J_muay

สายสัมพันธ์

 


ส า ย สั ม พั น ธ์  1..

+++++++++++++++++++++++++++++

            ทันทีที่ประตูบ้านพิพัฒน์ชัยเปิดออกแลนด์โรเวอร์ที่จอดคอยอยู่ก็พุ่งตรงไปหยุดที่หน้าตึก ชายหนุ่มก้าวลงจากรถเดินเข้าไปในบ้านโดยไม่สนใจฟังเสียงถามไถ่ของทหารรับใช้ที่วิ่งตามหลังมา

            หนุ่มใหญ่และหญิงสาวนั่งเคียงคู่อยู่ที่ห้องรับแขกเหมือนกำลังรอรับการมาเยือน   ชายหนุ่มก้าวเข้ามาในห้องและหยุดยืนเผชิญหน้าคนทั้งสอง

            “ผมมารับลูก”

            คำพูดหนักแน่นของผู้มาเยือนทำให้ฝ่ายที่นั่งอยู่โดยเฉพาะหญิงสาวเผยอยิ้มเล็กน้อย  แต่อีกฝ่ายกลับให้ความรู้สึกเหมือนยิ้มเยาะ

            “มาแต่เช้าเชียวนะคะ  วันนี้ลูกคงไปกับคุณไม่ได้”

            คิ้วเข้มขมวดมุ่นอารมณ์คุกรุ่นขึ้นทันที

            “ทำไม.. อย่าเล่ห์เหลี่ยมกับผมอีกนะ วันนี้ยังไงผมก็ไม่ยอม”

            “ลูกไม่สบาย ฉันเพิ่งให้แกทานยาและนอนพัก  วันนี้แกคงไม่มีแรงไปกับคุณหรอก  อาทิตย์หน้าคุณค่อยมาพาลูกไป”

            “ไม่..  ผมจะพาลูกไปวันนี้”

            ชายหนุ่มยืนกรานความตั้งใจที่จะพาลูกกลับไป

            “คุณรังสรรค์…”  หนุ่มใหญ่นั่งนิ่งฟังการเจรจาของคนทั้งคู่กล่าวขึ้นอย่างสุภาพ  “วันนี้ตารอยไม่ค่อยสบาย   อาทิตย์หน้าคุณค่อยพาแกไปไม่ดีกว่าหรือ”

            น้ำเสียงอ่อนโยนและคำกล่าวที่สุภาพของพ.ท.สินชัย สามีคนใหม่ของวิภาวี ทำให้ชายหนุ่มคลายความฉุนเฉียวลงแต่ก็ยังไม่ละความตั้งใจเดิม

            “ผมคิดถึงลูก  ยังไงก็ต้องพาแกกลับ  สองวันนี้ผมจะดูแลลูกเอง”

            “แต่ผมว่า...   ไม่น่าทรมานร่างกายลูกให้แกเทียวไปเทียวมานะ”

            รังสรรค์นิ่งอึ้งรู้สึกเจ็บปวดที่จะไม่ได้พบและอยู่ใกล้ชิดลูกชายอีกเป็นสัปดาห์ที่ 3 เมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็ถูกวิภาวีแกล้งพาลูกชายไปเยี่ยมคุณยายที่ต่างจังหวัด โดยพาไปตั้งแต่เช้าวันศุกร์และกลับมาในคืนวันอาทิตย์   หากวันนี้เขาไม่ได้พบลูก...กว่าจะได้พบอีกทีก็วันเสาร์หน้า เท่ากับว่าเขาจะไม่ได้เห็นหน้าลูกเกือบหนึ่งเดือนเต็มๆ  นี่ถ้าลูกเรียนหนังสืออย่างน้อยเขายังไปพบที่โรงเรียนได้บ้างแต่ช่วงนี้ปิดเทอม  เขาจึงไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าเจ้าหนูของเขาจนวันนี้เกือบ 3 สัปดาห์เต็มแล้ว....

            “ผมสัญญากับรอยไว้..... ว่าจะมารับ.”

น้ำเสียงแหบพร่าเพราะรู้สึกเจ็บร้าวในหัวอก  หากแต่เริ่มเห็นจริงตามที่ผู้พันสินชัยกล่าว คงไม่เป็นผลดีกับลูก  หากพาเทียวไปเทียวมาเช่นนี้

            “แกไม่สบายเป็นอะไร”

            “เป็นไข้หวัด  ตอนนี้นอนพักอยู่  ถ้าคุณไม่ขัดข้องจะใช้เวลาอยู่กับแกที่นี่สักครู่ก็ได้นะ”

            “คุณคะ” วิภาวีแย้ง

            “เอาเถอะน่าวิภาวี คุณรังสรรค์เขาไม่ได้เห็นหน้าลูกหลายวันแล้ว เขาทนคิดถึงไม่ไหวแล้วผมรู้… ในฐานะที่ผมเองก็เป็นพ่อคนผมเข้าใจ  เชิญครับคุณรังสรรค์..”

            ผู้พันหันไปสั่งเด็กรับใช้พาชายหนุ่มไปหาลูกที่ห้อง

            “ขอบคุณครับผู้พัน”

            ชายหนุ่มกล่าวขอบคุณพร้อมๆ กับรู้สึกปวดร้าวในใจ ยิ่งผู้พันสินชัยเป็นคนสุภาพและดีเท่าไร   ความหวังที่เขาจะได้ลูกกลับไปอยู่ด้วยเหมือนเดิมก็ลดน้อยลงเรื่อย ๆ

            เด็กชายวัย 7 ขวบนอนหลับสนิทบนเตียงด้วยสีหน้าที่ไม่เป็นสุขนัก คิ้วเล็กขมวดเข้าหากันอาจเป็นเพราะอาการไข้ที่เป็นอยู่ก็ได้จึงทำให้หนุ่มน้อยหลับไม่สบายเหมือนปกติ

            รังสรรค์ทรุดตัวลงข้างเตียงแนบใบหน้าลงกับศีรษะเด็กชายและโอบกอดร่างเล็กอย่างแผ่วเบา  สัมผัสลมหายใจที่ได้รับร้อนผ่าวจนต้องเอามือแตะหน้าผากเพื่อเช็คอาการไข้ของลูก

            “รอยครับ  พ่อคิดถึงลูกเหลือเกิน”

            ชายหนุ่มพึมพำเบาๆ  เพราะไม่อยากให้ลูกตื่น  หากเขาต้องกลับออกไปคนเดียวก็อย่าให้ลูกรู้ว่าเขามาจะดีกว่า

            “พ่อฮะ.... เมื่อไรจะมาซะที.. ..”

            เสียงเพ้อหาของเด็กชายทำให้รังสรรค์หมดความอดกลั้น เขากอดลูกชายแน่นให้สมกับความคิดถึงที่อัดแน่นอยู่ในอก

            “พ่ออยู่นี่ลูก...  พ่อมาแล้วครับ...”

            ร่างเล็กเริ่มขยับตัวเหมือนได้ยินเสียงผู้เป็นพ่อ   เสียงครางในลำคอทั้งๆ ที่ดวงตายังปิดสนิท รังสรรค์พิศดูลูกชายอีกครั้งจึงเห็นว่าลูกไม่สบายมากจริงๆ 

            ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นสำรวจไปรอบๆ เป็นห้องนอนซึ่งมีขนาดพอเหมาะสำหรับเด็กอยู่  มีข้าวของเครื่องใช้และของเล่นสำหรับเด็กชายพร้อม  ตั้งแต่มานี่เขายังไม่พบข้อบกพร่องของคนทั้งสอง  ซ้ำอุปนิสัยใจคอของผู้พันสินชัยก็เอื้ออาทรบุตรชายเขาเป็นอย่างดี  หนทางที่เขาจะได้ลูกกลับไปอยู่ด้วยเหมือนเดิมคงไม่มีแล้วกระมัง นี่เขาจะได้พบลูกเพียงสัปดาห์ละ 2 วันตลอดไปจริงๆ เหรอ...

