วีรพงศ์ ตระการวนิช
ผิวหนังปราการด่านสำคัญ
ซึ่งเปรียบเสมือนทัพหน้าในการป้องกันการติดเชื้อ
และป้องกันการสูญเสียน้ำในร่างกาย เมื่อร่างกายสูญเสียผิวหนังไป
ไม่ว่าจะจาการหกล้ม ของมีคมบาด หรือน้ำร้อนลวก
ถ้าการถูกทำลายนั้นไม่เกินชั้นหนังแท้ลงไป ร่างกายก็จะมีกระบวนการซ่อมแซมสร้างผิวหนังขึ้นมาใหม่ได้ แต่ถ้าการถูกทำลายนั้นลึกเกินชั้นหนังแท้ลงไป
ผิวหนังจะไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองขึ้นมาใหม่
คราวนี้ก็เป็นหน้าที่ของศัลยแพทย์ล่ะครับ
ที่จะตัดผิวหนังจากส่วนอื่นตรงไหนก็ได้
ไม่ว่าจะเป็นแขน ท้องแขน ต้นขา หรือแม้แต่ผิวหนังของก้นก็ได้
มาปะผิวหนังที่ถูกทำลายไป วิธีนี้เรียกว่าการตัดต่อเนื้อเยื่อ (
Skin graft) แล้วรอวันให้ผิวหนังที่ถูกทำลายกับผิวหนังที่นำมาปะ
เชื่อมติดกันตามธรรมชาติ โดยมีข้อแม้นะครับว่า ผิวหนังที่ตัดมาปะนี้จะต้องตัดชั้นของหนังกำพร้าทั้งหมด
ลงไปจนถึงบางส่วนของชั้นหนังแท้ มันจึงจะช่วยให้ผิวหนัง
ส่วนที่ถูกทำลายงอกขึ้นมาได้
ทีนี้ถ้าเกิดในกรณีที่คนไข้ถูกไฟไหม้เกือบทั้งตัวล่ะครับ
จะทำอย่างไรดี ผิวหนังที่เหลือของคนไข้ก็น้อยนิด
ไม่พอที่จะนำมาตัดต่อกับผิวหนังส่วนที่ถูกไฟไหม้ได้
จะใช้ผิวหนังของผู้อื่น เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของคนไข้จำแนกได้ว่า
ไม่ใช่เนื้อเยื่อของตนเองก็จะพยายามทำลายไป เพราะฉะนั้นการรักษาที่เหมาะสมที่สุดในกรณีนี้คือ การทำให้ผิวหนังของผู้ป่วยเองมีปริมาณมากพอ
ที่จะนำมาแปะติดกับบาดแผลของผู้ป่วย ด้วยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อผิวหนัง
(Skin culture) ส่วนวิธีการเป็นอย่างไร ศ.คูนิฮิโกะ โยชิกาวา
จะเป็นผู้มาเล่าให้ฟังครับ
เนื้อเยื่อผิวหนังจะประกอบด้วยเซลล์ผิวหนังชั้นนอก
เรียกว่า เคอราติโนไซต์ (Keratinocyte) ซึ่งจะเชื่อมติดกัน
โดยสารพิเศษในแนวนอนเป็นผืนและแนวตั้งเป็นชั้น
เหมือนเรานำเศษผ้ามาเย็บติดกันเป็นผืน
และนำหลายๆ ผืนมาวางซ้อนเย็บติดกันเป็นชั้นๆ
การเพาะเลี้ยงผิวหนังทำได้โดยตอนแรกนำผิวหนังชั้นนอกขนาดเล็กๆ มาย่อยด้วยเอนไซม์พิเศษให้หลุดออกมาเป็นเซลล์ๆ
(คือ จะได้เป็นเศษผ้าเล็กๆ เทียบได้กับเซลล์แบ่งตัวเพิ่มจำนวนขึ้น) จากนั้นเติมสารที่มีฤทธิ์กระตุ้นให้เซลล์แบ่งตัวเพิ่มจำนวนขึ้น
ทำหลายๆ ครั้ง จนพบว่าผิวหนังมีขนาดแสตมป์ 1 ดวง จะโตใหญ่ขึ้นเป็นผืนคลุมได้ทั้งตัวคนเลยทีเดียว
