J_muay

สายสัมพันธ์

 


สั พั ธ์   

+++++++++++++++++++++++++++++++++++

            เป็นเวลากว่า 3 เดือนแล้วที่สองพ่อลูกต่างตกอยู่ในสภาพโหยหาและรอคอยซึ่งกันและกัน  ทุกวันเสาร์และอาทิตย์จะเป็นวันที่มีค่ามากที่สุดสำหรับคนทั้งสอง ชายหนุ่มต้องเปลี่ยนพฤติกรรมหลายๆ อย่าง  เขาไม่รับงานหรือทำภารกิจส่วนตัวในวันสุดสัปดาห์โดยเด็ดขาด เวลาทั้งสองวันมีไว้สำหรับลูกชายโดยเฉพาะ   ส่วนในวันธรรมดาหากมีงานที่ต้องใช้เวลาจนมืดค่ำขนาดไหนก็ไม่เกี่ยง และถ้าเป็นไปได้เขาพยายามทำงานอย่างหนักในช่วงเวลากลางวัน เพื่อให้สมองรู้สึกเหนื่อยและเครียดพอที่จะทำให้เขาลืมหรือหลับสนิทไปในตอนกลางคืนโดยไม่ต้องโหยหาและคิดถึงลูกชายที่รักของเขา

            แม้เวลาจะผ่านไปหลายสัปดาห์จนเกือบจะเริ่มคุ้นชินกับพฤติกรรมเช่นนี้   สองพ่อลูกก็ยังคงรู้สึกหดหู่ทุกวันอาทิตย์ตอนเย็นเมื่อใกล้เวลาที่จะต้องจากกัน  และจะรู้สึกหัวใจพองโตในเย็นวันศุกร์เพราะพรุ่งนี้เช้าจะได้พบกับคนที่รัก ทั้งเขาและลูกจะเป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่จะได้พบหรือต้องจากกันไป   แม้ว่าทั้งสองจะได้มีโอกาสพบกันบ่อยครั้งขึ้นในเวลาพักเที่ยงของโรงเรียน แต่ก็เป็นเวลาเพียงน้อยนิดเหลือเกิน...

            รังสรรค์นั่งคอยลูกชายที่จุดนัดพบระหว่างเขากับลูก วันนี้เขามาถึงโรงเรียนเร็วกว่าปกติเกือบครึ่งชั่วโมงเพราะรู้สึกคิดถึงลูกมาก การได้มาอยู่ใกล้ลูกที่โรงเรียน แม้จะยังไม่ได้เห็นหน้าแต่ก็ช่วยบรรเทาความคิดถึงลงไปได้บ้าง

            เที่ยง 10 นาทีแล้วเด็กชายยังไม่ลงมา ปกติพักเที่ยงปุ๊บรอยก็จะตรงมาหาเขาก่อนแล้วค่อยพาเขาไปทานอาหารกลางวันที่โรงอาหารของโรงเรียน

            เด็กนักเรียนชายคนหนึ่งวิ่งตรงมาหาเขา  รังสรรค์จำได้ว่าเป็นเพื่อนของลูก เขารับไหว้เด็กชายก่อนจะถามหารอย

            “หวัดดีครับน้องแจ๊บ  เห็นรอยมั้ยครับ ทำอะไรอยู่ทำไมวันนี้ลงมาช้าจัง”

            เด็กชายป้องปากกระซิบตอบ

            “รอยเข้าส้วมฮะ   ให้ผมมาบอกคุณอาว่ารอแป๊บนึง”

            รังสรรค์อดยิ้มไม่ได้กับท่ากระซิบกระซาบของเด็กชาย

“ขอบใจนะครับที่มาบอกอา”

            เด็กชายยกมือสวัสดีเขาอีกครั้งก่อนวิ่งจากไป

            ชายหนุ่มนั่งรออีกสักพักก็เห็นลูกเดินหน้ามุ่ยเข้ามาหา แต่ก็ไม่ละเลยสิ่งที่ต้องปฏิบัติทุกครั้งที่ได้เจอพ่อ รอยตรงเข้ามาสวมกอดและหอมแก้มเขาก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆ  รังสรรค์กระซิบถามเบาๆ

            “ลูกพ่อเป็นอะไรครับ หน้ามุ่ยเชียว”

            รอยนิ่งเงียบไม่ยอมตอบคำถามของเขา  รังสรรค์จึงย้อนถามกลับไปใหม่

            “ลูกเข้าห้องน้ำนานเลย เรียบร้อยหรือเปล่าครับ”

            เด็กชายก้มหน้างุดพร้อมกับส่ายหน้า  รังสรรค์พอจะเข้าใจปัญหาของลูก

“ถ่ายไม่ออกอีกแล้วใช่มั้ย”   ชายหนุ่มกระซิบถามและเงยหน้าลูกขึ้นสบตาด้วย 

“ลูกยังปวดท้องอยู่หรือเปล่ารอย หือ..”

            รอยพยักหน้าและซบศีรษะลงที่อกพ่อ รังสรรค์สวมกอดลูกไว้และกล่าวปลอบ

            “ลูกรีบร้อนเกินไปหรือเปล่า พ่อคอยได้นะครับ เดี๋ยวพ่อกลับสายหน่อยก็ได้”

            เด็กชายส่ายหน้าก่อนจะพูดประโยคแรกด้วยน้ำเสียงอู้อี้เพราะใบหน้ายังซุกอยู่ที่อกพ่อ

            “ถ่ายไม่ออกครับพ่อ ....  เจ็บด้วย”

            “ลูกทานผักน้อยไปหรือเปล่ารอย   จำที่พ่อสอนไม่ได้หรือครับว่าให้ทานผักเยอะๆ”

            รอยเงยหน้าขึ้นสบตาพ่อ น้ำตาคลอจนรังสรรค์ใจหาย

            “ที่บ้านโน้นเขาไม่ชอบทานผักกันครับพ่อ  มีแต่เนื้อหมูเนื้อไก่”

            ชายหนุ่มเสยผมลูกและก้มลงจูบที่หน้าผากเบาๆ รู้สึกสงสารเมื่อลูกต้องอยู่ห่างเขาเวลาเจ็บป่วยหรือมีอาการผิดปกติอะไร คงไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากผู้เป็นแม่เท่าที่ควร อาการถ่ายไม่ออกของรอยเป็นเรื่องปกติสำหรับรังสรรค์ เด็กชายมีอาการเช่นนี้บ่อยครั้งเวลาที่ร่างกายได้รับอาหารไม่ถูกหลักโภชนาการ เขาจึงฝึกให้รอยทานผักจนเป็นนิสัย ไม่คิดว่าบ้านหลังนั้นจะมีอุปนิสัยในการทานอาหารแปลกประหลาด เด็กชายคงไม่ค่อยได้ทานผักมานานแล้วจนลำไส้กลับมาทำงานไม่ปกติอีกครั้ง

