ผศ.น.พ.พิสนธิ์ จงตระกูล
ความรู้เบื้องต้นที่ประชาชนควรทำความเข้าใจในเรื่องนี้มี 5 ประเด็น
1. ผู้ที่มีปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศต้องได้รับการวินิจฉัยโรค และการซักประวัติ ตรวจร่าง
กาย จากแพทย์ก่อนการใช้ยา ยานี้มีที่ใช้เฉพาะ ในผู้ชายเท่านั้น
2. ประสิทธิภาพของยาขึ้นกับสาเหตุของโรค ไม่ได้ผลในคนไข้ทุกราย ยานี้ไม่ช่วยให้มีพลัง
ทางเพศ เพิ่มสูงขึ้น แต่อย่างใด
3. ยานี้มีความเสี่ยงในการใช้ หากใช้ไม่ถูกวิธี บางกรณี เป็นอันตรายถึงชีวิต และยานี้ เพิ่งมีใช้ไม่
นาน อันตรายทั้งหมด ที่อาจเกิดขึ้น ยังไม่ทราบอย่างถ่องแท้ ไม่ควรผลีผลาม รีบใช้ยา
4. ยานี้มีราคาแพง และไม่จัดอยู่ ในรายการที่จะเบิกได้ จากราชการ หรือประกันสังคม หากมีการใช้
ยานี้อย่างไม่สมเหตุผล ใช้ยาเกินความจำเป็น อาจจะต้องแบกหนี้
5. วิธีการใช้ยา
1.) เหตุที่จำเป็นต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ก่อนการใช้ยา
ผู้ป่วยจำเป็นต้อง ได้รับการวินิจฉัยโรค จากแพทย์ ว่ามีปัญหาเกี่ยวกับ การแข็งตัวของอวัยวะ
เพศ จากสาเหตุใด เพื่อจะได้แก้ไขปัญหา ถูกจุด และเมื่อแพทย์จะจ่ายยานี้ ให้ผู้ป่วย ก็จะต้องได้รับ การซักประวัติ
และตรวจ ร่างกายโดยละเอียด เพื่อป้องกันอันตราย อันอาจจะเกิดจาก การใช้ยานี้โดยไม่ถูกวิธี
สาเหตุของอวัยวะเพศไม่แข็งตัวอาจเกิดจาก
ปัญหาด้านจิตใจ เช่น ความไม่มั่นใจใจตนเอง การมีอาการซึมเศร้า ความกังวล ปัญหาด้าน
ร่างกาย เช่น เป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจบางชนิด โรคความดันโลหิตสูง หรือได้รับอุบัติเหตุ ต่อไขสันหลัง
จนเป็นอัมพาต
ปัญหาผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด เช่น ยารักษาแผล ในกระเพาะอาหาร บางชนิด
ดังนั้น หากทราบสาเหตุ ก็อาจจะแก้ที่ต้นเหตุได้เลย โดยไม่ต้องใช้ยาไวอะกร้า เช่น หากสาเหตุเกิดจาก
ยาที่ใช้อยู่ ก็เพียงแต่เปลี่ยนยา หรือหยุดยา หากไม่จำเป็นต้องใช้ยาแล้ว ปัญหาก็จะหมดไป
หากปัญหาเกิดจาก อาการซึมเศร้า ก็ต้องแก้ปัญหาที่จุดนั้นด้วย มิฉะนั้นอาการซึมเศร้านั้น
อาจจะเลวร้ายลงจนถึงขั้นทำร้ายตนเอง
ปัญหาการไม่แข็งตัวของอวัยวะเพศอาจเป็นอาการแสดง ของโรคบางอย่าง ที่ซ่อนอยู่
โดยผู้ป่วยไม่ทราบมาก่อน เช่น อาการไม่แข็งตัว ของอวัยวะเพศ อาจเป็นผลเนื่องจาก ผู้ป่วยเป็นเบาหวาน
