J_muay

สายสัมพันธ์

 



สั พั ธ์   .. 5…

            รังสรรค์พาลูกไปพักผ่อนเพื่อให้เด็กชายลืมเหตุการณ์ร้ายที่ได้ประสบมาและเขาเองก็ต้องการใช้เวลาอยู่กับลูกในช่วงนี้ให้ใกล้ชิดมากที่สุด ระหว่างรอผลพิสูจน์ซึ่งใช้เวลาอย่างน้อยประมาณ 3  วัน ตราบใดที่ผลยังไม่ชี้ชัดออกมา  เขายังหลอกตัวเองได้ว่ารอยเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาอยู่ แม้เหตุการณ์ในวันนี้ก็ยังทำให้เขาไม่เข้าใจว่ารอยจะไม่ใช่สายเลือดเขาได้อย่างไร

“ต๊าย! แก้มแดงเชียว หล่อเหมือนคุณพ่อเลยนะคะ”

            เจ้าหน้าที่สาวของโรงแรมกล่าวทัก  เพราะนอกจากเด็กชายจะน่ารักแล้ว  คุณพ่อยังหล่อและสมารท์ด้วย

            “ตาสวยจังค่ะ  ขนตายาวเหมือนคุณพ่อเลยนะคะ  หนูอายุเท่าไรครับ ”

            เด็กชายหน้างอเริ่มไม่พอใจที่ถูกสาวๆเข้ามารุมล้อมจับแขนจับแก้มเหมือนเห็นเขาเป็นเด็กเล็กๆ โดยเฉพาะเมื่อถูกเรียกว่า “หนู”   รังสรรค์รู้ว่าลูกกำลังหงุดหงิดแล้วจึงขอตัวพาเดินจากมา

            “ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะรอย หือ.. พี่เค้าถามดีๆ”

            “ผมไม่ชอบครับ แกล้งชม ไม่จริงใจ”  เด็กชายบ่นอุบ  

            รังสรรค์เลิกคิ้วแปลกใจที่ลูกมีความคิดเช่นนี้

            “ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะลูก”

            “ก็จริงนี่ครับ ผมรู้ว่าสาวๆ พวกนั้นไม่ได้ตั้งใจชมผมหรอก  พวกเค้าจงใจจะมาชมว่าพ่อหล่อต่างหาก  อยากจะมาอยู่ใกล้ๆ พ่อ ผมรู้....”

            รังสรรค์อดหัวเราะไม่ได้กับความคิดของหนูน้อย

            “ลูกคิดอย่างนั้นเหรอ  พ่อว่าลูกเข้าใจผิดมังครับ”

            “ไม่ผิดหรอกครับพ่อ ผมเห็นกับตา ปากชมผมแต่ตาของสาวๆ พวกนั้นมองพ่อทุกคนเลย”

            รังสรรค์หัวเราะเสียงดัง เขาเพิ่งรู้สึกผ่อนคลายเป็นครั้งแรกหลังจากที่รู้สึกเครียดอย่างหนักในช่วงสองวันนี้

            เด็กชายยังคงพูดต่อแต่ด้วยอารมณ์ที่สดใสขึ้น

            “อารุตเคยบอกว่าเรื่องผู้หญิง..อาสู้พ่อไม่ได้ ผมไม่อยากเชื่ออา แต่วันนี้ผมชักจะเชื่อแล้วครับ”

            “เหลวไหล นี่รอยเชื่ออารุตเหรอ  อาเขาควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า พ่อจะสู้เขาได้ยังไง  ลูกเคยเห็นพ่อมีผู้หญิงที่ไหน หือ..”