            “อย่าทำลูกตื่นนะคะ   ถ้าคุณยังคิดว่าตัวเองเป็นพ่อของลูกอยู่”

            เสียงที่ขัดขึ้นทำลายความคิดคำนึงของรังสรรค์ เขาหันมองไปที่ประตู หญิงสาวยืนจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาเย้ยเยาะอย่างผู้ชนะ  เขาลุกขึ้นตอกกลับด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว

            “พูดผิดแล้ววิภาวี ผู้พันต่างหากที่ต้องคิดว่าตัวเองเป็นพ่อไม่ใช่ผม   ผมไม่ต้องคิดอะไร  ไม่ว่ารอยจะอยู่ที่ไหนกับใครเขาเป็นลูกของผมวันยังค่ำ”

 

            ชายหนุ่มนิ่งไปอึดใจก่อนจะกล่าวต่อ

            “เอาล่ะ วันนี้คุณชนะอีกครั้ง  ผมจะไม่พาลูกไป”

            รังสรรค์ทรุดตัวลงหอมแก้มและจูบหน้าผากลูกด้วยความอาวรณ์  

            “คนเก่งของพ่อ หายเร็วๆ นะ.. แล้วพ่อจะมารับ...”

            รังสรรค์ผละออกจากเตียง วิภาวีเดินสวนเขาตรงเข้าไปหาลูก แต่ขณะกำลังจะก้าวพ้นประตูร่างสูงก็ต้องหยุดชะงักกับเสียงร้องเรียก

            “พ่อคร้าบบ….  อย่าเพิ่งไป  พาผมไปด้วย”

            เขาหันขวับกลับไป  เด็กชายกำลังพยายามลุกขึ้นในขณะที่ผู้เป็นแม่กดตัวให้นอนลง

            “ปล่อยนะ  ผมจะไปกับพ่อ...”

            “ไปไม่ได้นะ ลูกไม่สบาย ต้องนอนพักให้หายก่อน อย่าดื้อนะรอย.... เดี๋ยวลุงผู้พันไม่รักนะ”

            “ไม่.. ผมจะไป.. ผมคิดถึงพ่อ  พ่อจ๋า... อย่าเพิ่งไปนะ  พารอยไปด้วย..”

            ชายหนุ่มยังคงยืนนิ่งอยู่ รู้สึกปวดใจกับภาพที่เห็น ลูกร้องหาเขาในขณะที่ผู้กีดกันไม่ให้พบกลับเป็นแม่ของเด็กชายเอง

            “ไปซีคะรังสรรค์..ยืนอยู่ทำไม อยากจะให้ลูกตามคุณไปใช่มั้ย ลูกไม่สบายอยู่คุณก็เห็น”

            ชายหนุ่มสงบใจเพื่อให้อารมณ์เย็นขึ้นก่อนจะกล่าวกับหญิงสาว

            “ผมคิดว่าถ้าคุณบังคับลูกให้นอนที่นี่    แกก็คงไม่หายเร็วกว่าการไปนอนกับผมหรอกนะ”

            “เอ๊ะ! รังสรรค์  คุณจะกลับคำเหรอ  คุณบอกเองว่าจะไม่เอาลูกไปแล้ว”

สองมือหญิงสาวกดไหล่สองข้างของร่างเล็กให้นอนลง  หนูน้อยดิ้นขลุกขลักและร้องเรียกให้พ่อพาไปด้วย

            “เกิดอะไรขึ้นน่ะ”

ผู้พันสินชัยก้าวเข้ามาในห้อง   รังสรรค์เบี่ยงตัวหลบและถอยกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง

            “เขาซีคะ จะเอาลูกไปให้ได้ ทั้งๆ ที่รับปากแล้วว่าจะไม่พาไป”

            ผู้พันมองร่างเล็กของเด็กชายที่ถูกผู้เป็นมารดากดไว้  หนูน้อยสะอื้นไห้น้ำตาไหลพรากร้องเรียกพ่ออย่าเพิ่งไป

            “ผมจะไปกับพ่อ ผมคิดถึงพ่อ ฮึก.. ฮือออ...  พ่อจ๋า…อย่าเพิ่งไปนะ  พาผมกลับบ้านด้วย”

            ผู้พันหันกลับไปมองชายหนุ่มซึ่งยืนพิงผนังห้องมองมาที่ลูกอย่างปวดใจ เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นแสดงให้เห็นถึงการบังคับจิตใจหนูน้อยให้แยกจากพ่อ  หากใครเห็นเข้าต้องไม่ชอบใจแน่ๆ

            “ปล่อยลูกเถอะวิภาวี” 

            น้ำเสียงจริงจังของผู้พันทำให้หญิงสาวคลายแรงกด แต่เพียงแค่คลายออกยังไม่ปล่อยมือ เด็กชายก็สามารถดิ้นหนีหลุดจากแรงจับของมารดา และรีบลุกขึ้นกระโดดลงจากเตียงวิ่งตรงเข้าไปสวมกอดพ่อทันที

            “พ่อจ๋า... พาผมไปด้วยนะ  ผมคิดถึงพ่อจะตายอยู่แล้ว”

            แม้เสียงจะอู้อี้เพราะใบหน้าซุกอยู่ที่ลำตัวผู้เป็นพ่อ แต่ประโยคสุดท้ายที่เด็กชายพูดทุกคนในห้องได้ยินถนัด  โดยเฉพาะผู้พันรู้สึกหน้าเสียหันไปมองหญิงสาวผู้เป็นแม่อย่างตำหนิก่อนจะเดินเข้ามาหาสองพ่อลูก  ผู้พันเอื้อมมือลูบศีรษะเด็กชายที่ยังคงซุกหน้านิ่งอยู่

            “รอย... รอยไม่สบายอยู่นะครับ”

            เด็กชายส่ายหน้าไม่รับรู้   กอดพ่อแน่นขึ้นเหมือนกลัวว่าจะถูกดึงตัวออกไป

            คำพูดของผู้พันสินชัยทำให้รังสรรค์ต้องตัดใจปลอบเจ้าหนูอย่างอ่อนโยน

            “ลูกไม่สบายนะรอย...นอนพักให้หายดีก่อน อีก 2-3 วันพ่อจะมารับลูกใหม่  พ่อให้สัญญา...”

            เด็กชายเงยหน้าขึ้นสบตากับพ่อเป็นครั้งแรก  ใบหน้าใสฉ่ำนองด้วยน้ำตา

            “ผมจะไปนอนกับพ่อ ผมจะไปนอนพักที่บ้านเรา   ให้ผมไปนอนกับพ่อเถอะนะครับลุงผู้พัน..”  ประโยคสุดท้ายเด็กชายหันไปขออนุญาตผู้พันสินชัย

            ผู้พันยิ้มให้เด็กชายอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะกล่าวตอบ

            “ก็นั่นน่ะซี... ลุงกำลังจะบอกว่ารอยไม่สบายอยู่ ถ้าได้ไปนอนพักกับพ่อคงจะหายเร็วขึ้น  เราก็ไม่ยอมฟังลุง  ส่ายหัวท่าเดียว”

            “ผู้พันคะ” เสียงวิภาวีขัดขึ้น

            “เฉยเถอะน่าวิภาวี ลูกคิดถึงพ่อเขาใจจะขาดอยู่แล้ว ยังจะรั้งไว้อีกเหรอ”   ผู้พันหันไปตวาดภรรยาก่อนจะหันมากล่าวกับชายหนุ่ม

            “พาลูกกลับไปเถอะคุณรังสรรค์.. ผมเชื่อว่าเขาจะหายไวกว่าถ้าได้ไปนอนพักกับคุณ”

            “ขอบคุณผู้พัน   ขอบคุณที่เข้าใจ”

รังสรรค์กล่าวอย่างขมขื่นรู้สึกหมดหวังและพ่ายแพ้  ทำไมเขาต้องได้รับการอนุญาตจากชายคนนี้เพื่อที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกับลูกชายเขาเอง ลูกของเขาทำไมต้องกลายเป็นสิทธิของคนอื่น ทำไม...

