ณรงค์ นิติจันทร์
ก่อนอื่นผมต้องขอคารวะและขอขอบคุณเจ้าของสิ่งพิมพ์ฉบับนี้ที่ให้หน้ากระดาษ ให้เนื้อที่แก่ผมเกี่ยวกับการบ้านการเมือง ไม่ได้เขียนแต่เฉพาะ เรื่องคดีความ กฎหมงกฎหมายอย่างเดียว
อันที่จริงผมก็เห็นว่าเป็นเรื่องหนักที่ใส่หมวกเช่นกัน ไม่จำเป็นไม่อยากเขียนหรอก แต่พ่อแม่พี่น้องที่เคารพรักทั้งหลาย ถึงนาทีนี้ท่านคงรู้คงเห็นแล้วว่า
"บ้านเมืองกำลังฉิบหาย คนไทยตกระกำลำบากกันอยู่ทุกวันนี้ สาเหตุใหญ่มาจาการบริหารบ้านเมืองของนักการเมือง มาจากการทำธุรกิจแบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา ของโจรเสื้อนอกทั้งหลาย"
"นอกจากนั้นยังมีสิ่งอุบาทว์อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งมีมาช้านานและยังคงอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ ทำให้พวกเราตกระกำลำบากเดือดร้อนกันทั่วหน้า คือการร่วมกันของข้าราชการ นักการเมือง และพ่อค้ากังฉิน คอรัปชั่นโกงกินเงินหลวงซึ่งเป็นภาษีอากร เป็นหยาดเหงื่อของประชาชน โดยไม่มีวี่แววว่าจะลดทอนลง นับวันมีแต่จะกำเริบเสิบสานมากยิ่งขึ้น"
เมื่อเป็นอย่างงี้แล้ว ท่านผู้อ่านที่เคารพและผู้เขียน ตลอดจนเจ้าของสิงพิมพ์ จะนิ่งดูดาย กระนั้นหรือ จะไม่ยอมรับรู้รับเห็น ไม่ร่วมไม้ร่วมมือกันคิดอ่าน หาทางแก้ไข เพื่อสนองคุณแผ่นดินบ้างเลยกระนั้นหรือ
ที่แน่ ๆ คือสำนำพิมพ์แห่งนี้ เจ้าของหนังสือเล่นนี้เปิดโอกาสให้แก่พวกเราพอสมควร ผมจึงต้องขอขอบคุณเป็นการเบื้องต้นฉะนี้แล
ครับ สิ่งที่ผมรู้สึกสะท้อนใจและเสียใจอย่างยิ่งคือ พวกเราคาดหวังว่า รัฐบาลที่กำลังบริหารบ้านเมืองอยู่ทุกวันนี้ คงจะมีความซื่อสัตย์ สุจริต มากกว่ารัฐบาลอื่น ๆ แต่แล้วเมื่อไม่กี่วันมานี้ ได้มีการแฉโพยออกมา และมีพยานหลักฐานมัดตัว จนเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า มีกระบวนการโกงกินงบประมาณที่อยู่ในมือ ของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อนำมาซื้อยา และเวชภัณฑ์สำหรับโรงพยาบาลทั่วประเทศ เป็นเม็ดเงินของประชาชน ประมาณพันสี่ร้อยล้านบาท ไม่น้อยเลย
การโกงกินทำกันอย่างเปิดเผย หรือที่ภาษากฎหมายเรียกว่า "อุกอาจ" มีใบสั่งจาก นักการเมือง (แต่ตีหน้าซื่อ) และข้าราขการระดับบิ๊กในกระทรวงสาธารณสุข ให้โรงพยาบาลซื้อยา ซื้อเวชภัณฑ์ จากกลุ่มบริษัทที่กำหนดไว้ บริษัทเหล่านี้ ประกอบไปด้วยบุคคลกลุ่มเดียวกัน (มีทั้งบริษัทที่ขายเหล็กเส้น ไม่ได้ขายยา) ในราคาที่แพงกว่าปกติสูงสุดถึงห้าเท่าตัว
การโกงกินทำกันเป็นกระบวนการอย่างที่บอก เม็ดเงินที่พวกกังฉินร่วมกันโกงกินครั้งนี้ จะอยู่ในกำมือของพวกมันอย่างสิ้งเชิง ไม่มีทางเล็ดลอดไปที่อื่น เพราะบริษัทเป็นคนกลุ่มเดียว โกงมาได้ก็แบ่งกันอย่างเป็นกอบเป็นกำ