            รังสรรค์ขออนุญาตครูประจำชั้นพาลูกออกไปข้างนอก โดยบอกว่าเด็กไม่ค่อยสบายจะพาไปหาหมอ

            รอยนั่งรถออกมากับพ่อโดยไม่รู้เหมือนกันว่าพ่อจะพาไปไหน แต่เด็กชายก็ไม่สนใจอยากจะถาม   ขอให้ได้อยู่ใกล้พ่อไปที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น

            รังสรรค์จอดรถเข้าข้างทาง หันมาบอกลูกชายที่นั่งหงอยมาตลอดทาง

            “รอพ่ออยู่ในรถนะครับ พ่อซื้อของแป๊บนึง”

            ชายหนุ่มลงจากรถวิ่งเข้าร้านขายยา เด็กชายมองตามตาปริบๆ

            รอยอดถามไม่ได้ เมื่อเห็นพ่อเลี้ยวรถเข้าโรงแรม

            “พ่อมาธุระเหรอฮะ”

            รังสรรค์หันมายิ้มกับลูก  “พ่อมาทำธุระให้ลูกไงครับ”

            เด็กชายขมวดคิ้ว รังสรรค์อดหัวเราะไม่ได้เมื่อเห็นอาการสงสัยของลูก  ชายหนุ่มจอดรถเรียบร้อยก็หันมาคว้ามือเล็กเอาของบางอย่างวางลงบนฝ่ามือ   เด็กชายหน้าแดงทันทีที่เห็น  รังสรรค์โน้มศีรษะลูกเข้ามาซบอก

            “อายหรือรอย หือ... ไม่เห็นต้องอายเลย  ก็มันถ่ายไม่ออกนี่ครับ จะทำยังไงได้”

            รังสรรค์พาลูกชายเข้ามาในโรงแรม ตั้งใจจะพารอยมานั่งห้องน้ำที่มีผู้คนไม่พลุกพล่านนัก สะอาดและสะดวกพอที่เขาจะทำธุระให้ลูก ชายหนุ่มไม่นิยมให้ลูกทานยาถ่ายหรือยาระบาย    เนื่องจากจะทำให้การขับถ่ายในวันถัดไปผิดวันและเวลาจนอาจจะกลับมาท้องผูกใหม่ได้  เขาจึงใช้วิธีสวนทวารให้ลูกเป็นส่วนใหญ่  โดยเฉพาะกรณีที่เด็กชายมักจะเป็นคือปวดแล้วแต่ถ่ายไม่ออกทำให้ต้องออกแรงเบ่งจนเจ็บ ครั้งหนึ่งรอยนั่งร้องไห้ในห้องน้ำเพราะถ่ายไม่ออกจนรังสรรค์ตกใจ

            รังสรรค์อยู่ในท่าเตรียมพร้อม ก้มลงกระซิบข้างหูเด็กชาย

            “ถอดกางเกงออกได้แล้วลูก”

            เด็กชายกระซิบตอบพ่อ 

“เอาจริงเหรอครับพ่อ..”

            ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ขำคำถามของลูก

            “เอาจริงซีครับ  ถ่ายเสร็จแล้วลูกจะได้ไม่อึดอัดไง”

            รอยถอดกางเกงนักเรียนออกส่งให้พ่อตามด้วยกางเกงใน ก่อนจะโน้มตัวลงบนต้นขาของพ่ออย่างขัดเขิน

            ชายหนุ่มขมวดคิ้ว รู้สึกตกใจเมื่อเห็นรอบๆ ปากทวารหนักของเด็กชายแดงน่ากลัวจนเกือบจะไม่กล้าสวน

            “อืมม์... รอยครับ ลูกอย่าเบ่งมากซี…เวลาถ่ายไม่ออก  มันแดงมากเลยรู้มั้ย  อดทนนะลูก เจ็บนิดเดียวนะครับ”  รังสรรค์พูดพร้อมๆ กับดันสิ่งที่อยู่ในมือเข้าทวารหนักของเด็กชาย

            รอยร้องครางเบาๆ เมื่อสัมผัสที่ได้รับทำให้เขารู้สึกเจ็บ

            “อูย.... เจ็บจังเลยครับพ่อ”

            ชายหนุ่มบีบยาเข้าไปจนหมดกระเปาะ นิ่งไว้สักครู่ก่อนจะค่อยๆ ดึงออก จังหวะที่ดึงออกมีเลือดไหลออกมาด้วย  รังสรรค์รู้สึกสงสารและเจ็บแทนลูก

            “พ่อครับ  ทำไมวันนี้เจ็บจังเลย   พ่อทำอะไรฮะ...”   

ด็กชายร้องถามเริ่มเสียงดังจนรังสรรค์ต้องจุ๊ย์ปากให้ลูกเสียงค่อยลง

            “อย่าเอ็ดซีลูก..... เสร็จแล้วครับ ไม่เจ็บแล้ว”  รังสรรค์ดึงกระดาษทิชชูซับเลือดออกไม่ให้ลูกเห็น ก่อนจะจัดการให้เด็กชายนั่งลงบนโถส้วมเตรียมพร้อม

            รังสรรค์ก้มลงเสยผมและจุ๊บที่หน้าผากลูกเบาๆ ให้กำลังใจ

            “ไม่เจ็บแล้วนะครับ”   รอยพยักหน้าให้พ่อทั้งๆ ที่หน้ายังมุ่ยอยู่

            “รอให้ปวดมากๆ แล้วค่อยถ่ายนะลูก ไม่ต้องเบ่งนะครับ”  รังสรรค์ทรุดตัวลงนั่งจ้องหน้าลูกจนเด็กชายเริ่มรู้สึกเขิน

            “พ่อจ๋า ผมใกล้จะปวดแล้วครับ”  เด็กชายร้องบอกพ่อเมื่อเริ่มรู้สึกว่ากำลังปวดอยากจะถ่าย

            ชายหนุ่มพยักหน้ารู้ความหมายที่ลูกพูดว่าหมายถึงเขาต้องออกไปแล้ว  

“พ่อคอยข้างนอกนะครับ ถ้าหน้าห้องน้ำไม่มีแสดงว่าพ่ออยู่ที่คอฟฟี่ช็อปนะ” 

รอยพยักหน้าอย่างเร็ว รู้สึกปวดมากแล้วจนต้องออกปากไล่พ่อให้รีบออกไป

            “พ่อครับ ออกไปเร็วๆ ซี”