            “ไปเถอะครับพ่อ  คุณลุงอนุญาตแล้ว”  เสียงใสของเด็กชายเร่งเร้าพ่อให้รีบไป

รังสรรค์พยักหน้าก้มลงกระซิบลูกให้หันไปลาคุณลุงและแม่  รอยรีบปฏิบัติตามแล้วดึงมือพ่อออกจากห้อง

            รังสรรค์จูงมือเด็กชายออกจากห้อง  แต่ก้าวลงบันไดได้สามขั้นก็ชะงักเพราะถูกรั้งไว้  ร่างเล็กยิ่งนิ่งไม่ยอมก้าวตามลงมา

            “ทำไมล่ะลูก.. ตามพ่อลงมาซิ”  ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นถาม เด็กชายจับมือเขาไว้แน่นไม่ยอมให้ลงไปแต่ก็ไม่ยอมตามลงมา

            ร่างเล็กปล่อยมือเขาออกและยื่นแขนสองข้างออกมาข้างหน้าเป็นความหมายที่รู้กันของสองพ่อลูก

            รังสรรค์ระบายยิ้ม   แม้ในใจจะยังบอบช้ำกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ก็ยังรู้สึกเป็นสุขที่ได้เห็นกิริยาขี้อ้อนของลูก  เขาเดินกลับขึ้นไปช้อนร่างเจ้าหนูไว้ในวงแขนพร้อมๆ กับที่เด็กชายรีบสวมกอดผู้เป็นพ่อไว้เหมือนกับโหยหามานานเหลือเกินแล้ว

            “พ่อจ๋า... รอยคิดถึงพ่อที่สุดเลย พ่อคิดถึงรอยมั้ย”   รอยกระซิบถามพ่อในขณะที่กำลังถูกอุ้มพาเดินไปที่รถ

            รังสรรค์ก้มลงหอมแก้มใสของเด็กชายและกระซิบตอบ

            “คิดถึงซีครับ   คิดถึงที่สุดด้วย..”

            ชายหนุ่มปรับพนักเก้าอี้เอนลงเพื่อให้ลูกได้นอนพักระหว่างทาง ทหารรับใช้ในบ้านวิ่งตรงเข้ามาหาและยื่นถุงยาส่งให้  รังสรรค์ลดกระจกลงและรับไว้

            “ผู้พันให้เอามาให้ครับผม”

            “ขอบคุณ”

            รังสรรค์มองถุงยาในมือก่อนจะโยนไว้ที่เบาะหลัง  เขาขับรถกลับบ้านด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย เจ็บปวดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำไมเขาจะพาลูกกลับต้องได้รับการอนุญาตจากคนคนนั้นด้วย.... ชำเลืองดูเด็กชายที่นอนอยู่ข้างๆ ก็พบสายตาของลูกกำลังจ้องมองเขาอยู่

            “มองพ่อทำไมครับ  หือ..”

            “คิดถึงพ่อครับ.. ไม่ได้นั่งรถที่พ่อขับนานแล้ว  คิดถึงรถคันนี้ด้วย”

            ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอเอื้อมมือลูบศีรษะหนูน้อย

            “นอนพักซะลูก..   เดี๋ยวถึงบ้านแล้วพ่อจะปลุกนะ”

            เด็กชายพยักหน้าอย่างว่าง่าย จับมือพ่อแนบไว้ที่แก้ม หลับตาพึมพำด้วยประโยคที่ทำให้รังสรรค์อึ้งไป

                “ผมรักพ่อคนเดียว  ผมจะไม่รักใครนอกจากพ่อครับ”

            “รอย..ถึงบ้านแล้วลูก...”   

            รังสรรค์ปลุกเด็กชายซึ่งนอนหลับสนิทมาในรถด้วยความเพลีย  ทันทีที่รู้สึกตัวและพบว่าตัวเองได้กลับมาที่บ้านอีกครั้ง  เด็กชายก็รีบลงจากรถวิ่งเข้าบ้านทักทายคนโน้นคนนี้ด้วยความดีใจ หลังจากที่ต้องออกจากบ้านไปพร้อมกับแม่และไม่ได้กลับมาอีกเลยเป็นเวลานานกว่า 3 สัปดาห์  โดยที่หนูน้อยก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องไปอยู่กับแม่ทั้งๆ ที่ใจอยากอยู่กับพ่อมากกว่า 

            รังสรรค์เดินตามลูกชายเข้าไปในบ้านก็พบร่างเล็กกำลังกอดรัดอยู่กับเจ้าแซมสุนัขคู่ใจ   แม่บ้านและสาวใช้ยืนมองคุณหนูกอดรัดกับสุนัขตัวโปรดด้วยความรู้สึกเอ็นดูและรักใคร่

            “เตรียมอาหารกลางวันให้รอยด้วยป้า.. ขอเป็นข้าวต้มดีกว่า แกไม่ค่อยสบาย  ยกไปที่ห้องผมเลยนะ”

แม่บ้านรับคำและรีบไปจัดการตามสั่ง

            รังสรรค์ยืนกอดอกดูอยู่สักพักเห็นเจ้าหนูเริ่มหายใจเหนื่อยหอบ   ก็ตรงเข้าไปฉุดร่างเล็กขึ้นยืน   แต่เจ้าสุนัขแสนรู้ก็ยังนัวเนียอยู่ไม่ยอมไปจนเขาต้องออกปากไล่  เจ้าแซมคอตกรีบวิ่งออกไปทันที

            ชายหนุ่มใช้สองมือเสยผมชื้นเหงื่อและอังหน้าผากเล็กพบว่ายังมีอาการไข้อยู่

            “ลูกไม่สบายอยู่นะรอย  เล่นจนเหนื่อยเลยดูซิ  ตัวยังรุมๆ อยู่ด้วย”

            “ผมขออนุญาตไปดูเจ้าโกโก้หลังบ้านก่อนได้มั้ยครับพ่อ..”  เด็กชายตาแป๋วขออนุญาตพ่อไปดูกิ่งก่าอีกัวน่าที่เลี้ยงไว้

            “ไม่ได้แล้วครับ เหนื่อยมากแล้ว”

            รังสรรค์จูงมือเด็กชายจะพาขึ้นชั้นบน  ร่างเล็กก็ยื้อไม่ยอมตามขึ้นไป

            “ขอไปดูเดี๋ยวเดียวไม่ได้เหรอครับพ่อ.. ไม่ได้เห็นตั้งหลายวันแล้วไม่รู้ว่าอ้วนหรือผอมลง  มีใครเล่นกะมันบ้างรึเปล่าฮะ  ทุกคนกลัวกันหมดเลย.. ” 

            ชายหนุ่มส่ายหน้านิสัยชอบต่อรองของเจ้าหนูไม่เปลี่ยนไปเลย  เขาไม่ตอบคำถาม  แบกร่างเล็กขึ้นพาดไหล่แล้วพาขึ้นบันไดไปชั้นบน เด็กชายแลบลิ้นใส่สาวใช้ที่ยืนหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นคุณหนูถูกคุณพ่ออุ้มขึ้นไปเพราะความดื้อ

