การเช่า ก็คือ การที่ผู้ให้เช่าตกลงให้ผู้เช่าได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ จากทรัพย์สินอย่างใดอย่างหนึ่ง ชั่วระยะเวลาอันมีจำกัด โดยผู้เช่าตกลงจะให้ค่าเช่าตอบแทนในการที่ตนได้ใช้ หรือได้รับประโยชน์ จากทรัพย์สินที่เช่านั้น
การเช่าสังหาริมทรัพย์ เช่น เช่ารถ เช่าเรือ เช่าช้าง เป็นต้น การเช่าทรัพย์สินประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องมี หลักฐานเป็นหนังสือ ก็ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ และจะเช่านานเท่าใดก็ได้ แต่ต้องมีระยะเวลาอันจำกัด เช่น เช่ากัน 1 ปี หรือ 40 ปี
ส่วนการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เช่น เช่าที่ดิน เช่าบ้าน เป็นต้นนั้น จะต้องทำหลักฐานเป็นหนังสือกันไว้ จึงจะฟ้องร้อง บังคับคดีกันได้ และถ้าเป็นการเช่ากันเกินกว่า 3 ปี หรือตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่า จะต้องทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนการเช่า ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ด้วย มิฉะนั้นการเช่านั้นจะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้เพียง 3 ปีเท่านั้น และการเช่าอสังหาริมทรัพย์จะเช่ากันเป็นเวลาเกินกว่า 30 ปีไม่ได้ ถ้าในสัญญาได้กำหนดเวลาเช่ากันเกินกว่า 30 ปี กฎหมายให้ลดเวลาลงมาเหลือ 30 ปี เมื่อครบกำหนด 30 ปีแล้ว ก็มีสิทธิต่อสัญญากันอีกได้ แต่สัญญาที่ต่อออกไปนั้น จะต้องไม่เกิน 30 ปี
อย่างไรก็ดีทั้งสัญญาเช่าสังหาริมทรัพย์และสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ คู่สัญญาสามารถกำหนดเวลาเช่ากัน ตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าก็ได้
เมื่อผู้เช่าเช่าทรัพย์สินมาจากผู้ให้เช่าโดยชอบแล้ว ผู้เช่าจะนำไปให้ผู้อื่นเช่าช่วงได้ และผู้เช่าได้นำทรัพย์สินนั้นไปให้ ผู้อื่นเช่าช่วง การเช่าช่วง ก็คือ การเช่า ใช้กฎหมายเดียวกันบังคับ การเช่าช่วงกับการเช่าจึงแทบจะเหมือนกัน ทุกประการ เว้นแต่ในข้อต่อไปนี้
หากผู้เช่านำทรัพย์สินที่เช่าไปให้ผู้อื่นเช่าช่วงหรือเซ้ง โดยผู้เช่าไม่ยินยอม ผู้ให้เช่ามีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าได้ทันที และถือว่าผู้เช่าช่วงหรือผู้รับเซ้งเป็นเพียงบริวารของผู้เช่าเท่านั้น
อนึ่ง เนื่องจากการเช่าช่วงเป็นการเช่าอย่างหนึ่ง การเช่าช่วงอสังหาริมทรัพย์จึงต้องมีหลักฐานการเช่า เป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญเช่นเดียวกับ การเช่าอสังหาริมทรัพย์ ดังตัวอย่างในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 171/2533 ซึ่งศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "การเช่าช่วงก็คือ การเช่านั่นเอง เมื่อเป็นการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ก็ตกอยู่ภายใต้บังคับของ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 ซึ่งจะต้องมีหลักฐานเป็น หนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ แต่ตามคำร้องของผู้ร้องปรากฏชัดว่า ผู้ร้องเช่าช่วงตึกแถวพิพาท จากจำเลยโดยไม่มีสัญญาเช่ากับจำเลยหรือโจทก์ ใบเสร็จรับเงินเอกสารท้ายคำร้องก็มิใช่หลักฐานการเช่า เพราะมิได้มีลายมือชื่อของโจทก์หรือจำเลยลงไว้ ผู้ร้องจึงไม่อาจยกการเช่าช่วงขึ้น ใช้ยันโจทก์ได้ ทั้งนี้ไม่ว่าโจทก์จะรู้เห็นยินยอมหรือไม่ก็ตาม ทั้งมิใช่เป็น สัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าการเช่า อันไม่จำต้องมีหลักฐานการเช่า เพราะเงินกินเปล่าที่ผู้ร้องอ้างว่าได้เสียไปนั้น มิใช่เงินช่วยค่าก่อสร้างตึกแถวพิพาท กรณีจึงถือไม่ได้ว่า ผู้ร้องเป็นผู้มีอำนาจพิเศษตามมาตรา 296 จัตวา (3) ผู้ร้องจึงเป็นบริวารของจำเลย"
คนข้างศาล
main |