            รังสรรค์หัวเราะขำลูกชาย รีบออกจากห้องน้ำโดยไม่ลืมกดล็อคประตูให้ ชาย 2 คนยืนจรดๆ จ้องๆ อยู่หน้าห้องน้ำตกใจเมื่อประตูเปิดออก พร้อมๆ กับที่รังสรรค์เองก็รู้สึกตกใจที่มีใครมาแอบสังเกตุการณ์อยู่หน้าห้องน้ำ  คงสังสัยว่าเขาทำอะไรอยู่กับใคร

            “มีอะไรหรือครับ”  รังสรรค์แสร้งทำสีหน้าจริงจัง

            “เอ่อ... เปล่าครับ ไม่มีอะไร” 

ชาย 2 ผละออกจากกันไปทำกิจธุระของตัวเอง  รังสรรค์แกล้งเรียกลูกชายเสียงดังพอที่คนอื่นจะได้ยิน

            “รอยครับ”

            “ครับพ่อ”   เด็กชายขานตอบเสียงดังฟังชัดเช่นกัน

            “พ่อรอลูกที่คอฟฟี่ช็อป ที่พ่อชี้ให้ลูกดูเมื่อสักครู่ ไปถูกมั้ยครับ”

            “ถูกครับพ่อ”

            “โอเค. งั้นพ่อไปก่อนนะครับ  ไม่ต้องรีบร้อนนะลูก”  รังสรรค์เดินไปล้างมือและยิ้มให้ชายสองคนอย่างมีอัธยาศัย ก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำ

            รังสรรค์ยิ้มเมื่อเห็นเด็กชายกำลังเดินตรงเข้ามาหา สีหน้าสบายขึ้นเหมือนได้ปลดปล่อยความทุกข์ออกไป  รอยนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ พ่อยิ้มให้อย่างรู้สึกเขินอาย

            “ข้าวต้มของลูก ทานซีครับ”

            รอยพยักหน้าเพราะกำลังรู้สึกหิวพอดี  รังสรรค์เสยผมลูกไปมาขณะที่เด็กชายกำลังจัดการกับอาหารตรงหน้า

“รอยครับ  ต่อไปอาหารกลางวันที่โรงเรียน  ลูกต้องเปลี่ยนมาทานผักบ้างแล้วนะ ที่บ้านโน้นเขาไม่ทานผักก็ช่างเขาแต่ลูกของพ่อต้องทาน  กลางวันมื้อเดียวก็ยังดีแล้วเสาร์อาทิตย์ค่อยไปทานต่อที่บ้านพ่อนะ”

            รอยพยักหน้าหงึกๆ รับทราบ

            รังสรรค์นั่งนิ่งมองลูกทานอาหาร  หวนนึกถึงอาหารการกินที่บ้านโน้น วิภาวีคงไม่ได้ใส่ใจดูแลลูกเลยว่าเด็กควรจะต้องได้รับอาหารครบถ้วนอย่างไร เธอและผู้พันมีอุปนิสัยในการทานอาหารอย่างไรก็คงให้เด็กทานตามไป  รังสรรค์รู้สึกปวดใจเมื่อเห็นชีวิตน้อยๆ ที่เขารัก ถูกละเลยไม่ได้ใส่ใจความเป็นอยู่เหมือนที่เขาเคยดูแลเลย

            “รอย”  รังสรรค์เรียกลูกชายเบาๆ

            “ครับพ่อ”

            “อยู่ที่บ้านลูกได้ดื่มนมก่อนนอนทุกคืนหรือเปล่าครับ” 

ชายหนุ่มอดถามไม่ได้ เพราะแม้แต่ผักเด็กชายยังไม่ค่อยได้ทาน  แล้วนมล่ะ.....

            รอยสั่นศีรษะ  ยกนมแก้วที่วางอยู่ชูให้พ่อดูและยิ้มให้

            “นี่ไงครับพ่อ  ผมดื่มเลยนะ”

            รังสรรค์พยักหน้ายิ้มให้ลูกทั้งที่ในใจขมขื่น

            .....พ่ออยากได้ลูกกลับคืนมาเหลือเกิน อยากดูแลลูกด้วยตัวเอง  วิภาวี...เธอไม่คู่ควรจะเป็นแม่คนเลย ไม่เลยจริงๆ....

 

            โรงอาหารของโรงเรียน....

            รังสรรค์นั่งมองลูกทานอาหารกลางวัน  อาหารมื้อนี้ของรอยเป็นเส้นใหญ่ราดหน้า

            “ทานผักให้หมดนะลูก”  ชายหนุ่มทักเมื่อเห็นเด็กชายเริ่มเขี่ยผักไว้ข้างๆ

            รอยสบตาพ่อยิ้มอายๆ ก่อนจะตอบพ่อเสียงอ่อย

 

            “ผมอิ่มแล้วฮะ ”

            “ทำไมวันนี้ทานน้อยจัง  ถ้างั้นช่วยทานผักอีกสัก 2-3 ชิ้นได้มั้ยครับ”

            รังสรรค์เอียงคอถามส่งยิ้มหวานให้ลูก เด็กชายเห็นพ่อยิ้มให้ต่อให้ทานหมดจานก็ยังไหว       

            “ได้ฮะ”

            ชายหนุ่มเอ่ยถามเมื่อเห็นลูกจัดการกับผักที่เหลือจนหมด

            “ทานไอศครีมมั้ยครับ”

            รอยพยักหน้าลุกขึ้นวิ่งไปที่ร้านไอศครีมทันที รังสรรค์มองตามเห็นเด็กๆ กลุ่มใหญ่กำลังยืนจับกลุ่มอยู่หน้าร้าน  เมื่อลูกชายวิ่งไปถึงก็ถูกเพื่อนเรียกไว้ รอยยืนคุยอยู่กับเพื่อนสักครู่ก็วิ่งกลับมาหาเขา

            “พ่อฮะ  ผมเลี้ยงไอศครีมเพื่อนได้มั้ย”

            รังสรรค์มองไปที่กลุ่มเด็กชายหน้าร้านไอศครีม  ก่อนจะเอ่ยถามลูกเบาๆ

            “ลูกมีเงินในกระเป๋าเท่าไร หือ...รอย  มีพอเลี้ยงเพื่อนหรือครับ”

            เด็กชายยิ้มอายๆ ก่อนจะกระซิบตอบพ่อ

            “ผมเลี้ยง.... แต่พ่อเป็นคนออกเงินไงครับ”

            “อ้าว! ถ้างั้นจะเรียกว่ารอยเลี้ยงเพื่อนเหรอ ต้องบอกว่าพ่อเป็นคนเลี้ยงถึงจะถูก”

            “ถ้าบอกว่าพ่อเลี้ยง เพื่อนเขาไม่กล้าทานครับ เขาเกรงใจ”

