J_muay

สายสัมพันธ์

 


สั พั ธ์   .. 7…

 

 

           

            “พ่อครับ..  ผมหยุดเรียนตั้งหลายวันแล้ว  ครูไม่ว่าเหรอครับพ่อ”

            “พ่อขออนุญาตครูสมเกียรติไว้แล้วลูก บางทีพ่ออาจจะให้ลูกหยุดต่ออีกสัก 2-3 วัน” รังสรรค์ไม่ให้ลูกไปโรงเรียนเพราะไม่แน่ใจสถานการณ์บางอย่าง

            รอยจ้องตาพ่อเขม็ง  เด็กชายพอจะรู้ว่าทำไมพ่อถึงไม่ให้เขาไปโรงเรียน

            “พ่อครับ  พ่อกลัวแม่กับลุงผู้พันไปรับผมที่โรงเรียนใช่มั้ย”

            “เอ่อ..”   ชายหนุ่มพูดไม่ออกเพราะเป็นความจริงอย่างที่ลูกพูด

            “รอยครับ บางทีพ่ออาจให้ลูกพักการเรียนสักระยะ พ่อรู้ว่ามันไม่ถูก แต่เราไม่มีทางเลือก ถ้าลูกไปโรงเรียนก็จะต้องถูกแม่ลูกพาตัวกลับไป  รอยไม่อยากกลับไปที่บ้านโน้นอีกแล้วไม่ใช่เหรอ..”

            “ใช่ครับพ่อ  ผมไม่อยากอยู่ที่นั่น  ผมอยากอยู่กับพ่อ   อยากกลับมาอยู่บ้านเราตลอดไป”

            รอยกอดพ่อแน่น เพราะเพียงแค่นึกถึงว่าจะต้องกลับไปอยู่ที่บ้านผู้พันจอมโหดนั่นอีก เด็กชายก็รู้สึกขยาดเหลือเกิน

            “อีกไม่นานลูก  อีกไม่นานนะครับ พ่อสัญญา”  รังสรรค์โอบกอดลูกชายที่นั่งอยู่บนตักไว้และปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

            “อะแฮ่ม!  คุณพ่อคุณลูกกอดกันแต่เช้าเลยนะ”

            วิศรุตเดินตรงมาที่สองพ่อลูก ร่างสูงเพรียวโน้มตัวลงหอมแก้มเด็กชายหนึ่งฟอดและเลยไปที่แก้มพ่ออีกหนึ่ง

            “มอร์นิ่งคิสคร้าบบบ!! คุณพ่อเสือ… ”

            “อย่าตลกน่ารุต. ไม่มีอารมณ์ วันนี้ไม่ไปไหนใช่มั้ย อยู่ดูรอยด้วยนะ ฉันจะเข้าที่ทำงานและแวะไปทำธุระสักครู่ ”

            “ครับท่าน โปรดบัญชามาเลย ผมจะดูแลคุณหนูของผมเป็นอย่างดี จะฟูมฟักเหมือนไข่ในหินเลยครับ”  

            เด็กชายหัวเราะคิกเพราะผู้เป็นอาทำหน้าทะเล้นใส่  รังสรรค์อดยิ้มไม่ได้ ความทะเล้นของวิศรุตทำให้บ้านมีชีวิตชีวาและไม่หดหู่นักโดยเฉพาะในเวลาที่ความทุกข์ทับถมในใจเขาอย่างแสนสาหัสเช่นนี้ 

 

           

———สั——พั——ธ์

 

 

 

            “ยินดีที่ได้รู้จัก คุณรังสรรค์”

            “ยินดีที่รู้จักเช่นกันครับ คุณประเสริฐ”

            ทนายประเสริฐเป็นทนายรุ่นพี่ของวินัยที่มีความชำนาญในเรื่องกฎหมายครอบครัว โดยเฉพาะคดีร้องสิทธิในการปกครองบุตรของผู้เป็นพ่อแม่ทั้งหลาย  ซึ่งวินัยคุยนักคุยหนาว่าตั้งแต่ว่าความประเภทนี้มาทนายประเสริฐยังไม่เคยแพ้คดีสักครั้งเดียว

            “ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าคุณมีอายุอ่อนกว่าผมเพียง 2  ปี คุณดูอ่อนกว่าวัยมากเลยนะ คุณรังสรรค์  ถ้าให้ผมคาดเดาอย่างไม่รู้มาก่อน  อย่างมากคงไม่เกิน 37 ปี”

