รศ.สุพัตร สุภาพ
พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนประสบปัญหาเรื่องลูกไม่อยากไปโรงเรียนเพราะโรงเรียนปิดเทอม ใหญ่นานหลายเดือน ลูกเลยชินที่จะไม่ต้องเรียน เพราะอยู่บ้านแสนสบาย มีทั้งเพื่อน และของเล่น มีของให้กิน มีทีวีให้ดู แถมมีการพาไปเที่ยวหรือเข้าค่าย ฯลฯ ชีวิตช่วงปิดเทอม จึงแสนสนุก อยู่ๆ โรงเรียนเปิดและต้องละสิ่งที่เคยอยู่สบาย ๆ มาตื่นแต่เช้าฝ่าฟันจราจรติดขัด จนรู้สึกขัดใจไม่น้อย การต้องไปโรงเรียนสำหรับเด็กบางคนไม่ว่าฉลาดหรือไม่ฉลาด
ปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ คือลูกจะงอแงกว่าจะปลุกให้ตื่นก็ยากเย็นแสนเข็น อาจจะร้องไห้ หรือแกล้งบอกว่า ไม่สบายไม่อยากจากคุณแม่คุณย่าคุณยาย พอเห็นคุณพ่อคุณแม่เอาจริง ก็ยอมไปบ้าง ปัญหาเด็กไม่ยอมหรือไม่อยากไปเรียนจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเสมอ และไม่ควรมองข้ามไป
สาเหตุของการไม่อยากไปโรงเรียน
เกิดจากหลายสาเหตุขึ้นอยู่กับสภาพการเลี้ยงดูและปัจจัยต่าง ๆ
ติดแม่ ติดบ้าน ติดญาติ
เป็นเรื่องของความรักที่แม่เองก็ติดลูกจึงอดใจอ่อนกับลูกไม่ได้หรือแม่ไม่ค่อยได้อยู่บ้าน อาจจะต้องไปทำงาน หรือให้คนอื่นเลี้ยงจึงชดเชยด้วยการตามใจลูก ประกอบกับบ้านใด มีปู่ย่า ตายาย พี่ป้า น้าอา ซึ่งมักจะตามใจหลาน ผลก็คือ เด็กจะมีแต่ได้ และได้ชีวิตค่อนข้างจะสุขสบาย จึงมีความอดทนต่ำ
หากไปโรงเรียน ครู เพื่อน พี่เลี้ยงคงไม่เอาใจขนาดนี้เลยยังไม่คุ้นเคย ซึ่งอาจเกิดได้ กับเด็กที่เข้าโรงเรียนอนุบาลใหม่ ๆ หรือเด็กที่เคยเรียนมาแล้ว แต่ต้องกลับไปเรียนต่อ เรียกว่าเป็นอาการไม่อยากจากบ้าน ยิ่งพ่อแม่ผู้ปกครองปู่ย่าตายายพี่ป้าน้าอา ใจอ่อนเท่าไร เด็กจะงอแงไม่ยอมไปโรงเรียนมากขึ้นเท่านั้น
โดยเฉพาะเด็กที่เข้าโรงเรียนใหม่ ๆ จะต้องปรับตัวสูงในการที่จะต้องอยู่กับครูใหม่ และเพื่อนใหม่ เลยอดหวาดกลัวไม่ได้ที่ต้องไปทำตามกฏเกณฑ์ที่ดูจะเข้มงวดกว่าที่บ้าน ทำให้ไม่สบายใจ (น้อย ๆ ของแก) ต่อให้ไปกันเป็นเดือนก็ไม่คุ้มเลย เด็กบางคนไปทั้งเทอม ยังไม่อยากไปโรงเรียน
ผู้เขียนมีญาติคนหนึ่งลูกของเขาร้องไห้ตลอดปีที่แล้วเพราะไม่อยากไปโรงเรียน ทั้ง ๆ ที่ปลอบว่าไปเถอะเย็นก็ได้กลับบ้าน แกบอกว่ารอถึงเย็นไม่ไหว ปีนี้น้ำตาชุ่มฟองน้ำ
เหมือนเคย (ก็ผ้าเช็ดหน้าเอาไม่อยู่) เล่นเอาแม่พลอยร้องไปด้วย
ไม่พร้อมจะออกจากบ้าน