            รังสรรค์ส่ายหน้ากับเหตุผลไม่เข้าท่าของเด็ก  เขาล้วงกระเป๋าหยิบเงินให้ลูกแต่ก่อนจะให้มีข้อแลกเปลี่ยนที่ทำให้หนุ่มน้อยอึ้งไปก่อนจะกระซิบตอบ

            “พ่อจ๋า... ผมติดไว้ก่อนนะ  เดี๋ยวค่อยไปหอมในรถนะฮะ”

            “ทำไมล่ะครับ” ชายหนุ่มแกล้งถามทั้งที่รู้เหตุผลอยู่แล้ว

            “ลูกอายเหรอ...”  รังสรรค์กระซิบ รอยไม่ตอบหันไปมองเพื่อนและหันกลับมายิ้มแห้งๆ กับพ่อ 

            รังสรรค์หัวเราะและหยิบเงินส่งให้  เด็กชายรับเงินจากพ่อก็วิ่งไปหาเพื่อนที่หน้าร้านไอศครีม  กลุ่มเด็กๆ พากันล้อมหน้าล้อมหลังรอยเพราะอยากกินฟรี  เสียงแจ๋วของลูกชายนับจำนวนเพื่อนๆ  เห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้… นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้เห็นลูกชายยิ้มและหัวเราะสนุกแบบนี้

            กว่า 3 เดือนแล้วเช่นกันที่รอยมาอยู่ในความปกครองของบ้านพิพัฒน์ชัย  ผู้พันสินชัยรู้สึกถูกชะตากับลูกชายของวิภาวีอย่างมากนับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบเห็น  เนื่องจากผู้พันมีเพียงลูกสาว 2 คน ซึ่งพักอยู่ที่โรงเรียนประจำ  รอยเป็นเด็กที่มีหน้าตาและอุปนิสัยน่ารัก สุภาพเรียบร้อย แม้จะซุกซนแต่ก็เป็นนิสัยของเด็กชายทั่วไป  เริ่มแรกที่รู้จักรอยให้ความนับถือเขาในฐานะลุงอย่างดี แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานวันขึ้น  กิริยาของเด็กชายที่ปฏิบัติต่อเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป แม้ผู้พันจะเข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุผลใดแต่เขาก็ถือว่าเขาทำดีที่สุดแล้ว จึงเริ่มรู้สึกไม่พอใจและจนเกือบจะกลายเป็นความอิจฉาที่เห็นสองพ่อลูกมีความรักให้แก่กันอย่างมากมายเช่นนั้น

            กิริยาที่รังสรรค์ปฏิบัติต่อลูกชายหรือที่รอยปฏิบัติต่อพ่อ  ไม่ว่าจะเป็นการกอดและหอมกันทุกครั้งที่เจอและทุกครั้งที่ต้องลาจาก  ผู้พันสินชัยรับรู้พฤติกรรมของคนทั้งสองโดยตลอด และเริ่มรู้สึกไม่พอใจที่ชายหนุ่มได้ความรักจากลูกชายไปทั้งหมด ในขณะที่เขาเองซึ่งอยู่ในฐานะพ่อเลี้ยงกลับไม่ได้รับความรักจากเด็กชายเลย

            “วิภาวี..ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปผมจะเข้าไปดูแลความประพฤติของลูกชายคุณนะ”

            “มีอะไรที่รอยทำไม่ถูกใจคุณหรือคะ”

            “ยังไม่ถึงขนาดนั้น แต่ผมรู้สึกว่าเขาจะต้องมีวินัยมากกว่านี้  ผมจะดูแลความประพฤติเขาให้ใกล้ชิดขึ้น คุณคงไม่ขัดข้องนะ”

            “โธ่..ผู้พันคะ  ลูกชายวิก็เหมือนลูกคุณอยู่แล้ว อบรมสั่งสอนได้ค่ะ”

            เด็กชายจะรู้ตัวหรือไม่ว่านับตั้งแต่วันนี้ไป ตัวเองจะถูกควบคุมความประพฤติอย่างเข้มงวดขนาดไหนจากคนที่อยู่ในฐานะพ่อเลี้ยงอย่างผู้พันสินชัย

            อาหารเย็นที่บ้านพิพัฒน์ชัยวันนี้บรรยากาศเครียดกว่าทุกๆ วัน  เพราะเด็กชายกำลังถูกผู้พันสินชัยดุเรื่องทานอาหารเย็น

            “ต่อไปนี้ข้าวที่ตักให้ต้องทานให้หมดจาน ลุงไม่ยอมให้เธอทานทิ้งๆ ขว้างๆอีกแล้วนะ”

เสียงเข้มงวดและเด็ดขาดของผู้พันทำให้เด็กชายหน้าเสีย  เพราะตั้งแต่อยู่ที่นี้มานานกว่า 3 เดือนยังไม่เคยถูกผู้พันดุว่าจริงจังอย่างวันนี้

            “แต่... วันนี้ผมอิ่มแล้วครับ ลุงผู้พัน” เด็กชายกล่าวเสียงอ่อยมองข้าวในจานที่ยังเหลืออยู่กว่าครึ่ง

            “ไม่ได้ ทานต่อให้หมดเดี๋ยวนี้”       

            “แต่ผม...”

            “ไม่มีแต่...”

            เด็กชายหน้าซีดหันไปสบตาผู้เป็นแม่   จึงถูกสำทับกลับมาอีก

            “ทานให้หมดรอย.. เสียนิสัย”

            เด็กชายหมดหนทางจำต้องตักข้าวเข้าปากฝืนทานต่ออย่างจำใจ แต่ทานไปได้อีกเพียง 2 คำก็รู้สึกไม่ไหว  หากฝืนต่ออีกเพียงคำเดียวเขาอาจจะต้องอาเจียรออกมาทั้งหมด

            “ผมอิ่มแล้วจริงๆ ครับลุงผู้พัน”

สายตาอ้อนวอนของเด็กชายไม่ได้ทำให้ผู้พันโอนอ่อนลง

            “เป็นเพราะพ่อเธอหรือเปล่า ที่ทำให้เธอเสียนิสัยแบบนี้ สอนให้ทานทิ้งๆ ขว้างๆ ถือว่ามีเงินหรือไง”

            เด็กชายใจหายและรู้สึกตกใจเมื่อผู้พันต่อว่าไปถึงพ่อที่รักของเขา

            “พ่อไม่ได้สอนผมอย่างนั้น อย่าว่าพ่อผมนะครับ”  รอยเสียงแข็งขึ้นอย่างไม่พอใจ

            “ทำไม.. พ่อเธอวิเศษนักหรือ ถึงต่อว่าไม่ได้”

