นายแพทย์สุพร เกิดสว่าง
ภายหลังเกษียณราชการ จากการเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาล
ศิริราช คุณหมอสุพร เกิดสว่าง ก็ยังคงทำงานเป็นที่ปรึกษาของศูนย์วิจัยการวางแผนครอบครัวที่โรงพยาบาลศิริราช รวมถึงเป็นนายกสมาคมอนามัยการเจริญพันธุ์และพัฒนาคุณภาพชีวิตแห่งประเทศไทย งานวิจัยล่าสุดของคุณหมอมีหลายชิ้น อาทิเช่น โรคเอดส์ เรื่องการทำแท้ง เรื่องแม่และเด็ก รวมถึงวัยรุ่นด้วย
ด้วยความสันทัดจัดเจนในการศึกษาค้นคว้า เกี่ยวกับพฤติกรรมวัยรุ่น คุณหมอจึงมีมุมมองในประเด็นเพศสัมพันธ์ก่อนวัยที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
"เราต้องคิดก่อนว่าคำว่า "ก่อนวัยอันสมควร" นั้นใครเป็นคนตั้ง มันเป็นเรื่องของสังคม สังคมเป็นคนตั้งว่า วัยเท่านั้นเท่านี้จึงสมควรที่จะมีเพศสัมพันธ์ แต่สรุปแล้ว ในทางสังคมทั่วไปก็คือว่า ต้องแต่งงาน เราก็ต้องมามองดูว่าทำไมสังคมบอกว่า ต้องแต่งงานก่อนแล้วจึงมีเพศสัมพันธ์ สังคมมีความเห็นแบบนี้ แล้วมันใช้กับผู้หญิง หรือผู้ชายหรือว่าใช้กับเพศใดเพศหนึ่งเท่านั้นหรือ
ในสังคมของเราคิดว่า คนที่จะมีเพศสัมพันธ์ที่จะแต่งงาน พูดง่าย ๆ ก็คือ ต้องมี ความรับผิดชอบเป็นพ่อเป็นแม่ได้ สามารถดูแลตนเองได้ เลี้ยงตัวเองได้แล้ว และมีความคิดอ่านที่ดีพอสมควร ฉะนั้นสังคมจึงมองดูว่าวัยรุ่นยังต้องเรียนหนังสืออยู่ หรือยังต้องพึ่งพ่อแม่อยู่ ถ้าหากมีเพศสัมพันธ์ขึ้นมาแล้ว เกิดตั้งครรภ์ ก็ยังรับผิดชอบอะไร ไม่ได้นั่นเป็นเหตุผลประการสำคัญที่วัยรุ่นไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ นี่คือ มุมมองจากสังคม แต่ถ้าเราดูทางชีววิทยาผมคิดว่าความต้องการ หรือความรู้สึกทางเพศของคนเรา จะมีสูงสุด คือช่วงวัยรุ่น เราจะเห็นได้ว่ามันมีความขัดกัน ด้านหนึ่งวัยรุ่นยังไม่พร้อม ที่จะเลี้ยงตัวเอง แต่อีกด้านหนึ่งคือ ความต้องการทางเพศของวัยรุ่นในช่วงนี้สูงสุด ตรงนี้มันไม่สอดคล้องกัน และเป็นหนทางในการเกิดปัญหา
เมื่อวัยรุ่นเกิดความต้องการทางเพศ สิ่งที่ตามมาคืออะไร
- วัยรุ่นอาจรู้สึกไม่สบายใจ เพราะทำสิ่งที่สังคมไม่ยอมรับ ซึ่งผู้หญิงจะเป็นมากที่สุด เพราะผู้ชายยังไงคนก็บอกว่าไม่เป็นไร ผู้หญิงจะคิดมากกว่าผู้ชาย ทางด้านจิตใจก็กระทบกระเทือนแล้ว
- ถ้าเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมาเขาก็ลำบาก
- ปัญหาเรื่องการติดโรคต่าง ๆ ก็จะตามมา"
