J_muay

สายสัมพันธ์

 


สั พั ธ์   

+++++++++++++++++++++++++++++++++++

          าหารเย็นวันเสาร์...เป็นมื้อที่อร่อยที่สุด รอยมีความสุขกับการได้นั่งทานข้าวกับพ่อที่บ้าน และยังเป็นมื้อที่ไม่ต้องฝืนทานให้หมดหรือต้องนั่งเกร็งเพราะถูกจับตามอง

            “พ่อจ๋า ผมอิ่มแล้วได้มั้ยครับ”

            เด็กชายขอพ่ออิ่ม วันนี้เป็นวันแรกที่รอยทานข้าวไม่หมดอาจเป็นเพราะยังไม่หายดี

            “อิ่มก็อิ่มซีลูก.. ทำไมต้องขอพ่อด้วยล่ะ”

            รังสรรค์จ้องตาลูกชายเขม็ง รู้สึกปวดใจเมื่อนึกถึงคำบอกเล่าของครูสมเกียรติถึงเหตุการณ์บนโต๊ะอาหารที่ลูกต้องเผชิญ    

            “ก็....ข้าวยังเหลือตั้งเยอะนี่ครับ”

            “เหลือก็เหลือซีครับ  ก็เราทานไม่ไหวแล้วนี่  ถ้าฝืนทานเข้าไปอีกลูกอาจจะจุกหรืออาเจียนออกมา ไม่เสียของกว่าเหรอ”

            “ครับพ่อ”  เด็กชายยิ้มให้พ่อและวางช้อนส้อมลง 

            “พ่อไม่เคยบังคับลูกทานข้าวให้หมดจานเลยนี่นา  มีใครบังคับลูกหรือครับ”   รังสรรค์พูดหยั่งเชิงลูก

            รอยตกใจกับคำถามรีบส่ายหน้าปฏิเสธ

            “ไม่มีครับ”        

            “แน่ใจหรือลูก”

            “แน่ครับพ่อ”

            ชายหนุ่มหัวเราะทั้งที่ในใจกำลังขมขื่นและเจ็บปวด เด็กชายตื่นตระหนกกับคำถามอย่างเห็นได้ชัด เขารีบเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะไม่อยากให้ลูกนึกถึงเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นในบ้านหลังนั้น

            “อิ่มแล้วเดี๋ยวทานยานะลูก พ่ออนุญาตให้ดูการ์ตูนถึงสองทุ่มแล้วเข้านอนเลยนะครับ พักผ่อนมากๆ จะได้หายไวๆ ”  รังสรรค์ก้มลงกระซิบข้างหูลูก  “เดี๋ยวพ่อจะออกไปข้างนอกนะครับ”

            เด็กชายตาแป๋วยิ้มรับคำที่พ่อสั่งแต่ประโยคสุดท้ายทำให้หนูน้อยหน้าเสียลงเพราะไม่อยากให้พ่อจากไปไหน  เวลาอยู่ด้วยกันยิ่งน้อยๆ อยู่

            “ไปไหนครับพ่อ.. นานมั้ย”

            “ไปธุระเดี๋ยวเดียวลูก พ่อจะรีบกลับนะ รอยนอนก่อนนะครับ ไม่ต้องคอยพ่อ”

            เด็กชายพยักหน้าอย่างว่าง่าย

         

            เรื่องที่รังสรรค์ได้รับทราบจากครูสมเกียรติเมื่อตอนบ่ายสร้างความปวดใจให้เขาอย่างมาก   หลังอาหารเย็นเขาจึงตัดสินใจไปพบวิภาวีเพื่อตกลงเรื่องลูก

            “สวัสดีค่ะรังสรรค์ ทำไมมาส่งลูกเร็วจัง เพิ่งวันเสาร์เอง แต่ก็ถูกต้องแล้วเพราะคุณพารอยไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว  ลูกอยู่ไหนล่ะคะ”

            “เสียใจวิภาวี ผมมาเพื่อบอกคุณว่า  ผมจะไม่ให้ลูกกลับมาอยู่ที่นี่อีกแล้ว..”