            เด็กชายลุกขึ้นยืนหันหลังเดินออกไปจากโต๊ะ

            “หยุดเดี๋ยวนี้นะ จะมากไปแล้วที่มาทำนิสัยอย่างนี้ในบ้านฉัน” ผู้พันเปลี่ยนสรรพนามเรียกตัวเองทันที

            ร่างเล็กหยุดชะงักเมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายเอาจริงและกำลังเดินตรงเข้ามาหา ใจเต้นแรงด้วยความกลัว

            “อย่าทำนิสัยแข็งกร้าวแบบนี้ที่นี้  ไม่อย่างนั้นเธอจะต้องถูกลงโทษ” 

ฝ่ามือใหญ่กดลงที่ต้นแขนของร่างเล็กอย่างแรง  เด็กชายตัวเกร็งรู้สึกเจ็บมากแต่ก็ไม่ได้ปริปากร้อง  กัดฟันตอบกลับไป

            “จะดุว่าอะไรผมก็ได้   แต่คุณไม่มีสิทธิมาว่าพ่อผม”

เด็กชายเปลี่ยนสรรพนามที่เรียกผู้พันเช่นกันทำให้อีกฝ่ายโกรธจัด

            “นี่เธอกล้าลองดีกับฉันหรือ  ได้...”

            ผู้พันลากเด็กชายไปที่ห้องทำงานของเขา วิภาวีลุกขึ้นวิ่งตามไปรู้สึกตกใจกับอาการโกรธเกรี้ยวของสามี  แม้ในใจจะรู้สึกสงสารลูกแต่ไม่รู้จะช่วยอย่างไร นึกโมโหเด็กชายที่ปากคอร้ายกาจเถียงคำไม่ตกฟาก

            ผู้พันสินชัยคว้าไม้หวายในตู้ที่จัดเตรียมไว้เพื่อสั่งสอนเด็กชายหากเกิดอาการดื้อรั้น  แต่ไม่คิดว่าเพียงวันแรกก็จะได้ใช้มันแล้ว

            “กอดอก  ฉันสั่งให้เธอกอดอก  เธอจะต้องถูกตี 3 ที  ฐานที่ก้าวร้าวอย่างรับไม่ได้”

            “ผู้พันคะ รอยไม่ได้ตั้งใจ อย่าตีแกเลย”

            “หยุดนะวิภาวี คุณก็เห็นกับตาว่ารอยก้าวร้าวมากขึ้นทุกวัน ผมตีเพื่ออบรมสั่งสอนเขา คุณถอยไป ผมจะอบรมลูก”

            วิภาวีจำต้องถอยออกไปเพราะไม่อยากให้ผู้พันพาลโกรธมาถึงตัวเอง

            เด็กชายยกมือกอดอกหัวใจเต้นแรง รู้สึกกลัวจับใจเพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยถูกตีเลยสักครั้งเดียว รอยหลับตานึกถึงพ่อที่รักของเขา เคยบอกพ่อว่าถึงจะเจ็บตัวขนาดไหนก็จะไม่มีวันร้องไห้ จะร้องเฉพาะเวลาที่คิดถึงพ่อเท่านั้น

            “…ขวับ!!!…” 

ร่างเล็กสะดุ้งเฮือกตัวสั่นด้วยความกลัว  มันไม่ได้เจ็บธรรมดา มันเจ็บมากเลย  แต่ถึงจะเจ็บขนาดไหนรอยก็กัดฟันอดทน  พร้อมๆ กับพยายามกลั้นสะอื้นไม่ให้น้ำตาไหล

            ผู้พันสินชัยรู้สึกโกรธมากยิ่งขึ้นเมื่อไม่ได้ยินเสียงร้อง เด็กชายตรงหน้าเขากลายเป็นเด็กก้าวร้าวและท้าทายอย่างไม่เกรงกลัว มือใหญ่ฟาดหวายเข้าที่กลางหลังของเด็กชายเป็นครั้งที่ 2 แรงขึ้นด้วยความลืมตัว

            “…ขวับ!!!…”

.....โอ๊ยยยย!!....

เด็กชายร้องลั่นแต่มันดังอยู่แค่ในใจเท่านั้น เจ็บและแรงกว่าครั้งแรกจนร่างน้อยเซไป  2-3 ก้าว  รู้สึกชาไปทั้งแผ่นหลังแล้ว  รอยหลับตาร้องหาพ่อในใจ

            .....โอย!!  ช่วยรอยด้วย  พ่อจ๋า…  เจ็บจังเลย......

            ผู้พันรู้สึกทึ่งกับเด็กชายวัย 7 ขวบคนนี้ เป็นไปได้อย่างไรที่เจ้าหนูจะไม่ร้องไห้หรือน้ำตาไหลเมื่อถูกตีเจ็บขนาดนี้ ทำไมเวลาร้องจะหาพ่อเพราะคิดถึง น้ำตาถึงไหลพรากได้ขนาดนั้น นายรังสรรค์.. ทำไมลูกนายถึงไม่มีความรักให้ฉันในฐานะพ่อเลี้ยงเลยสักนิด  ทั้งๆ ที่ฉันพยายามทำดีที่สุดแล้ว

            “…ขวับ!!!…” 

เสียงหวายกระทบแผ่นหลังเด็กชายเป็นครั้งที่สามด้วยแรงที่หนักขึ้นกว่าเดิมจนร่างเล็กทรุดลงกับพื้น  และไม่มีเสียงร้องเหมือนเดิม

            “ไปได้ ลุงลงโทษเธอเสร็จแล้ว ลุกขึ้นซี”   ผู้พันสินชัยกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 “ลุกขึ้นซีคนเก่ง  ลุกไม่ไหวแล้วเหรอ ฮะ..ฮะ..”

            รอยกัดฟันลุกขึ้นรู้สึกชาและเจ็บปวดไปทั่วแผ่นหลัง น้ำตาร่วงผล็อยเพราะไม่อาจอดกลั้นกับความเจ็บปวดได้  มันมากมายเกินกว่าที่ร่างกายเด็กชายจะรับได้แล้ว เดินออกไปได้เพียง 2 ก้าวร่างน้อยก็เซลง   วิภาวีซึ่งยืนหน้าซีดอยู่ผวาเข้าไปประคอง

            “ไม่ต้องช่วยเค้าวิภาวี..  ลูกเดินเองได้  ไปซีรอย เดินไปเอง”

            “ผมไปเองได้ฮะแม่”

เด็กชายหันมากล่าวกับแม่เบาๆ ก่อนจะพยายามทรงตัวเดินกลับไปที่ห้อง มือไม้เปะปะคอยจับหาที่ยึดเหนี่ยวไปตลอดทาง  ไม่เข้าใจว่าทำไมขาถึงสั่นและไม่มีแรงทั้งๆ ที่ถูกตีที่หลังแท้ๆ

            รอยล้มตัวลงนอนคว่ำหน้ากับหมอน  มือควานหารูปพ่อคว้าขึ้นมาดูและกอดไว้ข้างๆ ตัว หมดแรงที่จะอดกลั้นต่อไปได้อีก  เสียงสะอื้นไห้น้ำตาไหลพรากลงบนหมอนจนเปียกชุ่ม

            “พ่อจ๋า.. ผมต้องร้องไห้แล้ว  ผมเจ็บมากๆ เลย.... แล้วผมก็คิดถึงพ่อด้วย”

            “พ่อจ๋า..... ช่วยด้วย… ผมเจ็บ...”

