พ.ญ.ลำดวน นำศิริกุล
องค์การอนามัยโลก ได้กำหนดคำจำกัดความ โรคอุจจาระร่วง ว่า เป็นภาวะที่มีการถ่ายอุจจาระ ร่วงเป็นน้ำมากกว่า 3 ครั้งต่อวัน หรือถ่ายมูกหรือปนเลือด อย่างน้อย 1 ครั้ง ใน 24 ชั่วโมง
การถ่ายบ่อยครั้ง แต่ลักษณะอุจจาระปกติ หรือทารกแรกเกิด ในระยะถ่ายขี้เทา อุจจาระนิ่ม เหลว แม้ถ่ายบ่อยครั้ง ก็ยังไม่ถือว่าเป็นโรคอุจจาระร่วง
โรคอุจจาระร่วง เฉียบพลัน อาจเป็นหลายชั่วโมง หรือหลายวัน มักจะหายภายใน 7 วัน
ถ้าเป็นนานเกิน 2 สัปดาห์ เรียกว่า อุจจาระร่วงยืดเยื้อ
หากเป็นนานเกิน 3 สัปดาห์ เรียกว่า อุจจาระร่วงเรื้อรัง
นอกจากนี้ อุจจาระเรื้อรัง ยังเป็นคำที่ใช้สำหรับอุจจาระร่วง ที่มีสาเหตุจากโรคอื่น ๆ ที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ เช่น แพ้นม ต่อมไทรอยด์ทำงานมาก ต่อมหมวกไตทำงานน้อย เป็นต้น
สาเหตุของอุจจาระร่วงเฉียบพลัน ส่วนใหญ่เกิดจาการติดเชื้อ
ข้อมูลโดยเฉลี่ย
ความต้านทานฉพาะที่
เชื้อโรคที่ปนเปื้อนมากับอาหารและน้ำ เมื่อคนกลืนเข้าสู่กระเพาะจะถูกกรดทำลายลงก่อน ที่เชื้อจะผ่านลงไปถึงลำไส้เล็ก ถ้ามีกรดลดลงเชื้อจำนวนน้อย อาจก่อให้เกิดโรคได้ เนื่องจากกรดในกระเพาะต่ำเกินไป จนไม่พอทำลายเชื้อ ซึ่งเกิดในพวกที่สร้างกรดน้อย ได้สารพวกด่าง หรือดื่มน้ำมาก จนกรดในกระเพาะเจือจาง และทารกที่ขาดอาหาร จะมีกรดในกระเพาะน้อย ภาวะเช่นนี้ ถ้าได้รับเชื้อขนาดที่คนปกติไม่เกิดโรคก็เกิดโรคได้รุนแรง น้ำนมแม่ และ Intestinal Antibodies (ภูมิคุ้มกันในลำไส้) จะจับเชื้อ และป้องกันมิให้เชื้อ จับติดกับเยื่อบุผนังลำไส้ หรืออาจรบกวน การแบ่งตัวของเชื้อที่กลืนลงไป เชื้อปกติที่อยู่ในลำไส ้ก็มีส่วนช่วยป้องกันการติดเชื้อ โดยเชื้อที่อยู่ในลำไส้ตามปกติ จะไปแย่งอาหาร กับเชื้อ ที่อาจก่อพยาธิสภาพ ทำให้เชื้อที่อาจก่อพยาธิสภาพแบ่งตัวได้ไม่ดี
การบีบตัวของลำไส้ ถ้าเป็นกลไกธรรมชาติ ในการป้องกันโรค การที่ลำไส้บีบตัวเร่งรีดของเหลว ซึ่งมีเชื้อโรค และสารพิษออกจากร่างกาย จะเป็นเหมือนการชะล้างเชื้อออกจากกร่างกาย ทำให้เชื้อและสารพิษมีระยะเวลาสัมผัสกับเยื่อบุลำไส้ได้น้อยลง โอกาสที่จะก่อภยันอันตราย และก่อพยาธิสภาพมีน้อยกว่าในรายที่มีการบีบตัวของลำไส้น้อย
กลไกการก่อให้เกิดท้องร่วงเกิดจาก |
---|
|
อุจจาระลักษณะเป็นน้ำ เป็นผลของการดูดซึมเกลือแร่ และน้ำจากโพรงลำไส้ ตรงตำแหน่ง ลำไส้เล็กลดลง ร่วมกับมีการหลั่งเกลือและน้ำจากเซลล์ของเยื่อบุลำไส้ เกิดมีของเหลวเคลื่อนสู่ลำไส้ใหญ่ มากเกินความสามารถที่ลำไส้ใหญ่จะดูดซึมเกลือและน้ำได้