หรือโรคหัวใจ ดังนั้น การไปพบแพทย์ ก็จะได้รับการตรวจวินิจฉัย ให้ทราบว่า เป็นโรคอะไร อยู่หรือเปล่า
และจะได้ให้การ รักษาโรค ที่สำคัญเหล่านั้น แทนที่จะมุ่งแก้ปัญห าเฉพาะอาการไม่แข็งตัว ของอวัยวะเพศ
แพทย์ผู้ที่จะสามารถให้การตราจวินิจฉัย และร่วมกำหนด วิธีการรักษา ปัญหาการแข็งตัว
ของอวัยวะเพศ ประกอบด้วยแพทย์ ทางศัลยศาสตร์ ทางเดินปัสสาวะ จิตแพทย์ อายุรแพทย์ สาขาระบบประสาท
สาขาโรคหัวใจ เป็นต้น จะเป็นแพทย์ ในกลุ่มนี้ เท่านั้นที่สามารถสั่งใช้ยานี้ และจะต้องเป็นแพทย์ ที่ปฏิบัติงาน
ในสถานพยาบาล ที่มีเตียง รับไว้ค้างคืนเท่านั้น ( ไม่สามารถซื้อยาได้จากร้ายขายยาหรือคลินิก )
2.) ประสิทธิภาพของยา
ยาไวอะกร้าเป็นชื่อการค้า ของย ที่มีชื่อทางเคมีว่า ซิลเดนาฟิล ซิเตรด ยานี้ถูกดูดซึมได้จาก
ทางเดินอาหาร และออกฤทธิ์ เต็มที่ประมาณ 1 ชั่วโมง หลังการรับประทานยา ยานี้จะถูก ขจัดออกจากร่างกาย
ทำให้ปริมาณยา คงเหลือเพียง ครึ่งหนึ่งในร่างกาย ภายหลัง รับประทานยาไปนาน 4 ชั่วโมง
ระยะเวลาที่ยา ออกฤทธิ์ได้ โดยเฉลี่ยประมาณ 30 นาที
ยานี้ออกฤทธิ์โดยการช่วยให้คงสภาพ ให้หลอดเลือด ที่ขยายตัวในอวัยวะเพศชาย ( ที่มีปัญหา ของการ
แข็งตัวของอวัยวะเพศ ) ขยายตัวอยู่นาน
การขยายตัวช่องหลอดเลือดในอวัยวะเพศชาย มาจากการกระตุ้น ที่ผนังหลอดเลือด ด้วยสาร
เคมีชนิดหนึ่ง ที่ร่างกายสร้างขึ้นชื่อ ไซคลิกจีเอ็มพี ( C-GMP ) สารนี้จะถูกสร้างขึ้น เมื่อผู้ชายได้รับ
การกระตุ้นทางเพศ สารนี้เมื่อสร้างขึ้น และไปออกฤทธิ์ ขยายหลอดเลือดแดง แล้วจะต้องถูกทำลายลง
มิฉะนั้นการขยายตัวของหลอดเลือด จะคงอยู่อย่างนั้นตลอดไป ทำให้เกิดปัญห าการแข็งตัว ของอวัยวะเพศ
ที่ไม่ยอมคลายตัว ทำให้ผู้ป่วย เกิดความเจ็บปวดอย่างมากได้
สารที่ทำหน้าที่ ทำลายไซคลิกจีเอ็มพี จะถูกปล่อยตามหลังไซคลิกจีเอ็มพี ออกมาที่ผนัง ของหลอดเลือด
ที่อวัยวะเพศชาย สารนี้มีคุณสมบัติเป็นเอ็นไซม์ มีชื่อว่า ฟอสโฟไดเอสเตอเรส 5 ยาไวอะกร้าจะออกฤทธิ์
โดยการขัดขวาง การทำงานของเอนไซม์ ฟอสโฟไดเอสเตอเรส 5 ดังนั้น สารไซคลิกจีเอ็มพี จึงถูกทำลายน้อยลง
ทำให้หลอดเลือดขยายตัว อยู่ได้ต่อไป ในผู้ป่วยที่มีปัญหา การแข็งตัวของอวัยวะเพศ
ในผู้ชายปกติ ปริมาณของ สารไซคลิกจีเอ็มพี และอัตราการถูกทำลาย ด้วยเอนไซม์ ฟอสโฟไดเอสเตอเรส 5
