นพ.ชุมศักดิ์ พฤษาพงษ์
ความที่เป็นประเทศแถบเส้นศูนย์สูตร ทำให้เมืองไทยต้องสัมผัสแสงแดดแผดเผาในอัตราสูง ประชาชนไม่ค่อยอยากถูกแสงแดดถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ หรือคนที่จำเป็นต้องทำงานกลางแดด ก็จะพยายามสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ ที่ปกคลุมผิวหนังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายให้มากที่สุด แสดงว่า คนเราสามารถเรียนรู้จากธรรมชาติได้ไม่ช้าก็เร็ว
ผู้คนในประเทศอบอุ่นหรือเมืองหนาวจะคลั่งแสงแดดเป็นชีวิตจิตใจ เพราะพวกเขามีโอกาส ได้เห็นแสงแดด ในแต่ละปี เพียงไม่กี่วัน เกิดวัฒนธรรมการอาบแดดในฤดูร้อน เพื่อปิ้งให้ผิวหนังเป็นสีน้ำตาล ที่พวกเขาเรียกว่า สีแทน (TAN) และเรียกกระบวนการ อาบแดด ให้ผิวเป็นสีแทนว่า แทนนิ่ง (TANNING) ความน่ากลัวของแสงแดด นอกจากจะทำให้ผิวหนังไหม้ได้แล้ว ยังอาจก่อให้เกิดมะเร็งที่ผิวหนังได้ จึงเกิดการวิจัย หาทางช่วยคนที่อยากสัมผัสแสงแดด แต่ไม่อยากเป็นมะเร็งหรือผิวไหม้แดด
จนพบวิธีการ 2 แบบคือ
ซันสกรีน
ซึ่งเป็นการหาสารประกอบมาทาผิวหนังเพื่อช่วยดูดซึมรังสีส่วนที่เป็นอันตรายต่อผิวหนัง ไม่ให้ทะลุถึงชั้นผิวหนัง
ซันบล็อค
เป็นสารทาผิวแล้วทำให้แสงแดดสะท้อนกลับ แต่จะทาสารอะไรก็ตาม เราก็ยังจำเป็นต้องใช้วิธีเก่าแก่ เข้าร่วมด้วยช่วยกัน คือ สวมหมวกและเครื่องนุ่งห่ม
มีอะไรในแสงแดดที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือ?
คำตอบคือในแสงแดดมีรังสีสำคัญอยู่แถบหนึ่งเรียกว่า อัลตราไวโอเลต (ULTRAVIOLET หรือ UV) ซึ่งเป็นที่ทราบกันมานานแล้วว่า มันทำลายผิวหนัง และก่อให้เกิดมะเร็ง ในมนุษย์ได้ ปริมาณรังสี UV ที่จะสัมผัส ขึ้นกับปริมาณแสงแดด ระยะเวลาที่สัมผัส และขณะสัมผัสผิวหนังปกคลุมด้วยอะไรหรือเปล่า
UV ทำอะไรต่อร่างกาย
ผลของการสัมผัส UV โดยไม่มีอะไรปกปิดผิวหนังก็คือการเกิดผิวไหม้แดดหรือผิวเป็นสีแทน แต่ถ้าถูกแสงแดดนานก็จะเกิดการแก่ลงก่อนวัยของผิวหนังทำให้เหี่ยวย่น, สูญเสียความยืดหยุ่น, เป็นจุดดำเป็นจ้ำและที่รายแรงที่สุดคือ มะเร็งผิวหนัง
มะเร็งผิวหนังมีข้อดีตรงที่ว่า ถ้าวินิจฉัยได้เร็วและให้การบำบัดรักษาแต่เนิ่น ๆ จะหายขาดได้ ชนิดของมะเร็งผิวหนังที่ร้ายแรงที่สุดชื่อ เมลาโนมา (MALANOMA) ซึ่งเฉพาะปี 2541 นี้ จะพบราว 41,600 รายในสหรัฐอเมริกา และนับเป็นสาเหตุหลักของการตายจากมะเร็ง มะเร็งผิวหนังนี้มีที่มาจากแสงแดด และอุบัติการสูงขึ้น จาก 6 รายต่อประชากร 1 แสนคน เป็น 12 รายต่อประชากร 1 แสนคน
