มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://geocities.datacellar.net/Tokyo/Harbor/2093/

[ คัดลอก จากนิตยสารแม่และเด็ก ปีที่ 21 ฉบับที่ 309 พฤศจิกายน 2540 ]

วัยรุ่น วุ่นSEX!

กองบรรณาธิการ นิตยสารแม่และเด็ก


ครอบครัวไหนมีลูกอยู่ในช่วงวัยรุ่นพ่อแม่คงต้องลุ้นกับพฤติกรรมแปลก ๆ ของพ่อเจ้าประคุณแม่เจ้าประคุณ อยู่ทุกวี่ทุกวัน
  • …ลูกฉันจะคบเพื่อนดีไหมหนอ
  • …ลูกฉันจะเสพยารึเปล่า
  • …ลูกฉันจะหนีไปเที่ยวเธค เที่ยวผับไหม
  • …จริงหรือที่ว่าวัยรุ่นวุ่นเซ็กซ์ คือ ภาพรวมของวัยรุ่นไทยในปัจจุบัน?
  • …แล้วข้อมูลที่ว่านักศึกษาสาวขายตัวหาเงินเที่ยวเตร่ล่ะ
โอ๊ย! สารพัดที่พ่อแม่จะวุ่นหัวใจคิดไปต่าง ๆ นา ๆ

เคาะประตูบ้านฉบับนี้เราเลย หาหลักฐานและพยานบุคคลมาให้คุณพ่อคุณแม่ใช้ดุลยพินิจ ในการพิจารณาประกอบการสำรวจพฤติกรรมของบรรดาคุณลูกที่อยู่ในช่วงวัยรุ่น

เริ่มต้นด้วยบทสัมภาษณ์ ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิทยาชื่อดัง หัวหน้าศูนย์ให้คำปรึกษาสุขภาพจิตมศว.ประสานมิตร
จากนั้นถกข้อมูลกันให้สะใจกับ อาจารย์สุพร เกิดสว่าง คุณหมอนักวิจัย นายกสมาคมอนามัยเจริญพันธ์และพัฒนาคุณภาพชีวิตแห่งประเทศไทย
ปิดท้ายด้วย อาจารย์สุขุม เฉลยทรัพย์ หัวเรือใหญ่จากสวนดุสิตโพล ต้นตอที่มาของข้อมูลการตำรวจเรื่องเพศสัมพันธ์ ก่อนวัยของเด็กไทย

พลิกไปอ่านให้หายข้องใจ หลังจากนั้นจะเลือกเตรียมไม้เรียวหรือเทียนไข ไว้เป่าฉลอง ก็แล้วแต่คุณพ่อคุณแม่หละนะคะ

อาจารย์วัลลภ ปิยะมโนธรรม
เมืองไทยอากาศร้อนโอบกอดกันปุ๊ปไฟช็อตเลย คิดดูสิผมอยู่เมืองนอก 2 ปี กอดจูบกันยังไม่มีอารมณ์ทางเพศเลย

นักจิตวิทยาอย่างอาจารย์วัลลภ ปิยะมโนธรรม เข้าใจดีถึงปัญหาวัยรุ่น โดยเฉพาะ พฤติกรรมทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งในเรื่องนี้วัยรุ่นไทย มักจะสร้างความหนักอกหนักใจ ให้พ่อแม่ผู้ปกครองอยู่เสมอ

ในความเป็นจริงวัยรุ่น ก็คือ วัยอยากรู้ อยากเห็น อยากผจญภัยกับสิ่งใหม่ ๆ ที่ท้าทายพละกำลัง ของวัยรุ่นสาว นอกจากนั้น ในทางจิตวิทยา วัยรุ่นยังเป็น วัยแห่งการลอกเลียนแบบด้วย ดังที่อาจารย์วัลลภ ได้วิเคราะห์พฤติกรรมเพศสัมพันธ์วัยรุ่นว่า

"วัยรุ่นไทยที่มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร เป็นเพราะค่านิยมหรือแฟชั่น พยายามเลียนแบบทางตะวันตกคิดว่า เป็นเรื่องโก้เก๋ เราคิดว่าเด็กฝรั่ง ต้องมีเพศสัมพันธ์ตอนวัยรุ่น ลืมไปว่านั่นเป็นสังคมมายาของฝรั่ง เป็นสังคมฮอลลีวู้ด คือ เป็นเรื่องของหนังนั่นเอง ในหนังฝรั่งเราจะเห็นวัยรุ่นของเขาเต้นรำกัน กอดจูบกัน แล้วก็ไปนอนกันเรียกว่าสังคมอเมริกา ทั้ง ๆ ที่สังคมอเมริกาไม่ได้เป็นแบบนั้น ส่วนหนึ่งเด็กเขาก็จะไปโรงเรียนแล้วก็กลับมาบ้านไม่มีการมั่วสุมอะไร

แต่สังคมอเมริกันพ่อแม่จะไม่ค่อยเลี้ยงดู ปล่อยตัวใครตัวมัน เห็นว่าถ้าทำอะไรแล้ว มีความสุขก็ปล่อยให้ทำไปตามใจ ก็อาจจะมีเรื่องเพศเข้ามาเกี่ยวข้องบ้าง แต่ไม่ใช่ว่า คนอเมริกันมั่วเพศ สำส่อนทางเพศไปหมด แต่คนไทยมองเห็นต่างชาติ เพียงด้านเดียว แล้วก็ทำตามโดยลืมนึกไปว่าเมืองไทยเรื่องเพศแรงกว่าฝรั่ง เพราะเกี่ยวข้องกับภูมิภาค หรือภูมิอากาศในเมืองไทย คือ อากาศร้อนจะกระตุ้นฮอร์โมนเพศได้ดีกว่าอากาศหนาว

เราจะเห็นว่าฝรั่งขอบอบซาวน์น่า อาบน้ำร้อน หรือชอบอาบแดด เพราะในเมืองนอก อากาศหนาว ฮอร์โมนทางเพศจะทำงานช้า เจอความร้อนมาก ๆ ก็จะกระตุ้นฮอร์โมนทางเพศ สังเกตดูว่าฝรั่งต้องดื่มวอสก้า ดื่มเหล้าหรือไวน์ เพื่อเรียกน้ำย่อย ดีกรีน้ำเมาพวกนี้ มันจะไปละลายความเย็นในท้องได้ และก็กระตุ้นอารมณ์ทางเพศด้วย ต่างประเทศนั้น มองเห็นได้ชัดเลยว่า ผู้ชายจะต้องให้ผู้หญิงกระตุ้นด้วยการทำออรัลเซ็กซ์ ต้องเล้าโลม ต้องจูบ รวมทั้งเป็นวัฒนธรรมของเขาด้วยคือ โอบกอดจูบกัน แต่ในเมืองไทยอากาศร้อน กอดจูบกันปุ๊ปไฟช็อตเลย คือ ถ้าหญิงชายอยู่ใกล้กันจะมีอารมณ์ทางเพศ เพราะฉะนั้นคนไทยอารมณ์ทางเพศจะสูงกว่าฝรั่ง คิดดูสิผมอยู่เมืองนอก 2 ปี โอบกอดจูบกันยังไม่มีอารมณ์ทางเพศเลย ภูมิอากาศมันก็มีส่วนกำหนดแบบนี้แหละ

ตัวอย่างอิทธิพลของภูมิอากาศ ก็เช่นพวก เอสกิโม พวกนี้จะไม่มีอารมณ์ทางเพศ ต้องเอาผู้ชายอื่นมานอนกับเมีย ถึงจะกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้ หรืออย่างพวกเยอรมัน ที่หนีหนาวมาเที่ยวภูเก็ตก็จะเกิดอารมณ์ทางเพศสูง ซึ่งพวกเราก็ยังขาดความเข้าใจ ในเรื่องนี้กันอยู่"

ภูมิภาคเอเซียของเรานำหน้าเรื่องอารมณ์ทางเพศมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ก็มีปัจจัยอื่น ๆ มาเป็นตัวควบคุม

"สมัยก่อนพออายุ 14-15 เราก็แต่งงานแล้ว เพราะฮอร์โมนทางเพศสูง ทำให้ประจำเดือน มาเร็ว ยิ่งสมัยนี้อายุ 11-12 ก็มีประจำเดือนแล้ว แต่ช่วงหลังเรามีการศึกษา เป็นตัวควบคุม คือ เราต้องเรียนต้องใช้สมองมาก พอเรียนมากอารมณ์ทางเพศ ก็จะน้อยลงไป นี่อาจจะเป็นภาพกว้าง ๆ ในส่วนของคนในเมือง ส่วนชนบทยังไม่สนใจเรื่องการเรียน ก็จะมีอารมณ์ทางเพศก่อน รู้เรื่องเพศเร็ว เพราะอยู่กับธรรมชาติ เราอยู่กับตัวหนังสือ ซึ่งไม่ใช่ธรรมชาติแต่เป็นมายา พอเราคิดมากก็จะไม่มีอารมณ์ เศรษฐกิจไม่ดีทั่วประเทศ ก็ทำให้ไม่มีอารมณ์ทางเพศได้"