กลไกทำให้เกิดการเสียเกลือและน้ำไปทางอุจจาระได้แก่ |
---|
|
สารอื่น ๆ ก็มีฤทธิ์ทำให้เกิดภาวะหลั่งเกินได้มากขึ้น เช่น Prostaglandin bile Acid (กรดของน้ำดี) เป็นต้น
Rotavirus เป็นสาเหตุส่วนใหญ่ของอุจจาระร่วงในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ ตัว Rotavirus ทำลายเซลล์ ที่โตเต็มที่ ของเยื่อบุลำไส้ ซึ่งปกติเซลล์ที่เติบโตเต็มที่ของเยื่อบุลำไส้ จะทำหน้าที่ดูดซึมอาหาร แต่เนื่องจาก Rota Virus N ทำลายเซลล์ที่โตเต็มที่แล้ว เหลือแต่เซลล์อ่อน ซึ่งทำให้ย่อยแล็กโทส ในนมไม่ได้ เมื่อให้อาหารนมในระยะนี้จะเกิดอาการอุจจาระร่วงมากขึ้น เพราะร่างกายดูดซึม Lacose ในนมไม่ได้
เซลล์อ่อนเหล่านี้ นอกจากดูดซึมบกพร่องแล้ว ยังหลั่งของเหลวเข้าสู่โพรงลำไส้ด้วย
นอกจากนี้เชื้อ โรต้าไวรัส ยังทำให้เกิดภยันตรายต่อเยื่อบุลำไส้ด้วย เชื้อที่ทำลายลำไส้ ได้แก่ เชื้อบิดไม่มีตัว (Shigella) (Samonella) เชื้อที่ทำให้เกิดไข้ไทฟอยด์ เชื้อบิดมีตัว (Entamoeba Histolytica) เชื้อเหล่านี้ นอกจากจะทำให้การดูดซึมลดลง ยังทำให้มีภาวะหลั่งเกิน และการดูดซึมของลำไส้ใหญ่ลดลง แต่อาการเสียน้ำและเกลือไม่รุนแรง เพราะเกิดพยาธิสภาพ เป็นหย่อม ๆ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่มีอาการเป็นบิดจะเสียน้ำไปทางอุจจาระประมาณ 30 ซีซี ต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกก.ต่อวัน และถ้ามีเลือดปนอุจจาระออกมามาก ในรายที่เป็น รุนแรง ในผู้ใหญ่จะเสียโปรตีนประมาณเท่ากับ เสียพลาสมาในเลือด 500 ซีซีต่อวัน
ชนิดของท้องเสีย
ลักษณะอาการของอุจจาระร่วงแบ่งได้ดังนี้ |
---|
|
เพื่อประโยชน์ในการรักษาผู้ป่วย ผู้เชี่ยวชาญองค์การอนามัยโลก จึงแบ่งความรุนแรง ของภาวะขาดน้ำ ไว้ด้วยกัน 3 ระดับ คือ
1. ไม่มีอาการขาดน้ำ
2. มีอาการขาดน้ำบ้าง
3. มีอาการขาดน้ำรุนแรง
อาการ | ไม่ขาดน้ำ | ขาดน้ำบ้าง | ขาดน้ำรุนแรง |
---|---|---|---|
อาการทั่วไป | สบายดี | งอแง กระสับกระส่าย | ซึม ไม่ค่อยรู้สึกตัว |
กระหม่อม | แบน | บุ๋ม | บุ๋มมาก |
ตา | ปกติ | ตาลึก | ตาลึกมาก |
น้ำตา | ปกติ | ไม่ค่อยมีน้ำตา | ไม่มีน้ำตาเวลาร้องไห้ |
ปากและลิ้น | เปียกชื้น | แห้ง | แห้งมาก |
อาการกระหายน้ำ | ดื่มปกติไม่หิวน้ำ | กระหายน้ำตลอดเวลา | ดื่มน้ำได้น้อยหรือดื่มไม่ได้ |
จับดูผิวหนัง | จับตั้งจะคืนลงเร็ว | จับตั้งแล้ว คงอยู่นานเกิน 2 นาที | จับตั้งแล้วคงอยู่นาน |
การวินิจฉัยเบื้องต้น