เป็นไปอย่างสมดุล ทำให้การแข็งตัวเกิดขึ้นนานเพียงพอ สำหรับการร่วมเพศ ความสมดุลนี้เสียไป
ยาไวอะกร้าจึงเข้ามา มีบทบาท แก้ปัญหา การแข็งตัวของอวัยวะเพศ การใช้ยานี้ไม่ก่อให้เกิด ประโยชน์แต่อย่างใด
ไม่ทำให้อวัยวะเพศแข็งตัว ได้ดีขึ้นกว่าเดิม หรือนานขึ้น
ดังได้กล่าวแล้วว่า ยานี้จะออกฤทธิ์ก็ต่อเมื่อ มีการหลั่ง สารไซคลิกจีเอ็มพีแล้ว หมายความว่า
ต้องมีการกระตุ้นทางเพศ และผู้ป่วยต้องมีความต้องการทางเพศเกิดขึ้นด้วย ยานี้ จึงจะเข้ามาช่วย
คงสภาพการแข็งตัวในผู้ป่วยที่มีปัญหา ดังนั้นยานี้จะไม่ช่วย ปลุกอารมณ์ทางเพศ
ไม่ว่าจะใช้ยานี้กับผู้หญิงหรือผู้ชาย หรือทำให้พลังทางเพศเพิ่มสูงขึ้น
และไม่ช่วยให้ร่วมเพศได้นานขึ้น หรือบ่อยครั้งขึ้น ในคนที่มีปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศ
ข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของยานี้ ได้มาจากการศึกษา กับประชากรชาวอเมริกัน ซึ่งยังไม่มีข้อมูล
เกี่ยวกับประสิทธิภาพของยา ในคนเอเชีย ว่าจะได้ผลเป็นอย่างไร ในประชากรที่ศึกษา
พบว่ายาได้ผล ในการแก้ปัญหา การแข็งตัว ของอวัยวะเพศชาย ได้ประมาณร้อยละ 60
เมื่อใช้ยาในขนาด 25 มิลลิกรัม หมายความว่ ายานี้ไม่สามารถออกฤทธิ์ ได้กับคนทุกคน ที่มีปัญหาเกี่ยวกับ
การแข็งตัวของอวัยวะเพศ ที่สำคัญ ในกระบวนการศึกษาข้างต้น บริษัทผู้ผลิตยา ได้ทำการศึกษา
กับประชากรกลุ่มเปรียบเทียบด้วย โดยการให้กลุ่มเปรียบเทียบ ได้รับยาที่รูปร่าง สี ขนาด เหมือนกับ
ยาไวอะกร้าทุกประการ ต่างกันตรงที่ ยาเหล่านั้นเป็นยาหลอก (พลาซิโบ ) กล่าวคือ เป็นยาที่ประกอบด้วย
แป้งและน้ำตาล ไม่มีตัวยาสำคัญ ได้แก่ตัวยา ซิลเดนาฟิล ซิเตรด ผลปรากฎว่า ในกลุ่มที่ได้ยาหลอก
ก็ได้ผล ช่วยแก้ปัญหาการแข็งตัว ของอวัยวะเพศ ได้มากถึงร้อยละ 30
นั่นก็หมายความว่า ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อย ที่มีปัญหาเกี่ยวกับ การแข็งตัวของอวัยวะเพศนั้น
ไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่ต้องใช้ยาไวอะกร้า เพียงแต่ต้องการความมั่นใจ กลับคืนมา
การแข็งตัวของอวัยวะเพศ ก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิม ผู้ป่วยในกลุ่มยาหลอก ต่างเข้าใจว่า ตนเองได้รับยาวิเศษ