            “ขอบคุณครับ”

            รังสรรค์อดคิดในใจไม่ได้ว่า  หากลูกต้องพรากจากเขาไป นับแต่นี้ไปชั่วระยะเวลาไม่ถึงปีเขาอาจจะดูแก่กว่าชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าก็ได้   เพราะช่วงเวลาเกือบ 5 เดือนที่ผ่านมา เขารู้สึกว่าร่างกายตัวเองทรุดโทรมลงไปมาก

            “นอกจากคุณจะดูอ่อนกว่าวัยแล้ว ที่สำคัญคุณดูดีกว่าที่ผมคิด ทั้งหน้าตาและบุคลิก ตลอดจนฐานะคุณดู Perfect ไปหมด  คงจะเป็นที่ต้องตาต้องใจของสาวๆ  ไม่น้อยเลยนะครับคุณรังสรรค์”

            “เอ่อ.. ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ”   รังสรรค์รู้สึกอึดอัดที่ทนายประเสริฐพูดแต่เรื่องไร้สาระ  เขาจึงเป็นฝ่ายตัดบทเข้าเรื่องแทน

            “เห็นวินัยบอกผมว่า คุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์กับรูปคดี”

            “อ๋อ.. ใช่ครับ คุณพร้อมหรือยังคุณรังสรรค์”

            “ครับ”

            “ถ้างั้นเชิญทางนี้”

ทนายประเสริฐลุกขึ้นยืน  รูปร่างสูงใหญ่ขนาดชาวตะวันตกของเขา  ทำให้รังสรรค์ซึ่งมีความสูงกว่า 6 ฟุต ยังดูเล็กไปถนัด

            “เชิญนั่งครับ คุณรังสรรค์..”  ทนายประเสริฐผายมือไปยังเก้าอี้ซึ่งเตรียมไว้เป็นพิเศษสำหรับลูกความ

             รังสรรค์มองดูเก้าอี้ตรงหน้า มันเป็นเก้าอี้โซฟาบุนวมอย่างดี แลดูน่าสบายสำหรับผู้นั่ง แต่มันไม่เหมาะสำหรับการนั่งคุยกันในเรื่องที่เป็นการเป็นงาน และเรื่องที่พูดคุยก็เครียดเกินกว่าที่เขาจะมีอารมณ์นั่งเอกเขนกเช่นนี้ และที่สำคัญเก้าอี้นวมมีเพียงตัวเดียว โดยมีเก้าอี้กลมตัวสูงตั้งอยู่ข้างๆ มองดูแล้วเหมือน!!!!......

            “สำหรับลูกความพิเศษของผม  เชิญครับ คุณรังสรรค์”

            รังสรรค์หันไปสบตาวินัย ซึ่งฝ่ายนั้นพยักหน้าให้เขานั่งลงตามคำเชิญ ชายหนุ่มลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะก้าวตรงไปที่เก้าอี้และทรุดตัวลงนั่ง

            “ผมอยากให้คุณทำตัวให้สบายนะคุณรังสรรค์ ช่วยผ่อนคลายอารมณ์ของคุณด้วยการสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ด้วย” 

            ทนายประเสริฐกล่าวพร้อมกับทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวสูง  เก้าอี้ที่ชายหนุ่มนั่งถูกปรับให้เอนลง  รังสรรค์ผุดลุกขึ้นนั่งทันทีและกล่าวถามขึ้นอย่างอดไม่ได้

            “เอ่อ.. ขอโทษนะ อธิบายผมหน่อยได้ไหมว่าคุณกำลังทำอะไร”

            “ผมต้องการข้อมูลที่เป็นความจริงทุกเรื่อง  เกี่ยวกับตัวคุณและลูกชาย”

            ทนายประเสริฐพูดยิ้มๆ ในมือเขาถือวัตถุบางอย่างที่ทำให้รังสรรค์เริ่มเข้าใจว่าทนายร่างยักษ์ผู้นี้กำลังจะทำอะไร

            “ผมสามารถให้รายละเอียดและความจริงกับคุณได้ด้วยการพูดคุยกันตามปกติ   คุณไม่จำเป็นต้องใช้วิธีนี้”

            “มันเป็นวิธีการของผมคุณรังสรรค์ หากคุณต้องการให้ผมว่าความให้ กรุณาทำตามที่ผมแนะนำ  แต่ถ้าไม่ยินดีก็ไม่เป็นไร”