ปกติแล้วในภาวะที่เป็นโรคอุจจาระร่วง ของเหลวในโพรงลำไส้มีโซเดียมอยู่แล้ว แต่ดูดซึมไม่ได้ เพราะความเข้มข้นของกลูโคสอยู่ระดับต่ำ (ประมาณเท่ากับน้ำตาลในเลือดคือ 100 มิลลิกรัม%) ความเข้มข้นของสารน้ำที่จะส่งเสริมให้มีการดูดซึมสูงสุด คือ มีโซเดียมใกล้เคียงกับพลาสมาในเลือด และมีน้ำตาลกลูโคส 2 กรัม% ผู้เชี่ยวชาญองค์การอนามัยโลกจึงแนะนำสูตรน้ำเกลือ ORS (ซื้อได้ตามร้านขายยา ทั่วไป)
ได้มีการนำ ORS มาใช้กันอย่างกว้างขวางกับโรคอุจจาระร่วงทุกสาเหตุตั้งแต่ปี พ.ศ.2523 เป็นต้นมา ก็พบว่าสามารถลดอัตราตายในเด็กต่ำกว่า 5 ขวบ ได้เป็นที่น่าพอใจ ต่อมาได้มีผู้พยายามพัฒนาสูตร ORS ผลที่สุดพบว่า ORS ที่ใส่แป้งแทนน้ำตาลกลูโคส (Rice - Base ORS ) ดีกว่า ซึ่งตรงกับการปฏิบัติการรักษาของไทยมาก แต่เก่าก่อนที่ใช้น้ำข้าวใส่เกลือป้อนเด็กเวลาเป็น โรคอุจจาระร่วง
หัวใจสำคัญของการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงคือ |
---|
1. ป้องกันมิให้ผู้ป่วยเกิดภาวะขาดน้ำ 2. รักษาแก้ไขภาวะขาดน้ำ (ถ้ามี ) 3. ให้อาหารรับประทานระหว่าง และหลังที่มีอุจจาระร่วง โดยให้อาหารที่เหมาะสม ในปริมาณน้อย ๆ และบ่อย เพื่อป้องกันภาวะขาดอาหาร |
การป้องกันภาวะขาดน้ำ
เมื่อผู้ป่วยถ่ายอุจจาระมีน้ำมากกว่าปกติ 2 ครั้งขึ้นไป ควรเริ่มต้นให้การรักษา โดยให้อาหารเหลว เพิ่มขึ้นเพื่อทดแทนเกลือและน้ำที่ถ่ายออกไปจากร่างกาย เพราะถ้าบ่อยให้ถ่ายหลายครั้งก่อนจึงรักษา หรือรอให้อาการขาดน้ำปรากฏ จะเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำเนื่องจากอาการขาดน้ำ ปรากฏช้ากว่า การขาดจริงมาก การให้อาหารเหลวตั้งแต่ระยะแรก กินอาหารครั้งละน้อย ๆ และบ่อยเพื่อให้ย่อย และดูดซึมได้ทันนั้น นับเป็นการรักษาเบื้องต้น พร้อมกับให้อาหารที่เคยได้รับอยู่ เช่นให้นมแม่ตามปกติ และนมผสมควรลดปริมาณลงครึ่งหนึ่งต่อมื้อ สลับกับของเหลว หรือถ้าเป็นทารกอายุต่ำกว่า 6 เดือน ให้นมผสมเจือจาง
อาหารเหลวที่ทำ หรือเตรียมขึ้นได้ที่บ้านนั้นมีมากมาย เช่น น้ำข้าว น้ำผสมน้ำตาลใส่เกลือ น้ำแกงจืด อาหารจำพวกแป้ง เผือกมันต่าง ๆ ซึ่งสามารถเตรียมรับประทาน ในขณะเกิดอาการอุจจาระได้ โดยยึดหลักที่ว่า ของเหลวนั้นควรมีน้ำตาลกลูโคสไม่เกินร้อยละ 2 และมีเกลือร้อยละ 0.3
ดังนั้นถ้าจะเตรียมทีละถ้วย หรือแก้วจะมีปริมาณเท่ากับ 8 ออนซ์ หรือ 240 ซีซี ให้เติมน้ำตาล และเกลือปริมาณดังนี้
พวกน้ำตาล | กลูโคส | = 1 ช้อนชา = แป้งช้อนตักแกงปาด = ข้าวเหนียว 1ปั้น = มัน หรือเผือก 1 ช้อนตักแกง พูน |