นอกจากหยาดเหงื่อของชาวบ้านอันเป็นภาษีอากรโดนปล้นแบบกลางเมือง และกลางวันแสก ๆ แล้ว ยังส่งผลร้ายมาสู่ชาวบ้านตาดำ ๆ อีกระลอกหนึ่ง ทำให้ยาตามโรงพยาบาล แพงกว่าปกติหลายเท่า เวลาชาวบ้านเข้ารักษาที่โรงพยาบาล ก็หนีไม่พ้น ต้องจ่ายเงินซื้อยาอุบาทว์ ในราคาคอรัปชั่น นั่นหมายความว่า คนไทยโดนปล้นรอบสอง ขณะที่โดนโรคไอเอ็มเอฟรุมกระหน่ำจนตั้งตัวไม่ติดอยู่แล้ว
แต่พ่อค้า นักการเมือง (ยุคนายกชวนนี่แหละ) และข้าราชการประจำแก๊งนี้ มันโหดเหี้ยม ยิ่งกว่าสัตว์นรก มันตั้งใจปล้นสถานเดียว มันทำได้ลงคอโดยไม่สนใจว่าจะเดือดร้อนอย่างไร บ้านเมืองจะฉิบหายแค่ไหน โทษของมันถึงประหารจึงจะสาสม
พฤติกรรมอย่างนี้รัฐบาลกับทำไขสือ ทำทองไม่รู้ร้อน ไม่คิดที่จะลากไส้ขบวนการปล้นชาติ มาลงโทษ มาเข้าตะแลงแกง ปล่อยให้คนชั่วลอยนวล แล้วตีหน้าว่าข้านั้นเป็นรัฐบาลที่ซื่อสัตย์เหลือเกิน มันน่าเศร้า และน่าขยะแขยงอย่างยิ่ง
ยังดีที่คุณหมอและเภสัชกรส่วนใหญ่ซึ่งมีภูมิปัญญาความรู้สูงและมีจิตสำนึกที่ดีงาม มีความกล้าหาญ ไม่ยอมเป็นมือเป็นเท้า ไม่ยอมร่วมแก๊ง กระทำการทุจริต ร่วมงาบด้วยกับพวกกังฉิน (ถ้าทำมีความผิดติดตัว อายุความถึงยี่สิบปี) พากันแฉโพยเรื่องนี้ออกมา ก่อนที่เงินของประชาชนคนไทยจำนวนมหาศาลจะโดนงาบ
ในฐานะนักกฎหมาย ขอวิงวอนให้สื่อมวลชนที่มีข้อมูลอยู่ในมืออย่างเช่น มติชน ไทยรัฐ นำข้อมูลและพยานหลักฐานไปกล่าวโทษที่กรมตำรวจ ที่ปปป. ให้เอาผิดกับพวกโกงชาติ ทั้งที่เป็นนักการเมือง เป็นข้าราชการประจำ และพวกกังฉินที่เป็นพ่อค้า
เท่านั้นไม่พอ ยังต้องติดตามผลอย่างกระชั้นชิด เพื่อ "ไม่ให้คนชั่วลอยนวล"
ผมขอยืนยันเป็นการทิ้งท้ายว่า สื่อมวลชนทำได้ กล่าวโทษได้ และจะเป็นมรรคเป็นผล กว่าคนใดคนหนึ่งกล่าวโทษ ผมไม่อยากให้สื่อนำเรื่องนี้มาแฉในเชิงพาณิชย์ เพื่อขายข่าวเท่านั้น อยากให้สื่อกัดติดเพื่อพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน เพื่อ "ไม่ให้คนชั่วลอยนวล และกำเริบเสิบสาน ร่วมกันปล้นชาติครั้งแล้วครั้งเล่า งบแล้วงบเล่า" ผมขอวิงวอน
มาว่ากันถึงเรื่องคดีความที่ผมจั่วหัวไว้ว่า "มีเมียเด็กบางคนง่าย บางรายรากโลหิต" กันซะที
เด็กผู้หญิงรายนี้มีชื่อว่า "ด.ญ.จ๋อ" เธอไม่ได้เป็นดาราที่ชื่อออกทางโทรทัศน์ เธอเกิดปี 2523 ตอนเกิดเรื่องเกิดราว วิ่งตามไอ้หนุ่มมีอายุ 14 ปีเศษ โบราณเขาเรียกว่า ปากยังไม่สิ้น กลิ่นน้ำนม แต่สมัยนี้อาจมีกลิ่นเหล้ายาแทน อยู่อาศัยกับพ่อทีไม่ได้จดทะเบียนกับแม่ แม่แยกทางจากพ่อไปแล้ว ถือว่าอยู่ในครอบครัวที่แตกแยกว่างั้นเถอะ จึงมีพื้นฐานทางสังคม และจิตใจที่ไม่สู้ดีนัก พ่อแม่เป็นเหตุ