            “อะไรกันรังสรรค์  นี่คุณคิดจะฝืนคำสั่งศาลเหรอ  คุณทำไม่ได้หรอกนะ”

            “ทำไมผมจะทำไม่ได้ ผมไม่สนใจคำสั่งศาล ถ้าศาลรู้เหมือนที่ผมรู้ คุณจะไม่มีสิทธิดูแลลูกอีกต่อไป”

             “ไม่มากไปหน่อยหรือ... คุณรังสรรค์”   เสียงที่ขัดขึ้นดังกังวานและท้าทาย

ผู้พันสินชัยก้าวเข้ามาในห้องรับแขกและเดินตรงมานั่งข้างภรรยา  ทั้งสองยิ้มให้กันเหมือนมั่นใจว่าตัวเองเป็นผู้ชนะ

            รังสรรค์ขบกรามแน่น สีหน้าท่าทางตลอดจนแววตาของผู้พันสินชัยที่เขาเห็นตอนนี้เป็นคนละคนกับครั้งแรกที่ได้พบเห็น ไม่มีแววเมตตาเอื้ออาทรหลงอยู่ เรื่องที่ครูสมเกียรติบอกเล่าเขามั่นใจเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว

            “คุณต่างหากที่มากเกินไปผู้พัน  คุณคงรู้นะว่าผมหมายถึงอะไร”  

รังสรรค์ละสายตาจากผู้พันไปที่หญิงสาว    

“ผมต้องการตกลงเรื่องลูกกับคุณ วิภาวี..”

            “เราไม่มีอะไรจะต้องตกลงกับคุณนะ คุณรังสรรค์  ผมว่าคุณปฏิบัติตามคำสั่งของศาลดีกว่า”

            ผู้พันสินชัยขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ทำให้รังสรรค์รู้สึกโกรธทั้งที่พยายามสงบอารมณ์มาก่อนหน้านี้

            “คุณไม่เกี่ยวนะ ผู้พัน.. ผมต้องการตกลงกับแม่ของลูกผม คุณไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรากรุณาอย่าออกความเห็น สิ่งที่คุณทำกับรอย ผมพยายามอดกลั้นที่จะไม่เอ่ยถึงแล้วนะผู้พัน”

            “ทำไมผมจะไม่เกี่ยว ผมเป็นสามีแม่ของลูกคุณและอยู่ในฐานะพ่อของลูกคุณด้วย”

            “หยุดนะ!! คุณไม่มีคุณสมบัติของคนเป็นพ่อ ผมมองคุณผิดไปจริงๆ ผู้พัน ผมหลงเป็นห่วงจิตใจของลูกว่าเขาจะอยู่กับแม่เขาได้มั้ย แต่คนที่น่ากลัวอย่างคุณผมกลับมองข้ามปล่อยให้ลูกต้องผจญกับความทารุณ คนอย่างคุณจะเป็นพ่อคนได้ยังไงแม้แต่ลูกคุณเองยังไม่อยู่กับคุณเลย แล้วธุระอะไรที่ผมจะยอมให้ลูกผมอยู่ที่นี่เพื่อสนองอารมณ์โหดร้ายของคุณ”

            “มากไปแล้วนะรังสรรค์ นายต้องการหาเรื่องฉันเหรอ” พันโทสินชัยลุกพรวดขึ้นยืนหน้าแดงด้วยอารมณ์โกรธ

            วิภาวีรีบขัดขึ้นเมื่อเห็นว่าเรื่องจะไปกันใหญ่

            “คุณคะเดี๋ยววิจัดการเอง คุณไปพักผ่อนเถอะ วิตกลงกับเขาเองได้ไม่ต้องห่วงค่ะ รอยจะต้องอยู่กับเรา”