อาจจะช่วยตัวเองไม่ได้หรืออาจเรียนไม่ทันเพื่อนจนมีความรู้สึกว่าไปทำไมไปแล้วก็ลำบาก สู้อยู่บ้านไม่ได้จะไปสู้คนอื่นทำไม
เพื่อน ๆ ทำไมเก่งกันไปหมดไม่ว่าจะเรียนหรือเล่นเราเองแย่กว่าใคร วาดภาพก็ไม่เก่ง คิดเลขก็ไม่คล่อง ฯลฯ เลยหมดกำลังใจ อยากหนีโรงเรียนมากกว่า เพราะสนามนี้แข่งขันกัน เหลือเกิน เกือบเป็นชุมนุมคนเก่ง เพราะมีการเปรียบเทียบว่าใครเก่งกว่าใคร
กลัวครู
มีความรู้สึกว่าครูไม่เหมือนพ่อแม่ ครูค่อนข้างเข้มงวดไม่ผ่อนปรนและถ้าเด็กเจอครูที่ไม่ถูกใจ ยิ่งไม่อยากไปโรงเรียน โดยเฉพาะหากครูคนไหน เลือกที่รักมักที่ชังเด็กจะยิ่งหมดกำลังใจ
ครูจะต้องยอมรับว่าเด็กทุกคนนั้นมีอารมณ์และพฤติกรรมต่างกัน หน้าที่ของครูคือยอมรับเด็ก จากสภาพที่แกเป็นอยู่ ไม่ว่าจะโง่หรือฉลาด ร่ำรวยหรือยากจน ดีหรือเกเร
แล้วค่อย ๆ กล่อมเกลาแกแบบค่อยเป็นค่อยไปให้แกรู้สึกว่าครูไม่น่ากลัวอย่างที่คิด อย่าลืมครูคือมนุษย์อาจมีโกรธมีโลภมีหลง แต่ต้องระลึกเสมอว่า เราต้องเป็นครู ด้วยเลือดเนื้อและวิญญาณ
ยิ่งเด็กอนุบาลและประถมเลี้ยงไม่ยาก สอนง่ายถ้าให้ความรักและความเข้าใจ เพราะเด็กยังบริสุทธิ์จะแต่งแต้มอย่างไรก็ง่ายกว่าวัยรุ่นที่เริ่มต้นเป็นผู้ใหญ่
โดนเพื่อนรังแก
เด็กอนุบาลหรือระดับประถมจะมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือหลัวผู้มีอิทธิพล (ตัวน้อย ๆ)
ก็คงพอ ๆ กับผู้ใหญ่ที่กลัวคนแบบนี้ มีเด็กคนหนึ่งกลับจากโรงเรียนก็บอกแม่ว่าเพื่อนป. 2 ดักขอเงินทุกวันถ้าไม่ให้จะเตะ เผอิญเด็กคนนี้ผอมแห้งแรงน้อย อย่าว่าแต่สู้ใคร แค่ผลักก็ล้ม เพราะเป็นเด็กเลือกกินอาหารแต่เล็ก หมู ผัก กุ้ง ปู ปลา ไม่กิน จะกินแต่ปลาเค็ม เพราะถูกคุณย่าเลี้ยงมาแบบนั้น แกเลยตัวเล็กกว่าอายุ เพื่อนที่แข็งแรงจึงสนุกจะรังแก
เด็กไม่รู้จะทำอย่างไรก็ต้องส่งส่วยเพื่อน เช่น ให้ขนม ให้เงิน ให้ดินสอ ยางลบ ไม้บรรทัด แต่พ่อแม่ฐานะดี เวลาลูกบอกดินสอ ยางลบ ปากกา ฯลฯ หาย ก็ไม่เคยว่าอะไรเท่าไร เนื่องจากแกเป็นลูกคนเดียวทุกคนจึงรักแบบสุดหัวใจ พอโดนรังควานมาก ๆ เข้า แกก็บอกว่าไม่สบาย ปวดหัว ปวดท้อง หายใจไม่ออก ถ่ายหนักไม่ได้ คลื่นไส้ อาเจียน พ่อแม่ส่วนมากจะใจอ่อนให้อยู่บ้าน พอหยุดบ่อย ๆ ก็เริ่มไม่อยากไปโรงเรียน โดยอ้างสารพัดเหตุผลและมีการสัญญาว่าหายเมื่อไรจะไป แต่แกหายช้าเป็นประจำ
พ่อแม่ห่วงลูกมากไป
พ่อแม่แบบนี้จะทำอะไรให้ลูกทุกอย่างเพราะกลัวลูกจะเป็นอะไรไป จนเด็กขาดความเชื่อมั่น ในตัวเองเข้ากับใครไม่ได้นอกจากพ่อแม่เพราะคนอื่นไม่อาจมาทำอะไรให้ได้อย่างพ่อแม่ โดยเฉพาะครูและเพื่อน ๆ เลยรู้สึกขัดใจ