อายุแค่นี้แต่ริอ่านมีแฟนเป็นไอ้หนุ่มผมยาว ชื่อว่า "นายกระโห้" อายุยังไม่เต็มยี่สิบ วันเกิดเหตุไอ้หนุ่มกับน้องหนูเจอกันที่ห้าสรรพสินค้า ถึงเวลา น้องหนูให้นายกระโห้ ไปส่งที่บ้าน นายกระโห้พาขึ้นรถแมงกะไซค์ (พาหนะหลักของคดีพรรค์นี้) แทนที่จะพาส่งบ้าน ดันเตลิดไปบ้านเพื่อน ที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2538 และมั่วนิ่มกันจนถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2538 แม่ของนายกระโห้ จึงพาเด็กทั้งสองเข้ากทม.
พ่อของด.ญ.จ๋อ เอาเรื่องแจ้งความที่โรงพัก ตำรวจซิวตัวนายกระโห้ไปดำเนินคดี ข้อหาพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร และกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปี
นายกระโห้คิดว่าไม่หนักหนาสาหัส จึงให้การรับสารภาพผิด ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาลงโทษข้อหากระทำชำเราน้องหนูเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี เป็นเวลา 22 ปี รับลดกึ่งเหลือจำคุก 11 ปี
ตอนรับสารภาพต่อศาล คิดว่าติดคุกแค่หอมปากหอมคอไม่มากไม่มาย แต่เมื่อเจอเข้า เต็ม ๆ 11 ปี นายกระโห้เข่าอ่อนยิ่งกว่าตอนนอนกับด.ญ.จ๋อ จึงดิ้นรนด้วยการยื่นอุทธรณ์ อ้างว่าพยานหลักฐานที่ปรากฏ ฟังไม่ได้ว่า นายกระโห้มีความผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า นายกระโห้ให้การรับสารภาพว่า กระทำความผิดตามฟ้อง ในศาลชั้นต้น ย่อมหมดสิทธิอุทธรณ์ว่าการกระทำของตนเองไม่ผิด จึงไม่รับอุทธรณ์ของนายกระโห้
แต่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โทษที่ศาลชั้นต้นกำหนดหนักข้อไปหน่อย จึงพิพากษาแก้ ให้เหลือกระทงละ 8 ปี รับลดแล้วเหลือจำคุก 8 ปี
นายกระโห้ไม่ได้ติดตารางตามคำตัดสินแต่แรก เพราะกระเสือกกระสน หาคนมาประกันตัว จนได้ จึงอยู่นอกคุกและมีความสัมพันธ์กับด.ญ.จ๋อ มาโดยตลอด หลังสุดพ่อแม่ทั้งสองฝ่าย ร่วมมือกันผ่าทางตัน โดยให้นายกระโห้และด.ญ.จ๋อ ไปร้องขอต่อศาลเยาวชนและครอบครัว เพื่ออนุญาตให้นายกระโห้และด.ญ.จ๋อ สมรสกัน ศาลไต่สวนทวนความแล้ว จึงมีคำสั่งอนุญาต ทั้งสองจึงจดทะเบียนอยู่กินด้วยกัน ฉันผัวเมียด้วยใจคอไม่เป็นสุข เพราะคดียังคาราคาซังอยู่
เมื่อศาลอุทธรณ์ตัดสินให้ติดตะราง 8 ปี นายกระโห้รวมทั้งด.ญ.จ๋อ จึงพากันหน้าเหลือง หาทางแก้ ด้วยการร้องขอให้ผู้พิพากษา ที่เคยตัดสินคดีนี้ในชั้นศาลต้น เซ็นรับรอง ให้ยื่นฎีกาได้