            ผู้พันสินชัยยิ้มเยาะชายหนุ่มก่อนจะเดินออกจากห้องไป

            “รังสรรค์ เรามาตกลงกันใหม่ คุณต้องการอะไร”

            “คุณต่างหากที่ต้องการอะไร วิภาวี..”    รังสรรค์พยายามสงบอารมณ์ให้เย็นลงเพื่อตกลงเรื่องลูกกับหญิงสาว    

            “คุณหมายความว่ายังไง”

            “คุณต้องการอะไร..หากลูกจะกลับไปอยู่กับผมเหมือนเดิม”

            “นี่คุณกำลังยื่นข้อเสนอเพื่อที่จะเอาลูกไปยังงั้นเหรอ ถ้าฉันบอกว่าต้องการทุกอย่างที่เป็นของคุณล่ะ เงินทองและทรัพย์สินที่คุณมีอยู่ทั้งหมด คุณจะยอมยกให้เพื่อแลกกับรอยยังงั้นหรือคะ”

            รังสรรค์มองหญิงสาวตรงหน้าแล้วรู้สึกเวทนาตัวเอง ชีวิตเขาไม่น่าจะต้องมาร่วมเวรร่วมกรรมกับผู้หญิงอย่างหล่อนเลย

            “วิภาวี.. คุณก็รู้ว่าผมกับลูกรักกันมากขนาดไหน ผมเข้าใจว่าคุณอยากให้รอยมาอยู่กับคุณเพราะคุณเองก็รักลูก  แต่ทำไมคุณถึงปล่อยให้ลูกถูกทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจอย่างนั้นวิภาวี..  ตอบผมหน่อยได้มั้ย”

            “เอ่อ... มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะรังสรรค์ ผู้พันเขาไม่ได้ทำร้ายรอยอย่างไม่มีเหตุผล เขาพยายามอบรมรอยให้เป็นเด็กที่มีระเบียบวินัย มีความอดทนตามวิสัยทหารของเขา”

            “โดยการเฆี่ยนตีลูกสาเหตุเพียงเพราะทานข้าวไม่หมดจาน แกล้งให้ลูกหิวตลอดคืนเพราะข้อเสนอบ้าๆ  ลงโทษให้ลูกนอนนอกบ้านจนจับไข้  คุณคิดว่ามันเป็นแค่การอบรมของเขายังงั้นเหรอ..วิภาวี..

....คุณทนเห็นสภาพอย่างนั้นได้ยังไง คุณไม่รู้สึกเจ็บปวดเหมือนกับที่ผมรู้สึกเหรอ แค่รับรู้โดยไม่ได้เห็นกับตาผมก็รู้สึกเจ็บปวดมากแล้ว  ตลอดเวลา 7 ปีที่ผมเลี้ยงดูรอยมา ผมไม่เคยลงโทษลูกด้วยการทำให้เขาเจ็บ ลูกเป็นเด็กฉลาด มีความคิดแค่พูดให้ฟังเขาก็รู้เรื่องแล้ว...

            “ได้โปรดเถอะนะวิ... ให้ลูกกลับไปอยู่กับผม  เขาจะได้เติบโตขึ้นมามีสุขภาพดีสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ”

            วิภาวีรู้สึกเหมือนกำลังใจอ่อนกับการร้องขอของรังสรรค์ เขาไม่เคยเสียเวลาพูดคุยกับหล่อนยาวนานเท่านี้มาก่อน   แต่เพื่อลูก...เขายอมพูดแม้แต่จะร้องขอจนเกือบจะอ้อนวอนเขาก็ทำ...

            แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของสามีที่ยืนยันให้เธอหาวิธีรั้งตัวลูกชายไว้ให้ได้  วิภาวีจึงยืนยันกลับไปอย่างหนักแน่น

            “เสียใจค่ะรังสรรค์ เราให้ลูกกลับไปอยู่กับคุณเลยไม่ได้หรอก ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ดีอยู่แล้ว”

            รังสรรค์หลับตาข่มความรู้สึกอยู่อึดใจ ก่อนกล่าวยืนยันในสิ่งที่ตั้งใจไว้

            “ผมไม่สนใจแล้วว่าคุณจะยอมหรือไม่  ผมขอยืนยันว่าจะไม่พาลูกกลับมาที่นี่อีก หากคุณต้องการจริงๆ ไปขอความเป็นธรรมกับศาล ผมยินดีจะสู้คดีกับคุณอีกครั้ง และครั้งนี้ผมแน่ใจว่าศาลคงไม่ตัดสินให้เด็กต้องอยู่กับแม่ในสภาพที่ต้องถูกทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจจากสามีใหม่ของผู้เป็นแม่  เสียใจด้วยนะ วิภาวี..”

            “คุณทำอย่างนี้ไม่ได้นะรังสรรค์.. ถ้าคุณทำ คนที่จะต้องเสียใจคือตัวคุณเอง หากให้ศาลพิจารณาใหม่อีกครั้ง คุณจะไม่มีสิทธิในตัวลูกอีกเลย เพราะศาลก็คงไม่ตัดสินให้เด็กไปอยู่ในความดูแลของคนที่ไม่ใช่พ่อเช่นกัน ””

            รังสรรค์สะอึกกับคำพูดของหญิงสาว  เขาขบกรามแน่นระงับความโกรธ

            “คุณกำลังพูดอะไร วิภาวี..   คุณหมายถึงใคร”

            วิภาวีเอ่ยกับชายหนุ่มอย่างผู้ชนะ

            “เสียใจนะคะ รังสรรค์.. เป็นหนทางสุดท้ายที่จะหยุดความดื้อรั้นของคุณได้ คุณบังคับให้ฉันต้องพูดความจริงที่ฉันไม่อยากจะพูด ความจริงที่ฉันปกปิดไว้ตลอดตั้งแต่รอยเกิดมา  และเป็นความจริงที่คุณฟังแล้วอาจรู้สึกเจ็บปวด”

            รังสรรค์รู้สึกเหมือนหัวใจกำลังจะแตกสลายแล้วไม่ใช่แค่อาจจะรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่หล่อนคิด  เขาหลุดคำถามออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและแหบพร่า   

“คุณกำลังจะบอกว่ารอยไม่ใช่ลูกผมยังงั้นหรือ วิภาวี..”

            “รังสิมันต์ไม่ใช่ลูกคุณ รังสรรค์..  ฉันปิดคุณมาตลอดเพราะเห็นคุณรักรอยมาก  ฉันไม่อยากให้คุณเจ็บปวด  แต่วันนี้คุณบังคับฉันเองนะ”

            “ไม่จริง  คุณโกหก  ผมไม่เชื่อ ”

            ปากบอกไม่เชื่อแต่ความรู้สึกของรังสรรค์นาทีนี้เหมือนหัวใจถูกควักออกจากร่างทั้งเป็น ....นี่เขากำลังตกนรกหรืออย่างไร ทำไมถึงเจ็บปวดทรมานอย่างนี้...

                                                                 

            รังสรรค์ยืนมองเด็กชายที่กำลังหลับสนิทอยู่บนเตียง ภาพที่เห็นพร่ามัวลงเมื่อคำพูดของวิภาวีก้องเข้ามาในโสตประสาท

            “รอยไม่ใช่ลูกคุณ รังสรรค์.. รอยเป็นลูกของจักรกฤษณ์ เพื่อนที่เรียนด้วยกันมา  ฉันคบหาจักรกฤษณ์ในขณะที่คบกับคุณ แต่สภาพเขาตอนนั้นไม่อยู่ในฐานะที่จะรับผิดชอบครอบครัวได้ ฉันจึงตัดสินใจเลือกคุณเพราะคุณเหมาะที่จะเป็นพ่อของลูกมากกว่าเขา”

