คุณหญิงเต็มสิริ บุณยสิงห์
พูดถึงเรื่องผมแล้วดูจะมีเรื่องให้พรรณาไม่แพ้อวัยวะอื่น ความจริงผมก็คือ "ขนที่ขึ้นอยู่บนศรีษะ" โดยปกติเป็นเส้นยาว บางทีก็ใช้คู่กับคำว่า "เผ้า" เป็น "ผมเผ้า" หรือ "เผ้าผม" มีชื่อจำแนกมากมาย เช่น
ขนหรือผมของมนุษย์นั้นจะบางหรือน้อยกว่าสัตว์มีเพื่อปกป้องศีรษะ และป้องกันมิให้ ผุ่นละอองเข้าตา ไม่ได้ช่วยให้ความอบอุ่นเช่นสัตว์ มีหน้าที่แสดงความแตกต่างของเพศ ขึ้นอยู่กับอายุและเชื้อชาติ เชื้อชาติมองโกล และอเมริกัน อีนเดียน จะมีเส้นผมหนา แล้วยังเชื่อกันว่าคนผมสีบรอนด์นั้น ไม่จำเป็นจะต้องมีผมเส้นเล็ก และความหนาของผม หรือความหัวล้านของชาย
ทรงผมก็จะทำไม่เหมือนกัน นอกจากจะมีทรงผมเฉพาะชายแล้ว ทรงผมของหญิงแต่ละชาติจะไม่เหมือนกัน และมีแบบผมเฉพาะกลุ่มมากมาย เช่นในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ของฝรั่งเศส พระเศียรล้าน ทำให้เกิดแฟชั่นการใช้วิก พอมาถึงสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 พระสรีระเตี้ย จึงมีแฟชั่นใช้วิกสูง หลังปฏิวัติฝรั่งเศส ผู้ชายตัดผมสั้นแต่มีผลทำเป็นหลอดละไว้บนต้นคอ ต่อมาทางฝ่ายชายตัดสั้น และฝ่ายหญิงเปลี่ยนทรงผมไปตามสมัยนิยม และใช้วิกทั้งหญิงและชายเปลี่ยนไป ตามแฟชั่นมาถึง ค.ศ.1810 การใช้วิกจึงเป็นราชการ เช่นเสมือนตรา ผู้พิพากษา คนขับรถของเจ้านาย และข้าราชการชั้นสูงจะสวมวิกตามที่มีกฎเกณฑ์กำหนดไว้
- ทางจีน ชายต้องไว้เปีย ทิ้งยาวหรือพันรอบศีรษะ
- ทางประเทศญี่ปุ่น ผู้หญิงถักเปีย และยาวถึงกลางหลัง
- ส่วนถิ่นต่าง ๆ ก็มีทรงผมและเครื่องแต่งกายผิดแผกกันออกไป เพื่อแสดงเผ่าพันธุ์และกลุ่ม
การแต่งหน้าของผู้หญิงจะมีวิธีคล้าย ๆ กัน ที่แตกต่างกันออกไปชัดแจ้งก็เรื่องผมนี่แหละ
ปัจจุบันนี้การสื่อสารติดต่อถึงกันทั่วโลก แฟชั่นจึงขยายวงกว้าง รวมมาถึงประเทศไทยด้วย ทรงผมของผู้ชายไม่ค่อยจะน่าสนใจเท่าทรงผมของผู้หญิง เกิดทรงผมตามแฟชั่นสากล เครื่องแต่งตัวก็เช่นเดียวกันเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว คนกลุ่มไหนคิดเก่ง และริเริ่มสูง ก็จะหาประโยชน์จากแฟชั่น กลุ่มไหนไม่ชอบคิดความริเริ่มต่ำก็จะได้แต่คอยตามอย่างเขา การแต่งกายทั้งของชายและหญิงในบ้านเราจึงเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างจะรวดเร็ว ผู้คิดและมีความคิดริเริ่มในวงการแฟชั่นนั้น จะเก่งในเรื่องคิดแฟชั่นใหม่ ที่จะเอาของเก่ามาใช้หรือดัดแปลงเกือบจะไม่ได้เลย