            รังสรรค์พาลูกชายเข้ามาที่ห้องนอนของเขาและปล่อยร่างเล็กลงนอนบนเตียง รอยมองพ่อตาปริบๆ ยกสองแขนขึ้นเป็นความหมายที่รู้กันว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกอยากกอด ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อยก่อนจะโน้มตัวลงไปหา เด็กชายโอบคอพ่อและรั้งเข้าหาตัวด้วยกำลังที่มีอยู่  รังสรรค์ไม่ทันตั้งตัวจึงเสียหลักล้มลงเกือบจะทับร่างหนูน้อย  ดีที่เอาศอกยันที่นอนไว้ทัน

            “พ่อฮะ คิดถึงจังเลย  ถ้าวันนี้พ่อไม่ไปรับ รอยต้องตายแน่”

            ชายหนุ่มล้มตัวลงนอนและรั้งร่างเล็กขึ้นมาสวมกอดและหอมด้วยความคิดถึงเช่นกัน

            “พ่อก็คิดถึงลูกมาก.. พ่อคงต้องตายเหมือนกัน ถ้าไม่ได้เจอลูกวันนี้”

“ฮะๆ วันนี้เรารอดตายทั้งพ่อทั้งลูกเลยนะครับ”

            สองพ่อลูกหัวเราะให้กันอย่างมีความสุข หลังจากที่ต้องรู้สึกทรมานเพราะโหยหาซึ่งกันและกันมานานกว่า 3 สัปดาห์

            “เดี๋ยวพ่อเช็ดตัวให้นะ ทานกลางวันเสร็จแล้วก็ทานยาและนอนพัก  ตื่นขึ้นมาลูกจะได้หายไข้นะครับ”

            เด็กชายพยักหน้าไม่คิดอยากจะดื้อกับพ่ออีก

            รังสรรค์นั่งอยู่ที่ขอบอ่างในมือถือผ้าขนหนูเตรียมเช็ดตัวให้ลูก ใจหายอย่างแรงทันทีที่เด็กชายถอดเสื้อนอนออก รอยช้ำเป็นจ้ำที่ไหล่สองข้างเป็นรอยมือเห็นได้ชัด นึกถึงหญิงสาวออกแรงกดไหล่ลูกไว้ไม่ยอมให้ลุกจากเตียง เธอคงออกแรงอย่างหนักโดยไม่สนใจว่าลูกจะเจ็บหรือเปล่า

            ชายหนุ่มแตะรอยช้ำที่ไหล่เล็กเบาๆ

            “เจ็บมั้ยลูก..”

            รอยส่ายหน้าแต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อถูกพ่อกดเบาๆ ก้มลงดูถึงเห็นรอยช้ำที่ไหล่ตัวเอง เด็กชายรู้ทันทีว่าเป็นรอยช้ำจากแรงกดของมือมารดา แต่หนูน้อยก็ฉลาดพอที่จะไม่ทำให้พ่อเสียความรู้สึกกับแม่โดยใช่เหตุ

            “ไม่รู้ว่าถูกอะไรครับพ่อ  ไม่เป็นไรหรอก  ผมไม่เจ็บ”

            “ลูกไม่รู้แน่เหรอว่าถูกอะไร”

            หนุ่มน้อยต้องหลบสายตาลง  รู้ว่าพ่อกำลังต้องการให้พูดความจริง

            “สงสัยตอนแม่กดไม่ให้ลุกขึ้นมั้ง  แต่ผมไม่เจ็บนะฮะ พ่อ”    

            “แล้วลูกร้องไห้ทำไมล่ะครับ”  ชายหนุ่มย้อนถาม

            “ผมร้องไห้คิดถึงพ่อต่างหาก ผมกลัวพ่อกลับไปไม่พาผมไปด้วย ผมเป็นลูกผู้ชายเจ็บนิดเดียวผมไม่ร้องไห้หรอกครับ  พ่อเคยสอนไว้ผมจำได้ เจ็บตัวผมทนได้แต่คิดถึงพ่อผมทนไม่ได้ครับ”

            เด็กชายพูดจบก็ถูกผู้เป็นพ่อรั้งตัวเข้าไปกอดโดยที่เจ้าตัวไม่มีโอกาสรู้ว่าพ่อกำลังคิดอะไรอยู่

            ......พ่อก็เหมือนกัน.. พ่อไม่เคยกลัวอะไรเลย แต่วันนี้พ่อรู้ซึ้งแล้วว่าตัวเองกลัวอะไรที่สุด    พ่อกลัวที่จะต้องคิดถึงลูก......

            หลังทานกลางวันรอยถูกพ่อบังคับให้ทานยาและนอนพักผ่อน เด็กชายนอนพลิกตัวไปมานานกว่า 10 นาทีแล้วก็ยังไม่หลับ รังสรรค์ยืนกอดอกมองอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นลูกชายจ้องมองเขาด้วยสายตาอ้อนวอน

            “พ่อครับ.. มานอนด้วยกันซี..”

            ชายหนุ่มทรุดตัวลงบนเตียงและเอนลงนอนท้าวแขนข้างๆ ร่างเล็กหันมาสวมกอดเขาทันที

            “ไม่อยากนอนเลยครับพ่อ  อยากคุยกับพ่อมากกว่า”

            “ตื่นขึ้นมาค่อยคุยก็ได้นี่ครับ”

            “งั้นพ่อต้องร้องเพลงให้ผมฟังนะ”

            รังสรรค์พยักหน้ามือเสยผมเด็กชายไปมาอย่างแผ่วเบา และฮึมเพลงโปรดที่เขาใช้ร้องกล่อมมาตั้งแต่อายุ 3 ขวบ  เพียงไม่ถึง 5 นาที หนุ่มน้อยก็หลับสนิทเพราะฤทธิ์ยาผสมกับความเพลียจากอาการไข้

            รังสรรค์มองดูลูกชายหลับสนิทอยู่ตรงหน้าอย่างสะท้อนใจ สองวันในหนึ่งสัปดาห์มันน้อยเหลือเกิน ไม่คิดเลยว่าการแยกทางระหว่างเขาและเธอตามกฎหมาย จะทำให้เขาและลูกต้องถูกแยกจากกันด้วย   มันเจ็บปวดทรมานและโหยหาอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

            แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าเด็กชายที่เป็นแก้วตาดวงใจของรังสรรค์ในวันนี้จะกำเนิดขึ้นมาด้วยความไม่ตั้งใจของเขาและเธอ    จนเป็นเหตุให้ชีวิตคู่ระหว่างคนทั้งสองเริ่มต้นขึ้นด้วยความจำเป็น ช่วงเวลาเพียงแค่ปีเศษทั้งรังสรรค์และวิภาวีต่างก็รู้ว่าไม่สามารถดำเนินชีวิตร่วมกันได้  แต่เพื่อลูกทำให้เขาต้องอดทนพยายามประคับประคองชีวิตคู่ให้ดำเนินไปจนถึงที่สุด ทว่า....อุปนิสัยที่เข้ากันไม่ได้และความไม่เข้าใจระหว่างกันที่สั่งสมมากขึ้นเรื่อยๆ  ทำให้ความอดทนถึงจุดสิ้นสุดเมื่อเด็กชายอายุได้ 4 ขวบ