            “.....ฉันไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใคร มันเป็นความจริงที่ฉันปิดไว้ตลอดตั้งแต่รอยเกิด และไม่เคยคิดว่าจะต้องเปิดเผยเรื่องนี้  คุณบังคับฉันเองรังสรรค์ ถ้าหากคุณฟ้องขอสิทธิเป็นผู้เลี้ยงดูลูก ครั้งนี้คุณจะไม่เหลืออะไรเลย รอยจะต้องออกจากชีวิตของคุณ คุณจะไม่มีสิทธิได้อยู่ใกล้ลูกแม้เพียงสองวันของสัปดาห์ที่คุณจะได้อยู่กับลูกก็จะไม่มีอีกแล้ว”

            “.....คิดดูดีๆ นะคะ รังสรรค์  ฉันให้เวลาคุณอยู่กับลูกครั้งนี้นานหน่อยก็ได้ เผื่อคุณอยากจะพิสูจน์ว่าที่ฉันพูดเป็นความจริงหรือเปล่า ฉันท้าให้คุณพารอยไปพิสูจน์....”

            ชายหนุ่มทรุดตัวลงข้างเตียงอย่างหมดแรง เขาไม่เคยรู้สึกเสียใจเลยตั้งแต่หญิงสาวคนนี้แยกทางจากชีวิตเขาไป  แม้เรื่องที่ได้รับฟังในวันนี้ก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดกับการกระทำที่ไม่ซื่อสัตย์ของเธอ แต่ความเจ็บปวดอยู่ตรงที่เธอกำลังบอกเขาว่าลูกชายที่เขารักดั่งดวงใจไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของเขา

            รังสรรค์รู้สึกเหมือนแสงสว่างในชีวิตเขากำลังดับวูบลง หวนนึกถึงเมื่อครั้งที่รอยยังเป็นเด็กน้อย ไม่ว่าจะพาไปไหน ทุกคนที่ได้พบเห็นก็จะทักเป็นเสียงเดียวกัน  

            “ต๊าย!... เหมือนคุณพ่อจังเลยนะคะ ตาพิมพ์เดียวกันเลย มีลักยิ้มเหมือนคุณพ่อด้วย...”

            ...ไม่จริง เธอโกหก วิภาวี.. รอยเป็นลูกผม...

            รังสรรค์โน้มตัวลงสวมกอดร่างเล็กไว้ในวงแขน 

            “รอยเป็นลูกพ่อใช่มั้ย   ลูกต้องเป็นของพ่อนะ รอย”

            รังสรรค์กอดลูกชายแน่นจนทำให้เด็กชายรู้สึกตัว

            “พ่อจ๋า  กลับมาแล้วเหรอ”

            รังสรรค์เบือนหน้าหนีแอบซับน้ำตากับเส้นผมนุ่มของลูกก่อนขยับตัวขึ้นยิ้มให้

            “กลับมาแล้วครับ  ลูกรอพ่อหรือเปล่า”

            เด็กชายพยักหน้า  สองแขนโอบคอพ่อไว้

            “ทำไมพ่อไปนานจัง ไปไหนเหรอครับ”

            “เอ่อ…พ่อไปธุระครับ”   รังสรรค์เสยผมหนูน้อยขึ้นจูบที่หน้าผาก

            “นอนต่อนะลูก  พ่อขอโทษที่ทำให้ตื่น”

            “พ่อมานอนด้วยซีครับ”

            “เดี๋ยวครับ  พ่อยังไม่ได้อาบน้ำเลย ให้นอนทั้งอย่างนี้เดี๋ยวรอยกอดพ่อไม่ลงนะ”

            เด็กชายโน้มตัวขึ้นหอมแก้มพ่อ

            “ไม่เห็นเหม็นเลยครับ หอมด้วย”