            “ก็...อารุตสู้พ่อไม่ได้เพราะอาต้องไปจีบผู้หญิง  แต่พ่อของผมมีแต่ผู้หญิงมาจีบนี่ครับ”

            “รู้มากนักนะ”  รังสรรค์ช้อนร่างเด็กชายขึ้น

            “เป็นเด็กเป็นเล็ก รู้มั้ยว่าที่ลูกพูดมันแก่แดดเกินไปแล้ว พ่อจะเอาลูกไปโยนทิ้งทะเลเลยดีมั้ย”   ชายหนุ่มอุ้มลูกเดินไปที่ทะเล

            “ไม่นะครับพ่อ  อย่าทิ้งผมนะ” เด็กชายกอดคอพ่อไว้แน่น

            “ทำยังไงก่อนพ่อถึงจะยกโทษให้” 

            เด็กชายโน้มศีรษะขึ้นไปหอมและจุ๊บแก้มพ่อ   กิริยาที่ลูกปฏิบัติทำให้ชายหนุ่มรู้สึกหดหู่และทุกข์ใจขึ้นมาอีก เมื่อคิดว่าเขากำลังเผชิญกับความจริงที่อาจจะต้องเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสในอีกสามวันข้างหน้าแล้ว ชีวิตในอ้อมแขนที่เขารักดั่งแก้วตาดวงใจนี้จะอยู่ในสภาพเช่นไรต่อไปถ้าไม่มีเขา

            รังสรรค์หอมแก้มและจุ๊บที่หน้าผากหนูน้อย

            “รอยครับ พ่อรักลูกเหลือเกิน  ลูกรักพ่อคนเดียวจริงหรือเปล่า”

            รอยงง !  ...อีกแล้วเหรอ... พ่อถามคำถามนี้เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วในวันนี้... 

            แม้จะสงสัยแต่เด็กชายก็ตอบเอาใจพ่อ

            “จริงซีครับ ผมรักพ่อคนเดียวจริงๆ ไม่มีใครมาแทนพ่อของผมได้หรอก ผมไม่มีวันยอมรับใครเป็นพ่อ หรือรักใครอีกนอกจากพ่อรังสรรค์ของผมคนเดียว” 

            ขณะที่พูดเด็กชายก็หวนนึกถึงผู้พันสินชัย รู้สึกทั้งเกลียดชังและหวาดกลัวขึ้นมาทันที

            รังสรรค์กอดลูกชายแน่น   นึกถึง ‘วิศรุต’ ผู้ที่รอยกล่าวถึงเมื่อครู่


            ....ตอนนี้นายอยู่ที่ไหนรุต.. ทำไมไม่ติดต่อกลับมาเลย รู้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉันและลูก ฉันกำลังทุกข์ใจมากเหลือเกิน หัวใจฉันกำลังจะแตกสลายอยู่แล้ว  จะมีใครเข้าใจความรู้สึกฉันนอกจากนาย.... ได้โปรดติดต่อกลับมาก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป...

            ‘วิศรุต’  หนุ่มโสดวัยเดียวกับรังสรรค์ ทั้งสองเป็นทั้งเพื่อนและญาติสนิทกัน วิศรุตเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง  แต่เพิ่งลาออกเพราะปัญหาความขัดแย้งของผู้บริหารภายใน ประกอบกับในช่วงเวลานั้นวิศรุตเป็นหนึ่งในบัญชีผู้ถูกปองร้ายจากผู้มีอิทธิพลที่เสียผลประโยชน์อันเนื่องมาจากการนำเสนอข่าวของเขา  รังสรรค์เป็นห่วงเพื่อนจึงแนะให้เขาหลบไปอยู่เมืองนอกสักพัก วิศรุตจากไปไม่ใช่เพราะเห็นด้วยกับรังสรรค์ เขาไม่ได้หนีการถูกปองร้ายแต่เขาจากไปเพราะเบื่อกับปัญหาวุ่นวายต่างๆ  

เขาตัดสินใจจากเมืองไทยไปใช้ชีวิตเพื่อหาประสบการณ์อย่างสันโดษและอิสระในแถบแอฟริกาใต้   โดยเดินทางตะลอนไปเรื่อยๆ ไม่มีที่พักเป็นหลักแหล่งแน่นอน  วิศรุตจะเป็นฝ่ายโทรติดต่อกลับมาหารังสรรค์เพื่อให้เพื่อนรู้ว่าขณะนี้เขาอยู่ที่ไหน ซึ่งครั้งสุดท้ายรังสรรค์ได้รับการติดต่อจากวิศรุตว่าอยู่ที่แหลมกู๊ดโฮป   แต่นั่นก็เกือบสองเดือนผ่านมาแล้ว