ที่จะช่วยให้การแข็งตัว กลับคืนมา เมื่อผู้ป่วย ที่ได้รับยาหลอก มีความเชื่อเช่นนั้น
เป็นประเด็น ที่ควรให้ความสนใจ เป็นพิเศษ และช่วยสนับสนุนว่า ผู้ที่มีปัญหา การแข็งตัว ของอวัยวะเพศ
ควรให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เป็นผู้วินิจฉัยหาสาเหตุ และหาวิธีการรักษา ที่เหมาะสมให้กับตน
ในกรณีข้างต้น หากผู้ป่วยสามารถมีการแข็งตัว ของอวัยวะเพศกลับคืนมาได้เอง โดยไม่จำเป็นต้อง
ใช้ยาไวอะกร้า ก็จะเห็นได้ชัดเจนว่า เป็นประโยชน์ต่อ ตัวผู้ป่วยเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่ต้องยุ่งยาก
ในการกินยา และเป็นกังวลเรื่องระยะเวล าการออกฤทธิ์ของยา ไม่ต้องเกิดผลข้างเคียง จากการใช้ยา
ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป และที่สำคัญ ประหยัดเงินตราต่างประเทศ ไปได้เป็นจำนวนมาก เพราะยานี้ จำหน่ายที่อเมริกา
ในราคาเม็ดละไม่ต่ำกว่า 400 บาท ราคาขายในประเทศไทย ยังไม่ได้ถูกกำหนด แต่คาดว่า
ราคาจะไม่แตกต่าง จากราคาขายที่อมเริกา
3.) ความเสี่ยงจากการใช้ยาไวอะกร้า
ยาทุกชนิดมีความเสี่ยงและมีอันตราย แม้แต่ยาสามัญเช่นยาพาราเซตามอล
ซึ่งอาจก่อให้พิษต่อตับ หากใช้ยาโดยปราศจากความรู้ ยาไวอะกร้ าออกฤทธิ์ โดยการขยายหลอดเลือด
และเห็นผลมากที่สุด ก็ที่อวัยวะเพศ ทั้งนี้เพราะ เอ็นไซม์ฟอสโฟไดเอสเตอเรส 5 พบได้มากสองที่ คือ
ที่ผนังหลอดเลือด ที่อวัยวะเพศชาย และที่ผนังหลอดเลือด บริเวณที่รับภาพ ภายในกระบอกตา (เรตินา) ของมนุษย์
อย่างไรก็ตาม เอ็นไซม์ฟอสโฟไดเอสเตอเรส ยังพบได้ที่อวัยวะอื่นๆ แทบทุกระบบในร่างกาย
แต่มีคุณสมบัติแตกต่างออกไป และมีชื่อเรียกต่างออกไป ชื่อเรียกก็มักใช้เป็นตัวเลข
เช่นฟอสโฟไดเอสเตอเรส 2 ฟอสโฟไดเอสเตอเรส 3 เป็นต้น
นั่นก็หมายความว่า ฤทธิ์ในการขยายหลอดเลือด ของยาไวอะกร้าก็มีผล ที่อวัยวะอื่น ๆ ด้วย
เช่น หลอดเลือดในสมอง หลอดเลือดที่หัวใจ และหลอดเลือดทั่ว ๆ ไปในร่างกาย
อาการข้างเคียงของยา อาการข้างเคียงที่ชัดเจนและพบบ่อยที่สุดก็คือ
อาการปวดศีรษะ ซึ่งพบได้ประมาณร้อยละ 17.3 - 22.2 ซึ่งอาจเกี่ยวเนื่อง กับการขยายหลอดเลือดในสมอง
อาการมองเห็นภาพพร่ามัว อาจเกี่ยวเนื่องกับการออกฤทธิ์ของยาที่เรตินา
อาการหน้าแดง อันเนื่องมาจากการขนขยายตัวของหลอดเลือดที่ใบหน้า
ผลข้างเคียงเหล่านี้อาจเกิดขึ้นต่อเนื่องนานถึง 4 ชั่วโมงได้ (ผลข้างเคียง อยู่ได้นานกว่าผลการออกฤทธิ์