อาจารย์วัลลภเชื่อว่า การมีเพศสัมพันธ์ต้องเกิดจากความรัก และความรักที่ดีงาม จะต้องเกิดจากการศึกษามาก่อน หรือปลื้มฐานความเข้าใจในเรื่องเพศศึกษา

"วัยรุ่นเป็นวัยที่อยากรู้อยากเห็น ถ้าบอกว่า "อย่า" จะเป็นการท้าทาย ผู้ใหญ่ต้องเข้าใจว่า เพศศึกษาไม่ได้สอนเรื่อง การร่วมเพศ แต่เพศศึกษาต้องสอนเรื่อง ความแตกต่างระหว่าง ผู้หญิงผู้ชาย สรีระร่างกาย เรื่องฮอร์โมน รังไข่ ฯลฯ และเรื่องทางสังคม ในแง่ที่ว่าผู้ชายมีบทบาทอย่างไร ผู้หญิงมีบทบาทอย่างไร ควรปฏิบัติอย่างไร ด้านจิตใจสอนว่าเรารักกันได้ ความรักเป็นสิ่งดีงาม การมีเพศสัมพันธ์เป็นสิ่งดีงาม แต่จะสวยงามได้จะต้องมีความรัก

เพศศึกษาจะต้องสอนให้เด็กรู้จักอดกลั้น ในขณะนี้เพื่อรอคอยความสุขในวันข้างหน้า แต่เพศศึกษาที่สอนให้ ห้ามทำอย่างนั้นอย่างนี้จะทำให้คนไม่อยากเรียน การสอนเพศศึกษาต้องสอนอย่างมุ่งมั่นว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ ไม่ใช่สอนไม่ให้ทำ"

ปัจจุบันสังคมไทยมีความเจริญทางด้านวัตถุ มีความทันสมัยในเทคโนโลยี และมีความก้าวหน้าทางด้านการสื่อสาร แต่เรื่องเพศสัมพันธ์ในสังคมไทย ยังอยู่ในลักษณะ ลักกระปิดลักกระเปิด แล้วเราจะไปหาอาจารย์สอนเพศศึกษาจากที่ไหน มาชี้แจง ให้วัยรุ่นคนนี้เข้าใจได้ล่ะ

"คนที่สอนเพศศึกษาในขณะนี้คือ สังคม ระบบครอบครัวทำอะไรไม่ได้แล้ว เดี๋ยวนี้เด็กผู้หญิงพูดเรื่องเพศศึกษามากกว่าผู้ชาย เป็นแฟชั่นว่า พูดคำต้องด่าคำ ในคำพูดของฝรั่งว่า Fuke You เค้าถือว่าเป็นของเท่ ผู้ชายทำได้ผู้หญิงก็ทำได้ ของไทยก็ใช้แบบนี้ พูดกู ๆ มึง ๆ ผู้หญิงคุยกันสัปดนกว่าผู้ชายเยอะเลย

สังคมไทยสมัยก่อน ไม่ส่ำส่อน เพราะผู้หญิงคุมความประพฤติของตัวเอง ความรักเกิดไม่ได้เลย ถ้าผู้หญิงไม่ชอบด้วย และเรื่องชู้สาวเกิดไม่ได้เลยถ้าผู้หญิงไม่เปิดโอกาส แต่ตอนนี้ผู้หญิงเปิดโอกาสแล้วเปิดโอกาสตั้งแต่เดินออกจากบ้านเลย

ช่วงยุค 60 ปีที่แล้ว ผู้หญิงมองหน้าผู้ชายไม่ได้ถือว่า เป็นผู้หญิงไม่ดี วัฒนธรรมไทยบอกว่าต้องมีเอียงอาย แต่ต่อมาฝรั่งบอกว่าหญิงชายต้องมองหน้ากัน ผู้หญิงก็เลยทำตาม เห็นหน้าผู้ชายหล่อ ๆ แล้วเกิดอารมณ์ทางเพศก็ได้คือ ไม่ต่างจากผู้ชายมองหน้าผู้หญิงสวย หรือมองรูปร่างผู้หญิงแล้วเกิดอารมณ์ทางเพศได้

เมื่อก่อนเราถูกสังคมบอกว่าไม่ควรมองผู้ชายในเรื่องเพศ สังคมคอยคุมไว้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว ผู้หญิงเราพอเห็นผู้ชายหล่อ ๆ ก็กรี๊ดกร๊าด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการมายา อย่างฝรั่งในช่วงของเอลวิส ผู้หญิงเห็นก็กรี๊ดแล้ว เริ่มกรี๊ดนักร้องชายหรือผู้ชายหล่อ ๆ กันมากขึ้น แล้วเดี๋ยวนี้ก็เกิดปัญหาแล้ว กรณีผู้หญิงไปเลี้ยงผู้ชาย ผู้หญิงไปหาผู้ชาย สมัยก่อนสังคมไม่สำส่อน เพราะผู้หญิงไม่ยอม แต่ตอนนี้การมั่วเพศทั้งหมดเกิดเพราะผู้หญิงเปิดโอกาสมากขึ้น ทีนี้เมื่อผู้ชายมีความต้องการอยู่แล้วก็เลยมั่วกันใหญ่ "

ความต้องการทางด้านวัตถุของวัยรุ่น ก็เป็นสาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่ง ที่ชักนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ในรูปแบบต่าง ๆ

สังคมทุกวันนี้มีแต่วัยรุ่นอยากเป็น อยากมี เช่น อยากมีรถ มีเพจ อยากเป็นดารานักร้อง ฯลฯ แล้วหนทางที่นำไปสู่เป้าหมายเหล่านี้ ก็คือ ไปกินเหล้า เต้นรำ ร้องเพลงในเธคในผับ วัยรุ่นจะออกมาเที่ยวสถานบันเทิงเหล่านั้นตอนเที่ยงคืน ที่พ่อแม่นอนหลับ ตื่นมาอีกทีมีโทรศัพท์มาปลุกให้ไปประกันตัวที่โรงพัก พ่อแม่ตกใจแทบช็อก ไม่รู้ว่าเข็นรถออกจากบ้าน หรือปีนรั้วปีนกำแพงออกไปเมื่อไหร่

แล้วจะมีวัยรุ่นขายตัวอยู่จำนวนหนึ่ง ในกลุ่มพวกที่เรียกว่า "อาชีวะ" พวกนี้เค้าไม่ต้องใช้ปัญญามาก แล้วเห่ออยากมีกระเป๋าหลุยส์ ชาแนล อยากใส่เสื้อผ้าดี ๆ เพราะฉะนั้นพอมีเพศสัมพันธ์ในวัยอาชีวะแล้วรู้สึกว่าไม่มีปัญหาอะไรเลย หาเงินใช้ดีกว่า อยากได้วัตถุสิ่งของ อยากได้เงิน เลยขายตัว

ประเด็นที่ 2 ในกลุ่มอาชีวะมีปัญหาเรื่อง ยาเสพติดมากที่สุด ตั้งแต่กัญชา เฮโรอีน ผงขาว พอเสพปุ๊ปไม่สนใจ แล้วอยากได้เงินมาซื้อยา ตรงนี้ไม่เกี่ยวกับการเป็นโสเภณี แต่เพราะสังคมทำให้คนอยากจะมีรถ มีเงิน อยากเสพยา ทำให้ต้องมีการขายตัว

อีกกลุ่มหนึ่งคือ พวกวัยรุ่นตอนปลาย ที่กำลังเข้ามหาวิทยาลัย พวกนี้ความจริงแล้ว ไม่ใช่ผู้หญิงที่ดี แต่เป็นผู้หญิงประเภทที่เรียกว่า "ไก่" เป็นพวกสำส่อน แต่รู้ว่า ค่าตัวจะสูงขึ้น ต่อเมื่อเป็นนิสิตนักศึกษาก็เลยเข้าไปลงทะเบียนเรียน พวกนี้ไม่ต้องการเรียนจบ แต่ขออัพเกรดให้ค่าตัวสูงขึ้น

ในเรื่องเพศสัมพันธ์ของผู้ชายนั้น 100% คือ ยาเสพติด ส่วนผู้หญิงจากพวกที่เที่ยวเทค เที่ยวผับ ต่อมาเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดก็เลยไปเรียนเพื่อออกมาขายตัวตามเธคตามผับ ไม่แคร์อะไรขอให้มีเงินก็ต้องขายตัว จริง ๆ แล้วไม่ได้ชอบเรื่องเพศ แต่ชอบเรื่อง วัตถุนิยมยาเสพติด"

ปัญหาวัยรุ่นกับยาเสพติดนอกจาก จะไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังแล้ว ผู้ใหญ่บางคนยังฉวยโอกาสหา ผลประโยชน์จากวัยรุ่นอีกด้วย