ซึ่งเซลล์เหล่านี้ยังสามารถนำไปแช่งแข็ง และเก็บไว้ใช้ได้อีกด้วย
เมื่อต้องการใช้ ก็จะนำผืนเซลล์พวกนี้มาซ้อนกัน 5-6 ชั้น โดยอาศัยสารสังเคราะห์พิเศษยึดไว้ นำส่งไปให้แพทย์แปะติดกับบาดแผลผู้ป่วย
โรคผิวหนังแต่กำเนิดบางโรคที่ทำให้มีบาดแผลง่าย
หรือผู้ป่วยที่มีแผลเรื้อรัง กลับเป็นอีกบ่อยๆ จากการที่ขาดอาหาร
หรือมีโรคของหลอดเลือดทำให้ผิวหนังอ่อนแอ
ก็สามารถนำผิวหนังของผู้ป่วยเองมาเพาะเลี้ยง
เก็บไว้ใช้รักษาตัวเองได้ด้วย
นอกจากนี้ในผู้ป่วยที่โดนไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ก็อาจนำผิวหนังที่เพาะเลี้ยงของผู้อื่นที่เก็บไว้มาใช้ปะปิดแผลได้ แต่ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยจะทำลายเซลล์พวกนี้ใน 2-3 สัปดาห์ต่อมา ซึ่งกว่าจะถึงตอนนั้นผิวหนังของผู้ป่วยก็เจริญเติบโตมาปิดแผลได้เองแล้ว
และยิ่งถ้าแผลนั้นตื้น ผลการรักษาจะเร็วและดี
เหมือนใช้ผิวหนังของตัวผู้ป่วยเองเลยทีเดียว
ข้อจำกัดของเทคนิคนี้
ในขณะนี้วิธียังใช้กับบาดแผลทุกชนิดไม่ได้
กรรมวิธีปัจจุบันยังต้องใช้เวลา 3-4 สัปดาห์
กว่าจะได้ผิวหนังหนึ่งผืนซึ่งช้ามาก และยังมีความต้านทานการติดเชื้อไม่ดี ทำให้มีปัญหาในพวกแผลเรื้อรังและแผลที่ติดเชื้อ
และยังอยู่ในระหว่างรอการอนุญาตให้ใช้จากกระทรวงสาธารณสุข (ญี่ปุ่น) อยู่ อีกประการหนึ่งผิวหนังที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
จะเป็นเพียงหนังกำพร้าไม่ค่อยทนทานต่อแรงเสียดสี เพราะฉะนั้นในขั้นต่อไปจะพยายามทำให้เกิดชั้นผิวหนังระดับล่างลงไป
ที่เรียกว่า หนังแท้ (อยู่ใต้ เคอราติโนไซค์) ชั้นนี้จะมีเนื้อเยื่อพิเศษ
ที่มีความหนาแน่นสานกันเป็นตาข่ายอย่างมีระเบียบ เพิ่มความแข็งแรง เป็นฐานแข็งแรงแก่ผิวหนังชั้นนอก สารในชั้นนี้ส่วนใหญ่เรียกว่า
ใยคอลลาเจน สร้างมาจากเซลล์ไฟโบรบาสต์
แต่ยังต้องอาศัยเวลาอีกนานในการวิจัยค้นคว้าต่อไป
อย่างไรก็ตาม คาดว่าต่อไปเทคนิคนี้จะมีความสำคัญ
ในการรักษามากขึ้น นอกจากนี้ในด้านการวิจัย วิธีนี้ประหยัด ทั้งสามารถนำผิวหนังที่แก่เหี่ยวย่นหรือมีโรคมาศึกษาได้เพิ่มขึ้นด้วย
เป็นไปได้ว่าในอนาคต เราอาจใช้เทคนิคนี้เก็บผิวที่ยังเต่งตึงมาเลี้ยง
พอแก่ตัวลง ก็นำผิวคนที่เป็นโรคทางกรรมพันธุ์ออกมาเพาะเลี้ยง จากนั้นก็สอดใส่ยีนปกติลงแทนที่ยีนผู้ป่วย แล้วเอาไปปะให้ผู้ป่วย
เป็นการรักษาแบบหายถาวร
|