ที่อวัยวะเพศชาย)
ก่อนที่สารไซคลิกจีเอ็มพีจะถูกหลั่งออกมา จะมีสารชื่อ ไนตริออกไซด์ หลั่งออกมาก่อน เมื่อเกิดการกระตุ้นทางเพศ มียาชนิดหนึ่ง ที่ใช้ขยายหลอดเลือดหัวใจ ในผู้ป่วยที่มีปัญหา หลอดเลือดหัวใจตีบ เป็นยาในกลุ่มไนเตรต ยาในกลุ่มนี้ ก็จะขยายหลอดเลือด ที่หัวใจเป็นสำคัญ แต่ก็จะขยายหลอดเลือดบริเวณอื่น ๆ ของร่างกายด้วย เพียงแต่ไม่มาก ( แต่ไม่ขยายหลอดเลือด ที่อวัยวะเพศชาย ) เมื่อหลอดเลือดในร่างกาย หลาย ๆ แห่งขยายตัวออก หัวใจจะต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อสูบฉีดโลหิต ให้ไหลเวียนไปตามหลอดเลือดต่าง ๆ ให้คงสภาพ ความดันโลหิตให้เท่าเดิม แต่เมื่อทำงานไปถึงจุดหนึ่ง หากหลอดเลือดยังขยายตัวอยู่ ความดันโลหิตก็เริ่มจะตกลง และหากตกลงมากเกินไป ก็จะเข้าสู่สภาวะช็อก ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ จึงห้ามใช้ยาไวอะกร้า ร่วมกับยาขยายหลอดเลือดหัวใจในกลุ่มไนเตรต
เพิ่งมีรายงานว่า มีชาวอเมริกันจำนวนหนึ่ง( 6คน ) เสียชีวิตจากการใช้ยานี้ ส่วนหนึ่ง เป็นผู้ป่วยที่ใช้ยาในเตรต
อยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การใช้ยาโดยปราศจากความรู้ หรือใช้ยาโดยประมาท
อาจเป็นอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตได้
นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่มีปัญหาโรคหัวใจ ก็เป็นที่ทราบๆกันดีว่า ไม่ควรออกกำลังกายหักโหม
การใช้ยาไวอะกร้าในผู้ป่วยเหล่านี้ จึงต้องได้รับความเห็นชอบ จากแพทย์ผู้รักษาโรคหัวใจเหล่านั้นก่อน
มิฉะนั้นอาจเกิดอันตรายเหมือนผู้ป่วยในกลุ่ม 6 คนที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งมีปัญหาโรคหัวใจอยู่ก่อน
และเสียชีวิตจากการใช้ยาไวอะกร้า
ผลข้างเคียงอื่น ๆ ที่มีรายงาน ประกอบด้วย อาหารไม่ย่อย คลื่นไส้ เวียนศีรษะ
ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ร่วมกับการเป็นหวัด หรือโรคติดเชื้อ ของระบบทางเดินหายใจ
ผู้ป่วยร้อยละ 67.3 จะเกิดผลข้างเคียง อย่างใดอย่างหนึ่ง จากการใช้ยานี้
ในขณะที่ผู้ป่วยที่ใช้ยาหลอกร้อยละ 42.7 จะรายงานการเกิดผลข้างเคียง
ข้อควรทราบก็คือ อันตรายจากยาหลายชนิด เป็นที่ทราบกัน ก็ต่อเมื่อีการใช้ยาไปแล้วระยะหนึ่ง