            วิภาวียื่นข้อเสนอขอแยกทางจากรังสรรค์ไปเป็นอิสระทางพฤตินัยก่อน โดยอ้างว่าเขาจะได้มีสิทธิอยู่กับลูกเหมือนเดิม แต่หากแยกทางกันตามกฎหมายแล้ว เขาก็อาจจะไม่มีสิทธิดูแลลูกหรือมีเวลาอยู่กับลูกได้เหมือนทุกวันนี้ 

            รังสรรค์ยอมจำนนกับข้อเสนอของเธอเพราะต้องการให้ลูกอยู่กับเขา  แม้ในช่วงเวลาหลังจากนั้นเขาจะต้องรู้สึกละอายกับการกระทำหลายๆ อย่างของเธอก็ตาม

            เป็นเวลานานกว่า 3 ปี ที่วิภาวีประพฤติตัวเหมือนสาวโสด  ระยะแรกเธอไปๆ มาๆ เพื่อพบปะลูกอย่างสม่ำเสมอ แต่นานวันเข้าก็เริ่มเหินห่าง บางครั้งเกือบเดือนถึงจะแวะมาหาสักครั้ง ภาระการเลี้ยงดูลูกน้อยจึงตกเป็นหน้าที่ของชายหนุ่ม เขาทุ่มเทความรักและเวลาทั้งหมดที่มีให้กับลูก เพื่อไม่ให้หนูน้อยรู้สึกว่ามีอะไรขาดหายไป เด็กชายถามหาแม่อยู่บ้างแต่ระยะหลังก็ไม่ได้สนใจที่จะถามถึงอีกเหมือนมีความสุขเพียงพอแล้วกับการได้อยู่กับพ่อ

            จนเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา วิภาวีขอหย่าขาดจากเขาตามกฎหมายเพราะต้องการมีครอบครัวใหม่  และขอลูกไปอยู่ด้วยโดยอ้างว่าเขามีเวลาอยู่กับลูกมานานแล้ว  ต่อไปนี้ลูกจะต้องอยู่กับเธอบ้าง

            รังสรรค์แทบช็อคเพราะไม่ได้ทำใจไว้ล่วงหน้ามาก่อน จู่ๆ วิภาวีก็ยื่นข้อเสนอที่โหดร้ายกับเขาโดยการขอลูกไปอยู่ด้วย  ทั้งยังอ้างและยืนยันว่าสามีใหม่ของเธอรักและเอ็นดูรอย  อยากได้เด็กชายไปอยู่ด้วยเพราะเขามีแต่ลูกสาว

            ข้อเสนอของเธอสร้างความเจ็บปวดและแค้นใจให้กับรังสรรค์อย่างมาก  เพราะตลอดเวลาสามปีที่เธอและเขาแยกทางกันโดยพฤตินัยนั้น  เขายังคงส่งเสียให้เธอได้มีชีวิตที่สุขสบาย  เธอจะไปมีใครหรือมีครอบครัวใหม่ที่ไหนเขาก็ไม่ใส่ใจ แต่วิภาวีกลับมาทำร้ายเขาโดยการอ้างสิทธิของความเป็นแม่เอาลูกไปอยู่ด้วย เมื่อเขาไม่ยอมเธอจึงขออำนาจศาลเป็นผู้เลี้ยงดูบุตร แม้เขาจะยื่นขอตามไปก็ต้องพ่ายแพ้และยอมจำนนกับความจริงที่ว่า หากพ่อแม่แยกทางกันผู้เป็นแม่จะมีสิทธิในการเลี้ยงดูบุตรก่อนเสมอ  เขาจึงได้รับสิทธิเพียงแค่พาลูกกลับมาอยู่ด้วยในวันเสาร์และอาทิตย์เท่านั้น

            เหตุการณ์แย่งชิงขออำนาจการเลี้ยงดูบุตรจากศาลเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา จนถึงวันที่รอยต้องพรากจากอกพ่อ   ความรู้สึกของเด็กชายไม่รับรู้และไม่เข้าใจสิทธิตามกฎหมายใดๆ  ทั้งสิ้น หนูน้อยรู้แต่เพียงว่าเคยอยู่กับพ่อมา...ทำไมอยู่กับพ่อเหมือนเดิมไม่ได้... ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นถึงแม่ไม่อยู่กับพ่อรอยก็ยังอยู่กับพ่อตลอดมา...   ทำไมแม่ถึงพารอยไปอยู่ในที่ๆไม่มีพ่อและยังพยายามบังคับให้รักผู้ชายคนอื่นเหมือนพ่ออีก...

            กว่า 3 สัปดาห์ที่จากพ่อไปเด็กชายนอนหลับและฝันร้ายตลอด ผวาตื่นกลางดึกทีไรต้องร้องไห้คิดถึงพ่อเกือบทุกคืน ในขณะที่สภาพจิตใจของผู้เป็นพ่อก็ไม่ต่างจากลูกเท่าไร  ตั้งแต่รอยจากไปรังสรรค์นอนไม่หลับคิดถึงลูกจนบางครั้งน้ำตาไหลไม่รู้ตัว ไม่นึกเลยว่าการคิดถึงลูกจะรู้สึกทรมานและเจ็บร้าวในหัวอกมากขนาดนี้

            ทันทีที่ชายหนุ่มปิดวิทยุและดับเครื่องรถเสียงร้องของลูกก็ดังแว่วเข้ามา คิ้วเข้มขมวดมุ่น ห้าทุ่มกว่าแล้ว... เวลานี้ลูกน่าจะหลับปุ๋ยไปแล้วทำไมถึงยังร้องโยเยแบบนี้  วิภาวีทำอะไรอยู่...ทำไมปล่อยให้ลูกร้อง.....หรือว่าตาหนูไม่สบาย…

            รังสรรค์รีบเดินเข้าบ้านและตรงไปหาลูกที่ห้อง  แม่บ้านและสาวใช้กำลังหาวิธีปลอบคุณหนูซึ่งร้องโยเยอยู่โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

            “คุณวิล่ะ” เป็นคำถามแรกของชายหนุ่มเมื่อพบว่าผู้เป็นแม่ไม่ได้อยู่ดูแลลูกเอง

            “คุณผู้หญิงไม่อยู่ค่ะ  ออกไปงานเลี้ยงตั้งแต่เย็น”  แม่บ้านรายงานให้ทราบ

            “อะไรนะ.. ไปงานเลี้ยง.... ทำไมไม่โทรบอกผมเลยว่าจะไป” 

            “เอ่อ.. ไม่ทราบซีคะ โอ๋... อย่าร้องนะคะคุณหนูคนเก่ง”

แม่บ้านยังคงพยายามหาวิธีปลอบหนูน้อย  ส่วนสาวใช้เดินเลี่ยงไปอีกทางเมื่อเห็นสีหน้าคุณผู้ชายไม่สบอารมณ์เมื่อรู้ว่าคุณผู้หญิงไม่อยู่

            รังสรรค์อารมณ์เสียอย่างแรงจนต้องยืนทำใจอยู่ชั่วครู่  นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หญิงสาวทิ้งลูกไว้แล้วออกไปสนุกข้างนอก  แต่เป็นครั้งแรกที่ไปโดยไม่โทรบอกเขา  คงกลัวว่าหากโทรบอกก็จะถูกเขาห้าม

            ชายหนุ่มเดินเข้าไปรับลูกมาอุ้มไว้

            “ผมดูลูกเอง ไปพักผ่อนกันเถอะ”

            แม่บ้านและสาวใช้ช่วยกันเก็บข้าวของที่เกลื่อนรกอยู่ให้เข้าที่เข้าทางและพากันออกจากห้อง

            หนูน้อยซึ่งร้องโยเยตลอดสองชั่วโมงที่ผ่านมาเงียบเสียงลงเมื่อเปลี่ยนมือไปอยู่ในอ้อมกอดพ่อได้ไม่ถึงนาที  รังสรรค์เพียงแค่อุ้มลูกซบที่ไหล่และตบก้นหนูน้อยเบาๆ เท่านั้น

            รังสรรค์สะดุ้งตื่นดันร่างหญิงสาวที่เข้ามานอนเบียดกระแซะออก ขยับตัวขึ้นดูเวลาที่หัวเตียงก่อนหันมาสำรวจร่างเพรียวบางอีกครั้ง แม้จะอยู่ในชุดนอนแล้วแต่ดูสภาพเหมือนเพิ่งกลับเพราะท่าทางยังไม่สร่างเมา

            “นี่เวลาอะไรแล้ววิภาวี..”