เกลือ | เกลือแกง | = 0.6 กรัม = ใช้ 2 นิ้วหยิบเกลือ 2 ครั้ง = น้ำปลาครึ่งช้อนชา |
ขนาดการใช้
เด็กอายุ 7 ปีขึ้นไป และผู้ใหญ่ดื่มมาก ๆ ต่างน้ำวันละ 2-3 ซอง เด็ก 1-6 ปี ดื่มให้หมดขวดในเวลา 6-8 ชั่วโมง และดื่มต่อไปจนกว่าอาการจะดีขึ้น
เด็กทารกให้ดื่มทีละน้อย สลับกับน้ำเปล่าให้หมดขวดภายใน 24 ชั่วโมง และดื่มต่อไป จนกว่าอาการจะดีขึ้น
สรรพคุณ
ทดแทนการเสียน้ำ ในรายที่มีอาการท้องร่วง หรือในรายที่อาเจียนมาก ๆ หรือเสียเหงื่อมาก ๆ ก็ได้
อย่าละลายผงน้ำตาลเกลือแร่ในน้ำร้อน เมื่อละลายเกิน 24 ชม. ยาจะบูดเสียไม่ควรใช้อีก
ปริมาณอาหารเหลว ที่ให้ในช่วงท้องเสียควรให้เท่ากับปริมาณอุจจาระที่ถ่ายออกมาแต่ละครั้ง ถ้าตวงไม่ได้ให้ใช้กะปริมาณทดแทนอุจจาระทุกครั้งที่ถ่ายเป็นน้ำมาก ๆ 1 ครั้ง ให้ของเหลวทดแทน โดยประมาณปริมาตรดังนี้
- เด็กอายุน้อยกว่า 2 ขวบ ให้ 50-100 ซีซี (1/4 หรือ ? ถ้วยหรือแก้ว)
- เด็กอายุเกิน 2 ขวบ ให้ 100-200 ซีซี (1/2-1 แก้วหรือถ้วย)
- ผู้ใหญ่ให้ 1-2 ถ้วยหรือแก้ว
การเฝ้าระวังการขาดน้ำ
เมื่อให้การรักษาเบื้องต้นแล้ว จะต้องเฝ้าสังเกต เด็กว่ากินได้ดีหรือไม่ถ้ากินได้ดี เล่นได้ ร่าเริง นอนหลับได้ไม่ต้องร้องกวน ถ่ายปัสสาวะออกดี ถ่ายอุจจาระบ้าง มีเนื้ออุจจาระมากขึ้น ถึงแม้ยังไม่หยุดถ่ายแต่ทั่ว ๆ ไปเด็กดีก็ให้การรักษาต่อไป ถ้าอุจจาระน้อยกว่า 6 ครั้งต่อวัน และข้นก็ให้เพิ่มอาหารให้อีกแต่ละครั้ง เช่น กินนมแค่ 3 ออนซ์/ครั้ง ก็เพิ่มเป็น 4 ออนซ์ และเข้าสู่ปริมาณปกติใน 2-3 วัน
อาการต่อไปนี้ถ้าเกิดขึ้น ต้องได้รับการตรวจรักษาโดยแพทย์
การรักษาหลัง 4 ชม.
เด็ก ให้ลดปริมาณอาหารที่เคยรัปบระทาน ลงประมาณครึ่งหนึ่ง แล้วเสริมด้วย ORS 100 ซีซี/กก./วัน เช่นเคยกินนมมื้อละ 6 ออนซ์ ให้กินเพียง 3 ออนซ์ เสริมด้วย ORS อีก 3 ออนซ์
ผู้ใหญ่และเด็กโต ให้อาหารเหลวพวกแป้ง และข้าว เป็นพวกข้าวต้ม โจ๊ก ถ้าถ่ายมากเสริมด้วย ORS ปริมาณเท่ากับอุจจาระที่ถ่ายออกแต่ละครั้ง
หัวใจของความสำเร็จในการรักษาอุจจาระร่วงด้วย ORS คือเริ่มให้การรักษาตั้งแต่ระยะแรก โดยใช้ช้อนป้อน หรือจิบ ORS (หรือน้ำเกลือแร่ผสมน้ำตาล ที่เตรียมเองตามสูตรที่ให้ไว้ข้างต้น) ครั้งละน้อยๆ และบ่อย ๆ กินนมแม่ น้ำข้าว ข้าวต้ม โจ๊กใส่เกลือ
การให้ยาปฏิชีวนะ ให้ใช้ในรายที่สงสัยหรือวินิจฉัยว่า
1. เป็นอหิวาต์เพื่อควบคุมการระบาด
2. พวกที่ติดเชื้อที่ทำให้เกิดการอักเสบของลำไส้ เช่น พวกบิด
พ.ญ.ลำดวน นำศิริกุล
main |