ยังจำได้ว่าคราวหนึ่งมีบริษัทใหญ่บริษัทหนึ่งเชิญไปให้เป็นประธานแจกรางวัล พนักงานฝ่ายหญิงที่มีผลงานดีเด่นจำนวนประมาณ 100 คน งานก็แน่ละจะจัดกันในโรงแรมที่สะดวกและชำนาญการจัดงานมากกว่า เจ้าหน้าที่และผู้ได้รับรางวัลแต่งตัวสวยมาก และเจ้าหน้าที่ร้อยกว่าคนเศษ แต่งชุดสักหลาดอ่อนสีม่วงออกเทานิด ๆ
พองานจะเริ่มสังเกตเห็นว่า เจ้าหน้าที่สาว ๆ ก็แต่งตัวสวยดี แต่น่าสังเกตที่การแต่งตัว ของผู้ที่จะต้องอยู่บนเวที ต่างนุ่งกระโปรงสูงมาก ตัดกระชับสะโพก เพื่อให้เคลื่อนไหวสะดวกจึงมีการผ่าข้างหลัง
เห็นแล้วใจไม่สบายเลย เพราะเวลาเดินจะแลเห็นได้ชัดจากรอยผ่าข้างหลังว่า "ลิงสีอะไร" คริสเตียนดิออร์ เคยบอกหลักการนุ่งกระโปรงสั้นสูงไว้ว่า "จะผ่าหลังผ่าหน้าก็ได้ ขออย่างเดียว อย่าเห็นกางเกงลิง จะดูเซ็กซี่ แต่ไม่สุภาพเป็นอย่างยิ่ง
ยังจำได้ว่าเมื่อ 3-4 ปีมาแล้วเห็นจะได้ ไปส่งหลานเดินทางไปเรียนต่างประเทศที่ดอนเมือง ขากลับผ่านเชิงสะพานที่จะเลี้ยวไปออกอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ตอนที่สะพานจะลาดลงสู่ถนนนั้น มีคนไปอาศัยกินนอนอยู่ใต้สะพานหลายครอบครัว ทางการจึงสร้างกำแพงเตี้ย ๆ ปิด เพื่อไม่ให้คนเข้าอาศัย กำแพงที่ปิดนั้นยื่นออกมา จากขอบสะพานประมาณ 2 คืบ เห็นหญิงสาวคนหนึ่ง อายุต้องไม่ถึงยี่สิบแน่ เดินบนขอบกำแพง ที่ยื่นออกมาอย่างน่าเสี้ยวไส้ เห็นได้ชัดว่าอยากให้คนที่ผ่านไปมาเห็น ผู้เสี่ยงนั้นรูปร่างท้วม นุ่งกระโปรงสูงจากเข่าสักครึ่งคืบ คนที่ผ่านไปมา หันมามอง เป็นตาเดียวกัน ใครจะคิดอย่างไรก็ไม่ทราบ ครูผู้หญิงอายุมากอย่างตัวเองเริ่มไม่แน่ใจว่า "ที่เห็นนี่ ขาหมูหรือขาคนหนอ" ดูไม่ฉลาดเลย หากขาสวย ๆ ก็ "ยังพอไหว แต่หากเป็น ขาหมูลายก็ไม่เอาไหนเลย"
หากขาสวยก็อนุญาตผ่านได้ แต่ก็ดู "อายไม่เป็น" อยู่ดี เสน่ห์ของสาวไทยนั้นขึ้นอยู่กับ อายเป็นและถูกจังหวะมากอยู่เหมือนกัน
เมื่อพูดถึงผมแล้ว ขอกล่าวถึงมารยาทไทยสักหน่อยเถิด ใครจะว่าหัวโบราณก็ช่าง มารยาทไทยนั้นมีหัวเป็นส่วนสำคัญจะไหว้ใคร ท่านมีเกียรติสูงก็ควรจะก้มหัวต่ำ เดินผ่านผู้หลักผู้ใหญ่ก็ต้องรู้จักก้มตัว หากผ่านผู้ที่นั่งกับพื้นก็ต้องไม่กรายหัวเขา โรงเรียนสตรีสมัยก่อนมีบัญญัติไว้ในหลักสูตร เดี๋ยวนี้คงจะไม่มีละมัง พวกเราจึงพากันลืมมารยาทอันเป็นวัฒนธรรมไทยข้อนี้ ใครก็คงช่วยไม่ได้ นอกจากสมาคมครูและผู้ปกครอง ประชุมผู้ปกครองขอความช่วยร่วมมือเรื่องต่าง ๆ เสร็จแล้ว ขอให้ทางโรงเรียนแจ้งเรื่องนี้กับผู้ปกครองด้วย เวลาเด็กทำอะไรไม่ถูกต้อง ผู้ปกครองมักจะถามว่า "ครูเธอเขาไม่สอนดอกหรือ" พอไปโรงเรียนครูมักจะถามเด็กว่า "คุณพ่อคุณแม่เธอไม่สอนเรื่องนี้ดอกหรือ"
เกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมาอย่างนี้ ห้ามผู้ใหญ่รังแกเด็กโดยเด็ดขาด มีกฎข้อหนึ่งที่นักการศึกษาทั่วโลกเขาถือมากก็คือ "การปลูกฝังเยาวชนเรื่องบูชาคนเด่น" โปรดสังเกตดูสื่อมวลชนในสังคมไทยเราเถิด เด็กจะต้องตัดสินใจเองว่าจะเอาอย่างใคร เมื่อผู้ใหญ่ไม่สนใจ เขาจะเลือกนับถือนักแสดง ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร แต่ถ้าจะสังเกตดูให้ดีจะเห็นว่าสังคมเรานั้น น่าสงสารนักแสดงที่สุด เพราะเราปลดเกษียณนักแสดงเร็วเหลือเกิน มีกี่คนเทียวที่จะตั้งหลักได้จากการแสดง ซึ่งก็มีแต่น้อยเสียจริง ๆ
ครั้งหนึ่งเมื่อ 3-4 ปี แล้วเห็นจะได้ มีนักเรียนนายร้อยทุนหลวงคนหนึ่ง ไปเรียนที่ โรงเรียนนายร้อยชั้นนำของอเมริกา แล้วไปทำชื่อเสียงคะแนนสอบปีสุดท้ายสูงมาก ทางฝรั่งฮือฮาออกข่าวทางสื่อมวลชน จำได้ว่ามีหนังสือพิมพ์ไทยเอาภาพไปลง หน้ารองสุดท้าย ข่าวสังคมสั้น ๆ และเขียนบอกไว้สั้น ๆ ภาพที่ประกอบเล็กนิดเดียว จนดูหน้าไม่ชัด เมื่อไหร่หนอเราจะมีเกณฑ์บูชาคนเด่นที่เหมาะสม เพื่อหาแบบอย่างให้เยาวชน ไม่ใช่ภาพหน้า 1 นั้นมีสาวนุ่งน้อยห่มน้อยอยู่มุมขวาของหน้า
พูดถึงเรื่องนี้แล้วรู้สึกวังเวงจริง ๆ สงสารเยาวชนขาดแคลนคนที่เขาจะเอาอย่าง ไม่ใช่จะหายากในสังคมไทย อาจเป็นเพราะว่านำมาลงแล้ว หนังสือพิมพ์จะขายไม่ได้ คนเก่งจึงค่อนข้างจะ "ฝ่อ" อย่างที่เห็น อยู่ทุกวันนี้
ไม่ใช่เรียนเก่งเรื่องเดียว เพราะคนเรียนเก่งใช่ว่าจะดีไปเสียทุกคน เมื่อหลายสิบปีก่อนเวลาประกาศผลการสอบมัธยม 8 หรือ มศ. 6 เช่นปัจจุบัน ต้องสอบข้อสอบของกระทรวงศึกษาธิการ สื่อมวลชนมักจะนำนักเรียนคะแนนสูง มาประกาศให้ มีผู้เก็บสถิติเรื่องนี้อยู่หลายคน แต่ก็แปลกอีก เวลาล่วงไป 10 ปี 20 ปี พวกนี้ก็เงียบหายเลย บางคนเรียนเก่งก็ไม่สู้จะมีน้ำใจ ไม่ร่วมกิจกรรมของโรงเรียน ที่เอื้อเรื่อง "หาเพื่อน" และ "การปรับตัว" หากเก่งด้วยสังคมดีด้วย แล้วความสำเร็จในชีวิต จะหนีไปไหนเสีย
เราจะมาพากัน "บูชาคนเด่น" อย่างถูกต้องเสียเดี๋ยวนี้จะได้ไหม เยาวชนจะได้มีแบบอย่าง เพื่อดำเนินชีวิตของเขาอย่างถูกต้องตลอดไป แล้วถามกันเองว่า "เราปล่อยปละละเลยเยาวชนมากไปหรือเปล่า"
คุณหญิงเต็มสิริ บุณยสิงห์
main |