"ความจริงแล้ว เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะควบคุมในเรื่องนี้ ต้องกำหนดอายุของเด็ก ที่จะเข้าไปเที่ยวในเธค และควบคุมให้สถานบันเทิงปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด แต่ตอนนี้ผู้ควบคุมกับมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ เราจะเห็นได้ว่าเด็กอายุ 15-16 ก็เข้าไปในเธค ได้แล้ว และที่นั่นก็ขายเหล้าบุหรี่ให้ อย่าง RCA. นี่ไงเป็นไปได้อย่างไร ไม่มีใคร มาดูแลควบคุมเลย ผมว่าตรงนี้คงเป็นเรื่องหนักอกพ่อแม่พอสมควร เพราะคนที่ควบคุมเรื่องนี้ พอคุมเสร็จก็จับ จับเสร็จแล้วก็เรียกเก็บเงินเพิ่มขึ้น เรียกว่าได้หลายต่อ สังคมเลวร้าย เป็นเพราะเรื่องของ เงินตัวเดียว เพราะทุกคนรู้หมดว่า ไม่มีอะไรจะหาเงินได้ดีเท่ากับ หาเงินกับวัยรุ่น"

ปัญหายาเสพติดกับรุ่นวัยว่าหนักหัวอกพ่อแม่แล้ว แต่ปัญหาพฤติกรรมทางเพศ ของวัยรุ่น กลับร้ายยิ่งกว่า

"เท่าที่ศึกษามาแบบไม่เป็นทางการจากเด็กผู้หญิงประมาณ 300 กว่าคน ปรากฏว่า ผู้หญิงมีเพศสัมพันธ์ก่อนจบม.6 ถึง 30% ผมกล้าพูดเลยว่า นี่คือตัวเลขที่จริง แต่ไม่เป็นสถิติทั่วประเทศ และประมาณเกือบ 500 กว่าคน ที่ผมศึกษามา ผู้หญิงอายุ 20-25 ปี มีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน โดยมองเรื่องนี้ เป็นเรื่องไม่สำคัญ ผมศึกษามา 4-5 ปีแล้ว แต่จำนวน ตอนนี้มีมากขึ้น เพราะเด็กไม่เข้าใจเรื่องเพศศึกษา พอบอกว่าพรหมจรรย์ โอโห! เล่นกีฬาออกกำลังกายก็ขาดแล้ว เค้าลืมว่า พรหมจรรย์ หมายถึง จิตใจ "พรหม" แปลว่า "ศักดิ์สิทธิ์" "จรรย์" แปลว่า "สิ่งดีงาม" สิ่งที่ดีงามของผู้หญิงคือ การมอบให้คนที่เรารัก ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเนื้อเยื่อ ยิ่งมาดูหนังฝรั่งจะเห็นว่า ผู้หญิงฝรั่งผ่านผู้ชาย มากี่คนต่อกี่คน ไม่เห็นจะเป็นไรเลย แล้วผู้หญิงสมัยนี้ ได้อยู่โรงเรียนผู้หญิงล้วนมาตลอด มีแต่การแก่งแย่งชิงดีกัน พอมาเจอผู้ชายในมหาวิทยาลัยรู้สึกว่าคบผู้ชายแล้วมีแต่ได้ ผู้หญิงมักต้องการให้มีคนตามใจ คบผู้หญิงด้วยกันไม่ค่อยตามใจกัน แต่พอคบผู้ชาย เขาขับรถไปรับ-ส่ง พาไปกินข้าว เลยรู้สึกว่าอยู่ใกล้ผู้ชายดีแล้ว ไป ๆ มา ๆ ก็มาอวดกันอีกว่าใครมีผู้ชายหล่อ ๆ ลืมไปว่าผู้ชายมาสนใจเราถึงได้ตามใจ ทีนี้พอพลาดรักกับคนนี้ ก็หันไปคบกับคนอื่น เพราะคบผู้ชายมีแต่ได้เงินทอง ถูกตามใจ มีแต่ความสะดวกสบาย รู้สึกว่าผู้ชายไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด ไปๆ มาๆ อยู่ในสถานศึกษา ก็จับคู่เป็นแฟนกัน อยู่ด้วยกันนาน ๆ โอกาสก็เปิดมากขึ้น ทำให้เกิดเรื่องชู้สาว ในสถานศึกษาดัง ๆ อย่างสาธิตฯ ทั้งหลายก็มีกรณีอย่างนี้เยอะ

สำหรับในเรื่องที่หญิงชายคบหาสมาคม หรือมีอะไรเกินเลยกันไปนั้นในสังคมฝรั่ง ไม่ถือเป็นปัญหาสังคม แต่เป็นเรื่องสิทธิมนุษยชน แต่ในไทยเป็นปัญหาสังคม 100% เพราะ

1. เด็กของเราไม่รู้บทบาทตัวเองว่าเกิดเป็นความรักหรือเปล่า คือ ยังไม่รู้ใจตัวเองอย่างแท้จริง แต่เด็กฝรั่งนั้นก่อนจะมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย เขาคิดว่าจะแต่งงานแล้วลองก่อน แต่ของเราไม่คิดว่าเป็นการทดลองก็เลยเป็นปัญหาสังคม และ

2. เรื่องการคุมกำเนิดของเรายังไม่ดี ฝรั่งเขาจะเรียนเรื่องคุมกำเนิดตั้งแต่มัธยม แต่เด็กเราไม่รู้เลยมีปัญหาเรื่องตั้งท้อง อีกอย่างหนึ่งคือ เด็กฝรั่งจะทำงานหาเงินเอง แต่เด็กไทยจะขอเงินพ่อแม่ไปเที่ยวเธค ผับ แล้วลงเอยด้วยเรื่องดื่มเหล้า พอมีเพศสัมพันธ์แอบไปทำในรถ ในโรงแรม เด็กฝรั่งคิดว่าเรื่องแบบนี้ เป็นสิ่งสวยงาม อยู่ที่บ้านก็มีเพศสัมพันธ์ได้ อย่างนี้พฤติกรรมของเด็กไทย เป็นปัญหาสังคมแน่ ๆ "

อาจารย์วัลลภได้ชี้แนวทางแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการจัดชุมนุมในกลุ่มวัยรุ่น

"ความจริงโรงเรียนสามารถสั่งสอนขัดเกลาเด็กได้ แต่ไม่ทำ คือ โรงเรียนจะต้องเป็น สถานที่ให้เด็กได้มีการชุมนุมกัน ได้มีการจัดงานต่าง ๆ โดยที่โรงเรียนต้องคอยควบคุม ไม่ให้มีปัญหายาเสพติด และการมั่วเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง

โรงเรียนควรเปิดโอกาสให้นักเรียนได้พบปะกัน อาจจะเปิดเป็นสโมสร เด็กจะได้ไม่ต้องไปพบปะกันในเธค ในผับ เพราะเด็กมีกิจกรรมทำร่วมกัน อย่างสโมสรนิสิตนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่นั่นเค้าจะมีกิจกรรมทำ เพื่อสังคมมีชมรมสร้างสรรค์ต่าง ๆ เหล่านี้ก็สามารถควบคุมขัดเกลา ให้เด็กประพฤติตัวดีขึ้น "

และถ้าจะแก้ไขปัญหาพฤติกรรมทางเพศของวัยรุ่นให้ถูกจุด และมีประสิทธิภาพ อาจารย์วัลลภแนะนำว่า ควรจะให้เป็นหน้าที่ของครูบาอาจารย์

"การให้ความรู้เด็กในเรื่องเพศศึกษา ควรเป็นหน้าที่ของครูอาจารย์ ไม่งั้นถ้าสังคมเป็นตัวสอนเด็ก จะทำให้เด็กผิดเพี้ยนมาก เพราะสังคมปัจจุบันมันคือ สังคมที่กระตุ้นให้เรานำเอาสันดานดิบออกมา แล้วก็มั่วกันอุตลุดโดยขาดสติยั้งคิด"

คนเป็นพ่อแม่ ก็คงได้แต่หวังว่าคำสอนของครูบาอาจารย์จะช่วยไม่ให้ลูกตกเป็น เหยื่อของสังคม ถึงแม้จะเป็นเพียงฝันลม ๆ แล้ง ๆ ก็ตามเถอะ

เรียนรู้เซ็กส์จากไหน
รู้มาจาก%
เพื่อน 28
คู่นอน 22
หนังสือ 18
โรงเรียน 13
หมายเหตุ เป็น% เฉลี่ยจากทั่วโลก

นายแพทย์สุพร เกิดสว่าง
ภายหลังเกษียณราชการ จากการเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาล ศิริราช คุณหมอสุพร เกิดสว่าง ก็ยังคงทำงานเป็นที่ปรึกษาของศูนย์วิจัยการวางแผนครอบครัวที่โรงพยาบาลศิริราช รวมถึงเป็นนายกสมาคมอนามัยการเจริญพันธุ์และพัฒนาคุณภาพชีวิตแห่งประเทศไทย งานวิจัยล่าสุดของคุณหมอมีหลายชิ้น อาทิเช่น โรคเอดส์ เรื่องการทำแท้ง เรื่องแม่และเด็ก รวมถึงวัยรุ่นด้วย

ด้วยความสันทัดจัดเจนในการศึกษาค้นคว้า เกี่ยวกับพฤติกรรมวัยรุ่น คุณหมอจึงมีมุมมองในประเด็นเพศสัมพันธ์ก่อนวัยที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

