อาจารย์ใหญ่ที่มาในคณะเล่าว่า ลูกชายซึ่งเป็นวัยรุ่น เคยเป็นนักกีฬา ประจำโรงเรียน ก็กู่ไม่กลับติดยาบ้างอมแงม วัน ๆ หาเงินไปซื้อยาบ้า ข้าวของในบ้านเผลอไม่ได้ ขโมยไปขายหาเงินไปซื้อยาบ้า
พ่อแม่ตลอดจนเพื่อน ๆ ที่เป็นครูด้วยกันตามโรงเรียนต่าง ๆ เวียนกันมาพูดจาอบรมสั่งสอน ชักแม่น้ำทั้งห้าแคว ทั้งหกหว่านล้อมให้เด็กคนนี้เลิกเสพยาบ้า เด็กรับคำไปตามเรื่อง ตามราวแล้วเหมือนเดิม พ่อแม่จนปัญญา
มีอยู่คราวหนึ่งแก่เล่าต่อ ลูกคนนี้ขาหักเพราะแมงกะไซค์ พ่อแม่ลุงป้ากลับดีใจนอนรักษาโรงพยาบาลเป็นเดือน คงเลิกยาบ้าได้แน่ ปรากฏว่าเดือนกว่า เกือบสองเดือนที่นอนรักษาไม่ได้กินยาบ้า เนื้อตัวอ้วนพีมีสีสัน พอกลับมาอยู่บ้านและไปโรงเรียนไม่ทันไร ก็อีหรอบเก่า จนกระทั่งพ่อแม่อยากให้ลูกไปติดคุกติดตะราง เผื่อจะเลิกได้นี่ คือเรื่องจริง
ครูบาอาจารย์ยังแจกแจงให้ผมทราบอีกว่า เด็กนักเรียนชายหญิงเกาะกลุ่มกันเสพยาบ้ามากขึ้นทุกที เสพกันอย่างเปิดเผย ไม่ได้เกรงกลัวพ่อแม่หรือครูในโรงเรียน คุณครูเจอเข้าไปถาม เด็กกินยาบ้าทำไม เด็กนักเรียนยืดอกบอกอย่างหน้าตาเฉยด้วยเสียงในฟิมล์ว่า "ม่วนดี" เล่นเอาครูถึงกับอึ้งกิมกี่ ไม่รู้จะทำยังไง ถ้าเคร่งครัดเสือกไสไล่ส่งออกจากโรงเรียนก็จะไปกันใหญ่
บทสรุปที่ได้จากการสนทนา คุณครูเหล่านั้นเชื่อพันเปอร์เซ็นต์ว่า ยาบ้าที่ขายกันเกร่อในขณะนี้ มีส่วนผสมเฮโรอีน หรือสารเสพย์ติดที่ร้ายแรง ไม่เหมือน ยาม้าสมัยแรก ๆ เป็นสิ่งที่ทำได้เพราะขายราคาแพง และมีผลชะงัดทำให้คนเสพ ไม่ว่าเด็ก หรือผู้ใหญ่เลิกไม่ได้ คนผลิตขายยาบ้ากอบโกยถูกจับ ก็ยอม เพราะโทษในเมืองไทยไม่กระไรนักถือว่าจิ๊บจ้อยไม่โดนประหาร ติดคุกยังทะลึ่งมีส่วนลด ไม่ช้าก็ปร๋อออกมาได้ใหม่ การค้าขายยาบ้าจึงคุ้มในการเสี่ยง เพราะกฎหมายไทย และกระบวนการยุติธรรม ไม่มีน้ำยา
ผมเห็นด้วยกับข้อสรุปทุกประการ ท่านละเห็นด้วยหรือไม่ ถ้าเห็นด้วยจะทำอย่างไร เพราะครูเหล่านั้นบอกว่า เด็กเยาวชนไทยที่เสพยาบ้า หมดสภาพ หมดอนาคต ต่อไปเมืองไทยจะมีคนติดเอดส์และติดยาบ้าเป็นตัน ๆ อนาคตของไทยคงจะจบเห่ซะละกระมัง
เพื่อคลายเครียดจากเรื่องยาบ้า เรามาดูคดีชวนหัวแต่ติดตะรางจริงกันดีกว่า เป็นเรื่องของโจรขี้เล่น ใช้ปืนไฟแช็กจี้ชิงทรัพย์ เรามาดูกันซิว่ากฎหมายเอาโทษไหม ติดตะรางไหม