เช่น กว่าจะรู้ว่า ยาแก้แพ้ท้อง ที่ชื่อธาลิโดไมด์ ทำให้เด็กเกิดมาแขนขากุด ก็มีเด็กเกิดมาแขนขากุดไปแล้ว จำนวนมาก
หรือตัวอย่างเช่น ยาเฟน-เฟน ยาลดความอ้วน ที่เคยโด่งดังมาก่อนหน้านี้ ก็ต้องใช้ยาไปหลายเดือน
จึงพบว่ามีอันตรายต่อลิ้นหัวใจ จึงต้องงดใช้
ยาใหม่ ๆ ทุกชนิดจะมีอันตรายแฝงอยู่ในตัวเสมอ เพราะยังมีข้อมูลไม่มากพอ ที่จะบอกได้ว่า ผลข้างเคียง
หรืออันตรายที่เกิดขึ้น มีอะไรอีกบ้าง เช่น ผลข้างเคียงต่อเรตินา ว่าในระยะยาว
จะเกิดปัญหา ต่อการมองเห็นอย่างถาวร หรือไม่ ผลข้างเคียงต่ออวัยวะเพศเอง จากการใช้ยาไปนาน ๆ
จะเกิดปัญหาอะไรขึ้นหรือไม่ ดังนี้เป็นต้น
ดังนั้น หากไม่มีข้อบ่งชี้ที่ระบุว่า ควรต้องใช้ยา ก็ไม่ควรใช้ยา ไม่ว่ากรณีใด ๆ
หรือควรรอดู จนมีข้อมูลมากพอ ให้เกิดความสบายใจ ในการใช้ยามากขึ้น จึงเริ่มใช้ยาใหม่ทุกชนิด
4.) ยานี้มีราคาแพง
ยานี้ใช้ครั้งละ 1 เม็ด และบริษัทระบุว่าไม่ควรใช้เกินวันละ 1 เม็ด ตอนแรกที่บริษัทให้ข้อ
มูล เพื่อการขอขึ้นทะเบียน กับทางคณะกรรมการอาหารและย าของกระทรวงสาธารณสุข
บริษัทแจ้งว่า ยาคงมีราคาขายประมาณเม็ดละ 7 ดอลลาร์ แต่เมื่อนำมาจำหน่ายจริง
กลไกทางการตลาด ทำให้ยานี้มีราคาขาย ระหว่าง 10-12 ดอลลาร์ ซึ่งเทียบเป็นเงินไทย ได้ไม่ต่ำกว่าเม็ดละ
400 บาท
ปัจจุบันมีผู้ลักลอบนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย โดยจำหน่ายในราคาเม็ดละ ถึง 1800 บาท โดยที่ผู้ซื้อ
ไม่สามารถ ตรวจสอบได้ว่า ยานั้น เป้นยา ที่มีตัวยา ซิล เดนาฟิล ซิเตรต จริงหรือไม่
หรือเป็นเพียงการตอกเม็ดยา ให้มีรูปร่าง หน้าตา เหมือนกีบยาตัวจริง ( อย่าลืมว่า
การใช้ยาหลอก ที่มีแต่แป้ง และน้ำตาว ก็ได้ผล ถึง ร้อยละ 30 )
ประชาชนทั่วไป ต้องประเมินตนเองว่า มีความสามารถ ในการจ่ายค่ายา ที่มีราคาแพง ขนาดนี้ ได้หรือไม่
ในหนึ่งเดือน ต้องใช้ยากี่เม็ด และต้องใช้ยานี้ ไปนานเท่าใด หากท่านมีอายุไม่มาก เช่น 35 ปี
และติดว่าตนเอง มีปัญหาซึ่งต้องใช้ยาไวอะกร้าช่วย ท่านจะต้องใช้ยานี้ ไปอีกหลายวิบปี แต่ถ้าท่าน
เข้ารับการตรวจ รักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะหาสาเหตุ และวิธีการรักษา ที่เหมาะสม ให้กับท่าน
ท่านก็จะประหยัดเงินไปได้จำนวนมาก ที่สำคัญ หนี้สินของประเทศ ก้จะไม่เพิ่มขึ้น โดยไม่มีเหตุอันควร