            กิริยาที่ลูกปฏิบัติทำให้รังสรรค์ไม่สามารถอดกลั้นความเจ็บปวดที่กำลังทับถมอยู่ในใจอย่างแสนสาหัสได้  เขาช้อนร่างเล็กขึ้นมาไว้ในอ้อมกอด

            “พ่อรักลูก รอย..  ลูกรักพ่อมั้ยครับ”

            “ผมรักพ่อที่สุดในโลกครับ”

            “พ่อก็รักลูกที่สุดในโลกด้วย พ่อไม่ยอมให้ใครมาแย่งลูกไปจากพ่อ รอยต้องเป็นลูกของพ่อคนเดียวนะครับ” 

รอยพยักหน้าแม้จะไม่เข้าใจและกำลังงงกับคำพูดของผู้เป็นพ่อ ในขณะเดียวกับที่รู้สึกว่าวันนี้พ่อกอดเขาแน่นกว่าทุกๆ วัน

 

            “ทำไมต้องไปหาหมออีกครับ ผมจะหายแล้วนะครับพ่อ”  รอยเงยหน้าขึ้นถามพ่อ

รังสรรค์กำลังนั่งเหม่อไปนอกรถจึงไม่ได้ยินที่ลูกถาม เด็กชายจึงถามซ้ำประโยคเดิมพร้อมกับกระตุกแขนเสื้อพ่อไปด้วย

            “ไปตรวจสุขภาพนิดเดียวครับ ลูกจะได้ไม่ป่วยบ่อยๆ ไง รอย..”

            เด็กชายพยักหน้ารับรู้  ทั้งที่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมต้องไปตรวจ

            “คุณรังสรรค์คะ คุณหมอเชิญด้านในค่ะ”

พยาบาลเดินออกมาตามชายหนุ่มเนื่องจากลูกชายกำลังแผลงฤทธิ์กับคุณหมออยู่ด้านใน   รังสรรค์เดินตามเข้ามาในห้องตรวจ พบเด็กชายนั่งหน้างออยู่โดยมีคุณหมอผู้หญิงนั่งอยู่ข้างๆ ทันทีที่เห็นหน้าพ่อรอยรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ตรงเข้ามาสวมกอดและฟ้อง

            “พ่อครับคุณหมอพูดไม่รู้เรื่อง จะขอเจาะเลือดผมทำไม พ่อบอกหมอซีครับว่าผมมาตรวจร่างกายเฉยๆ ”

            รังสรรค์ยิ้มให้คุณหมอ ก่อนพาลูกกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมและทรุดตัวลงนั่งข้างๆ  สองมือเสยผมหนูน้อยและกล่าวปลอบอย่างอ่อนโยน

            “เจาะเลือดก็เป็นการตรวจร่างกายอย่างหนึ่ง ลูกกลัวเหรอครับ รอย..”

            เด็กชายนิ่งอึ้ง พ่อเล่นถามตรงๆ ต่อหน้าคุณหมอ จะให้ตอบว่ากลัวได้ยังไง  รอยสั่นศีรษะปฏิเสธ

            “ไม่กลัวแล้วมีปัญหาอะไรล่ะครับ หือ...” รังสรรค์รั้งศีรษะหนูน้อยเข้ามากระซิบ  “ลูกผู้ชายต้องไม่กลัวเข็มฉีดยานะครับ”

            “แต่นี่ไม่ได้ฉีดยานะครับพ่อ” รอยกระซิบตอบพ่อขณะที่สายตาจับจ้องอุปกรณ์ที่วางเตรียมพร้อมอยู่บนโต๊ะ

            ชายหนุ่มหัวเราะ  จูบที่หน้าผากลูกชายเบาๆ ให้กำลังใจ

            “ถ้างั้นเราเจาะด้วยกันสองคนดีมั้ย  พ่อเจาะก่อนแล้วลูกค่อยเจาะทีหลัง โอเค..”