            จนถึงวันนี้กว่าครึ่งปีแล้วที่วิศรุตจากไป ตลอดเวลารังสรรค์ไม่เคยบอกกล่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระว่างเขากับรอยให้เพื่อนฟัง เพราะวิศรุตจากไปได้เพียง 2 เดือนก็เกิดเรื่องขึ้น รังสรรค์ไม่อยากให้เพื่อนเป็นห่วงเนื่องจากสถานการณ์ของวิศรุตเองยังไม่คลี่คลายในทางที่ดีนัก หากบอกไปหมอนั่นคงต้องยุติการเดินทางและรีบกลับมาอย่างแน่นอน  เพราะวิศรุตรักรอยมากเหมือนลูกชายคนหนึ่งเลยก็ว่าได้  ถึงขนาดเคยเอ่ยปากขอเด็กชายเป็นลูก...

            “เสือ.. ฉันขอให้รอยเป็นลูกฉันด้วยได้มั้ย”

            “ทำไมล่ะ นายเป็นอาก็ดีอยู่แล้ว”

            “ก็ฉันอยากจะเป็นพ่อมั่งอ่ะ ”

            “นายจะเป็นพ่อได้ยังไง นายจะให้รอยมีพ่อสองคนไม่งงตายเหรอ เอางี้ซี ถ้านายอยากให้รอยเป็นลูกของนาย มีทางเดียวคือนายต้องเป็นแม่ของลูก เพราะรอยมีฉันเป็นพ่ออยู่แล้ว”

            วิศรุตนิ่งไป  

            “ให้ฉันเป็นแม่เหรอ...อืมม์...ก็ได้... ถ้างั้นฉันต้องเป็นเมียนายก่อนนะ”

วิศรุตขยับเข้าสวมกอดรังสรรค์พยายามหอมแก้มเพื่อนโดยที่อีกฝ่ายดิ้นรนสุดฤทธิ์

            “คืนนี้ฉันจะนอนกับนายนะเสือ..   ฉันต้องเป็นของนายให้ได้”

            “ไอ้บ้า!...  ปล่อยนะรุต.. เฮ้ย!  รอย.. ช่วยพ่อด้วย”


            เด็กชายนั่งอมยิ้มดูอากับพ่อกอดกันแล้วหัวเราะอย่างมีความสุข ภาพนั้นคงไม่มีให้พบเห็นอีกแล้ว...

 

            หลังอาหารเช้าในวันที่สามของการพักผ่อน เด็กชายฉุดแขนพ่อให้เดินไปที่ชายหาดเมื่อออกจากห้องอาหารของโรงแรม

            “พ่อจ๋า  ไปเล่นน้ำกันดีกว่าครับ”

            “เอ่อ.. เช้านี้พ่อไม่อยากเล่นเลยครับ ลูกไปเล่นกับน้ามั่นได้มั้ย”

            “ไม่เอาครับ ผมจะเล่นกับพ่อ”

            “แล้วลูกจะเล่นทั้งชุดนี้เหรอ”

            “ผมใส่กางเกงว่ายน้ำอยู่ข้างในแล้ว”

เด็กชายดึงขอบเอวกางเกงขาสั้นที่สวมอยู่เพื่อให้พ่อเห็นกางเกงว่ายน้ำที่ใส่อยู่ข้างใน รังสรรค์ต้องยอมแพ้ลูก ขนาดเด็กชายอยู่ในสายตาเขาตลอด แอบใส่กางเกงว่ายน้ำตอนไหนเขายังไม่รู้

            “แต่พ่อยังไม่ได้เปลี่ยนกางเกงเลย เอาอย่างนี้นะ ให้น้ามั่นพาลูกไปที่ชายหาดก่อน  พ่อจะขึ้นไปเปลี่ยนชุดแล้วตามลูกไปนะครับ”

            เด็กชายนิ่งคิดก่อนพยักหน้าตกลงแต่ไม่ลืมกำชับพ่อ

            “เร็วๆ นะครับ   ผมจะไปเล่นฝังทรายรอพ่อก่อนนะ”