"เราต้องคิดก่อนว่าคำว่า "ก่อนวัยอันสมควร" นั้นใครเป็นคนตั้ง มันเป็นเรื่องของสังคม สังคมเป็นคนตั้งว่า วัยเท่านั้นเท่านี้จึงสมควรที่จะมีเพศสัมพันธ์ แต่สรุปแล้ว ในทางสังคมทั่วไปก็คือว่า ต้องแต่งงาน เราก็ต้องมามองดูว่าทำไมสังคมบอกว่า ต้องแต่งงานก่อนแล้วจึงมีเพศสัมพันธ์ สังคมมีความเห็นแบบนี้ แล้วมันใช้กับผู้หญิง หรือผู้ชายหรือว่าใช้กับเพศใดเพศหนึ่งเท่านั้นหรือ

ในสังคมของเราคิดว่า คนที่จะมีเพศสัมพันธ์ที่จะแต่งงาน พูดง่าย ๆ ก็คือ ต้องมี ความรับผิดชอบเป็นพ่อเป็นแม่ได้ สามารถดูแลตนเองได้ เลี้ยงตัวเองได้แล้ว และมีความคิดอ่านที่ดีพอสมควร ฉะนั้นสังคมจึงมองดูว่าวัยรุ่นยังต้องเรียนหนังสืออยู่ หรือยังต้องพึ่งพ่อแม่อยู่ ถ้าหากมีเพศสัมพันธ์ขึ้นมาแล้ว เกิดตั้งครรภ์ ก็ยังรับผิดชอบอะไร ไม่ได้นั่นเป็นเหตุผลประการสำคัญที่วัยรุ่นไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ นี่คือ มุมมองจากสังคม แต่ถ้าเราดูทางชีววิทยาผมคิดว่าความต้องการ หรือความรู้สึกทางเพศของคนเรา จะมีสูงสุด คือช่วงวัยรุ่น เราจะเห็นได้ว่ามันมีความขัดกัน ด้านหนึ่งวัยรุ่นยังไม่พร้อม ที่จะเลี้ยงตัวเอง แต่อีกด้านหนึ่งคือ ความต้องการทางเพศของวัยรุ่นในช่วงนี้สูงสุด ตรงนี้มันไม่สอดคล้องกัน และเป็นหนทางในการเกิดปัญหา

เมื่อวัยรุ่นเกิดความต้องการทางเพศ สิ่งที่ตามมาคืออะไร

  1. วัยรุ่นอาจรู้สึกไม่สบายใจ เพราะทำสิ่งที่สังคมไม่ยอมรับ ซึ่งผู้หญิงจะเป็นมากที่สุด เพราะผู้ชายยังไงคนก็บอกว่าไม่เป็นไร ผู้หญิงจะคิดมากกว่าผู้ชาย ทางด้านจิตใจก็กระทบกระเทือนแล้ว
  2. ถ้าเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมาเขาก็ลำบาก
  3. ปัญหาเรื่องการติดโรคต่าง ๆ ก็จะตามมา"
ในสายตาของคุณหมอสุพรนั้น วัยรุ่นไทยมีแนวโน้มที่จะเลียนแบบต่างชาติในเรื่อง พฤติกรรมทางเพศ ทั้ง ๆ ที่วัยรุ่นไทยมีทัศนะที่แตกต่างจากวัยรุ่นฝรั่งเป็นอย่างมาก

"ความจริงวัยรุ่นกลุ่มที่เขาระมัดระวังในเรื่องเพศสัมพันธ์ก็มีมาก ส่วนวัยรุ่นกลุ่มที่ปล่อยตัวก็มีมาก ซึ่งอาจจะเป็นกระแสจากตะวันตก และสื่อต่าง ๆ ซึ่งมีอิทธิพลมาก ยกตัวอย่างเช่น อินเตอร์เน็ตที่ไม่สามารถควบคุมข่าวสารข้อมูลได้แล้ว

ปัญหาที่ตามมาจากการเลียนแบบชาวตะวันตกก็คือ เราไม่ได้ตามอย่างเขาทั้งหมด คือ ถ้าเราตามอย่างเขาทั้งหมดมันจะไม่ค่อยมีปัญหา เพราะวัยรุ่นของตะวันตกบางประเทศ เช่นฮอลแลนด์ เนเธอร์แลนด์ เขามีเพศสัมพันธ์กันได้จริง แต่ชาวดัชต์พวกนี้ เขามีวิธีคุมกำเนิดที่เราเรียกว่า Double Dutch คือ ผู้ชายที่ใส่ถุงยาง ผู้หญิงกินยาคุม ถ้าพลาดไปคนก็ยังมีอีกคนเซฟไว้

วัยรุ่นไทยมีเพศสัมพันธ์ตามอย่างเขา แต่เราไม่ตามอย่างเขาตรงที่เราไม่เตรียมพร้อม ที่จะป้องกันและเราไม่รับผิดชอบ การมีเพศสัมพันธ์โดยรับผิดชอบสังคมจะเห็นด้วย หรือไม่ก็ตาม แต่ว่ามันไม่มีปัญหากับเขา แต่ถ้ามีเพศสัมพันธ์โดยไม่คิดอะไรเลย ตัวเขามีปัญหาแน่

แต่ถึงแม้ว่าวัยรุ่นไทยจะใช้แนวทางที่ผมยกตัวอย่างมาก็ไม่ได้หมายความว่าปัญหาต่าง ๆ จะถูกแก้ไขไปได้แบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ คือ มันจะค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป แต่ผมคิดว่าวัยรุ่น จะมองการมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานเป็นเรื่องธรรมดา แต่ขณะเดียวกันจะยังไม่ค่อยมีความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น

อีกอย่างหนึ่งคือวัยรุ่นเรา หรือคนไทยมองการมีเพศสัมพันธ์ไม่เหมือนฝรั่ง ถ้าไปตามอย่างเขาจะลำบาก สมมติว่าฝรั่งหญิงชายคบกัน 3-4 วันแล้วนอนด้วยกัน พอนอนด้วยกันเสร็จผู้ชายขอผู้หญิงแต่งงาน ผู้หญิงก็โวยวายว่าอะไรพึ่งรู้จักกัน 3-4 วัน จะมาแต่งงานกันได้อย่างไร ไม่ยอมหรอก แต่ถ้าเป็นคนไทย ถ้าผู้หญิงคนไหน ไปมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย แล้วผู้ชายขอผู้หญิงแต่งงาน ผู้หญิงจะดีใจ คือ ฝรั่งจะมองว่า การหาความสุขชั่วคราวจบแล้วก็แล้วกัน ถ้าถึงขั้นแต่งงานฝรั่งเขาจะคิดมากนะ"

เพศสัมพันธ์กับการแต่งงาน อาจจะเป็นคนละเรื่องเดียวกันในแนวคิดของชาวตะวันตก

"เวลาที่ฝรั่งเขาจะแต่งงาน เขาจะนึกถึงว่าคนนี้ที่เราจะต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน คนนี้เหมาะจะมาเป็นพ่อลูกเรารึเปล่า ต้องคิดมากเลย แต่เรื่องเพศสัมพันธ์ เดี๋ยวเดียวก็จบแล้ว จบแล้วก็จบกันไป ไม่ต้องมีความรับผิดชอบอะไรอีก แต่คนไทยไม่ได้มองอย่างนั้น โดยเฉพาะผู้หญิงเราถ้ามีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายคนไหนก็คือ อยากจะผูกพันกับผู้ชายคนนั้น รู้สึกว่าสูญเสียอะไรมากเลย แต่ผู้หญิงฝรั่งเขาไม่รู้สึกว่าเขาสูญเสียอะไร

ผมเคยทำการศึกษาในกลุ่มผู้หญิงกับผู้ชายที่รักกัน แล้วผู้หญิงนึกถึงอะไร คิดถึง ความสวยงามคิดถึงวันแต่งงาน คิดถึงบ้าน คิดถึงครอบครัวที่อบอุ่น แต่ผู้ชายคิดอยู่อย่างเดียว คือเมื่อไหร่กูจะได้ฟัน ผู้หญิงจะต้องรู้ด้วยว่าผู้ชายเขาคิดยังไง   ด้วยความสัตย์จริง ผู้ชายเขาคิดอย่างนี้กันทั้งนั้น และเมื่อได้ผู้หญิงคนนี้แล้ว ผู้หญิงคนนี้ ก็จะไม่มีค่าอะไรเลย เพราะเราได้แล้วนี่