ทนายประเสริฐลุกขึ้นยืน  วินัยรีบพูดขัดขึ้น

            “ใจเย็นซีครับพี่เสริฐ  คุณรังสรรค์เขาเพียงแต่สงสัยวิธีการของพี่เท่านั้น ยังไงซะเราก็หวังที่จะให้พี่ช่วยเหลืออยู่แล้ว   จริงมั้ยครับคุณรังสรรค์” 

วินัยหันไปพยักหน้าและกล่าวย้ำกับชายหนุ่ม

“เพื่อคุณรอย คุณทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว”

            รังสรรค์ระบายลมหายใจอย่างอดกลั้น  นึกถึงลูกก่อนจะเอนตัวลงพิงพนักเก้าอี้ สูดลมหายใจเข้าปอด พยายามทำตัวให้สบายและผ่อนคลายอย่างที่ทนายประเสริฐต้องการ

            ประเสริฐยิ้มอย่างพอใจ ลูกความที่ผ่านการซักถามข้อมูลและความจริงด้วยวิธีนี้จากเขา ใช่ว่าเขาจะรับว่าความให้ทุกราย  กว่า 50 % ที่เขาไม่รับทำคดีให้เนื่องจากไม่พอใจความจริงหรือคำตอบจากผู้เป็นพ่อแม่หรือผู้ปกครองเด็กที่ต้องการให้เขาว่าความให้

            ระหว่างทางกลับบ้านขณะขับรถชายหนุ่มรับสายทนายวินัยซึ่งโทรมาแสดงความยินดี

            “ยินดีด้วยนะครับคุณรังสรรค์ ที่พี่เสริฐรับว่าความให้ คุณมั่นใจได้เลยว่าคุณรอยต้องกลับมาอยู่กับคุณแน่นอน”

            “ผมก็หวังอย่างนั้นนะวินัย ลูกพี่คุณทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนไข้โรคจิต  ผมไม่แน่ใจว่าเขาเป็นทนายความหรือเป็นจิตแพทย์กันแน่”

            “มันเป็นวิธีการของเขาครับ นอกจากจะได้ข้อมูลที่เป็นความจริงทั้งหมด โดยไม่สามารถปิดบังได้แล้ว ยังได้รับรู้ถึงอุปนิสัยและความรู้สึกที่แท้จริงของผู้เป็นพ่อหรือแม่ด้วย    พี่เสริฐคัดลูกความของเขาด้วยวิธีนี้ครับ”

            “ทำไมไม่บอกให้ผมตั้งตัวเลยวินัย  ในเมื่อคุณรู้อยู่แล้วว่าวิธีการของลูกพี่คุณประหลาดผิดจากทนายคนอื่นๆ”

            “ต้องขอโทษด้วยนะครับคุณรังสรรค์  ที่บอกไม่ได้เพราะเป็นกฎอีกข้อที่พี่เสริฐตั้งไว้สำหรับลูกความที่จะมาพบเขาครั้งแรก”

            “เฮ้อ!... ช่างเถอะวินัย ผมอยากให้คุณช่วยประสานงานเรื่องนี้ให้ผมด้วย หากคดีนี้สำเร็จผมได้ลูกกลับมาอยู่กับผมจริงๆ  ค่าตอบแทนของคุณคงไม่น้อยกว่าลูกพี่คุณเท่าไร”

            “อย่าพูดเรื่องค่าตอบแทนของผมเลยครับคุณรังสรรค์ ผมไม่ได้ว่าความให้คุณ ถือเสียว่าเป็นน้ำใจเล็กน้อยที่ผมพอจะช่วยคุณได้บ้าง  เพื่อตอบแทนที่คุณเองช่วยเหลือผมมาตลอด”

            “ถ้างั้นช่วยบอกคุณประเสริฐเร่งฟ้องให้ผมด่วนเลยนะ จริงซิ! ผมมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องอยากจะให้คุณช่วย  ระหว่างที่มีการฟ้องร้องกันอยู่ ผมต้องการให้รอยกลับมาอยู่กับผมจนกว่าคดีจะเสร็จสิ้น   มีทางเป็นไปได้มั้ยวินัย..”