            “ตกลงครับ”

            รังสรรค์มองดูเด็กชายวิ่งตามนายมั่นคนขับรถไปที่ชายหาด วันนี้จิตใจเขาไม่อยู่กับตัวเลย คุณหมอสุรีย์นัดไว้ว่าจะโทรมาแจ้งผลการตรวจดีเอ็นเอกับเขาทันทีที่รู้ผลในเช้าวันนี้  รังสรรค์ดูเวลาที่ข้อมือรู้สึกใจเต้นแรงขึ้น  วันนี้เขาไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร แม้แต่อาหารเช้าเมื่อครู่ก็แทบไม่ได้แตะอะไรเลย จิบกาแฟไปเพียง 2 คำเท่านั้น

            ชายหนุ่มเปลี่ยนชุดเตรียมพร้อมจะลงไปเล่นน้ำกับลูก รีรออยู่พักใหญ่ก่อนจะเดินไปที่ระเบียงห้อง มองลงไปที่ชายหาดเห็นเด็กชายกำลังง่วนอยู่กับการตักทรายฝังร่างนายมั่น รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของลูกให้ความรู้สึกทั้งทุกข์และสุขกับเขาเหลือเกิน  รังสรรค์เดินกลับเข้ามาในห้องหยิบโทรศัพท์มือถือและเดินไปที่ประตู   ขณะกำลังจะก้าวออกจากห้อง โทรศัพท์ที่ถืออยู่ในมือดังขึ้น  

            “ RRRR....”

            รังสรรค์สะดุ้งใจเต้นแรงเมื่อเห็นเบอร์ผู้ที่โทรเข้ามา  ไม่สามารถระงับความตื่นกลัวได้   เดินกลับเข้ามาในห้องยืนทำใจอยู่ชั่วครู่ก่อนกดรับสาย

            “สวัสดีครับ ผมรังสรรค์..”

            “สวัสดีค่ะ  ดิฉันหมอสุรีย์นะคะ”

            ชายหนุ่มใจหายวาบอีกครั้งไม่เคยรู้สึกกลัวอะไรเท่านี้มาก่อนในชีวิต น้ำเสียงที่กล่าวแหบพร่า

            “สวัสดีครับคุณหมอ  ผมกำลังคอยอยู่”

 

“ผลตรวจออกมาแล้วนะคะคุณรังสรรค์ หมอเสียใจค่ะ  สิ่งที่คุณกังวลเป็นเรื่องจริง ด.ช.รังสิมันต์  ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของคุณ ไม่ได้เป็นลูกของคุณตามสายเลือด แต่หมอคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งสำคัญแล้ว ถึงวันนี้ความรักที่คุณและลูกมีต่อกันมันยิ่งใหญ่มากกว่า จนหมอเชื่อว่าไม่มีใครมาพรากหรือแยกความรักที่มีให้กันได้  เชื่อหมอเถอะค่ะ ฮัลโหล!  คุณรังสรรค์คะ ฟังหมออยู่หรือเปล่า....


                รังสรรค์รู้สึกเหมือนกำลังถูกศาลสั่งพิพากษาให้ตายทั้งเป็นอย่างช้าๆ และทรมาน สิ้นสุดประโยคที่ว่า.. รอยไม่ได้เป็นลูกของเขาตามสายเลือด ชายหนุ่มไม่สามารถรับฟังสิ่งที่หมอสุรีย์พูดต่อได้อีก หูอื้อและชาไปตลอดทั้งร่าง ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าไม่สามารถรับความรู้สึกใดๆ ได้อีก น้ำตาไหลอย่างไม่สามารถอดกลั้นได้   ไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดทรมานมากมายเท่านี้มาก่อนในชีวิต

           

            เป็นเวลาเกือบชั่วโมงที่รอยรอพ่อตามลงไปแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา ในที่สุดเช้าวันนั้นเด็กชายก็ไม่ได้ลงเล่นน้ำตามที่ใจต้องการ นายมั่นพาคุณหนูมาส่งที่ห้อง เมื่อพบว่าประตูไม่ได้ล็อกก็รู้สึกเป็นห่วง แต่เมื่อเห็นเจ้านายนอนอยู่บนเตียงก็โล่ง อก  และขอตัวกลับไปยังห้องพักตัวเองซึ่งอยู่ติดกัน