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ เคยถามทหารเกณฑ์ว่ามีแฟนรึยัง เขาบอกว่ามีแล้ว แล้วเป็นห่วงเขา
  รึเปล่า เป็นห่วง แล้วไม่กลัวเขามีแฟนใหม่หรือ เขาบอกไม่กลัว เพราะเขาฟันเอาไว้แล้ว  
นี่คือ ผู้ชายอีกแบบหนึ่ง ส่วนผู้หญิงจะมองแต่อนาคต มองว่าผู้ชายจะรักเขาแน่นอน มันคนละอย่างกับผู้ชาย ผู้ชาย คือ ฟันได้แล้วกูทิ้ง ผู้ชายแบบนี้ส่วนหนึ่งจะเป็นวัยรุ่น แต่ส่วนหนึ่งจะเป็นผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว มีหน้าที่การงาน มีลูกเมียแล้ว แต่ก็เป็นแบบที่ว่าถ้าได้ก็เอา ผู้ชายเขาคิดว่าถ้ามีโอกาสมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิง แล้วไม่ทำคือ โง่ ซึ่งเป็นแนวความคิดที่ผิดมาก ถ้าเรานึกถึงว่าจะมีชีวิตที่มีความสุขแล้ว เราก็ต้องแฟร์กับคนอื่น คือ กับผู้หญิงทุกคน แต่ส่วนมากผู้ชายไม่คิดอย่างนั้น อันนี้มันเหมือนกับเป็นชัยชนะ ที่ได้มีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิง"

นอกจากนั้นยังมีความแตกต่าง ระหว่างปัญหาทางเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่น ในเมืองกับในชนบท
"ปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่นในชนบท ชาวไร่ ชาวนาก็มีไม่น้อย แต่รูปแบบ การมีเพศสัมพันธ์มันแตกต่างจากในเมือง ในชนบทวัยรุ่นจะพบกันในงานบุญ งานประเพณีต่าง ๆ แล้วแต่ประเพณีของชุมชนนั้น ๆ อย่างประเพณีชาวเขาบางเผ่า เขาเจอแฟนได้ในงานศพ

ชาวเขาบางเผ่าอย่างกะเหรี่ยง บางเผ่าจะไม่มีเพศสัมพันธ์กันก่อนแต่งงานอย่างเด็ดขาด เพราะเขาเชื่อว่าการมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน เป็นความผิดอย่างร้ายแรง บางหมู่บ้านจะมีกฎว่าถ้าชายหญิงคู่ใดยังไม่แต่งงานกัน แต่มีเพศสัมพันธ์กัน ก็จะถูกบังคับให้แต่ง โดยพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายต้องเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้าน เป็นการลงโทษ แต่ถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดแต่งงานแล้ว ต้องโดนขับไล่ออกจากหมู่บ้าน แล้วหมู่บ้านนั้นต้องอพยพออกไป เพราะถือว่าซวย อันนี้คือ ประเพณีความเชื่อ

การขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องเพศสัมพันธ์ เป็นที่มาของปัญหาสังคม แต่การสอนเพศศึกษาอาจจะไม่มีประโยชน์ หากวัยรุ่นขาดวิจารณญาน

"คนเราขาดความรู้เรื่องเพศ แล้วก็ปล่อยให้รู้กันเองโดยธรรมชาติ ซึ่งมันอาจมีส่วนจริงบ้าง แต่ว่าคนเราใช้ชีวิตแบบลองผิดลองถูกกันมามากแล้ว มันจึงเป็นลูกโซ่ พ่อแม่ก็ไม่รู้เรื่อง ครูก็ไม่สอน เลยรู้เรื่องเพศจากการดูวีดีโอโป๊ หรือเพื่อนบอกผิด ๆ ถูก ๆ เลยเป็นแนวทางที่ผิด

บางครั้งวัยรุ่นจะรู้สึกขัดแย้งว่า มันเสียหายหรือดีกันแน่ ถ้าเสียหายแล้วมาห้ามเราทำไม ผู้ใหญ่ยังทำ เราต้องทำให้เด็กเข้าใจว่าเรื่องเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องของธรรมชาติ และเป็นเรื่องถูกต้อง เป็นสิ่งสวยงามอย่างหนึ่งของชีวิตในแง่ความรัก ในขณะเดียวกันทุกคนต้องเรียนรู้ด้วยว่าเรื่องเพศมีกาละเทศะ ต้องรู้ว่าสิ่งไหนถูก สิ่งไหนผิด ถึงแม้ว่าไม่มีมาตรฐานที่แน่นอน ถูกแง่หนึ่งอาจผิดในแง่หนึ่ง แต่ก็ต้องเรียนรู้แหละ ที่สำคัญต้องรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น และสิ่งที่จะตามมา

ผู้ใหญ่บางคนกลัวว่าสอนเรื่องเพศสัมพันธ์แล้ว เด็กจะไปทดลอง แต่ผมคิดว่า เราไม่ได้สอนให้เขามีเพศสัมพันธ์ เราสอนเขาในแง่จิตวิทยา เขาก็จะต้องมี วิจารณญานของเขาเอง ที่จะคิดว่าอะไรถูกอะไรผิด อย่านึกว่าเด็กคิดไม่เป็น เด็กก็คิดเป็น ถ้าผู้ใหญ่สอนให้เขาคิดในแนวทางที่ถูกต้อง เขาก็จะรู้จักคิดได้ถูกต้องเหมือนกัน

คอลัมน์ตอบปัญหาทางเพศ ก็อาจจะเป็นแหล่งที่ให้ความรู้ได้ แต่ก็ขึ้นอยู่ว่า คนตอบมีวิธีเขียนอย่างไร ไม่ให้มันอันตรายหรือเป็นไปในทางชักจูงยั่วกามารมณ์ ถ้าเป็นในเรื่องของสื่อ เราก็ต้องเข้าใจว่าสื่อจะเผยแพร่ไปสู่ทุก ๆ กลุ่มคน แต่ถ้าในหนังสือที่เด็กสิบขวบขึ้นไปอ่านออกอันนี้ก็อันตราย

สำหรับคอลัมน์ตอบปัญหาทางเพศ ถ้ามองผลดีผลเสีย ผมว่ามันน่าจะดีมากกว่าเสีย เพราะเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ไม่ทราบจะไปถามใครที่ไหน ถ้าเราตอบเขาได้ในบางกรณีก็ดีไป แต่คนตอบต้องเข้าใจว่าตอบได้ในขอบเขตเท่าใด และคนตอบต้องไม่ได้มุ่งหวังในการ ขายเซ็กซ์ ถ้ามีจุดมุ่งหมายให้มันโป๊เข้าไว้ คนจะได้ซื้ออ่าน ก็ต้องชี้ให้เขาเห็น ในเรื่องเพศด้วย"

นักวิจัยท่านนี้มองว่า การเปลี่ยนแปลงทางสังคมมีส่วนทำให้พฤติกรรมของคน เปลี่ยนไปด้วย

ในยุค 10 ปีที่ผ่านมา เป็นยุคที่เรียกว่า ใครก็อยากจะเป็นเสือตัวที่ 5 ที่ 6 คิดว่าตัวเองรวย ทานข้าวต้องทานในคลับ ไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่มีสิ่งยั่วยวนมากระตุ้น ชีวิตทางเพศ ก็เปลี่ยนเกินความพอดี

ในยุคโลกาภิวัฒน์ผู้ใหญ่คิดช้าแต่เด็กรับมาเร็ว และเปลี่ยนเร็วกว่าผู้ใหญ่
เมื่อผู้ใหญ่รับไม่ได้ จึงทำให้เกิดปัญหาระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่มากขึ้น

"กรณีที่มีผู้ปกครองเด็กถามว่า ลูกสาวของตนเกิดพลาดพลั้งมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายแล้ว ควรจะทำอย่างไร อย่างนี้มันก็ขึ้นอยู่กับว่า คนที่เขามีเพศสัมพันธ์ด้วยเขาคิดยังไง เช่น ถ้าผู้ชายได้แล้วทิ้ง ผู้หญิงเสียใจมากคิดว่าเสียตัวให้ผู้ชายแล้ว ผู้ชายยังมาทิ้งอีก เลยคิดว่าตัวเองเป็นคนไม่ดี ความคิดนี้จะทำให้ตนเองไม่มีคุณค่า คนที่คิดแบบนี้ อีก 2-3 ปี อาจจะยุ่งกับผู้ชายคนใหม่ไปเรื่อย ๆ ซึ่งไม่ควรปฏิบัติเช่นนี้ ความจริงเราพลาดไป ครั้งเดียว เราต้องสู้ต่อไป ความผิดพลาดต่าง ๆ ก็ขอให้ถือเป็นบทเรียน

มันมีหลักของชีวิตอยู่บทหนึ่งว่า "ถ้าเราเสียควรจะเสียให้น้อยที่สุด" ผู้ปกครองเอง ก็ควรยอมรับในความผิดพลาดของลูกสาว ควรให้กำลังใจไม่ลงโทษ ไม่ซ้ำเติม ให้ความรักแก่ลูกเหมือนเดิม ลูกก็จะเป็นคนดีมีกำลังใจสู้ชีวิตต่อไป

ถ้าพ่อแม่ไม่คิดว่าเสียหายแค่นั้นก็ อาจจะเอะอะว่าลูกสาว ลงโทษลูกสาว แบบนี้พ่อแม่จะต้องเสียมากกว่านี้ เพราะลูกสาวอาจเสียผู้เสียคน กินยาตาย เรียนหนังสือตก ฯลฯ ยิ่งเป็นการเสียมากกว่าเดิม