เหยื่อสังคมรายนี้ชื่อว่า "น.ส.การะเกด" เธอกำลังเดินขึ้นสะพานแห่งหนึ่งในกทม. เมืองฟ้าอมรที่คนแห่ไปยัดทำนานแล้วยังมีหน้ามาบ่นว่าแออัด
จังหวะเดียวกัน "นายกระตุก" ทราบชื่อภายหลังเป็นฝ่ายเดินลงมาจากสะพานลอย จงใจชนน.ส.การะเกด และผลักให้เซพร้อมกับล็อกคอไว้ แล้วชักปืนไฟแช็กออกมาขู่สำทับว่าอย่าร้องไม่งั้นยิง พร้อมกับกระชากสร้อยคอหนักหนึ่งสลึงเดียวจนขาดติดมือ
น.ส.การะเกด สะบัดหลุดจากนายกระตุก และร้องเรียกให้คนช่วย นายกระตุกวิ่งไปที่รถแมงกะไซค์ ซึ่งจอดอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุ 10 เมตร ขึ้นคร่อมรถเพื่อจะหนี เจ้ากรรมรถล้มตัวนายกระตุกก็เสียหลัก ประชาชนบริเวณนั้นจึงช่วยกันตะครุบตัวไว้ รอจนตำรวจมาถึงหิ้วไปโรงพักโดยยึดรถมอเตอร์ไซค์ มีดปลายแหลม ปืนไฟแช็ก สร้อยคอ เป็นของกลาง สร้อยคอตำรวจคืนให้ น.ส.การะเกดในวันนนั้น เองหลังจากที่สอบปากคำเรียบร้อยแล้ว
ปรากฏว่าไอ้หมอนี่เป็นผู้ร้ายหัวหมอให้การปฏิเสธ
เรื่องไปถึงอัยการและผ่านไปที่ศาล นายกระตุกเจอข้อหาชิงทรัพย์โดยใช้อาวุธปืน ข้อหาพาอาวุธ และอัยการขอให้เพิ่มโทษ เพราะเคยทำผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ ติดตะรางพ้นโทษมาไม่เกิน 5 ปี อายุเกิน 17 ไปแล้ว อยู่ในข่ายเพิ่มโทษได้ ข้อให้ริบของกลางที่ยึดไว้
นายกระตุกสู้คดีอย่างเต็มที่ให้ทนาย และญาติไปติดต่อน.ส.การะเกดเพื่อล้มคดี
น.ส.การะเกดอาจจะได้รับเงินทองจากฝ่ายจำเลยบ้าง หรือไม่ก็เกรงกลัวจึงเอาด้วย เบิกความที่ศาลตอน ตอบคำถามของทนายจำเลยว่า นายกระตุกพูดขู่จนเธอตกใจ และร้องขึ้น แต่นายกระตุกได้ยกมือไหว้และขอโทษบอกว่าทักคนผิด เมื่อนายกระตุกวิ่งหนีพบว่าสร้อยยังอยู่ที่คอไม่ได้ขาดหายไปไหน
ศาลชั้นต้น เชื่อว่านายกระตุกทำผิดจริง ลงโทษข้อหาชิงทรัพย์โดยใช้อาวุธปืน จำคุก 18 ปี พาอาวุธ (หมายถึงมีด) ปรับ 90 บาท เพิ่มโทษหนึ่งในสามเป็นจำคุก 24 ปี ปรับ 120 บาท ริบสิ่งเทียมอาวุธและมีดปลายแหลม รถมอเตอร์ไซค์ไม่ริบเพราะไม่ใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิด
นายกระตุกถึงกับเข้าอ่อน หากินอีแบบนี้ไม่คุ้มเลย จึงดิ้นร้นด้วยการยื่นอุทธรณ์ ยืนยันว่าไม่ได้ทำผิด ไม่ได้ชิงทรัพย์แต่จำผิดคิดว่าน.ส.การะเกดเป็นเพื่อนสมัยเรียนหนังสือ จึงหยอกล้อใช้ปืนไฟแช็กจี้ให้ตกใจเท่านั้น