ผู้พิพากษาท่านหนึ่งคงเห็นใจจึงเอาด้วย นายกระโห้เลยมีลุ้น ยื่นฎีกาขึ้นไป โดยไม่ลืมแนบคำสั่งของศาลเยาวชนและสำเนาทะเบียนสมรส และแจกแจงให้ศาลฎีกาทราบว่า นายกระโห้ กับ ด.ญ.จ๋อ เป็นผัวเมียถูกต้องตามกฎหมายแล้ว อย่าเอานายกระโห้เข้าตารางเลย
ศาลฎีกาเพ่งเล็งดูคดีนี้จนมั่นใจแล้วจึงชี้ขาดออกมาดังนี้
"ข้อที่นายกระโห้แย้งคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ กรณีไม่รับอุทธรณ์ของนายกระโห้ เนื่องจากเห็นว่านายกระโห้รับสารภาพผิดไปแล้วนั้น ศาลฎีกาบอกว่า ข้อหาที่นายกระโห้โดนฟ้องมีโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป แม้นายกระโห้รับสารภาพ โจทก์ก็ต้องนำพยานมาสืบจนฟังได้ว่ามีความผิดจึงลงโทษได้ ถ้าพยานไม่แน่นหนาเพียงพอ ศาลยกฟ้องได้เช่นกัน เมื่อเป็นอีแบบนี้นายกระโห้จึงมีสิทธิอุทธรณ์ว่าพยานหลักฐานโจทก์ยังไม่พอลงโทษ การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับอุทธรณ์จึงไม่ถูกต้อง
งานนี้ศาลฎีกาจึงต้องหยิบยกข้ออุทธรณ์ของนายกระโห้มาพิจารณาว่า พยานหลักฐานเอาโทษนายกระโห้ได้หรือไม่ โดยไม่ย้อนสำนวนให้เสียเวลา และศาลฎีกาเห็นว่าการที่นายกระโห้นำพาด.ญ.จ๋อ ซึ่งเป็นผู้เยาว์ไปจากความปกครอง ของบิดาไปที่นครปฐม โดยด.ญ.จ๋อ ยินยอมพร้อมใจ แล้วร่วมหลับนอนมาโดยตลอด มิได้คิดจะเอาเป็นเมียในตอนนั้น เป็นการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร ข้อหานี้เอาผิดได้
ส่วนข้อหากระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบห้าปีนั้น เมื่อได้ความว่า นายกระโห้ จดทะเบียนอยู่กินกับด.ญ.จ๋อ แล้วจึงทำให้พ้นผิดข้อหานี้ไปได้
สำหรับการขอให้รอการลงอาญานั้น ศาลฎีกาพยักหน้าหงึกเอาด้วย
ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องข้อหากระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปีเสีย ส่วนข้อหาพรากผู้เยาว์นั้น ได้ความว่านายกระโห้อายุไม่เกินยี่สิบปี จึงลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 4 ปี รับลดกึ่งเหลือ 2 ปี ตามพฤติการณ์เห็นสมควรรอการลงอาญาให้มีกำหนด 2 ปี ไม่ต้องติดตาราง"
การได้เมียเด็กของนายกระโห้จึงทุลักทุเลเอาการ เฉียดคุกเฉียดตะราง ต้องเสียค่าโสหุ้ยในการเป็นความ ต้องลุ้นระทึกตั้งแต่ปี 2538 จนถึง 2540 จึงรู้ผลการตัดสินของศาลฎีกาว่ารอดสันดอนไม่ติดคุก
เห็นหรือยังว่า การมีเมียเด็กบางครั้งก็เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย ไม่มีปัญหา เขามีกันทั้งเมือง แต่ถ้าตกที่นั่งซวยเหมือนอย่างนายกระโห้ การมีเมียเด็ก ก็ทำให้คางเหลือง และเข็ดหลาบพอสมควร
ท่านละขะรับอยากมีเมียเด็กอ๊ะเปล่า ถ้าอยากมีเมียเด็ก ๆ ดูคดีนายกระโห้เป็นตัวอย่าง ก็แล้วกัน
จากคำพิพากษาฎีกาที่ 2579/2540
ณรงค์ นิติจันทร์
main |