คุณหมอสุพร แนะนำวิธีป้องกันปัญหาเพศสัมพันธ์วัยรุ่นว่า
"ปัจจัยสำคัญของปัญหาที่เราห้ามไม่ได้คือ "โลกาภิวัตน์" ซึ่งนำเอาสื่อต่าง ๆ เข้ามา มากมาย เราจะเอาลูกเข้ากรงขังไม่ได้ แต่เรามีวิธีป้องกันคือ สร้างภูมิคุ้มกันให้เด็ก คือ ให้ความรู้แก่เด็ก ในเรื่องเพศศึกษา

จริง ๆ แล้วคนที่จะต้องทนต่อความต้องการของตัวเองในสิ่งที่อาจจะไม่สมคว รอะไรต่าง ๆ นั้น มันขึ้นกับการเลี้ยงดูด้วย เด็กที่ได้รับความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่ เด็กพวกนี้ จะมีความเชื่อมั่นในตนเอง รู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง จะมีสติยับยั้งชั่งใจกว่า เด็กที่ขาดความรักความอบอุ่น ซึ่งเด็กกลุ่มหลังนี้จะอดทนต่อสิ่งเย้ายวนต่าง ๆ ได้ไม่ดี"

ครูและครอบครัว ควรจะเข้ามามีบทบาทในการให้ความรู้เรื่องเพศสัมพันธ์ โดยสอนกันตั้งแต่เด็ก ๆ เลยทีเดียว

"เราไม่ควรทำให้เด็กรู้สึกว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องไม่ดี เช่น เวลาที่เด็กเอามือจับอวัยวะเพศ พ่อแม่ก็ไม่ควรดุหรือตีเขา ให้เด็กโตขึ้นมาอีกนิด พอเข้าโรงเรียนอนุบาล เราก็สอนเขาได้แล้ว โดยสอนให้รู้ว่าสิ่งมีชีวิตมีการสัมพันธ์มาอย่างไร หรือเขาอาจจะเรียนรู้จากนิทาน เช่น เรื่องที่เกี่ยวกับพ่อแม่ หมา หมู แมว กบ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้มีลูก   เด็กก็จะเรียนรู้ ในเรื่อง การกำเนิดการสัมพันธ์แล้ว ก็จะเรียนรู้มากขึ้นเรื่อย ๆ

การเรียนเรื่องเพศศึกษาจากชีวิตจริงที่ดีที่สุดของเด็กก็คือ อธิบายให้เขาฟัง ถึงการออกลูกของแมว หมา ในบ้าน บอกเขาว่าลูกมันออกมาทางนั้นอะไรแบบนี้ เป็นต้น พอเด็กใกล้จะโตเป็นหนุ่มเป็นสาวเด็กจะเข้าใจเรื่องเพศได้รวดเร็วขึ้น เพราะเขาค่อย ๆ เรียนรู้มาก่อน ทำให้ไม่ช็อกกับความรู้ใหม่ ๆ ในเรื่องเพศสัมพันธ์ ซึ่งพ่อแม่และครู มีส่วนในการช่วยสอนเรื่องนี้ให้ลูก

ผมไม่สบายใจเรื่องครู เช่น ครูอนุบาล ประถม เพราะส่วนใหญ่ไม่ต้องเรียนอะไรมา ก็เป็นครูได้เงินเดือนถูกๆ แค่สอนเด็กอ่านหนังสือได้เท่านั้น หรือ ผมคิดว่าครูอนุบาล ประถมนี้ต้องเป็นคนมีความรู้มีจิตวิทยา ต้องปูพื้นฐานให้เด็กรู้จักการใช้ชีวิต รู้จักผิดถูก รู้จักสังคม รู้จักแก้ปัญหา ถ้าเด็กได้รับการเตรียมตัวดีในระยะ 6 ขวบแรก ซึ่งเป็นช่วงที่จำอะไรได้รวดเร็วก็จะเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้เร็ว

ครูและครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญ ผมค่อนข้างให้ความหวังกับครูมาก เพราะพ่อแม่ ไม่ค่อยมีเวลาให้กับลูก ใจจริงผมอยากให้แม่ได้เลี้ยงลูกแต่คงเป็นไปไม่ได้ เพราะถ้าทำอย่างนั้นรายได้คงไม่พอใช้จ่ายในครอบครัว"

ในสภาพเศรษฐกิจเช่นนี้ อย่าว่าแต่เวลาที่จะมานั่งสอนเรื่องเพศศึกษาให้ลูกเลย เวลาที่พ่อกับแม่จะมาเจอหน้ากันสักครั้ง ยังหายากเย็น เพราะแม่ก็ทำโอที พ่อก็ต้องหารายได้พิเศษ คุณภาพเยาวชนไทยคงต้องฝากไว้กับปลายไม้เรียว ของคุณครูกระมัง

ความถี่ในการมี sex
Description ครั้งต่อปี
เฉลี่ยทั่วโลก 112
ฝรั่งเศส ขยันที่สุด 151
ไทย ขี้เกียจที่สุด 69
ถ้าสนใจสถิติเพิ่มเติม อ่านเรื่อง ดัชนีเซ็กซ์ 1998

อาจารย์สุขุม เฉลยทรัพย์
กว่า 2 ปี ที่สวนดุสิตโพล ติดตามข่าวการสำรวจประชามติ เกี่ยวกับเรื่องเพศสัมพันธ์ ในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน เพศสัมพันธ์ผิดคู่ การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร การขายตัวของนักเรียน นักศึกษา ฯลฯ

งานวิจัยของสวนดุสิตโพลนั้น ดำเนินการอย่างมีเป้าหมายโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อ แก้ปัญหาสังคม ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็ได้ให้การยอมรับแล้วว่าโพลนั้น ค่อนข้างจะมีบทบาทต่อสังคม ในแง่ที่ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวทางความคิด

สำหรับผู้สั่งการอยู่เบื้องหลังทีมงานสวนดุสิตโพลก็คือ อาจารย์สุขุม เฉลยทรัพย์

ในวันนี้ท่านได้มาพูดคุยถึง กรณีเพศสัมพันธ์วัยรุ่น ซึ่งทางสวนดุสิตโพล ได้ทำการสำรวจประชามติไปเมื่อไม่นานมานี้

"สำหรับการสำรวจเรื่อง เพศสัมพันธ์นั้นจริง ๆ แล้วเราทำให้รายการใครผิดใครถูก ทุกสัปดาห์ อันนี้เป็นจิตวิทยาในครอบครัว เราทำมา 2 ปีกว่าแล้ว ส่วนการทำในเรื่องทั่วไป เราจะจับประเด็น เช่น ในเรื่องของนิสิต นักศึกษาขายตัว เรื่องของคนโสด ฯลฯ แนวคำถามก็จะมีทั้งเปิด-ปิด ในกรณีนี้คำถามที่เรารู้ว่าเค้าต้องเลือกตอบหลายตัวเลือก เราก็จะตั้งChoice ให้เขาเลือก ถ้าเป็นเหตุผลเจาะลึกที่เราอยากรู้จริง ๆ หรือที่เรียกว่า "การวิจัยเชิงคุณภาพ" จะเป็นคำถามปลายเปิดให้ตอบได้เสรี บางครั้งเราจะรับรู้ แนวความคิดใหม่ ๆ โดยเฉพาะเรื่องของการแก้ปัญหา สมมติว่าลูกผู้ชายผู้หญิง ไปคบกับเพื่อนต่างเพศ จนเกินงามคือ เกิดผิดพลาดขึ้นมา หัวอกพ่อแม่จะคิดอย่างไร มีทางแก้ไขอย่างไร ก็ใช้คำถามปลายเปิดเป็นส่วนใหญ่"

หลายครั้งที่ประเด็นการสำรวจของสวนดุสิตโพล ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวในสังคม บ้างก็เป็นกระแสตอบรับ บ้างก็เป็นกระแสต่อต้านหรือปฏิเสธ อย่างกรณีประเด็น การสำรวจในเรื่อง การขายตัวของนักศึกษา ก็ก่อให้เกิดปฏิกิริยาสะท้อนกลับ จากหลาย ๆ ฝ่าย

"การที่เราทำการสำรวจเรื่อง เพศสัมพันธ์หรือนักศึกษาขายตัวนั้น ค่อนข้างตอบได้ชัดเจน ถ้าถามว่านักเรียนมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยนั้นมีไหม สวนดุสิตโพลสามารถตอบได้ว่ามี เหตุที่ตอบได้ตรงนี้เพราะ เราไม่ได้ทำการสำรวจเพียงครั้งเดียว ประการที่ 2 การสำรวจเจาะกลุ่มตัวอย่างนั้นเป็นไปตามหลักวิชาการ และสภาพสังคมอย่างแท้จริง ประการที่ 3 หลังจากการสำรวจไปแล้ว จะมีการดำเนินการต่อ ในแง่ของ การสืบหา ของสารวัตรนักเรียน และมีเสียงสะท้อนจากครูอาจารย์ และตัวนักเรียนเองที่เคยเที่ยว และมาขอความช่วยเหลือ เราจึงกล้ายืนยัน เพราะตัวเลขสถิติค่อนข้างจะสอดคล้องกัน

