สกู๊ปหน้า 1 ไทยรัฐ
เมื่อวาน "สกู๊ปหน้า 1" ได้ลำดับเรื่องราวยาเสพย์ติดยอดฮิตของคนไทยยุคนี้ว่า มีที่มาที่ไปอย่างไร
เพื่อค้นหาคำตอบของปัญหาชวนสงสัยว่า..... ทำไมยิ่งปราบ ยาบ้ายิ่งเพิ่ม คนยิ่งเสพ
ทำไม.....คนค้ายาบ้าถึงกล้าเย้ยกฎหมายโทษประหารชีวิต
หรือว่า.....ที่ผ่านมาเราเดินหลงทาง ใช้นโยบายผิดพลาดมาตั้งแต่ต้น
และได้ลำดับเรื่องราวมาถึงเหตุการณ์รถแก๊สระเบิด ที่ถนนเพชรบุรี เมื่อปี 2533 ซึ่งบังเอิญมาเกิดประจวบเหมาะกับปรากฏการณ์อีก 2 ประการที่สนับสนุนให้ยาบ้าแพร่ระบาดมากขึ้น นั่นคือ
คนไทยเริ่มผลิตยาม้าเองเป็น
กับ นักการเมืองไทยฉวยโอกาส ที่กระแสสังคมกำลังเตลิดภัยยาบ้า เพราะเชื่อว่า คนขับรถแก๊สคันที่ระเบิดเมายาบ้า ทั้งที่ผลการผ่าพิสูจน์เพียงแค่เมาเหล้า ในสถานการณ์ที่กำลังเหมาะเช่นนี้ นักการเมืองไทยเลยผลักดันนโยบายให้มีการกวาดล้างการค้ายาบ้าครั้งใหญ่
ซึ่งปรากฏการณ์ครั้งนั้น ส่งผลให้ยาม้า (ชื่อที่เรียกกันในยุคนั้น) ค่อยๆ ดีดราคาขึ้นเป็นลำดับ....จาก 20 เป็น 30-60-80-100-120 และมาสูงสุด 150 บาท ในช่วงปี 2539
ผลจากการปราบปรามอย่างเป็นบ้าเป็นหลังปั่นให้ราคาสูงขึ้น ทำให้ภาพลักษณ์ยาม้าในสายตานักเรียนนักศึกษาเปลี่ยนไป จากยากระจอกราคาไม่กี่บาท กลายเป็นของดี เพราะมีราคาแพง ซึ่งสอดรับกับค่านิยมคนไทย ที่เชื่อกันว่า ของดีต้องแพง
เมื่อภาพลักษณ์ยาม้าเปลี่ยนไป จากเป็นยาเสพเพื่อแก้ง่วงนอนทำให้อ่านหนังสือดึก มาเป็นเสพตามแฟชั่นเพื่อความสนุก โก้เก๋ ยาม้าได้เริ่มแพร่ระบาดลุกลาม เข้าสู่สถาบันการศึกษาในช่วงปี 2537-2538
พร้อมกับมีการเปลี่ยนวิธีการเสพใหม่ จากกินมาเป็นสูบ.....เพื่อแบ่งเกรดคนเสพ คือกินม้าถือเป็นผู้ใช้แรงงาน แต่ถ้าสูบถือเป็นกลุ่มวัยรุ่นผู้มีการศึกษา
วิวัฒนาการของวงการค้ายาบ้า ในช่วงตั้งแต่เกิดเหตุการณ์รถแก๊สระเบิด ล่วงเลยมาถึงยุคเริ่มระบาดเข้าโรงเรียน มือปราบยาเสพย์ติดกล่าวยอมรับว่า เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วมากจนตั้งหลักแทบไม่ทัน
เนื่องจากการค้ายาบ้าได้กำไรมากมายมหาศาล แม้แต่กลุ่มพ่อค้าเฮโรอีนยังอดใจไม่ไหว ยอมเปลี่ยนอาชีพค้าผงขาวมาขายยาม้าแทน
เพราะยาม้า 1 เม็ด ต้นทุนผลิตอย่างแพง (เนื่องจากตั้งแต่ทางการกวดขันหนัก ราคาสารตั้งต้นแพงขึ้นไปเป็น 10 เท่า) อยู่ที่เม็ดละ 3 บาท แต่พอไปขายปลีกในราคาสูงถึง 120 บาท ได้กำไรถึง 40 เท่า
ขณะที่เฮโรอีนนั้นให้กำไรแค่เพียง 5 เท่า
การค้ายาม้าจึงแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว มีคนทุกวงการร่วมสมานสามัคคีค้ายาม้ากันอย่างแหลกลาญ มีทั้งตำรวจ ทหาร ไม่เว้นกระทั่งครู และตัวนักเรียน เพื่อหวังฟันเงินกำไรมากมายมหาศาล
ปรากฏการณ์ยิ่งปราบ ยาม้ายิ่งระบาด แถมระบาดเข้าโรงเรียน ในปี 2539 จึงมีการแก้กฎหมายเรื่องยาม้าอีกครั้ง แก้คราวนี้ยกระดับอัพเกรดยาม้า จากเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ขึ้นมาเป็นยาเสพย์ติดให้โทษประเภท 1 เทียบชั้นกับเฮโรอีน
และเพิ่มโทษรุนแรงถึงขั้นประหารชีวิต.....