ในสายตาของคุณหมอสุพรนั้น วัยรุ่นไทยมีแนวโน้มที่จะเลียนแบบต่างชาติในเรื่อง พฤติกรรมทางเพศ ทั้ง ๆ ที่วัยรุ่นไทยมีทัศนะที่แตกต่างจากวัยรุ่นฝรั่งเป็นอย่างมาก
"ความจริงวัยรุ่นกลุ่มที่เขาระมัดระวังในเรื่องเพศสัมพันธ์ก็มีมาก ส่วนวัยรุ่นกลุ่มที่ปล่อยตัวก็มีมาก ซึ่งอาจจะเป็นกระแสจากตะวันตก และสื่อต่าง ๆ ซึ่งมีอิทธิพลมาก ยกตัวอย่างเช่น อินเตอร์เน็ตที่ไม่สามารถควบคุมข่าวสารข้อมูลได้แล้ว
ปัญหาที่ตามมาจากการเลียนแบบชาวตะวันตกก็คือ เราไม่ได้ตามอย่างเขาทั้งหมด คือ ถ้าเราตามอย่างเขาทั้งหมดมันจะไม่ค่อยมีปัญหา เพราะวัยรุ่นของตะวันตกบางประเทศ เช่นฮอลแลนด์ เนเธอร์แลนด์ เขามีเพศสัมพันธ์กันได้จริง แต่ชาวดัชต์พวกนี้ เขามีวิธีคุมกำเนิดที่เราเรียกว่า Double Dutch คือ ผู้ชายที่ใส่ถุงยาง ผู้หญิงกินยาคุม ถ้าพลาดไปคนก็ยังมีอีกคนเซฟไว้
วัยรุ่นไทยมีเพศสัมพันธ์ตามอย่างเขา แต่เราไม่ตามอย่างเขาตรงที่เราไม่เตรียมพร้อม ที่จะป้องกันและเราไม่รับผิดชอบ การมีเพศสัมพันธ์โดยรับผิดชอบสังคมจะเห็นด้วย หรือไม่ก็ตาม แต่ว่ามันไม่มีปัญหากับเขา แต่ถ้ามีเพศสัมพันธ์โดยไม่คิดอะไรเลย ตัวเขามีปัญหาแน่
แต่ถึงแม้ว่าวัยรุ่นไทยจะใช้แนวทางที่ผมยกตัวอย่างมาก็ไม่ได้หมายความว่าปัญหาต่าง ๆ จะถูกแก้ไขไปได้แบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ คือ มันจะค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป แต่ผมคิดว่าวัยรุ่น จะมองการมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานเป็นเรื่องธรรมดา แต่ขณะเดียวกันจะยังไม่ค่อยมีความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น
อีกอย่างหนึ่งคือวัยรุ่นเรา หรือคนไทยมองการมีเพศสัมพันธ์ไม่เหมือนฝรั่ง ถ้าไปตามอย่างเขาจะลำบาก สมมติว่าฝรั่งหญิงชายคบกัน 3-4 วันแล้วนอนด้วยกัน พอนอนด้วยกันเสร็จผู้ชายขอผู้หญิงแต่งงาน ผู้หญิงก็โวยวายว่าอะไรพึ่งรู้จักกัน 3-4 วัน จะมาแต่งงานกันได้อย่างไร ไม่ยอมหรอก แต่ถ้าเป็นคนไทย ถ้าผู้หญิงคนไหน ไปมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย แล้วผู้ชายขอผู้หญิงแต่งงาน ผู้หญิงจะดีใจ คือ ฝรั่งจะมองว่า การหาความสุขชั่วคราวจบแล้วก็แล้วกัน ถ้าถึงขั้นแต่งงานฝรั่งเขาจะคิดมากนะ"
เพศสัมพันธ์กับการแต่งงาน อาจจะเป็นคนละเรื่องเดียวกันในแนวคิดของชาวตะวันตก