            เช้าวันรุ่งขึ้นผู้พันสินชัยนั่งทานอาหารเช้ากับวิภาวีเพียงสองคนโดยไม่ถามหาเด็กชายซึ่งยังไม่ตื่น เพราะรู้ว่าเจ้าหนูไม่มีทางลุกขึ้นมาได้ไม่ว่าจะเก่งขนาดไหนก็ตาม

            เด็กชายยังหลับสนิทในท่านอนคว่ำ  แผ่นหลังที่ถูกตีเป็นแนวบวมแดง และมีเลือดไหลซิบๆ ในบริเวณที่ถูกตีซ้ำ วิภาวีรู้สึกเจ็บแทนในขณะที่ทายาให้แต่ลูกชายกลับไม่รู้สึก เพราะร่างเล็กที่นอนคว่ำอยู่นั้นไม่ได้นอนหลับธรรมดา แต่หลับไปเพราะความเจ็บปวดที่ร่างกายและจิตใจได้รับ  รูปถ่ายชายหนุ่มที่หนูน้อยกอดไว้แสดงถึงความรักที่สองพ่อลูกมีให้กัน วิภาวีสะท้านในอก... ถ้ารังสรรค์เห็นรอยในสภาพนี้จะเกิดอะไรขึ้น ลูกชายที่เขารักมากถูกตีจนบาดเจ็บขนาดนี้  เพียงแค่คิดเธอก็รู้สึกกังวลและกลัวจับใจ

            “ทำไมลูกถึงก้าวร้าวหาเรื่องเจ็บตัวอย่างนี้ เป็นเพราะคุณสอนลูกหรือเปล่า รังสรรค์..”

            หญิงสาวเสยผมชื้นเหงื่อของลูกจึงพบว่าร่างเล็กมีไข้สูง ตกใจ...ไม่คิดว่าบาดแผลจากการถูกตีจะทำให้เด็กชายเจ็บถึงขนาดจับไข้แบบนี้

            รังสรรค์ก้าวลงจากรถมองหาลูกชายซึ่งทุกวันจะต้องมายืนคอยเขาแล้ว ชายหนุ่มดูนาฬิกาข้อมืออีกครั้งเป็นเวลาเที่ยง 10 นาที เด็กนักเรียนกำลังพักเที่ยง เขาเดินไปนั่งคอยที่จุดนัดพบรอจนเที่ยงครึ่งเด็กชายก็ยังไม่มา สายตาเหลือบเห็นเพื่อนของลูกจึงกวักมือเรียก

            “สวัสดีครับ คุณอา”  หนุ่มน้อยเพื่อนลูกชายกล่าวทักและยกมือไหว้

            “หวัดดีครับ เอก”  รังสรรค์จำชื่อเพื่อนของลูกชายได้เกือบทุกคน

            “รอยทำอะไรอยู่ครับ ทำไมป่านนี้ยังไม่ลงมา”

            “วันนี้รอยไม่มาครับคุณอา  รอยไม่สบายครับ”

            ชายหนุ่มอดใจหายไม่ได้เมื่อรู้ว่าลูกป่วย เมื่อคืนเขานอนไม่หลับทั้งคืนไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร หลับไปได้สักพักก็ฝันถึงรอยจนตกใจตื่น จะโทรไปถามก็ไม่ได้ เพราะทางโน้นจะรู้ได้ว่าเขาแอบมาพบลูกที่โรงเรียนทุกวัน  เขาไม่อยากให้มีปัญหาหรือถูกขัดขวางอะไรอีก...  แต่..ให้ตายเถอะ !!!... การที่เขามาพบลูกที่โรงเรียนเป็นการแอบยังงั้นหรือ...

            เด็กชายครึ่งนั่งครึ่งนอนในท่าตะแคง สีหน้ายังอิดโรยเพราะพิษไข้และอาการปวดที่แผ่นหลัง  วิภาวีนั่งอยู่ข้างเตียงกำลังบ่นว่าลูกชาย

            “เพราะลูกดื้อรู้มั้ย เอานิสัยก้าวร้าวมาจากไหน ยั่วให้คุณลุงโมโหจนต้องเจ็บตัว”

            “ผมไม่ได้ก้าวร้าว  คุณลุงมาว่าพ่อผมก่อน”

            “ยังจะเถียงอีกเหรอรอย.. พ่อเราเขาวิเศษจริงๆ เลยนะ”

            เด็กชายมองหน้ามารดาด้วยความรู้สึกเจ็บปวด แม้แต่แม่ก็พูดเหมือนคนอื่น

            “ผมรักพ่อ  พ่อเป็นดวงใจของผม  ผมไม่ยอมให้ใครมาว่า”

            “เอาล่ะๆ แม่ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับลูก รอย..  แผลลูกคงอีกหลายวันกว่าจะหาย พรุ่งนี้ก็คงยังไม่หายดีหรอก มะรืนนี้ถ้าพ่อมารับแม่ไม่อนุญาตให้ไปนะ”

            รอยใจหายวาบ มองมารดาด้วยสายตาอ้อนวอน

            “ไม่นะ  ผมจะไป ผมคิดถึงพ่อ”

            “จะคิดถึงอะไรนักหนา เจอกันทุกเสาร์อาทิตย์  ฟังนะรอย.. ถ้าลูกไป พ่อจะต้องเห็นแผลที่หลังลูกแน่ ลูกคงไม่อยากให้พ่อและแม่มีปัญหากันใช่ไหมจ๊ะ”

            เด็กชายนิ่งอื้ง      

            ....แม่ไม่เข้าใจหรอก ต่อให้เจอกันทุกวันก็ยังไม่พอ รอยโหยหาที่จะอยู่ใกล้ชิดพ่อตลอดเวลาเลยด้วยซ้ำ โดยเฉพาะเวลาเจ็บๆ อย่างนี้ได้กอดพ่อแล้วต้องหายเจ็บแน่ๆ....