ศาลอุทรณ์พิจารณาแล้ว เห็นด้วยกับข้อหาของนายกระตุก พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องข้อหาชิงทรัพย์ ลงโทษเฉพาะข้อหาอาวุธมีดปรับ 90 บาท ยกคำขอเพิ่มโทษเพราะไม่ได้จำคุก คืนปืนไฟแช็ก และมีดของกลาง
อัยการโจทก์ ต้องออกเหงื่อยื่นฎีกา เพราะผลการพันตูในชั้นอุทธรณ์ นายกระตุกเสียค่าปรับแค่ 90 บาท ขนหลุดเส้นเดียวยังเยอะกว่า
ศาลฎีกาเพ่งดูสำนวนคดีนี้จนถ่องแท้ และชี้ขาดออกมาดังนี้
"จากคำเบิกความตอนแรก น.ส.การะเกด ว่านายกระตุกชิงทรัพย์ มีตำรวจที่จับตัวนายกระตุกยืนยัน ว่าพบน.ส.การะเกด เธอแจ้งว่านายกระตุกใช้ปืนและมีดจี้สร้อยคอไป จากการค้นตัวได้สร้อยคอได้มีด และปืนไฟแช็กทำบันทึกจับกุมไว้ ในชั้นสอบสวน มีบันทึกที่น.ส.การะเกดลงชื่อรับสร้อยคอคืนจากตำรวจ แสดงว่าตำรวจยึดสร้อยจากนายกระตุกจริง และคืนให้น.ส.การะเกดไป การสอบปากคำทำในวันเกิดเหตุ เชื่อว่าไม่ได้มีการบิดเบือน จึงฟังได้ว่านายกระตุกกระทำผิดจริง
การที่น.ส.การะเกดเบิกความในตอนหลังทำนองว่า นายกระตุกไม่ได้ชิงทรัพย์เจือสมกับข้อต่อสู้ของนายกระตุก ศาลเห็นว่าน.ส.การะเกดทำไปเพื่อช่วยเหลือนายกระตุกไม่ให้ถูกลงโทษ และข้อต่อสู้ของนายกระตุกก็มีพิรุธ เพราะถ้าไม่ได้ทำผิด ทำไม่ต้องวิ่งหนีไปขึ้นรถแมงกะไซค์จนคนแถวนั้นจับตัวไว้ได้
ศาลฎีกาจึงไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินของศาลอุทธรณ์
แต่ศาลฎีกาเห็นว่า ปืนไฟแช็กไม่ใช่ปืน จึงต้องลงโทษฐานชิงทรัพย์ธรรมดา
ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้ลงโทษ ฐานชิงทรัพย์จำคุก 10 ปี เพิ่มหนึ่งในสามเป็นจำคุก 13 ปี 4 เดือน โทษปรับ ให้เป็นไปตามที่ศาลอุทธรณ์ว่าไว้คือ 90 บาท ริบปืนไฟแช็กและมีดของกลาง"
เห็นหรือยังว่าการใช้ปืนไฟแช็กปืนเก๊ไปจี้ปล้นหรือข่มขู่ให้คนตกใจกลัว ศาลเอาผิดทำนองเดียวกับมีปืนจริง ๆ จึงไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเหมือนอย่างที่บางคนเข้าใจ
เพียงแต่ศาลอาจจะปรานีเบามือให้หน่อยหนึ่ง เพราะเห็นว่าเป็นปืนเก๊ที่เป็นเช่นนั้น เพราะศาลถือว่า คนโดนจี้โดนปล้นเกิดความกลัวคิดว่าเป็นปืนจริง ขณะที่คนจี้ก็ตั้งใจที่จะให้เกิดผลเหมือนอย่างใช้ปืนจริง ๆ
แต่ถ้าคนที่โดนปล้นจี้รู้ทัน และไม่กลัวหัวเราะคิดหรือเตะต่อยกลับไป ศาลอาจจะไม่เอาผิดแต่ไม่แน่เสมอไป ศาลต้องดูพฤติการณ์ว่าคนที่เอาปืนเก๊ไปจี้มีเจตนาทุจริตหรือไม่ อาจจะลงโทษฐานพยายามก็ได้
สรุปแล้วปืนจริงปืนเก๊พาเข้าคุกได้เหมือนกัน
ณรงค์ นิติจันทร์
main |