แต่ก็ไม่อาจยับยั้งเครือข่ายที่ขยายออกไปทั่วประเทศได้
นอกจากนั้น ในขณะที่กระแสการรณรงค์ต่อต้านยาบ้า อย่างล้มเหลวกำลังเข้มข้น มีการวิเคราะห์กันว่า นักการเมืองไทยอีกนั่นแหละเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ยาม้าระบาดมากขึ้น
เพราะต้องการใช้กระแสสังคมดันตัวเองให้เป็นฮีโร่.....เปลี่ยนชื่อ "ยาม้า" เป็น "ยาบ้า"
แม้หลายคนจะเห็นด้วยกับเหตุผลที่ว่า เปลี่ยนชื่อ "ม้า".....มาเป็น "บ้า" ทำให้คนไม่กล้าเสพ เพราะกลัวว่าเสพแล้วจะบ้า
แต่ผู้เชี่ยวชาญกลับมองว่า ใช้คำว่า "บ้า" แทน "ม้า" ยิ่งกระตุ้นคนต้องการเสพมากขึ้น
เพราะอุปนิสัยของคนไทยเป็นที่ยอมรับกันดีว่า เราชอบแหกคอกกฎหมาย ได้ทำอะไรที่ผิดกฎหมายจะโก้เก๋ ยิ่งได้ทำอะไรบ้าๆถือว่าเท่ เป็นที่ยอมรับทั่วไป โดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่น
เรามักจะได้ยินคำพูดว่า.... "อยากบ้าโว้ย" บ่อยมากในสังคมไทย เมื่อเปลี่ยน "ม้า" เป็น "บ้า" อยากบ้าก็ต้องเสพยาบ้า จะได้บ้าอย่างสมใจนึก
ผิดกับคำว่า "ม้า" ที่คนไทยไม่ค่อยชอบกับคำนี้เท่าไร เพราะเห็นว่าม้าเป็นสัตว์ชั้นต่ำ คอยรับใช้ผู้คน ให้คนนั่งขี่ตลอดเวลา และเรามักจะเอาคำว่า "ม้า" ไปเปรียบเทียบเป็นคนรับใช้ คนไม่มีสมอง อย่าง ม้ารับใช้หรือเบ๊ เป็นต้น
แม้ปัญหา "ม้า" กับ "บ้า" ไม่อาจหาข้อยุติได้ว่า ใช้คำไหนถึงจะเหมาะกว่ากัน แบบเดียวกับปัญหาโลกแตกเรื่อง "ไก่" กับ "ไข่" อย่างไหนเกิดก่อนกัน
แต่จากสถิติผู้เข้าบำบัดรักษา ในสถานบำบัดรักษายาเสพย์ติดทั่วประเทศ ช่วงปี 2535-2540 พบว่า ตั้งแต่ปี 2538 เป็นต้นมา สถิติผู้ใช้เฮโรอีนมาบำบัดเริ่มลดลง
ส่วนสถิติผู้ติดยาบ้ามารักษาตัว เริ่มพุ่งขึ้นตั้งแต่ปี 2539 เป็นต้นมา
และเมื่อสำรวจลึกถึงสาเหตุทำไมถึงเสพยาบ้า....50 เปอร์เซ็นต์ ให้คำตอบ เป็นเพราะค่านิยม ความเชื่อเรื่องการใช้ยาเสพย์ติดเปลี่ยนไป อยากรู้ อยากลองว่า ยาบ้าเป็นอย่างไรกันแน่
37.25 เปอร์เซ็นต์ บอกว่า เป็นเพราะยาบ้าหาได้ง่ายมีแหล่งขายมากมาย
ทั้งหมดนี่ เป็นการลำดับภาพความเป็นมาการปราบปรามยาม้าหรือยาบ้า ที่ดำเนินมาถึงปัจจุบัน และนับแต่โฉมหน้าที่แท้จริงของ "เสี่ยบังรอน" สุรชัย เงินทองฟู ถูกกระชากให้สังคมรับรู้ ได้เกิดเป็นกระแสให้ฝ่ายการเมือง ได้ถือเป็นโอกาสทองเปิดยุทธการปราบปรามยาบ้ารอบใหม่
การปราบปรามจะได้ผลเพียงไร คงได้คำตอบแล้วว่า เป็นอย่างไร
จะเป็นการเดินหลงทางอีกรอบหรือไม่ และจะเป็นการปั่นราคาให้ยาบ้าระบาดหนักอีกรอบหรือเปล่า เป็นเรื่องที่ต้องจับตากันอีกรอบ
และภาพที่เราลำดับมาให้เห็นนี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวส่วนเดียวของยาบ้า..... ยังมีหน้าฉากอีกอย่างของยาบ้า ที่ไม่มีใครพูดความจริง เพราะกลัวกระแส และเป็นภาพที่จะสะท้อนให้เห็นว่า.... ทำไมเยาวชนถึงคลั่งไคล้ยาบ้า
เด็กไทยไม่ได้ติดยาบ้า แต่ติดอย่างอื่น??
main |