นอกจากมะเร็งผิวหนังแล้ว รังสี UV ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจกและโรคตาอื่น ๆ อีกบางอย่าง อีกทั้งยังกดภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ คนผิวคล้ำ แม้จะเป็นมะเร็งผิวหนัง น้อยกว่าคนผิวขาว แต่ก็จะมีปัญหาต้อกระจกและภูมิคุ้มกันได้มากกว่าถ้าถูกแสงแดดมาก ๆ
ดัชนี UV
เพื่อให้เกิดความเข้าใจในอันตรายของรังสี UV คณะกรรมการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม (EPA) และศูนย์อุตุนิยมแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาได้พัฒนาดัชนี UV ขึ้น โดยมีตัวเลขตั้งแต่ 0-10 เพื่อบ่งชี้ปริมาณรังสี UV ที่ผ่านลงมาถึงพื้นผิวโลกในช่วง 1 ชั่วโมงของเวลาเที่ยงวัน มีการพยากรณ์ดัชนีนี้ไปตามเมืองใหญ่ ๆ 58 เมือง โดยอาศัยข้อมูลท้องถิ่นประกอบการ พยากรณ์ ตัวเลขดัชนียิ่งสูงก็หมายความว่าโอกาสสัมผัส UV ยิ่งสูงตามไปด้วย
ดัชนี UV จะมีค่าถูกต้องเฉพาะในรัศมี 30 ไมล์ จากตัวเมือง ทั้งนี้ผลการพยากรณ์ จะแปรปรวนไปตามสภาพอากาศ เช่น เมฆหมอกเป็นต้น อย่างไรก็ตาม ดัชนีจะยังประโยชน์ ในการทำให้เกิดจิตสำนึกที่จะใช้มาตรการป้องกันแสงแดด โดยเฉพาะในช่วงที่ตัวเลข ดัชนีสูง
ความรุนแรงของแสงแดดต่างกันไปในแต่ละบุคคล
คำกล่าวทั่วไปคือแสงแดดทำให้ผิวหนังและตาเสียหายได้ แต่คนผิวขาวจะเสียหายง่ายกว่า คนผิวคล้ำ คนผิวคล้ำจะมีผิวสีแทนได้ง่ายกว่าคนอื่น ๆ ปรากฏการณ์สีแทน (TANNING) เกิดขึ้นจากรังสี UV ถูกผิวหนังดูดซึมเข้าไปแล้วมีจำนวนและกิจกรรมของเซลล์ เมลาโนไซท์ (MELANOCYTES) ภายในผิวหนังเพิ่มขึ้นเซลล์นี้จะช่วยผลิตเม็ดสีเมลานิน (MALANIN) เพื่อช่วยกั้นรังสีจากแสงแดดไม่ให้เข้ามาทำอันตรายต่อผิวหนัง
คนที่มีผิวจางจะไหม้แดดง่าย แสงแดดจะทำให้ผิวหนังแดง, เจ็บปวด, บวมและเกิดตุ่มน้ำ พองขึ้นมา อาการของการเกิดผิวไหม้แดดยังรวมถึงไข้, หนาวสั่น, คลื่นไส้อาเจียน และสติสับสน ดังนั้นหากประสบสภาพเช่นนี้ ขอให้นำตัวไปปรึกษาคุณหมอเสีย
เด็ก ๆ ควรหลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดเพราะมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนังได้สูงคนอื่น ๆ ก็ต้องระวังการถูกแสงแดด ถ้าหากว่า
|
เรื่องยานี้ขอให้ซักถามเภสัชกรที่ร้านขายยาหรือคุณหมอที่คลินิก หากสงสัยว่าอาจเป็น
อันตรายต่อท่านถ้าต้องออกไปอาบแดด
ข้อเท็จจริงประกอบมาตรการป้องกันมะเร็งผิวหนัง |
|
นพ.ชุมศักดิ์ พฤษาพงษ์
main |