที่ไม่เจอกับตัวเรา พูดหรือตัดสินไม่ได้ ปัญหาใครใครก็ว่าใหญ่หลวง จึงคิดว่าเป็นเพราะเขาไม่เคยฝึกที่จะแก้ปัญหา และความคิดตลอดจนประสบการณ์เขามีอยู่เพียงแค่นั้น ก็เหมือนกับเส้นผมบังภูเขาจริงๆ การทิ้งจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดในขณะนั้น สำหรับกลุ่มนี้ เราเองก็เพียงแต่คิดว่า ทำไมเขาไม่ทำอย่างอื่นที่ดีกว่า แต่อยากแนะว่า ชีวิต ก็คือการแก้ปัญหา เราต้องแก้ไขไปเรื่อยๆ ทุกปัญหามีทางแก้ไขได้ หากเราพยายาม อยากจะบอกทุกคนว่า คุณค่าของลูกก็อยู่ที่ว่าเขาเป็นลูกเรา อย่าไปเปรียบเทียบกับใคร ลูกของใครก็คือดวงใจของคนนั้น จะดีหรือเลวก็ลูกเรา และจนวันนี้ก็ถือว่าเราได้ให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่ลูกเท่าที่เราจะให้ได้.
คอลัมน์ บ้านนี้สีเขียว
main |