            รอยไม่ทันได้ตอบตกลงพ่อก็ยื่นแขนวางบนโต๊ะ คุณหมออดยิ้มไม่ได้กับกิริยาที่สองพ่อลูกปฏิบัติต่อกัน โดยเฉพาะผู้เป็นพ่อปฏิบัติต่อลูกอย่างอ่อนโยนและเป็นธรรมชาติผิดวิสัยจากพ่อคนอื่นๆ ที่เคยพบเห็นมา

            เด็กชายกอดเอวพ่อไว้ขณะที่สายตาจ้องมองไปที่แขน รู้สึกเจ็บแทนเมื่อเห็นคุณหมอแทงเข็มลึกลงไปในเนื้อ รอยกลืนน้ำลายเมื่อเห็นของเหลวสีแดงไหลเข้าไปในกระบอกฉีด  กระซิบถามพ่อเบาๆ

            “พ่อจ๋า.. เจ็บมั้ย”

            รังสรรค์ยิ้มให้ลูกและกระซิบตอบ

            “ไม่เจ็บเลยครับ  เดี๋ยวตาลูกแล้วนะคนเก่ง”

            รอยจำต้องยอมยื่นแขนให้คุณหมอเจาะเลือดแต่โดยดี  เด็กชายจ้องเขม็งรอจังหวะที่เข็มจะทิ่มลงบนแขน คุณหมอเห็นเด็กตั้งใจมองเกินไปจึงสบตากับชายหนุ่มในความหมายที่รู้กัน

            “รอยครับ” 

รังสรรค์เรียกลูกให้หันมาและโน้มศีรษะหนูน้อยซบกับอก ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่หมอแทงเข็มลงที่ท้องแขนเด็กชาย  หนูน้อยสะดุ้งกอดพ่อแน่นกัดฟันร้องเสียงเบา

“ อู๊ย.....”   รอยเงยหน้าขึ้นถามพ่อเสียงไม่ดังแต่ก็ไม่เบาเท่าไร

“ไหนพ่อบอกไม่เจ็บไงครับ”

            ชายหนุ่มฝืนยิ้มให้ลูก เป็นยิ้มที่ขมขื่นและเจ็บปวดสำหรับเขา  ยิ่งเห็นของเหลวสีแดงในหลอด SYRINGE  หัวใจเขาเต้นแรงด้วยความหวาดวิตกกับผลที่จะได้รับ

       

 

            “พ่อจ๋า เย็นนี้ผมต้องกลับไปบ้านแม่แล้วใช่มั้ยครับ” เด็กชายถามพ่อด้วยน้ำเสียงสั่นเครือขณะนั่งรถกลับบ้าน  รังสรรค์กอดลูกไว้แน่น  

            “ไม่ครับ ยังไม่กลับ  เดี๋ยวพ่อจะพาลูกไปพักผ่อน ลูกอยากไปไหนครับ”

            เด็กชายตื่นเต้นดีใจกอดพ่อแน่น

            “จริงหรือครับพ่อ  ผมอยากไปทะเลครับ  พ่ออยากไปมั้ย”

            “ลูกอยากไปพ่อก็ต้องอยากไปด้วยซีครับ   เดี๋ยวเราไปกันบ่ายนี้เลยดีมั้ย”

            “ดีครับ  ดีใจจังเลย  ผมรักพ่อที่สุดในโลกเลยครับ”

            “รักพ่อคนเดียวด้วยหรือเปล่า”  รังสรรค์กระซิบถามลูกชาย

            รอยพยักหน้าจึงถูกพ่อกอดแน่นขึ้นกว่าเดิม แม้จะแปลกใจที่พ่อถามประโยคนี้ซ้ำหลายครั้ง  แต่รอยก็มีความสุขที่ได้ตอบคำถามพ่อ.


 

 

แนะนำติชมได้ที่บอร์ดนิยายนะคะ...................
www.clik.to/miracle
1