"เวลาที่ฝรั่งเขาจะแต่งงาน เขาจะนึกถึงว่าคนนี้ที่เราจะต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน คนนี้เหมาะจะมาเป็นพ่อลูกเรารึเปล่า ต้องคิดมากเลย แต่เรื่องเพศสัมพันธ์ เดี๋ยวเดียวก็จบแล้ว จบแล้วก็จบกันไป ไม่ต้องมีความรับผิดชอบอะไรอีก แต่คนไทยไม่ได้มองอย่างนั้น โดยเฉพาะผู้หญิงเราถ้ามีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายคนไหนก็คือ อยากจะผูกพันกับผู้ชายคนนั้น รู้สึกว่าสูญเสียอะไรมากเลย แต่ผู้หญิงฝรั่งเขาไม่รู้สึกว่าเขาสูญเสียอะไร
ผมเคยทำการศึกษาในกลุ่มผู้หญิงกับผู้ชายที่รักกัน แล้วผู้หญิงนึกถึงอะไร คิดถึง ความสวยงามคิดถึงวันแต่งงาน คิดถึงบ้าน คิดถึงครอบครัวที่อบอุ่น แต่ผู้ชายคิดอยู่อย่างเดียว คือเมื่อไหร่กูจะได้ฟัน ผู้หญิงจะต้องรู้ด้วยว่าผู้ชายเขาคิดยังไง ด้วยความสัตย์จริง ผู้ชายเขาคิดอย่างนี้กันทั้งนั้น และเมื่อได้ผู้หญิงคนนี้แล้ว ผู้หญิงคนนี้ ก็จะไม่มีค่าอะไรเลย เพราะเราได้แล้วนี่
อีกตัวอย่างหนึ่งคือ เคยถามทหารเกณฑ์ว่ามีแฟนรึยัง เขาบอกว่ามีแล้ว แล้วเป็นห่วงเขา
รึเปล่า เป็นห่วง แล้วไม่กลัวเขามีแฟนใหม่หรือ เขาบอกไม่กลัว เพราะเขาฟันเอาไว้แล้ว
นี่คือ ผู้ชายอีกแบบหนึ่ง ส่วนผู้หญิงจะมองแต่อนาคต มองว่าผู้ชายจะรักเขาแน่นอน มันคนละอย่างกับผู้ชาย ผู้ชาย คือ ฟันได้แล้วกูทิ้ง ผู้ชายแบบนี้ส่วนหนึ่งจะเป็นวัยรุ่น แต่ส่วนหนึ่งจะเป็นผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว มีหน้าที่การงาน มีลูกเมียแล้ว แต่ก็เป็นแบบที่ว่าถ้าได้ก็เอา ผู้ชายเขาคิดว่าถ้ามีโอกาสมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิง แล้วไม่ทำคือ โง่ ซึ่งเป็นแนวความคิดที่ผิดมาก ถ้าเรานึกถึงว่าจะมีชีวิตที่มีความสุขแล้ว เราก็ต้องแฟร์กับคนอื่น คือ กับผู้หญิงทุกคน แต่ส่วนมากผู้ชายไม่คิดอย่างนั้น อันนี้มันเหมือนกับเป็นชัยชนะ ที่ได้มีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิง"
นอกจากนั้นยังมีความแตกต่าง ระหว่างปัญหาทางเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่น ในเมืองกับในชนบท
"ปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่นในชนบท ชาวไร่ ชาวนาก็มีไม่น้อย แต่รูปแบบ การมีเพศสัมพันธ์มันแตกต่างจากในเมือง ในชนบทวัยรุ่นจะพบกันในงานบุญ งานประเพณีต่าง ๆ แล้วแต่ประเพณีของชุมชนนั้น ๆ อย่างประเพณีชาวเขาบางเผ่า เขาเจอแฟนได้ในงานศพ