ผลสำรวจในเรื่องนักศึกษาขายตัวนี้ ทำให้เรารู้ว่าทุกครั้งที่มีข่าวเรื่อง การขายตัว ประเด็นเรื่อง การเสียค่าหน่วยกิตจะมาอันดับ 1 ตรงนี้เราจะรู้ว่า ถ้าทิศทางเศรษฐกิจ ปีหน้ายิ่งแย่ จะมีผลกระทบมากขึ้น เราจะสำรวจว่าพัฒนาการตรงนี้จะดีไหม วิธีแก้ไขปัญหา ควรทำอย่างไร เทคนิคใหม่ ๆ ในการขายตัวอาจแทรกเข้ามา ในรูปการหลอกลวงมากขึ้นหรือเปล่า ตรงนี้เป็นประเด็นที่เราต้องคิดกัน

ถ้าดูเหตุผลจริง ๆ ถึงสาเหตุของปัญหาจะพบว่า ตรงนี้

ซึ่งกลุ่มที่ถูกล่อลวงนี่ สวนใหญ่ไม่ได้เป็นปัญหาของนักศึกษา แต่เป็นการขายตัวของ พวกที่เป็นแรงงานทางภาคเหนือ ภาคอีสาน พวกนักเรียน นักศึกษา ประมาณ 11.9% ซึ่งข้อมูลไม่คลาดเคลื่อน แต่เป็นข้อมูลที่ได้มาจากนักศึกษาประเภทที่เคยเสียตัว กับแฟนครั้งแรกแล้วก็ตีความว่าถูกหลอก ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ ส่วนอีก 0.50% คือ อกหัก ถูกข่มขืน ประชดชีวิตก็มีส่วน"

ความที่เรื่องเพศศึกษา เป็นเรื่องที่ยังคงต้องปกปิดอยู่ในสังคมไทย การที่สวนดุสิตโพล ออกมาทำการสำรวจเรื่อง นักศึกษาขายตัว จึงก่อให้เกิดกระแสวิจารณ์อย่างกว้างขวาง

"ระยะแรกค่อนข้างล่อแหลมต่อความรู้สึกของคนไทย ก็จะมีคำพูดออกมาว่า "ไม่มีอะไรจะทำแล้วหรือ ถึงได้ออกมาทำเรื่องนี้" สาเหตุที่มีคำถามนี้ออกมาก็เพราะว่า คนส่วนใหญ่คิดว่าเรื่องเพศศึกษาเป็นเรื่องปกปิด ทีนี้พอเราเปิดขึ้นมาก็เกิดการยอมรับ "แน่นอนเรื่องของการทำแผลมันย่อมต้องเจ็บถ้าปิดไว้ มันจะยิ่งเน่า" เราต้องการทำการสำรวจเพื่อแก้ปัญหาสังคม เช่น เราทำเรื่องนี้ในเดือนมิถุนายน นักศึกษาคิดยังไงกับเรื่องขายตัว ต่อมาเราก็จะถามผู้ชาย ที่เคยยุ่งเกี่ยวกับ นักศึกษาขายตัว ให้เขาเปิดใจตอบ และโยงไปถึงแนวทางแก้ไข ตรงนี้ต้องทำให้ครบ ถ้าเราบอกว่า นักเรียนนักศึกษาคิดอย่างไรกับการขายตัว ก็เหมือนกับเป็นการจุดไฟ แล้วไม่หาทางดับ ก็เป็นการจุดไฟให้เกิดปัญหาอื่นต่อไป เราต้องหาแนวทางแก้ไข เพื่อเป็นการลด กระแสความกดดันลงไป"

เรียกได้ว่าสวนดุสิตโพลเป็นมืออาชีพทางด้านการทำผลสำรวจ โดยเฉพาะในประเด็น เรื่องเพศสัมพันธ์ ทางโพลของสวนดุสิตเฝ้าสำรวจเกาะติดต่อเนื่องมาเป็นเวลาแรมปีแล้ว

"เราทำเรื่องเพศสัมพันธ์มา 2 ปีแล้ว ซึ่งเรื่องไม่ซ้ำกันเลย ในปีแรกจะทำภาพรวมกว้าง ๆ ในเรื่องของนักศึกษาขายตัวว่า มีจริงหรือ มีที่ไหนมากที่สุด สถาบันเอกชนหรือรัฐบาล เราต้องตอบให้ได้และต่อมาวิเคราะห์ให้ได้ว่าปัญหาสังคมเนี่ย เกิดจากนักศึกษาขายตัว หรือไม่ก็สรุปว่ามี แล้วก็เกี่ยวข้องกับปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งประเด็นต่อมาที่เราต้องทำในปีนี้ คือเรื่องปัญหาเศรษฐกิจว่า เศรษฐกิจมีผลกระทบต่อการขายตัวจริงหรือไม่

...จากสำรวจโพลชุดนี้แนวคิดต่อมาคือ ภาวะทางเศรษฐกิจ เราต้องถามสังคมว่า การขายตัวของนักศึกษานี้ ปัจจุบันเกิดจากปัญหาเศรษฐกิจจริงหรือไม่ ซึ่งเราต้องสำรวจทับในเรื่องของ สภาวะความเป็นอยู่ในปัจจุบันว่าให้เขาเลือกว่า ถ้าถึงสภาวะอับจนจริง ๆ จะเลือกที่จะขายตัวหรือเปล่า และจะอยู่อันดับไหน ถ้าเรื่องของนักเรียน นักศึกษาในการขายตัวถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ตรงนี้ถือว่าน่ากลัวมาก ฉะนั้นเราต้องสกัดปัญหาให้ได้ โดยเฉพาะในปี 41-43 เศรษฐกิจจะย่ำแย่มาก ปัญหาในการขายตัวจะเพิ่มขึ้น ปัญหาทางสังคมก็จะเพิ่มขึ้น อันนี้เป็นประเด็นที่หลายฝ่าย ให้ความสนใจ ไม่ว่าจะเป็นกรมแรงงาน หรือกระทรวงศึกษาธิการ"

การทำงานของสวนดุสิตโพลนั้น เป็นระบบระเบียบ ตั้งแต่การตั้งประเด็นคำถาม การคัดเลือกทีมงานที่ใช้ในการสำรวจ การคัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง ฯลฯ

"คำถามประเด็นต่าง ๆ ที่เราตั้งขึ้นมา จะสะท้อนประโยชน์ไม่ใช่ถามให้ตอบแบบประจาน แต่เราจะบอกประโยชน์ให้ผู้ตอบได้ทราบ จะบอกจุดมุ่งหมายอย่างชัดเจนว่า เราต้องการอะไร อย่างในประเด็นที่ว่านักศึกษาขายตัวนั้นมีจริงหรือไม่ เราก็ตั้งทีมงานออกสำรวจ ซึ่งต้องแบ่งกลุ่มตัวอย่างชัดเจน เป็นเรื่องของการให้ความรู้ แก่บุคคลทั่วไป สามารถนำผลสำรวจไปเสนอผู้เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาได้

ในส่วนของแบบสอบถาม ก็จะแตกต่างกันออกไป เช่น พฤติกรรมเพศสัมพันธ์ ของคนโสด เราก็ต้องศึกษาว่า ผู้หญิงไทย ใครประกอบอาชีพอะไร สาเหตุที่เป็นโสด มีทัศนคติต่อเพศสัมพันธ์อย่างไร เราต้องตั้งคำถามให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์

ในส่วนของกลุ่มตัวอย่าง ประการแรก เราต้องดูประเด็นและวัตถุประสงค์ของประเด็น ซึ่งต้องเกี่ยวโยงกับคำถาม หรือประเด็นนั้นโดยตรง ประการที่ 2 คือ กลุ่มตัวอย่าง ต้องกระจายให้ครบ เช่น เราถามพฤติกรรมเพศสัมพันธ์ของคนในสังคม เราก็ต้องตีความให้ได้ว่า เราต้องการคนโสดผู้หญิงหรือผู้ชาย อายุเท่าใด คือ ต้องครอบคลุมคนโสดให้ได้จากนั้นเราก็ ใช้ตามหลักสถิติ เช่นถ้า 400 คนขึ้นไป ค่าความเชื่อถือได้ 95% บวกลบ 5 เราต้องเอาตัวสถิติกำหนด

.....นอกจากจำนวนตัวอย่างแล้ว เราจะสำรวจกระจายให้ครบทุกอายุ สาขาอาชีพ ให้เราบอกได้ว่านี่คือ ตัวแทนที่เราคัดเลือก ถ้าเราคัดเลือกเฉพาะกลุ่ม ผลการสำรวจจะหักเห เช่น การสำรวจพฤติกรรมทางการเบี่ยงเบนทางเพศ เราต้องสำรวจให้ได้ว่า กลุ่มนี้คือ ทอม กลุ่มนี้คือดี้ ต้องบอกมาให้ชัดเจน มิฉะนั้นจะเป็นความคิดที่สลับกันไป และถ้าไปถามคนที่ไม่เกี่ยวข้องก็ไม่มีผลอะไร จะเป็นความคิดเห็นทั่ว ๆ ไป เราไม่เอา เราจะถามกลุ่มตัวอย่างที่แท้จริง ซึ่งจะครอบคลุมแค่ไหนเราต้องมีตัวแทนทั้งคนต่างจังหวัด และกรุงเทพฯ โดยสัดส่วนของคนต่างจังหวัดก็ต้องมากกว่าคนกรุงเทพฯ เพราะคนกรุงเทพมีประมาณ 7-8 ล้านคน ที่เหลือ 50 กว่าล้านคน เป็นคนต่างจังหวัด ถ้าเราสำรวจทั้งประเทศ เราต้องแบ่งกลุ่มตัวอย่างให้ครอบคลุม นั่นคือ แทนค่าคนไทยได้