            เห็นลูกชายนิ่งไปวิภาวีจึงรีบตัดบท

            “ตกลงตามที่แม่พูดนะ โทรบอกพ่อว่าเสาร์นี้ไม่ต้องมารับ ลูกจะไปบ้านคุณยายกับแม่  ลูกไม่มีทางเลือกนะจ๊ะ ถ้าไม่ตกลงตามนี้อาทิตย์ต่อๆ ไปลูกอาจจะไม่ได้ไปหาคุณพ่ออีกเลยก็ได้”   

คำขู่ของวิภาวีทำให้เด็กชายต้องยอมจำนนไม่ได้พบอาทิตย์เดียวดีกว่าไม่ได้พบตลอดไป

            รอยโทรศัพท์หารังสรรค์ในเช้าวันศุกร์โดยมีวิภาวีนั่งกำกับอยู่  เด็กชายบอกพ่อว่าพรุ่งนี้เช้าไม่ต้องมารับเขาจะไปบ้านคุณยายกับแม่ ชายหนุ่มอดแปลกใจไม่ได้เมื่อลูกเป็นคนโทรมาบอกเองเหมือนเต็มใจที่จะไปบ้านยายมากกว่ากลับมาอยู่กับเขา

            “ลูกอยู่ไหนครับ รอย”

            “ผมอยู่บ้านครับ พ่อ”

            “ลูกไม่สบายเป็นอะไรครับ ยังไม่หายดีใช่มั้ยถึงยังไม่ไปโรงเรียน แล้วทำไมต้องไปบ้านคุณยาย ไม่พักผ่อนให้หายก่อน”

            “ใกล้จะหายแล้ว พ่อไม่ต้องห่วงนะครับ  ตกลงเราค่อยเจอกันวันเสาร์หน้านะครับพ่อ”

เด็กชายรีบตัดบทเพราะรู้สึกว่ากำลังพูดปดกับพ่อมากเกินไปแล้ว และจิตใจหนุ่มน้อยก็เริ่มอ่อนแอลงเมื่อได้ยินเสียงพ่อสุดที่รัก

            “ตามใจครับ งั้นไว้เราค่อยเจอกันวันจันทร์ที่โรงเรียนก็แล้วกันนะ พ่อจะกอดลูกให้หายคิดถึงเลย”

            “ผมก็จะกอดพ่อให้หายคิดถึงเหมือนกัน แค่นี้นะครับพ่อ ผมรักพ่อคนเดียว... ”   เด็กชายวางสายลงโดยมีผู้เป็นแม่มองดูอยู่ด้วยความหมั่นไส้ โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายของการร่ำลา

            เด็กชายน้ำตาร่วงผล็อยเมื่อมารดาลับหลังออกจากห้องไป บรรยากาศของบ้านหลังนี้นับวันก็ยิ่งน่ากลัว ไม่มีความอบอุ่นเหมือนบ้านพ่อเลยสักนิด  โดยเฉพาะนับจากวันนี้ไปลุงผู้พันกับรอยต้องเป็นศัตรูกัน ไม่ทางมีความรู้สึกที่ดีต่อกันได้อีกแล้ว

            เป็นไปตามที่รอยรู้สึกจริงๆ นับจากวันนั้นผู้พันสินชัยก็เปลี่ยนท่าทีไปเป็นคนละคน ปฏิบัติและพูดจากับเด็กชายแข็งกร้าวขึ้นจากเดิม โดยเฉพาะที่โต๊ะอาหารรอยเหมือนตกนรกทุกครั้ง ยิ่งวันไหนที่มารดาไม่อยู่รอยกลายเป็นที่รองรับอารมณ์ของผู้พันไปโดยปริยายและนับวันก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

            วันนี้เป็นอีกวันที่รอยต้องเผชิญกับชะตากรรมแต่เพียงลำพังเพราะวิภาวีไปงานเลี้ยง  อาหารเย็นวันนี้จึงมีเพียงเด็กชายและผู้พันเท่านั้น

            ที่โต๊ะอาหารรอยหายใจไม่ทั่วท้อง ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับอีกฝ่าย

            “ตักข้าว” 

            เสียงกังวานและเข้มงวดของผู้พันทำให้เด็กชายยิ่งใจเสีย

            ทหารรับใช้ตักข้าวใส่จานให้รอย 1 ทัพพี รอยทำท่าบอกว่าพอ  แต่พลทหารก็ไม่สนใจตักข้าวต่อไปจนครบ 3 ทัพพีตามคำสั่งของผู้พัน เด็กชายกลืนน้ำลายลงคอมองข้าวที่พูนอยู่ในจานตาปริบๆ 

....เยอะขนาดนี้ใครจะกินหมด นี่จงใจจะแกล้งกันชัดๆ เพราะนับจากวันนั้นมารอยพยายามทานข้าวให้หมดทุกครั้งจึงไม่มีปัญหาหรือเป็นที่รองรับอารมณ์ของผู้ชายคนนี้อีก แต่วันนี้...

            “ทานได้แล้ว นั่งมองอยู่ทำไม”

            “เอ่อ....ผมขอเอาข้าวออกหน่อยได้มั้ยครับ คุณลุง”

            “ไม่ได้ ทานให้หมดเหมือนกับทุกวันนั่นแหละ เร็ว.. ปฏิบัติ..”  ผู้พันออกคำสั่งเหมือนเด็กชายที่นั่งอยู่เป็นทหาร

            รอยคอตก รู้ในทันทีว่าเดี๋ยวจะต้องถูกลงโทษอีกเรื่องทานข้าวไม่หมด เด็กชายหยิบช้อนจะตักข้าว แต่ก็ต้องวางช้อนลงและตัดสินใจถาม

            “ถ้าผมทานไม่หมด  ผมจะต้องถูกลงโทษใช่มั้ยครับ”

            “แน่นอน  มันเป็นกฎอยู่แล้วนี่”

            “ถ้างั้นคุณลุงลงโทษผมเลยเถอะครับ ข้าวมากขนาดนี้ผมทานไม่หมดหรอกครับ”

            “ฮะ ฮะ อะไรกัน แค่นี้ก็ไม่สู้แล้วจะเป็นลูกผู้ชายได้ยังไง ลุงจะลงโทษเธอได้ยังไงยังไม่รู้ปริมาณข้าวที่เหลือเลย”

            เด็กชายมองหน้าพ่อเลี้ยงด้วยสายตาชิงชัง กัดริมฝีปากที่สั่นไว้ก่อนก้มหน้านิ่งโดยไม่แตะต้องข้าวในจาน

            “ตกลงเธอจะยอมรับโทษโดยไม่ทานข้าวก่อนเลยงั้นเหรอ ก็ได้.. ถ้างั้นลุงจะให้เธอเลือกระหว่างทานข้าวให้หมด ไม่หมดถูกลงโทษ  กับไม่ต้องทานเลยตลอดคืนนี้จนถึงพรุ่งนี้เช้า  เธอจะเลือกอะไร”