ไปโรงเรียนทีไรก็มีแต่คนใช้ให้แกทำแล้วจะไปทำไม อยู่บ้านดีกว่า เดี๋ยวพ่อแม่ทำให้ ตั้งแต่การงาน การฝีมือ เผลอ ๆ ช่วยป้อนข้าว ป้อนน้ำ ล้างจานให้ ทั้ง ๆ ที่ควรให้เด็ก ไม่ว่าอนุบาลหรือประถมหัดทำอะไรด้วยตัวเองจะได้ห่างบ้านหรือช่วยตัวเองๆได้
แก้ปัญหาเด็กไม่อยากไปโรงเรียน
โรงเรียนเป็นสถานที่สำคัญที่เด็กจะได้รับความรู้ความเข้าใจเพื่อเป็นพื้นฐานในการให้เด็ก เข้ากับสังคมได้ ถ้าเด็กไม่ไปโรงเรียนไม่ได้รับการศึกษาเด็กจะไม่ฉลาดเท่าที่ควร
ดร.แสตนลีย์ โกลด์ กับดร.ปีเตอร์ ไอเซ็น (Dr. Stanley Gole and Dr. Peter Eisen) แต่งหนังสือ How to Bring up your Parents กล่าวว่า บุคคลที่สำคัญที่สุด คือพ่อแม่ ที่จะช่วยแก้ปัญหา ลูกไม่อยากไปโรงเรียน
แต่ลำพังพ่อแม่คงทำได้ยากต้องอาศัยความร่วมมือของรอบตัวคือญาติพี่น้องที่อยู่ด้วยกัน ให้ความสำคัญเรื่องการให้เด็กไปโรงเรียน หรือพูดง่าย ๆ คือต้องพูดภาษาเดียวกัน ไม่ใช่พ่อแม่ให้ไป แต่ปู่ย่าตายายให้อยู่บ้าน ผู้อยู่ใกล้ชิดต้องแก้ไขแบบนุ่มนวล ไม่ใช่วิธีการรุนแรง เช่น เฆี่ยน ตี ตำหนิ เปรียบเทียบกับเด็กอื่น
พ่อแม่ต้องหนักแน่น อย่าใจอ่อนเพื่อความเจริญของลูกเป็นการค่อย ๆ ให้ลูกเข้าใจว่า โรงเรียนไม่ใช่สถานที่ที่น่ากลัวแต่เป็นที่ ๆ เด็กจะได้เพื่อนได้สนุกกับการทำกิจกรรมต่าง ๆ และแกสามารถกลับมาหาพ่อแม่ได้ทุกเย็น
นอกจากนี้พ่อแม่ต้องขอความร่วมมือจากครูด้วยการปรึกษาหารือ โดยครูอาจจะพูดคุยกับเด็ก อย่างเป็นเหตุเป็นผล ไม่ดุว่าลงโทษเกินกว่าเหตุ หากเด็กเจ็บไข้ ก็เอาใจใส่ หรือเด็กไม่เข้าใจอะไร ต้องพยายามอธิบาย หรือสติปัญญาแกยังรับไม่ได้ ก็ควรให้การบ้าน แบบค่อยเป็นค่อยไป หรือแกเป็นเด็กมีปมด้อย เช่น อ้วนไป ผอมไป ไม่สวย พิการ ไม่มีอุปกรณ์การเรียนเหมือนคนอื่น ก็ควรสอนเพื่อน ๆ หรือเด็กอื่น ๆ ให้แสดงความเป็นมิตร ไม่ล้อเลียนหรือแสดงอาการรังเกียจ
ขณะเดียวกันพ่อแม่ ครู อาจารย์ หรือผู้เกี่ยวข้องต้องช่วยเด็กให้สามารถเชื่อมั่นตัวเอง ว่ามีความสามารถและสามารถทำได้ การที่เด็กทำอะไรได้ด้วยตนเอง และทำได้จนสามารถ เข้ากับคนอื่น และเป็นที่ยอมรับทั้งครู และเพื่อนตัวน้อย ๆ ได้เมื่อไร แกก็คงไม่อยากอยู่บ้าน เพราะโรงเรียนก็เป็นแหล่งที่มีคนชอบแก และแกก็ชอบเขาเหล่านั้น โรงเรียนจึงเป็นที่ ๆ แกหาความรู้และความสนุกสนานได้
รศ.สุพัตร สุภาพ
main |