            “น่าจะพอมีทางนะครับ  ผมจะปรึกษาพี่เสริฐแล้วรีบจัดการให้”

 

 

———สั——พั——ธ์

 

 

            ทันทีที่เลี้ยวรถเข้ามาในบ้าน  รังสรรค์ก็เห็นภาพที่ทำให้เขาสุขใจและสบายใจหลังจากที่รู้สึกเครียดมาทั้งวัน  เด็กชายกอดรัดอยู่กับเจ้าแซมที่สนามหญ้าหน้าบ้านและลุกขึ้นวิ่งตรงเข้ามาหาทันทีที่เห็นเขาก้าวลงจากรถ     

            รอยโผเข้ากอดพ่อ

            “ทำไมออกมาเล่นนอกบ้านล่ะลูก”  รังสรรค์เสยผมที่เปียกชื้นด้วยเหงื่อของเด็กชาย

            “อารุตมีแขกครับพ่อ”

            รังสรรค์เลิกคิ้ว  ยังไม่ทันเอ่ยถามเด็กชายก็ให้เหตุผลต่อ

            “แขกเป็นตำรวจครับ  ผมเลยต้องออกมาเล่นข้างนอก ไม่อยากเสียงดัง”

            ชายหนุ่มอดหัวเราะไม่ได้กับเหตุผลของลูก

            “เอาล่ะ ตอนนี้พ่อว่าเลิกเล่นได้แล้วมังครับ เกือบจะ 5 โมงเย็นแล้ว ลูกไปอาบน้ำแล้วคอยพ่ออยู่ที่ห้อง  เดี๋ยวพ่อขึ้นไปขอกอดให้ชื่นใจหน่อยดีมั้ยครับ”

            “ทำไมไม่กอดตอนนี้เลยล่ะครับพ่อ..”

รอยยื่นแขน 2 ข้างไปข้างหน้า รังสรรค์ส่ายหน้าสองแขนไขว้หลังไว้ ยืนยันให้เด็กชายไปอาบน้ำก่อน

            “ตกลงครับพ่อ  ผมจะไปอาบน้ำ  แล้วคอยพ่อที่ห้องนะครับ” 

ร่างเล็กรีบวิ่งเข้าบ้านไปอาบน้ำเพราะอยากกอดพ่อ รังสรรค์มองตามอย่างมีความสุข แต่ความสุขที่ได้รับจากเด็กชายทุกวันนี้มักจะมีความทุกข์ซ่อนลึกอยู่ภายในเสมอ

            วิศรุตแนะนำแขกตำรวจที่รอยพูดถึงให้เขารู้จัก

            “เสือ.. สารวัตรเกียรติชัย อยากพบนาย...”

            “ยินดีที่ได้รู้จัก คุณรังสรรค์”

            “ยินดีครับสารวัตร”   รังสรรค์สบตาวิศรุตเป็นเชิงถาม

            สารวัตรเกียรติชัยเป็นตัวแทนวิภาวีและผู้พันสินชัยมาไกล่เกลี่ยให้รังสรรค์คืนลูกชายกลับไปบ้านผู้เป็นแม่ตามข้อตกลงที่ศาลกำหนดไว้ แม้ว่าทั้งสองกำลังมีเรื่องที่จะดำเนินการฟ้องร้องเพื่อแย่งสิทธิปกครองบุตรกันอีกครั้ง แต่ระหว่างนี้สิทธิในการดูแลบุตรของทั้งคู่ยังเหมือนเดิม สารวัตรเกียรติชัยจึงขอให้รังสรรค์ปฏิบัติตามข้อตกลงเดิมก่อน หากจะให้ลูกกลับมาอยู่กับเขาก็ขอให้ศาลมีคำสั่งออกมาเพื่อให้เรื่องราวต่างๆ ดำเนินไปอย่างถูกต้อง

            “ถูกต้องหรือสารวัตร ผู้พันสินชัยทำสิ่งที่ถูกต้องกับลูกชายผมหรือเปล่า เขาคงไม่ได้เล่าให้สารวัตรฟัง  ว่าทำไมผมถึงไม่ให้ลูกกลับไปอยู่ที่นั่นอีก”

            “อ๋อ.. เล่าซีครับ เขาว่าคุณไม่พอใจที่ผู้พันอบรมสั่งสอนลูกชายคุณรุนแรงเกินไป ซึ่งเขาทำไปโดยวิสัยทหาร  ไม่ได้มีจิตใจเกลียดชังคิดทำร้ายเด็ก”

            “คุณเชื่อที่เขาพูดยังงั้นหรือสารวัตร  ถ้าผมยืนยันที่จะไม่ให้ลูกกลับไปจะเกิดอะไรขึ้น”