            รอยเดินหน้ามุ่ยเข้ามาหาพ่อที่นอนเหยียดยาวอยู่บนเตียง เข้าใจว่าพ่อต้องเผลอหลับแน่ๆ ถึงไม่ได้ลงไปเล่นน้ำตามนัด แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็หายหงุดหงิดและรู้สึกแปลกใจกับท่านอนของพ่อคือแขนสองข้างก่ายอยู่บนหน้าผาก เด็กชายคลานขึ้นไปบนเตียงเรียกพ่อตื่น

            “พ่อจ๋า... พ่อครับ เป็นอะไร ทำไมไม่ลงไปฮะ” 

เด็กชายถามด้วยความรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้งอแง กางเกงที่พ่อใส่อยู่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้นแล้ว  แสดงว่าพ่อพร้อมที่จะลงไปแต่อาจมีปัญหาบางอย่าง

            ชายหนุ่มยังคงนอนนิ่ง  แต่มีคำตอบออกจากริมฝีปากอย่างแผ่วเบาจนหนูน้อยต้องเงี่ยหูฟัง

            “พ่อขอโทษ รอย...  พ่อลงไปไม่ไหว พ่อเจ็บ  เจ็บมาก...”

            ประโยคสุดท้ายที่ได้ยินทำให้รอยตกใจ เขย่าร่างพ่อและพยายามเอาแขนลงเพื่อให้เห็นหน้าพ่อชัดๆ

            “พ่อจ๋า.. เจ็บตรงไหนครับ พ่อไม่สบายเหรอ...”

ดวงตากลมโตเบิกกว้างเมื่อได้เห็นใบหน้าพ่อชัดๆ ก็พบว่าพ่อกำลังร้องไห้ พ่อคงจะเจ็บมากจริงๆ.....

            “พ่อครับ พ่อเป็นอะไร เจ็บตรงไหนฮะ เจ็บมากมั้ย พ่ออย่าเป็นอะไรนะ ผมจะไปเรียกน้ามั่นพาพ่อไปหาหมอนะครับ”    เด็กชายขยับจะลงจากเตียงแต่ถูกพ่อดึงแขนไว้

            “รอย พ่อเจ็บตรงนี้”  รังสรรค์จับมือเล็กแนบไว้ที่หน้าอกตรงหัวใจ

            “พ่อเจ็บข้างใน  เจ็บมากเหลือเกิน”   น้ำใสยังคงไหลออกจากดวงตาผู้เป็นพ่อไม่ขาดสายจนเด็กชายหน้าเสียจะร้องไห้ตาม เพราะเกิดมาไม่เคยเห็นพ่อร้องไห้เลย

            “รอยครับ  กอดพ่อหน่อย พ่อเจ็บ”

            รอยซบลงที่อกพ่อและกอดเบาๆ เพราะกลัวพ่อเจ็บ

            “พ่อครับ  อย่าเป็นอะไรนะ พ่อเป็นอะไรแล้วรอยจะอยู่กับใคร พ่อจ๋า... ฮึก ฮืออ....”

            รังสรรค์สวมกอดร่างเล็กที่นอนซบอยู่บนตัวเขา รู้สึกว่าลูกสะอื้นอย่างหนักเพราะเสียขวัญ   รีบกล่าวปลอบทั้งที่ตัวเองก็ยังน้ำตาไหล


            “พ่อไม่เป็นไรลูก อย่าร้องไห้ เดี๋ยวพ่อก็หายเจ็บแล้ว กอดพ่อแน่นๆ ซีครับ พ่อจะได้หายเร็วๆ”

 

            เด็กชายกอดพ่อแน่นขึ้นทันที เพราะอยากให้พ่อหายเร็วๆ เป็นเวลานานทีเดียวที่สองพ่อลูกนอนกอดกันอยู่อย่างนั้น         รังสรรค์ครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนเตียง มีเด็กชายอยู่ในอ้อมแขน มือใหญ่เสยผมชื้นเหงื่อของหนูน้อยไปมา