            รอยรู้สึกดีขึ้นเมื่อมีหนทางรอดตัว

            “ผมเลือกข้อหลังครับคุณลุง”

            “ดี ถ้างั้นลุกจากโต๊ะแล้วขึ้นไปบนห้องได้ ไปเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยเสียก่อน เพราะเดี๋ยวลุงจะให้คนไปใส่กุญแจห้องเธอไม่ให้ออกมาตลอดคืนนี้ ลองทนหิว สักคืนคงไม่เท่าไรหรอก ฮะ ฮะ”

            เด็กชายคอตกรู้สึกเจ็บปวดที่ถูกชายผู้นี้กลั่นแกล้งหาเรื่องจนได้ คืนนั้นรอยนอนไม่หลับเพราะท้องร้องตลอดคืนทรมานไม่น้อยเลย ไม่เคยต้องหิวจนท้องร้องขนาดนี้ และด้วยความไม่รู้ว่าจะมีการกลั่นแกล้งลักษณะนี้  เด็กชายจึงไม่มีขนมหรือของว่างแอบเก็บไว้ในห้องเลยสักอย่างเดียว

            และอีกหลายๆ คืนต่อมารอยมักถูกผู้พันสินชัยหาเรื่องลงโทษด้วยวิธีการต่างๆ  วิภาวีเองแม้จะรู้สึกว่าสามีทำเกินไปแต่ก็ไม่อาจว่ากล่าวได้ เพราะทุกครั้งผู้พันจะอ้างว่าทำไปเพราะรักเด็กชายและต้องการฝึกให้เป็นคนอดทน 

            ทุกวันนี้เวลาจะย่างก้าวกลับเข้าบ้าน “พิพัฒน์ชัย” เด็กชายรู้สึกเหมือนตกนรก  ทุกคืนรอยภาวนาขอให้เช้าเร็วๆ  การได้ไปโรงเรียนมีความสุขที่สุดในชีวิตของรอยเลย เพราะจะได้ไปพบกับพ่อในตอนเที่ยง และยังได้หนีจากสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายกับจิตใจเขาอย่างมาก เดี๋ยวนี้เวลาได้เจอพ่อรอยจะโผเข้ากอดโดยไม่สนใจสายตาเพื่อนหรือเด็กนักเรียนคนอื่นๆ ที่จ้องมองอยู่ ใครจะคิดยังไงก็ช่างรอยไม่สนใจไม่อายใครอีกแล้ว

            วันนี้เป็นอีกวันที่รอยกอดรังสรรค์แน่นมากกว่าปกติ จนชายหนุ่มสัมผัสถึงความรู้สึกบางอย่างในใจลูก เขายืนนิ่งอยู่นานแล้วแต่เจ้าหนูก็ยังคงซุกหน้านิ่งอยู่ไม่ยอมปล่อย   รังสรรค์ลูบศีรษะลูกและแกล้งกระเซ้าเบาๆ

            “รอยครับ เดี๋ยวนี้ลูกไม่อายแล้วเหรอเวลากอดพ่อ เพื่อนๆ มองกันใหญ่แล้วนะ”

            เด็กชายส่ายหน้ายังคงกอดเขาแน่นเหมือนเดิม  รังสรรค์เงยหน้าลูกขึ้นใจหายเมื่อเห็นน้ำตานองแก้มเนียน  ขนตาเปียกชื้นเป็นแพ

            “รอย... ลูกเป็นอะไรครับ ใครรังแกลูกของพ่อ”

            ชายหนุ่มโอบลูกชายพาเดินไปที่รถ

            “เราไปนั่งคุยกันในรถนะครับ”

            ขึ้นรถได้เด็กชายก็ขยับไปนั่งกระแซะซบอกพ่อไม่พูดไม่จา  รังสรรค์สวมกอดหนูน้อยและปลอบถาม

            “บอกพ่อได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น”

            “ผมคิดถึงพ่อครับ”   เป็นคำตอบเดียวที่รอยสามารถให้ได้

            “เท่านั้นเหรอ”

            เด็กชายพยักหน้า  ชายหนุ่มจึงก้มลงกระซิบข้างหูลูก

            “แสดงว่าวันนี้ลูกคิดถึงพ่อมากๆเลยใช่มั้ยครับ  เพราะวันนี้ลูกกอดพ่อแน่นเลย  หือ...”

            รอยพยักหน้าไม่สามารถพูดอะไรได้มากกว่านี้   ทั้งๆ ที่รู้สึกอัดอั้นกับสภาพเลวร้ายที่ได้รับจากบ้านแม่   แต่เพราะคำขู่จากคนทั้งสองที่สั่งห้ามบอกกล่าวหรือฟ้องเรื่องใดๆ กับพ่อ  ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้ไปอยู่กับพ่อในวันเสาร์และวันอาทิตย์อีก  เด็กชายจำต้องฝืนใจอดทนโดยหารู้ไม่ว่าทั้งแม่และผู้พันไม่มีสิทธิจะทำเช่นนั้น  รอยรู้แต่เพียงว่าถ้าเขาไม่ได้กลับไปอยู่กับพ่อในวันเสาร์อาทิตย์  เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว

            และเนื่องจากในระยะหลังนี้ทุกครั้งที่ไปรับหรือส่งลูกกลับบ้าน “พิพัฒน์ชัย”  ชายหนุ่มไม่เคยพบผู้พันสินชัยอีกเลย เขาจึงไม่มีโอกาสรู้ว่าทุกวันนี้ลูกต้องทนกับสภาพที่เลวร้ายต่อร่างกายและจิตใจขนาดไหน ภาพลักษณ์ของผู้พันที่รังสรรค์พบในวันแรกซึ่งมีอัธยาศัยที่ดีและเอื้ออาทรต่อลูกชาย  ทำให้ชายหนุ่มหมดห่วงและไม่คิดว่ารอยจะถูกใครทำร้ายจิตใจได้นอกจากหญิงสาวผู้เป็นแม่เท่านั้น  แต่หากรังสรรค์ได้รับรู้ว่าทุกวันนี้ลูกถูกทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจจากชายที่อยู่ในฐานะพ่อเลี้ยงคนนี้ เขาจะรู้สึกอย่างไร.....   และผู้พันเองก็เหมือนกับรู้ว่ากำลังทำอะไรกับลูกชายนายรังสรรค์อยู่  จึงพยายามเลี่ยงที่จะไม่พบหรือพูดคุยด้วย...

แนะนำติชมได้ที่บอร์ดนิยายนะคะ...................
www.clik.to/miracle
1