            “ผมลำบากใจจริงๆ นะครับคุณรังสรรค์..  เรื่องของครอบครัวผมอยากให้ตกลงกันด้วยดี ไม่เช่นนั้นผมต้องเชิญทั้งคุณพ่อคุณแม่และลูกชายไปโรงพักเพื่อรอคำสั่งศาล  ใครได้มาก่อนก็เอาลูกไปอยู่ด้วย  คุณต้องการอย่างนั้นหรือคุณรังสรรค์”

            วิศรุตเห็นเพื่อนเริ่มมีอารมณ์โกรธจึงพูดตัดบท

            “เอาอย่างนี้นะสารวัตร  เราจะพารอยกลับไปคืนพรุ่งนี้   สารวัตรช่วยเจรจากับทางโน้นด้วยก็แล้วกัน  ผมจะไปส่งที่รถนะครับ” 

วิศรุตโอบไหล่สารวัตรเกียรติชัยพาเดินออกไป

            “เห็นแก่คุณนะวิศรุต ผมจะช่วยพูดให้ก่อน”    สารวัตรเห็นแก่วิศรุตซึ่งเคยติดต่อให้ข้อมูลข่าวสารกันสมัยที่วิศรุตยังเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์

 

 

———สั——พั——ธ์

 

 

            “นายจะให้ฉันพาลูกกลับไปที่บ้านนั้นอีกหรือรุต..  นายก็รู้ว่ามันทำยังไงกับรอยบ้าง”

            รังสรรค์กล่าวด้วยอารมณ์โกรธ  เมื่อวิศรุตแนะนำว่าควรจะคืนรอยกลับไปตามข้อตกลงเดิมก่อน

            “ใจเย็นๆ ซีเพื่อน อย่างน้อยนายอย่าลืมว่าเรากำลังเป็นรองเรื่องที่นายไม่ใช่พ่อที่แท้จริง เราไม่ควรให้ฝ่ายนั้นมีข้ออ้างว่าเราผิดข้อตกลงในการดูแลลูกอีก  รอคำสั่งศาลมาแล้วเราค่อยไปพารอยกลับมาก็ได้”

            “เมื่อไรล่ะรุต.. กี่วันคำสั่งถึงจะออกมา รู้มั้ยว่าบ้านหลังนั้นมันเป็นนรกสำหรับรอย”

            “นายคิดมากเกินไปน่ะเสือ..   ไอ้ผู้พันนั่นมันคงไม่กล้าทำอะไรรอยอีกแล้ว”

            “ฉันไม่คิดอย่างนาย ..  ฉันไม่ไว้ใจใครอีกแล้ว แม้แต่วิภาวีที่อ้างนักหนาว่ารักลูก หล่อนก็ยังไม่มีปัญญาปกป้องลูกได้  ปล่อยให้ลูกนอนหนาว ให้ลูกเจ็บ ให้ลูกถูกทรมานทั้งคืน”

            รังสรรค์กลืนก้อนแข็งลงคออย่างลำบาก ทุกครั้งที่เอ่ยหรือนึกถึงเหตุการณ์ที่รอยถูกทำร้าย เขาเจ็บปวดรวดร้าวถึงขั้วหัวใจ โดยเฉพาะเหตุการณ์ในคืนสุดท้ายก่อนที่เขาจะพาลูกกลับมาอยู่ด้วย เพราะตุ่มแดงๆ บนใบหน้าของเด็กชาย ซึ่งหมอยืนยันว่าเป็นรอยยุงกัด ทำให้เขาต้องตะล่อมถามจนรอยยอมบอกว่าถูกผู้พันลงโทษให้นอนนอกบ้านเพราะกลับบ้านผิดเวลา

            “เอาอย่างนี้นะ นายลองคุยกับทนายดู เขาแนะนำยังไงนายก็ทำตามที่เขาบอกก็แล้วกัน” 

วิศรุตตบไหล่เพื่อนเบาๆ  เข้าใจดีว่ารังสรรค์กำลังรู้สึกอย่างไร

            แต่แล้ว.. คำแนะนำของทนายประเสริฐก็เหมือนกับที่วิศรุตแนะนำ โดยเขาขอเวลาไม่เกิน 3 วันจะนำคำสั่งศาลมาให้  และแนะนำให้รังสรรค์อดทนและใจเย็นกว่าที่เป็นอยู่   เนื่องจากข้อกล่าวหาในการฟ้องร้องอาจถูกเบี่ยงเบนประเด็น ขอให้เขามีกำลังใจที่เข้มแข็งและอดทนให้มาก

            “คุณพาลูกกลับไปคืนแม่เขาเถอะ พรุ่งนี้วันอังคารคุณพาลูกไปส่ง วันศุกร์คุณนำคำสั่งศาลไปรับลูกกลับมาได้เลย  เห็นแก่วินัยและคุณในฐานะลูกความพิเศษของผม  ผมใช้พลังภายในให้คุณเลยนะรังสรรค์..  ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ศาลจะยอมออกคำสั่งโดยไม่เปิดบัลลังค์สืบหาข้อเท็จจริงก่อน สามวันเท่านั้นหัวใจไม่แหลกสลายหรอกน่า..” 