ปัจจุบันเฉพาะที่ประเทศสหรัฐอเมริกา มีผู้ใช้ยานี้แล้วถึง 1 ล้านคน หลังจากยานี้วางตลาด
เพียง 2 เดือน หากมีคนไทยใช้ยาเพียง 1 แสนคน ใช้ยาคนละ 100 เม็ดต่อเดือน
ก็จะเสียค่าใช้จ่ายถึง 480 ล้านบาท ในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจปัจจุบัน เงินจำนวนนี้ ที่สูญเสียไป
จะส่งผลกระทบต่อประชาชน ทุกคนในประเทศ
หากประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ยานี้ให้สมเหตุผล การใช้ยานี้จะถูกควบคุม
ให้ใช้ในวงจำกัด คือใช้เฉพาะผู้ที่มีความจำเป็นจริง ๆ ภายใต้การวินิจฉัยของแพทย์
ความสูญเสียทางเศรษฐกิจ ที่เกิดขึ้นก็จะถูกควบคุมได้
5.) วิธีการใช้ยา
สำหรับผู้ที่มีความจำเป็นต้องใช้ยา ควรทราบรายละเอียดของการใช้ยาดังต่อไปนี้ กล่าว
คือ ยาดังกล่าวจำหน่ายใน 3 ขนาดยา ได้แก่ ขนาดเม็ดละ 25 , 50 และ 100 มิลลิกรัม
แพทย์จะสั่งให้ใช้ยาเริ่มต้น ในขนาด 50 มิลลิกรัม และทำการปรับลดลง หรือเพิ่มขนาดขึ้น
ตามความเหมาะสม หากใช้ยาในขนาดสูงเกินไป ผลข้างเคียงจะเพิ่มขึ้น หากใช้ยาในขนาดต่ำเกินไป จะไม่ได้ผล
การดูดซึมของยานี้ถูกรบกวนโดยอาหาร กล่าวคือ หากรับประทานยาพร้อมอาหาร ยาจะถูก
ดูดซึมน้อยลงร้อยละ 11 และถ้าหากอาหารมื้อนั้น มีไขมันสูง การดูดซึมจะลดลงได้มากถึงร้อยละ 29
และมีผลทำให้ระดับยาในกระแสเลือดขึ้นช้าไป 1 ชั่วโมง ดังนั้นจึงควรรับประทานยานี้ ในขณะท้องว่าง
ได้แก่ ก่อนอาหารประมาณ 30 นาที หรือหลังอาหารประมาณ 2 ชั่วโมง
ซึ่งในกรณี นี้ยาจะถูกดูดซึมไปใช้ประโยชน์ ได้เพียงร้อยละ 41 ของปริมาณยาทั้งหมด
ที่รับประทานเข้าไป
โดยทั่วไปยานี้ จะได้มีระดับยาสูงสุดในกระแสเลือด ภายหลังจากรับประทานยาไป นาน 30 นาที
ถึง 2 ชั่วโมง หรือโดยเฉลี่ยประมาณ 1 ชั่วโมง ดังนั้น จึงแนะนำ ให้รับประทานยานี้ ก่อนการมีเพศสัมพันธ์
ประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งสำหรับบางคน อาจออกฤทธิ์ได้ภายในครึ่งชั่วโมง
แต่สำหรับบางคน ต้องรอนานถึง 2 ชั่วโมง จึงจะได้ผล ยานี้จะไม่ออกฤทธิ์ หากผู้ใช้ย าไม่ได้รับการกระตุ้น ทางเพศ
ในเวลาอันเหมาะสม
ยานี้จะถูกขับถ่ายอออกจากร่างกายทางอุจจาระ ผู้ป่วยสูงอายุ ( อายุมากกว่า 65 ปี ) จะขจัด
ยา ได้น้อยกว่า ผู้ป่วยกลุ่มที่มีอายุน้อย ( 18-45 ปี ) ทำให้ได้ระดับยาในเลือดสูงขึ้น ในผู้ป่วยสูงอายุ