            “ตีสองเองค่ะที่รัก.. ยังไม่เช้าหรอก กลับไปที่ห้องกันเถอะ ลูกหลับแล้วไม่ต้องนอนเฝ้าหรอกค่ะ”

            รังสรรค์ส่ายหน้ากับหญิงสาวตรงหน้า เธอช่างไม่รู้ตัวเลยว่าทำอะไรที่ไม่ถูกต้องลงไปบ้าง

            “รังสรรค์ คุณอย่ามองวิอย่างนี้ซีคะ เพื่อนโทรมาชวนไปงานกระทันหัน วิเห็นว่าเย็นแล้วก็เลยไม่ได้โทรไปบอกคุณ  แต่ก็ฝากป้าสายช่วยดูลูกแล้วนะคะ..”

            วิภาวีพูดจบก็เข้ามากระแซะสามีผลักร่างสูงใหญ่นอนลง

            รังสรรค์นั่งนิ่งในขณะที่หญิงสาวพยายามปลุกเร้าเขาด้วยวิธีต่างๆ  ความรู้สึกของเขาต่อวิภาวีในวันนี้เหมือนไฟที่กำลังจะดับมอดลงแล้วหรืออย่างไร ทำไมเขาถึงไม่มีอารมณ์สนองตอบเลย ทั้งๆที่เขาและเธอเพิ่งจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้ไม่ถึง 2 ปี  

            “ตายอดตายอยากมาจากไหนเหรอ  วิภาวี...”

            คำพูดเย็นชาของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวชะงัก

            “รังสรรค์.. ถ้าคุณคิดว่าวิตายอดตายอยาก..  ก็แสดงว่าคุณตายด้านแล้วรู้มั้ยคะ ”

            รังสรรค์พยายามสงบสติอารมณ์พูดอย่างใจเย็น

            “เธอควรจะเอาเวลาอยู่ดูลูกบ้างนะวิ.. นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอทำตัวอย่างนี้ เธอควรทำหน้าที่ของแม่ให้ดีกว่านี้”

            “คุณจะให้วิอยู่บ้านเลี้ยงลูกทั้งวันทั้งคืนโดยไม่ต้องเข้าสังคมกับเพื่อนฝูงเลยหรือคะ”

            “เธอต้องเข้าสังคมในเวลากลางคืนและกลับบ้านในเวลานี้ทุกครั้งเลยงั้นเหรอ  เธอทำถูกแล้วหรือวิภาวี..”

            “พอเถอะค่ะ  วิไม่อยากฟังอีกแล้ว”  วิภาวีเสียงดังขึ้นจนทารกน้อยในเตียงตกใจตื่นเริ่มร้องโยเย

            รังสรรค์นิ่งมองหญิงสาวซึ่งยังคงนิ่งเฉยไม่สนใจกับเสียงร้องของลูกซึ่งเริ่มดังขึ้น  วิภาวีนั่งนิ่งอยู่ชั่วครู่ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่ประตู

            “จะไปไหน”     รังสรรค์ร้องถาม 

            หญิงสาวหันมาตอบด้วยน้ำเสียงกระชาก

            “จะไปนอนค่ะ คุณเป็นพ่อ..ก็ดูลูกเองซี  ถ้าคุณจะให้วิ ทำหน้าที่แม่ ให้ดี คุณก็ควรจะ ทำหน้าที่ของสามี  ให้ดีก่อน”

            ก่อนปิดประตูวิภาวีหันมายืนยันอีกประโยคอย่างหนักแน่น

            “โดยเฉพาะในคืนนี้ถ้าคุณไม่ทำหน้าที่ของสามีที่ดี ก็อย่าหวังว่าจะให้วิทำหน้าที่แม่ให้ดีอีกต่อไปเลย”

            “ให้ตายเถอะ !!! ”

            รังสรรค์สบถออกมาด้วยอารมณ์ฉุนก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่เตียงจัดการเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก ทารกน้อยวัย 10 เดือนนอนหลับปุ๋ยต่อเมื่อรู้สึกสบายตัว

            ชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่ข้างเตียงและถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนจะก้มลงจูบพวงแก้มเนียนนุ่มของทารกน้อยและกระซิบเบาๆ

            “เดี๋ยวพ่อกลับมานอนด้วยนะลูก พ่อมีหน้าที่ต้องไปทำก่อน... ทุกอย่างที่พ่อทำก็เพื่อลูกของพ่อคนเดียว...”

            เนื่องจากลูกยังเล็กเกินกว่าจะขาดความอบอุ่นจากผู้เป็นแม่ได้    รังสรรค์จึงพยายามอดทนกับพฤติกรรมของวิภาวีเพื่อเห็นแก่ลูก ทุกครั้งที่เขาดุว่า เธอก็จะทำตัวดีขึ้น แต่เพียงแค่ไม่กี่วันก็จะกลับไปเหลวไหลเหมือนเดิม  ชายหนุ่มไม่ชอบพูดมากและอ้อมค้อม หากต้องการให้ทำอะไรเขาจะพูดตรงๆ เสมอ  ดังนั้นเมื่อรอยอายุได้ 2 ขวบกว่า พอที่จะรู้ความและถามหาแม่แล้ว เขาจึงต้องหาทางหยุดพฤติกรรมของเธอ

            “เมื่อไรจะเลิกสังคมกลางคืนซะที วิภาวี..”

            “วิเลิกเลยไม่ได้หรอกค่ะรังสรรค์  วิจะลดลงให้น้อยกว่านี้แต่มีข้อแลกเปลี่ยนนะคะ”

            วิภาวีกระซิบข้อแลกเปลี่ยนให้รังสรรค์ฟัง  ชายหนุ่มถึงกับอึ้งจนทำให้หญิงสาวหัวเราะ

            “ทำไม่ได้ใช่มั้ยคะ วิรู้อยู่แล้วว่าคุณทำไม่ได้เพราะคุณไม่เอาไหน คุณเกือบจะตายด้านอยู่แล้ว ทั้งที่คุณยังหนุ่มแน่นอยู่แท้ๆ”

            เธอขอให้รังสรรค์ทำหน้าที่สามีทุกคืน ถึงจะยอมปรับปรุงตัวและทำหน้าที่แม่ให้ดีขึ้น 

            “เฉพาะกับเธอเท่านั้นวิภาวี.. ให้มากกว่านี้สำหรับเธอแล้วฉันฝืนใจไม่ได้..  ทุกวันนี้ฉันทำทุกอย่างตามหน้าที่เท่านั้น”

            รังสรรค์เดินจากไปทันทีที่พูดจบ ปล่อยให้หญิงสาวยืนอึ้งด้วยความโกรธ จะร้องออกมาก็ไม่ได้ เพราะลูกชายเพิ่งนอนหลับไปด้วยฝีมือการกล่อมของเธอ หากทำให้ลูกตกใจตื่น  เธอก็เหนื่อยแรงฟรีที่อุตส่าห์กล่อมจนลูกยอมหลับ

 