ชาวเขาบางเผ่าอย่างกะเหรี่ยง บางเผ่าจะไม่มีเพศสัมพันธ์กันก่อนแต่งงานอย่างเด็ดขาด เพราะเขาเชื่อว่าการมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน เป็นความผิดอย่างร้ายแรง บางหมู่บ้านจะมีกฎว่าถ้าชายหญิงคู่ใดยังไม่แต่งงานกัน แต่มีเพศสัมพันธ์กัน ก็จะถูกบังคับให้แต่ง โดยพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายต้องเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้าน เป็นการลงโทษ แต่ถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดแต่งงานแล้ว ต้องโดนขับไล่ออกจากหมู่บ้าน แล้วหมู่บ้านนั้นต้องอพยพออกไป เพราะถือว่าซวย อันนี้คือ ประเพณีความเชื่อ
การขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องเพศสัมพันธ์ เป็นที่มาของปัญหาสังคม แต่การสอนเพศศึกษาอาจจะไม่มีประโยชน์ หากวัยรุ่นขาดวิจารณญาน
"คนเราขาดความรู้เรื่องเพศ แล้วก็ปล่อยให้รู้กันเองโดยธรรมชาติ ซึ่งมันอาจมีส่วนจริงบ้าง แต่ว่าคนเราใช้ชีวิตแบบลองผิดลองถูกกันมามากแล้ว มันจึงเป็นลูกโซ่ พ่อแม่ก็ไม่รู้เรื่อง ครูก็ไม่สอน เลยรู้เรื่องเพศจากการดูวีดีโอโป๊ หรือเพื่อนบอกผิด ๆ ถูก ๆ เลยเป็นแนวทางที่ผิด
บางครั้งวัยรุ่นจะรู้สึกขัดแย้งว่า มันเสียหายหรือดีกันแน่ ถ้าเสียหายแล้วมาห้ามเราทำไม ผู้ใหญ่ยังทำ เราต้องทำให้เด็กเข้าใจว่าเรื่องเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องของธรรมชาติ และเป็นเรื่องถูกต้อง เป็นสิ่งสวยงามอย่างหนึ่งของชีวิตในแง่ความรัก ในขณะเดียวกันทุกคนต้องเรียนรู้ด้วยว่าเรื่องเพศมีกาละเทศะ ต้องรู้ว่าสิ่งไหนถูก สิ่งไหนผิด ถึงแม้ว่าไม่มีมาตรฐานที่แน่นอน ถูกแง่หนึ่งอาจผิดในแง่หนึ่ง แต่ก็ต้องเรียนรู้แหละ ที่สำคัญต้องรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น และสิ่งที่จะตามมา
ผู้ใหญ่บางคนกลัวว่าสอนเรื่องเพศสัมพันธ์แล้ว เด็กจะไปทดลอง แต่ผมคิดว่า เราไม่ได้สอนให้เขามีเพศสัมพันธ์ เราสอนเขาในแง่จิตวิทยา เขาก็จะต้องมี วิจารณญานของเขาเอง ที่จะคิดว่าอะไรถูกอะไรผิด อย่านึกว่าเด็กคิดไม่เป็น เด็กก็คิดเป็น ถ้าผู้ใหญ่สอนให้เขาคิดในแนวทางที่ถูกต้อง เขาก็จะรู้จักคิดได้ถูกต้องเหมือนกัน
คอลัมน์ตอบปัญหาทางเพศ ก็อาจจะเป็นแหล่งที่ให้ความรู้ได้ แต่ก็ขึ้นอยู่ว่า คนตอบมีวิธีเขียนอย่างไร ไม่ให้มันอันตรายหรือเป็นไปในทางชักจูงยั่วกามารมณ์ ถ้าเป็นในเรื่องของสื่อ เราก็ต้องเข้าใจว่าสื่อจะเผยแพร่ไปสู่ทุก ๆ กลุ่มคน แต่ถ้าในหนังสือที่เด็กสิบขวบขึ้นไปอ่านออกอันนี้ก็อันตราย