โดยได้ระดับยาสูงกว่าคนอายุน้อย ถึงร้อยละ 85 ดังนั้นในผู้ป่วยสูง อายุแพทย์จะเริ่มสั่งยา ในขนาดต่ำที่สุด
คือ 25 มิลลิกรัม
การใช้ยานี้ในขนาดสูง จะเกิดผลข้างเคียงได้บ่อยและรุนแรงกว่าการใช้ยาในขนาดต่ำ
หากมีการใช้ยาอย่างต่อเนื่อง ยาจะสะสมในร่างกาย ผลระยะยาวของการที่มียาสะสมในร่างกายนี้
ยังไม่เป็นที่ทราบกัน
ไม่ควรรับประทานยานี้เกินวันละ 1 ครั้ง หากรับประทานยาไปแล้ว 1 เม็ดไม่ได้ผล
ก็ไม่ควรรับประทานยาซ้ำเข้าไปอีก ควรลองใหม่ในวันรุ่งขึ้น
เมื่อรับประทานยาแล้วเกิดผลข้างเคียงอย่างใด ควรจดบันทึกไว้ว่ าเกิดอาการอย่างไร
เกิดขึ้น ภายหลังการรับประทาน ไปนานเท่าใด มีความรุนแรงของอาการในระดับใด
และเป็นอยู่นานเท่าใด แล้วแจ้งให้แพทย์ทราบ เมื่อไปพบแพทย์ในครั้งต่อไป
หรือว่ามีอาการข้างเคียงรุนแรงจนท่านต้องหยุดการใช้ยาเองโดยทันที ก็ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบ
การใช้ยาไวอะกร้าร่วมกับยาในกลุ่มไนเตรตจะเสริมฤทธิ์ในการลดความดันโลหิต
จึงห้ามใช้ยาไวอะกร้าร่วมกับยาในกลุ่มไนเตรต ซึ่งเป็นยา ที่ใช้ในการขยายหลอดเลือดหัวใจ
ของผู้ป่วยโรคหัวใจบางราย
การใช้ยารักษาแผลในกระเพาะอาหารบางชนิดเช่น ไซเมทธิดีน ร่วมด้วย จะทำให้ความเข้มข้น
ของไวอะกร้าในกระแสเลือดเพิ่มขึ้นร้อยละ 56 และยังไม่ทราบอันตรายของยานี้
ต่อผู้ป่วยที่เป็นแผลในกระเพาะอาหาร
หากท่านใช้ยาใด ๆ อยู่ หรือมีโรคประจำตัวใด ๆ อยู่ ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบ ก่อนการใช้ยานี้
หากท่านมีความผิดปกติทางกายวิภาคของอวัยวะเพศ เช่น อวัยวะเพศมีการคดงอ หรือเป็นโรคบางชนิด ที่มีแนวโน้ม จะก่อให้เกิดการแข็งตัว ของอวัยวะเพศ เป็นเวลานาน โดยไม่อ่อนตัวลง เช่นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเป็นต้น แพทย์อาจพิจารณางดเว้นการใช้ยานี้
ยังไม่ทราบผลระยะยาวต่อปริมาณ รูปร่าง และการเคลื่อนไหวของอสุจิ ดังนั้น ท่านที่มีปัญหา
การมีบุตรยาก จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อน
ยามีอายุในการเก็บรักษาเพียง 2 ปี จึงไม่ควรขอย ามาเก็บไว้คราวละมาก ๆ เพราะยาอาจหมดอายุ ก่อนที่จะใช้หมด และไม่ควรเก็บย าไว้ในที่ร้อนเกินกว่า 30 องศาเซลเซียส
ผศ.น.พ.พิสนธิ์ จงตระกูล
ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
main |