            “พ่อไม่เป็นไรแล้วนะครับ  พ่อขอโทษที่ทำให้ลูกตกใจ”

            “ผมเสียใจครับที่ทิ้งพ่อไว้คนเดียว มัวแต่ห่วงเล่นน้ำ”  เด็กชายต่อว่าตัวเอง

            รังสรรค์อดยิ้มไม่ได้เมื่อลูกชายตำหนิตัวเอง ก้มลงหอมแก้มใสฟอดใหญ่

            “เดี๋ยวเราลงไปเดินเล่นกันใหม่นะ  พ่อไม่เป็นไรแล้ว”

            “ไม่เอาครับพ่อ  พักผ่อนดีกว่า  เดี๋ยวไม่สบายอีกนะครับ”

            “พ่อหายแล้วลูก รอยพาพ่อไปเดินสูดอากาศที่ทะเลหน่อยซีครับ จะได้หายดีกว่านี้..”


            เป็นเหตุผลที่ทำให้เด็กชายกุลีกุจอพาพ่อลงไปเดินเล่นที่ชายหาดทันที

 

            รังสรรค์จูงมือรอยเดินเลียบไปตามชายทะเล เล่นหยอกล้อกับลูกเพื่อคลายเครียดโดยแข่งกันกระโดดหนีคลื่นที่ซัดมากระทบฝั่ง แดดเริ่มแรงขึ้นจนแก้มหนูน้อยเป็นสีแดงเรื่อ   รังสรรค์จึงพาลูกเดินเลี่ยงไปนั่งใต้ร่มเงาไม้

            “มานั่งพักคุยกันก่อนลูก...”

            สองพ่อลูกทรุดตัวลงนั่งบนพื้นทราย

            “รอยครับ..พ่อมีเรื่องอยากจะบอก มันอาจจะเข้าใจยากสักหน่อย แต่พ่อเชื่อว่าลูกเข้าใจ...”

            “ครับ” 

เด็กชายตาแป๋วรับคำพ่อ มือเล็กคว้าทรายขึ้นมาโปรยลงที่ขา รังสรรค์ลูบศีรษะและเสยผมหนูน้อยไปมาก่อนจะเริ่มอธิบาย

            “ลูกรู้ใช่มั้ยครับว่าทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ ไม่สามารถกำหนดอะไรให้เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการได้ทุกเรื่อง”

            รอยพยักหน้ารับทราบ เพราะพ่อเคยพูดเรื่องนี้ให้ฟังตอนที่แม่ย้ายออกไปจากบ้านเมื่อ 3 ปีที่แล้ว

            “และทุกสิ่งที่เรากำลังเป็นหรือดำเนินอยู่ก็พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาจนบางครั้งเราก็ตั้งรับไม่ทัน แม้สิ่งที่เราคิดว่าดีอยู่แล้วในวันนี้ มันก็อาจจะไม่ดีในวันหน้า  และความสุขที่มีอยู่ในวันนี้ ชั่วเวลาข้ามวันอาจจะกลายเป็นความทุกข์อย่างแสนสาหัส  ความเข้าใจและความพอใจเท่านั้นที่จะทำให้เรารับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงโดยทันไม่ตั้งตัวเหล่านี้ได้”

            เด็กชายยังคงนิ่งฟังอย่างตั้งใจแม้จะเริ่มเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง

            “สิ่งที่พ่ออยากจะบอกลูกในวันนี้เป็นเรื่องระหว่างพ่อกับลูก เรื่องที่เราเคยคิดตรงกันเมื่อ 3 ปีก่อนว่า.. เราพอใจและมีความสุขแล้วที่ได้อยู่ด้วยกันถึงจะไม่มีแม่ของลูกอยู่ด้วย  และเราก็สามารถอยู่กันสองคนได้อย่างมีความสุขจริงๆ .....