สำหรับคอลัมน์ตอบปัญหาทางเพศ ถ้ามองผลดีผลเสีย ผมว่ามันน่าจะดีมากกว่าเสีย เพราะเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ไม่ทราบจะไปถามใครที่ไหน ถ้าเราตอบเขาได้ในบางกรณีก็ดีไป แต่คนตอบต้องเข้าใจว่าตอบได้ในขอบเขตเท่าใด และคนตอบต้องไม่ได้มุ่งหวังในการ ขายเซ็กซ์ ถ้ามีจุดมุ่งหมายให้มันโป๊เข้าไว้ คนจะได้ซื้ออ่าน ก็ต้องชี้ให้เขาเห็น ในเรื่องเพศด้วย"
นักวิจัยท่านนี้มองว่า การเปลี่ยนแปลงทางสังคมมีส่วนทำให้พฤติกรรมของคน เปลี่ยนไปด้วย
ในยุค 10 ปีที่ผ่านมา เป็นยุคที่เรียกว่า ใครก็อยากจะเป็นเสือตัวที่ 5 ที่ 6 คิดว่าตัวเองรวย ทานข้าวต้องทานในคลับ ไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่มีสิ่งยั่วยวนมากระตุ้น ชีวิตทางเพศ ก็เปลี่ยนเกินความพอดี
ในยุคโลกาภิวัฒน์ผู้ใหญ่คิดช้าแต่เด็กรับมาเร็ว และเปลี่ยนเร็วกว่าผู้ใหญ่
เมื่อผู้ใหญ่รับไม่ได้ จึงทำให้เกิดปัญหาระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่มากขึ้น
"กรณีที่มีผู้ปกครองเด็กถามว่า ลูกสาวของตนเกิดพลาดพลั้งมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายแล้ว ควรจะทำอย่างไร อย่างนี้มันก็ขึ้นอยู่กับว่า คนที่เขามีเพศสัมพันธ์ด้วยเขาคิดยังไง เช่น ถ้าผู้ชายได้แล้วทิ้ง ผู้หญิงเสียใจมากคิดว่าเสียตัวให้ผู้ชายแล้ว ผู้ชายยังมาทิ้งอีก เลยคิดว่าตัวเองเป็นคนไม่ดี ความคิดนี้จะทำให้ตนเองไม่มีคุณค่า คนที่คิดแบบนี้ อีก 2-3 ปี อาจจะยุ่งกับผู้ชายคนใหม่ไปเรื่อย ๆ ซึ่งไม่ควรปฏิบัติเช่นนี้ ความจริงเราพลาดไป ครั้งเดียว เราต้องสู้ต่อไป ความผิดพลาดต่าง ๆ ก็ขอให้ถือเป็นบทเรียน
มันมีหลักของชีวิตอยู่บทหนึ่งว่า "ถ้าเราเสียควรจะเสียให้น้อยที่สุด" ผู้ปกครองเอง ก็ควรยอมรับในความผิดพลาดของลูกสาว ควรให้กำลังใจไม่ลงโทษ ไม่ซ้ำเติม ให้ความรักแก่ลูกเหมือนเดิม ลูกก็จะเป็นคนดีมีกำลังใจสู้ชีวิตต่อไป
ถ้าพ่อแม่ไม่คิดว่าเสียหายแค่นั้นก็ อาจจะเอะอะว่าลูกสาว ลงโทษลูกสาว แบบนี้พ่อแม่จะต้องเสียมากกว่านี้ เพราะลูกสาวอาจเสียผู้เสียคน กินยาตาย เรียนหนังสือตก ฯลฯ ยิ่งเป็นการเสียมากกว่าเดิม
คุณหมอสุพร แนะนำวิธีป้องกันปัญหาเพศสัมพันธ์วัยรุ่นว่า
"ปัจจัยสำคัญของปัญหาที่เราห้ามไม่ได้คือ "โลกาภิวัตน์" ซึ่งนำเอาสื่อต่าง ๆ เข้ามา มากมาย เราจะเอาลูกเข้ากรงขังไม่ได้ แต่เรามีวิธีป้องกันคือ สร้างภูมิคุ้มกันให้เด็ก คือ ให้ความรู้แก่เด็ก ในเรื่องเพศศึกษา