            “รังสรรค์  คุณไปไหนกับใครเมื่อตอนบ่ายคะ” 

            วิภาวีส่งเสียงดังถามชายหนุ่มต่อหน้าเด็กชายซึ่งกำลังนั่งเล่นรถไฟอยู่กับพ่อ โดยสองพ่อลูกกำลังช่วยกันต่อรางรถไฟอยู่ หนูน้อยตกใจสะดุ้งเฮือก  เงยหน้าขึ้นมองหน้าแม่และกลับมามองพ่ออีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นวิ่งมาสวมกอดรังสรรค์  ในมือยังถือรางรถไฟ 1 ท่อน

            รังสรรค์กอดหนูน้อยไว้เริ่มไม่พอใจวิภาวีที่ทำให้ลูกตกใจ แต่เจ้าตัวกลับไม่สนใจยังคงส่งเสียงดังเกรี้ยวกราดต่อไปด้วยอารมณ์โกรธ

            “กับวิคุณทำเป็นไม่มีอารมณ์ตอบสนอง  อ้างว่าทำทุกอย่างเพราะหน้าที่  สาวที่คุณพาไปทานอาหารเมื่อกลางวันคงวิเศษมากซีนะคะ  พากันไปจบลงที่โรงแรมไหนล่ะ”

            รังสรรค์ปิดหูลูกไว้ไม่อยากให้ได้ยินเสียงแว้ดและคำพูดที่หยาบคายของแม่  เมื่อวิภาวีพูดจบชายหนุ่มจึงกระซิบบอกหนูน้อย

            “รอยครับ นั่งเล่นคนเดียวก่อนนะเดี๋ยวพ่อมา พ่อไปคุยธุระกับแม่เดี๋ยวเดียวนะลูก”

รังสรรค์หอมแก้มลูกหนึ่งฟอดก่อนจะลุกขึ้นตรงมาจับแขนหญิงสาวดึงตัวออกมา

            “โอ๊ย.... เบาๆ ซีคะ วิเจ็บนะ”

            “เธอจะเจ็บกว่านี้แน่ ถ้าทำให้ลูกตกใจอีกครั้ง”  รังสรรค์กัดฟันพูดด้วยสีหน้าและสายตาที่แข็งกร้าว  ซึ่งเขาไม่ค่อยแสดงออกบ่อยนักถ้าไม่โกรธถึงที่สุดจริงๆ  ทำให้วิภาวีเสียงอ่อยลง

            “คุณห่วงลูกรักลูกแต่คุณไม่เคยสนใจวิเลย  แถมยังควงสาวคนอื่น หมายความว่ายังไงคะ”

            “คิดว่าผู้หญิงคนอื่นเหมือนเธอหรือวิภาวี..  อย่ามาแสดงความหึงหวงอย่างไม่มีเหตุผลกับฉัน คนอย่างฉันถ้าจะคบใคร คบทีละคน  ถ้าฉันจะมีใครใหม่  นั่นหมายถึงฉันไม่มีเธอแล้ว จำไว้! ”

            “ดี.. ในเมื่อคุณเริ่มต้นที่จะคบกับใครแล้ว วิก็มีสิทธิ์ที่จะเริ่มต้นคบหาใครใหม่ได้เหมือนกัน”

            หลังจากคืนนั้นวิภาวีก็ขอแยกห้องนอนออกมา ทั้งสองแยกกันอยู่และเหินห่างกันมากขึ้น มีเพียงเด็กชายเท่านั้นที่วิภาวียังคงปฏิบัติหน้าที่แม่ให้เท่าที่อารมณ์และเวลาของเธอจะมีให้  วิภาวีฉลาดพอที่จะทำดีกับลูกไว้บ้างเพราะหล่อนรู้ว่าลูกเป็นชีวิตและจิตใจของเขา และเพื่อให้หล่อนยังสามารถคงฐานะคุณผู้หญิงในบ้านไว้

            แต่ถึงกระนั้นเวลาของเด็กชายส่วนใหญ่ก็จะอยู่กับผู้เป็นพ่อเสียมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน หรือแม้แต่ในเวลาที่เด็กชายไม่สบาย พ่อ จะเป็นคนที่เด็กชายเรียกหาก่อน แม่ เสมอ...

            และเมื่อรอยอายุได้ 4 ขวบ  วิภาวีซึ่งเบื่อกับสภาพที่ต้องอดทนอยู่เพื่อลูก กลับดึกทุกครั้งต้องถูกมองด้วยสายตาเหยียดหยามจากรังสรรค์   แม้ทุกวันนี้เขาจะเลิกว่ากล่าวเธอแล้ว แต่สายตาที่เขามองเธอเฉือนใจยิ่งกว่าคำพูดเสียอีก   เธอจึงตัดสินใจขอแยกทางจากรังสรรค์ไปเป็นอิสระทางพฤตินัย โดยอ้างว่าจะได้ไม่กระทบถึงสิทธิ์ที่เขาจะได้อยู่กับลูก ตั้งแต่วิภาวีแยกจากไป รังสรรค์ทุ่มเทเวลาที่เขามีให้กับรอยทั้งหมดเพื่อไม่ให้เด็กชายรู้สึกว่ามีอะไรขาดหายไป

 

            ที่สวนสาธารณะของหมู่บ้าน….. ตอนรอยอายุได้ 5 ขวบ

รังสรรค์พาลูกชายไปวิ่งออกกำลังกาย ภาพของพ่อแม่ลูกอยู่กันพร้อมหน้าทำให้เด็กชายจ้องมองตาแป๋ว  แต่ไม่ยอมปริปากออกความเห็นกับพ่อ  รังสรรค์สังเกตุกิริยาของลูกโดยตลอด เข้าใจจิตใจของเด็กชายดีว่าไม่อยากจะพูดหรือเอ่ยถึงแม่ให้เขาได้ยิน

            “รอยครับ เหนื่อยหรือยัง พักกันก่อนมั้ย”

            เด็กชายพยักหน้า รังสรรค์จึงพาลูกไปนั่งพักที่เก้าอี้ริมทะเลสาบ  อดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นหนูน้อยหายใจถี่หอบ  เขาก้มลงแนบหูกับหน้าอกหนูน้อย

            “เหนื่อยใช่มั้ยครับ หัวใจเต้นตุ้บตั้บเลย”  เด็กชายพยักหน้าและยิ้มให้พ่อ 

ชายหนุ่มเสยผมและเช็ดเหงื่อให้ลูก  ก่อนจะจูบเบาๆ ที่หน้าผากและแก้ม  นั่งพักกันพอหายเหนื่อยรังสรรค์จึงเริ่มเข้าเรื่อง

            “รอยครับ  ลูกมีอะไรข้องใจอยากจะถามพ่อมั้ย”

            เด็กชายนิ่งคิดก่อนจะพยักหน้า

            “แม่จะไม่กลับมาอยู่กับ เรา อีกแล้วใช่มั้ยฮะพ่อ..”

            รอยใช้คำว่า เรา แทนคำว่า พ่อ เป็นเพราะชีวิตของพ่อคือชีวิตของรอยด้วย  รอยและพ่อเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน แยกจากกันไม่ได้หรอก

            รังสรรค์ยิ้มกับคำถามของลูก เขาช้อนร่างเล็กลงมานั่งที่ตักและสวมกอดไว้

            “แม่ของลูกกับพ่อคงกลับมาอยู่ร่วมกันอีกไม่ได้  แต่กับลูก..แม่เขาคง.....”