            ......และเมื่อ 4 เดือนที่ผ่านมานี้ ระหว่างลูกกับพ่อเราก็ต้องเปลี่ยนความพอใจของเราใหม่อีก ขอให้เราได้มีเวลาอยู่ด้วยกันอย่างเต็มที่แค่เพียงสองวันในหนึ่ง สัปดาห์ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย  ลูกว่าจริงมั้ยครับ”

            รอยพยักหน้า เพราะเรื่องที่พ่อพูดเป็นความจริงที่ทั้งพ่อและเขาร่วมเผชิญมาด้วยกัน

            “แต่ถ้าหากสถานการณ์ในวันนี้ต้องเปลี่ยนไปอีก ลูกกับพ่อก็ต้องปรับความรู้สึกกันใหม่  ลูกคิดว่าจะปรับได้มั้ย รอย..”

            เด็กชายขมวดคิ้ว

            “ต้องปรับอะไรอีกหรือครับพ่อ”

            “หากความสัมพันธ์ของเรา เอ่อ... พ่อหมายถึงระหว่างพ่อกับลูก..หากความสัมพันธ์จะต้องเปลี่ยนแปลงไป ลูกจะรับได้มั้ยครับ”

            “เปลี่ยนอะไรอีกครับ”   รอยเริ่มไม่เข้าใจที่พ่อพูด

            รังสรรค์กลั้นใจบอกกับลูก

            “เอ่อ.. รอยครับ ลูกคงจะเข้าใจยากสักหน่อย ถ้าหากพ่อจะบอกว่า บางครั้งสิ่งที่เราพบเห็นหรืออยู่กับเรามาตั้งแต่เกิด เช่นพ่อกับลูก และเราก็คิดว่าเขาเป็นของเรา แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เขาเป็นของคนอื่น เอ่อ... พ่อกำลังหมายถึง...รอยไม่ใช่ของพ่อ ลูกไม่ใช่ลูกของพ่อ เป็นลูกของคนอื่น”

            รังสรรค์หลุดประโยคสุดท้ายออกมาด้วยความลำบาก มือที่เสยผมลูกชายสั่นระริก

            เด็กชายนิ่งไปเพราะรู้สึกงงกับคำพูดของพ่อ

            “ตั้งแต่เกิดมาผมก็มีพ่อเป็นพ่อแล้ว  ผมจะไม่ใช่ลูกของพ่อได้ยังไงฮะ”

            รังสรรค์พยายามหาคำอธิบายพร้อมกับต้องใช้ความพยายามอย่างสูงสะกดกลั้นความรู้สึก

            “เอ่อ... พ่อเป็นพ่อของลูกหลังจากที่ลูกเกิดมา  แต่ก่อนที่ลูกจะเกิดลูกมีพ่อคนอื่น ”

            สีหน้าหนูน้อยเริ่มเครียดพอจะเข้าใจบ้างแม้จะไม่ลึกซึ้ง รู้สึกสับสนและเสียใจกับเรื่องที่ได้ยิน ประโยคที่พูดออกมากลายเป็นน้ำเสียงสะอื้น

            “ผมไม่อยากมีพ่อคนอื่น”

            รังสรรค์จับศีรษะเด็กชายสบตาดวงตากลมโตที่มีน้ำใสเอ่อรื้นอยู่

            “ฟังพ่อนะรอย.. ไม่ว่าความจริงจะเป็นยังไง  ระหว่างพ่อกับลูกจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทั้งหมดขึ้นอยู่กับลูก นอกเสียจากว่าลูกอยากจะมีพ่อใหม่”

            “ไม่มีทางครับพ่อ ผมไม่อยากมีพ่อใหม่ ผมไม่มีวันยอมให้ใครมาเป็นพ่อผมนอกจากพ่อรังสรรค์ของผมคนเดียว”

            คำพูดของรอยทำให้น้ำใสไหลอาบแก้มผู้เป็นพ่ออีกครั้ง  รังสรรค์รั้งร่างเล็กขึ้นมานั่งบนตักและสวมกอดไว้ด้วยความรักสุดหัวใจ

            “ไม่มีทางเลยลูก พ่อก็ไม่มีวันยอมให้ใครพรากลูกของพ่อไป พ่อสัญญาด้วยชีวิตของพ่อเลย

แนะนำติชมได้ที่บอร์ดนิยายนะคะ...................
www.clik.to/miracle
1