....เราต้องพัฒนาการทำงานมาตลอด ในระยะแรกอาจมีปัญหาในเรื่องนักศึกษา ที่เก็บข้อมูล แต่ระยะหลังเรามีข่ายงานร่วมกับสถาบันราชภัฏทั้ง 36 แห่ง การสื่อสารแห่งประเทศไทย การไฟฟ้าฝ่ายผลิต โรงเรียนมัธยม ประถม ที่กระจายอยู่ทุกแห่งหน เราสามารถพูดได้เลยว่า ผลงานการสำรวจที่เผยแพร่ออกไป ในระยะหลังนี้เชื่อถือได้ 90%

ปัจจุบันนี้มีหลายหน่วยงานเริ่มหันมาให้ความสนใจกับการจัดทำโพล ซึ่งอาจารย์สุขุมวิเคราะห์ว่า อาจจะมีสาเหตุมาจากคนไทยเริ่มที่จะใส่ใจตัวเอง รวมถึงสนใจคนรอบข้าง

"โพลในระยะหลัง ค่อนข้างมีบทบาทต่อสังคมมาก คนจะเริ่มคิดว่าความคิดของตน สอดคล้องกับคนส่วนใหญ่หรือไม่ หรือความคิดเห็นของตนเองเป็นหลักสากลหรือยัง ยกตัวอย่างรายการใครผิดใครถูก ตรงนี้จะสะท้อนให้เห็นว่า หลังจากรายการเผยแพร่ออกไปแล้ว มีโทรศัพท์มาที่สวนดุสิตโพลบ่อย ๆ ว่าทำไมไม่สำรวจเรื่องนี้บ้าง ทำไมเรื่องนี้ถึงเป็นอย่างนี้บ้าง ทำไมความคิดเห็นของ ผู้ชายกับผู้หญิงในเรื่องนั้นถึงแตกต่างกันมาก มันมีตัวแปรอะไร ที่น่าสนใจก็มีอยู่ 4-5 ราย ที่โทรมาถามว่าตัวเองคิดไม่เหมือนคนส่วนมาก อย่างนี้ผิดปกติหรือเปล่า เริ่มมีคำถามพวกนี้เข้ามา แสดงว่าคนไทยเริ่มที่จะใส่ใจตนเอง เริ่มสนใจคนอื่นรอบข้าง

สรุปว่าโพล มีความสำคัญอย่างยิ่งในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจต่าง ๆ หลายบริษัทจะขอโพลในการสำรวจเรื่อง ตัดสินใจลงทุน หรือมีโทรมาขอผลการสำรวจ เรื่องการเลี้ยงลูกว่าเลี้ยงอย่างนี้ผิดหรือเปล่า ตรงนี้พูดได้เลยว่าโพลมีประโยชน์ ต่อสังคมมาก"

กลับมาที่การสำรวจเรื่องเพศศึกษาในวัยรุ่น อาจารย์สุขุม กล่าวว่า ตัวเลขที่ได้ ไม่ทราบว่า เป็นที่น่าตกใจหรือพอใจกันแน่

"วัยรุ่น 40-70% รับรู้เรื่องเพศศึกษาจาก คำบอกเล่าของเพื่อน การรับรู้จากผู้ใหญ่ หรือผู้ปกครองจะน้อยมาก ตรงนี้เรามีความคิดจากผู้ใหญ่ว่า ควรเลือกคบเพื่อนให้ดี จะมีคำถามต่อไปอีกว่า ครู ผู้ปกครอง ทำไมถึงไม่สอนเพศศึกษาให้เด็ก ไม่ใช่ว่าเด็กแอบไปซุบซิบกันเองระหว่างเพื่อน

...ที่เราต้องศึกษาต่อไปคือ วิชาเพศศึกษา ที่ศึกษากันอยู่ในระดับมัธยมศึกษา และอุดมศึกษา นั้นตรงกับเด็กหรือไม่ ทำให้เด็กเกิดความลังเลใจ ในกรณีที่เกิดความผิดพลาดขึ้นมา แล้วต้องทำแท้ง เด็กจะมีความรู้สึกอย่างไร จะรู้ไม๊ว่า เราสามารถทำแท้งได้อย่างถูกกฎหมาย ในกรณีใดบ้าง ประเด็นเหล่านี้มีปัญหามากที่สุด เรามีการสำรวจโดยสมมุติสถานการณ์ว่า ถ้าเค้าเกิดความผิดพลาดมีลูกขึ้นมา เค้าจะทำอย่างไร วัยรุ่นส่วนใหญ่จะสับสนเรื่องนี้มาก เราเริ่มคิดว่าเราน่าจะมีหน่วยงาน ในการดูแลเรื่องนี้หรือไม่ หลายครั้งเราไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมดีเจต่าง ๆ ต้องตอบปัญหากรณี เด็กวัยรุ่นจะโทรมาร้องไห้ปรึกษาปัญหากับดีเจ ซึ่งดีเจต้องรับปัญหานี้ ผมมองว่าสังคมค่อนข้างขาดตรงนี้"

อาจารย์สุขุมกล่าวว่า กระแสการตอบรับจากการสำรวจในเรื่องนักศึกษาขายตัวนั้น มีมาจากหลายฝ่าย

"หลังจากเผยแพร่ผลการสำรวจออกไป อันดับแรกสื่อมวลชนจะถามผู้ที่เกี่ยวข้องกับ เรื่องนี้ เช่น กระทรวงศึกษาธิการ จากนั้นทางกระทรวงฯ ก็จะมาขอข้อมูล จากทางสวนดุสิต เราก็ยินดีให้ข้อมูล ซึ่งเรามั่นใจในความถูกต้องของข้อมูล เพราะเรามีการสำรวจ ครบทุกด้าน คือ จะสำรวจทั้งนักเรียน นักศึกษา ผู้ที่เคยสัมผัสเรื่องนี้ รวมทั้งความคิดเห็นของ ครูบาอาจารย์ ดังนั้นผลกระทบในทางลบ จึงไม่ค่อยมี ทุกคนค่อนข้างที่จะเชื่อและหาทางแก้ไข"

อาจารย์สุขุม ทิ้งท้ายฝากไว้ด้วยคำพูด ที่ชวนให้เก็บไปนอนคิดเป็นการบ้าน

"ผมให้ข้อคิดไว้ว่าการทำสำรวจประชามติ หรือโพลเนี่ยถ้าจะทำให้ดังมันไม่ยาก แต่ถ้าทำออกมาแล้วจะทำให้ครบวงจร คือ ทำเพื่อเข้าปัญหา มันไม่ใช่เรื่องง่าย ประเด็นที่ทำจะต้องตอบให้ได้ว่าทำทำไม ทำแล้วจะเกิดประโยชน์อย่างไร ถ้าการทำโพลแล้ว ทำให้ดังแต่เกิดปัญหาสังคมก็เหมือนกับการกวนน้ำให้ขุ่น ไม่มีทางแก้ไขเลย แต่ถ้าทำน้ำให้ขุ่น ควรจะสามารถแยกน้ำเสียได้ และตอบให้ได้ว่า จะทำให้น้ำดีขึ้นกว่าเดิมอย่างไร ส่วนการเลือกข้อมูลนำไปใช้นั้น ก็เป็นสิทธิ์ของคน ที่นำไปใช้ ไม่ใช่ว่าต้องเชื่อตามโพลเสมอ เราเพียงแต่สะท้อนตามข้อมูลมาเท่านั้น"

ก็แค่สะกิดสะเกาแผลสังคมบ้าง คงไม่ถึงกับแร่เนื้อเถือหนังเอาทิงเจอร์ราด แล้วสาดน้ำกรด หรอกใช่ไหม แต่คนไทยชักขยาดพวกน้ำดีที่มาไล่น้ำเสียซะแล้วหละ คราวนี้ถ้ามี น้ำประปาธรรมดา ก็ไม่เกี่ยงหรอก (มั้ง)

มี sex ครั้งแรก
Description อายุ (ปี)
เฉลี่ยทั่วโลก 17.4
อเมริกัน เร็วที่สุด 16.3
ไทย ช้าที่สุด 19.6
ถ้าสนใจสถิติเพิ่มเติม อ่านเรื่อง ดัชนีเซ็กซ์ 1998

กองบรรณาธิการ นิตยสารแม่และเด็ก


ขอบคุณนิตยสารแม่และเด็ก ที่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21]resolution 800x600
1