            รังสรรค์ยังพูดไม่จบเด็กชายก็ยกมือปิดปากเขาและพูดขัดขึ้น

            “ถ้าแม่อยู่กับพ่อไม่ได้...แม่ก็อยู่กับรอยไม่ได้หรอกครับ เพราะรอยต้องอยู่กับพ่อ รอยไม่มีแม่ก็ได้... แต่รอยไม่มีพ่อไม่ได้ครับ  รอยรักพ่อมากกว่า….”

รังสรรค์กอดลูกแน่นแม้จะรู้สึกปลื้มใจและดีใจกับความรู้สึกที่ลูกมีต่อเขา  แต่ก็อดเสียใจไม่ได้ที่ชีวิตครอบครัวของลูกไม่สมบูรณ์เหมือนเด็กคนอื่นๆ        

            เย็นวันอาทิตย์…

            “รอย.. เปิดประตูครับ เปิดประตูให้พ่อเร็ว” 

            ชายหนุ่มเคาะประตูห้องน้ำซึ่งเด็กชายเข้าไปแอบเพราะใกล้เวลาที่เขาจะต้องพากลับไปส่งที่บ้านแม่

            เงียบ...... ไม่มีเสียงตอบจากหนูน้อย

            “อย่าทำแบบนี้นะรอย ถ้าลูกไม่กลับ พ่อจะพาลูกมาอีกได้ยังไง ถ้าเราไม่ทำตามข้อตกลง เราก็อาจจะไม่ได้อยู่ด้วยกันอีก รอยไม่อยากมาอยู่กับพ่อแล้วเหรอ..”

            ประตูเปิดออกเด็กชายยืนน้ำตาไหลอาบแก้ม โผเข้ากอดพ่อทันทีที่เห็นหน้า ชายหนุ่มพาลูกมานั่งปลอบที่เตียง

            “พ่อจ๋า..ผมไม่อยากกลับไป ผมอยากอยู่กับพ่อ ทำไมผมต้องอยู่ที่นั่นด้วยล่ะครับ ”

            รังสรรค์นิ่งอึ้งอย่างปวดใจ  เพราะเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า..ทำไม..

            “แม่เค้าก็อยากอยู่กับลูกเหมือนกับพ่อน่ะซีครับ อยู่กับแม่บ้างแล้วก็มาอยู่กับพ่อบ้างก็ดีแล้วนะ รอย..”

            “ไม่จริงครับพ่อ แม่ไม่ได้อยากอยู่กับผม แม่ไม่เคยนั่งคุยกับผม ไม่เคยกอดไม่เคยเข้ามาดูผมนอนหลับ  แม่อยู่กับลุงผู้พันทั้งวัน แล้วเอาผมไปอยู่ด้วยทำไมก็ไม่รู้ ผมเหงา ผมคิดถึงพ่อด้วย ผมไม่มีความสุขเลย....”  เด็กชายสะอื้นไห้ระบายความในใจให้พ่อฟัง

            ชายหนุ่มสะอึกกับพฤติกรรมของวิภาวีที่ปฏิบัติกับลูก สงสารลูกจับใจ จริงของรอย เธอเอาเขาไปอยู่เพื่ออะไร.....

            “ไม่เป็นไรนะครับรอย อาทิตย์หน้าลูกเปิดเทอม มีเวลาอยู่ที่โรงเรียนลูกก็ไม่เหงาแล้ว และพ่อก็จะไปหาลูกที่โรงเรียนทุกวันเลยดีมั้ยครับ”

รังสรรค์พยายามหาทางปลอบลูกพร้อมๆ กับปลอบใจตัวเองไปด้วย  ซึ่งก็ได้ผลเด็กชายรู้สึกดีขึ้นทันทีเหมือนมีความหวังในชีวิตขึ้นมาอีก

            “จริงๆ นะครับพ่อ พ่อจะไปหาผมที่โรงเรียนทุกวันจริงๆ นะ”

            “จริงซีครับ พ่อเคยพูดไม่จริงกับลูกเหรอ”

            “ผมอยากให้เปิดเทอมเร็วๆ จังเลย  จะได้มีเวลาอยู่กับพ่อมากกว่า 2 วัน”

            รอยโอบกอดคอพ่อและซุกหน้าลงกระซิบเบาๆ 

            “ผมรักพ่อครับ รักพ่อคนเดียว รักที่สุดในโลกเลย ผมพูดจริงๆ ผมไม่ได้ปากหวาน”

            รังสรรค์กอดลูกชายแน่นและกระซิบตอบเช่นกัน

            “พ่อก็เหมือนกันครับ คิดถึงลูกคนเดียว รักลูกที่สุดในโลก พ่อพูดจริงๆ เหมือนกันนะ”

            ความรู้สึกที่สองพ่อลูกมีให้กันมากมายเกินคำบรรยายจริงๆ หากแต่ความรู้สึกของผู้เป็นแม่ที่มีต่อลูกเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของความรู้สึกของชายหนุ่มเท่านั้น

            รอยถูกรังสรรค์จับแต่งตัวและให้นั่งคอยสักครู่เพื่อให้เขาได้อาบน้ำและแต่งตัวบ้าง  ชายหนุ่มออกจากห้องน้ำเห็นลูกนั่งนิ่งอยู่ที่เตียงในมือถือกรอบรูปจ้องมองไม่วางตา  เพียงไม่ถึง 5 นาทีเขาก็อยู่ในสภาพที่พร้อมจะไปส่งลูกชาย จิตใจเริ่มรู้สึกแย่ลงขนาดเขายังรู้สึกไม่ต้องเอ่ยถามเด็กชายเลยว่ารู้สึกอย่างไร

            อยู่ในรถรอยนั่งนัวเนียและสวมกอดพ่ออยู่ที่ตอนหลัง วันนี้รังสรรค์ไม่ได้ขับรถเองเพราะอยากนั่งกอดลูกมากกว่า  จึงให้นายมั่นซึ่งเป็นทั้งคนสวนและคนรถเป็นคนขับ

            รังสรรค์เพิ่งสังเกตุเห็นว่าลูกชายถือรูปเขาติดมือมาด้วยจึงแกล้งถามทั้งที่รู้

            “รูปใครหรือครับ”

            “เป็นเทวดาในดวงใจผมครับ” เด็กชายตอบพ่อเบาๆ

            “ขอพ่อดูหน่อยได้มั้ย”

            เด็กชายหงายรูปให้เขาดูและยิ้มให้ รังสรรค์โน้มศีรษะลูกชายเข้ามาใกล้และกระซิบถาม

            “ลูกจะเอาไปไว้ที่ไหนเหรอ หือ…. ”

            “เอาไว้ใต้หมอนครับพ่อ  มีพ่ออยู่ใกล้ๆ ผมจะได้ไม่นอนฝันร้ายอีก”

 

            อีกครั้งหนึ่งที่รังสรรค์ต้องกอดลูกไว้แน่นก่อนที่เด็กชายจะเดินเข้าบ้าน

            “รอย... ลูกต้องไม่ฝันร้ายอีกนะครับ ลูกมีพ่ออยู่ในดวงใจตลอดเวลาอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วงนะ พ่อจะหาวิธีที่จะได้อยู่ใกล้ชิดลูกให้มากที่สุด พ่อสัญญา เสาร์หน้าพ่อจะมารับลูกแต่เช้า รอพ่อนะครับ”

            “ครับพ่อ  ผมจะนับวันรอเลย”

รอยหอมแก้มพ่อและถูกหอมกลับคืนในเวลาเดียวกัน  ร่างเล็กหันหลังเดินกลับเข้าไปในบ้านทิ้งให้ผู้เป็นพ่อมองตามด้วยความรู้สึกปวดร้าว.

 

 

แนะนำติชมได้ที่บอร์ดนิยายนะคะ...................
www.clik.to/miracle
1