จริง ๆ แล้วคนที่จะต้องทนต่อความต้องการของตัวเองในสิ่งที่อาจจะไม่สมคว รอะไรต่าง ๆ นั้น มันขึ้นกับการเลี้ยงดูด้วย เด็กที่ได้รับความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่ เด็กพวกนี้ จะมีความเชื่อมั่นในตนเอง รู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง จะมีสติยับยั้งชั่งใจกว่า เด็กที่ขาดความรักความอบอุ่น ซึ่งเด็กกลุ่มหลังนี้จะอดทนต่อสิ่งเย้ายวนต่าง ๆ ได้ไม่ดี"
ครูและครอบครัว ควรจะเข้ามามีบทบาทในการให้ความรู้เรื่องเพศสัมพันธ์ โดยสอนกันตั้งแต่เด็ก ๆ เลยทีเดียว
"เราไม่ควรทำให้เด็กรู้สึกว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องไม่ดี เช่น เวลาที่เด็กเอามือจับอวัยวะเพศ พ่อแม่ก็ไม่ควรดุหรือตีเขา ให้เด็กโตขึ้นมาอีกนิด พอเข้าโรงเรียนอนุบาล เราก็สอนเขาได้แล้ว โดยสอนให้รู้ว่าสิ่งมีชีวิตมีการสัมพันธ์มาอย่างไร หรือเขาอาจจะเรียนรู้จากนิทาน เช่น เรื่องที่เกี่ยวกับพ่อแม่ หมา หมู แมว กบ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้มีลูก เด็กก็จะเรียนรู้ ในเรื่อง การกำเนิดการสัมพันธ์แล้ว ก็จะเรียนรู้มากขึ้นเรื่อย ๆ
การเรียนเรื่องเพศศึกษาจากชีวิตจริงที่ดีที่สุดของเด็กก็คือ อธิบายให้เขาฟัง ถึงการออกลูกของแมว หมา ในบ้าน บอกเขาว่าลูกมันออกมาทางนั้นอะไรแบบนี้ เป็นต้น พอเด็กใกล้จะโตเป็นหนุ่มเป็นสาวเด็กจะเข้าใจเรื่องเพศได้รวดเร็วขึ้น เพราะเขาค่อย ๆ เรียนรู้มาก่อน ทำให้ไม่ช็อกกับความรู้ใหม่ ๆ ในเรื่องเพศสัมพันธ์ ซึ่งพ่อแม่และครู มีส่วนในการช่วยสอนเรื่องนี้ให้ลูก
ผมไม่สบายใจเรื่องครู เช่น ครูอนุบาล ประถม เพราะส่วนใหญ่ไม่ต้องเรียนอะไรมา ก็เป็นครูได้เงินเดือนถูกๆ แค่สอนเด็กอ่านหนังสือได้เท่านั้น หรือ ผมคิดว่าครูอนุบาล ประถมนี้ต้องเป็นคนมีความรู้มีจิตวิทยา ต้องปูพื้นฐานให้เด็กรู้จักการใช้ชีวิต รู้จักผิดถูก รู้จักสังคม รู้จักแก้ปัญหา ถ้าเด็กได้รับการเตรียมตัวดีในระยะ 6 ขวบแรก ซึ่งเป็นช่วงที่จำอะไรได้รวดเร็วก็จะเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้เร็ว
ครูและครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญ ผมค่อนข้างให้ความหวังกับครูมาก เพราะพ่อแม่ ไม่ค่อยมีเวลาให้กับลูก ใจจริงผมอยากให้แม่ได้เลี้ยงลูกแต่คงเป็นไปไม่ได้ เพราะถ้าทำอย่างนั้นรายได้คงไม่พอใช้จ่ายในครอบครัว"
ในสภาพเศรษฐกิจเช่นนี้ อย่าว่าแต่เวลาที่จะมานั่งสอนเรื่องเพศศึกษาให้ลูกเลย เวลาที่พ่อกับแม่จะมาเจอหน้ากันสักครั้ง ยังหายากเย็น เพราะแม่ก็ทำโอที พ่อก็ต้องหารายได้พิเศษ คุณภาพเยาวชนไทยคงต้องฝากไว้กับปลายไม้เรียว ของคุณครูกระมัง