ทนายประเสริฐกระเซ้าชายหนุ่มอย่างอารมณ์ดีตามสไตล์

            คืนนั้นทั้งคืนกว่ารอยจะยอมนอน รังสรรค์ต้องอธิบายและปลอบซ้ำแล้วซ้ำเล่ากว่าเด็กชายจะเข้าใจและหายหวาดกลัว

 

           

———สั——พั——ธ์

 

 

            เช้าวันต่อมาวิภาวีโทรมาทวงลูกชายอีก โดยบอกให้รังสรรค์มาส่งแต่เช้า แต่ชายหนุ่มผลัดเวลาขอเป็นตอนบ่ายอ้างว่าเขายังไม่ว่าง  วิภาวีจึงว่าหล่อนจะไปรับเอง  รังสรรค์จนปัญญาที่จะผลัดต่อจึงใช้ไม้ตายบอกตัดบทไป

            “ผมจะพาลูกไปส่งตอนบ่ายนะวิภาวี คุณรอก็แล้วกัน ถ้าหากคุณรักลูกจริงๆ อย่าโทรเซ้าซี้ผมอีก”

            บ่ายวันนั้นวิศรุตอาสาเป็นโชเฟอร์ขับรถมาส่งรอยที่บ้านผู้พันสินชัย โดยวิศรุตให้สองพ่อลูกนั่งอยู่ตอนหลังเพราะต้องร่ำลากัน  เขาจึงดูเหมือนคนขับรถจริงๆ

            “พ่อครับ ต้องรีบมารับผมเร็วๆ นะ”

            “พ่อสัญญาลูก  วันศุกร์พ่อจะรีบมารับนะครับ  แต่รอยต้องไม่บอกใครนะ เฉยๆ ไว้”

            “ครับพ่อ ผมจะคอยนะ”

            รอยขยับตัวจากเบาะขึ้นไปนั่งบนตักพ่อ  รังสรรค์สวมกอดร่างเล็กในอ้อมแขนไว้ด้วยความรักและจูบที่หน้าผากเบาๆ

            “อะแฮ่ม! คุณพ่อคุณลูก กอดกันนัวเนียเลยนะ ไม่เห็นใจคนขับรถอย่างผมเลย” 

รังสรรค์ยิ้มให้ลูกชายกระซิบเบาๆ

            “ไปหอมอารุตหน่อยซิลูก  เดี๋ยวอาเค้าน้อยใจนะ”

            เด็กชายยิ้มและพยักหน้าให้พ่อ ก่อนจะโน้มตัวไปด้านหน้าหอมแก้มอาหนึ่งฟอด วิศรุตใช้มือซ้ายรั้งศีรษะเด็กชายไว้และหอมกลับคืนหนึ่งฟอดใหญ่           

“ชื่นใจจังเลย ลูกใครน้า แก้มหอมจัง”

            “ลูกพ่อรังสรรค์ไงครับ”

รอยสวนตอบวิศรุตทันควันโดยไม่ต้องคิด แต่คำตอบของเด็กชายกลับสะท้อนความรู้สึกของผู้เป็นพ่อจนต้องเบือนหน้าหนีมองออกไปนอกรถ  วิศรุตนึกขึ้นได้ฉุนตัวเองที่ถามคำถามไม่ได้เรื่อง

 

           

———สั——พั——ธ์

 

 

            หน้าประตูบ้าน “พิพัฒน์ชัย”…

อีกครั้งที่สองพ่อลูกต้องกอดกันแน่นก่อนที่เด็กชายจะเดินเข้าบ้าน หนูน้อยน้ำตาคลอทำให้รังสรรค์เกือบจะอดกลั้นความรู้สึกไว้ไม่ได้  กระซิบปลอบลูก

            “พ่อรักลูกนะรอย..  ไม่ต้องกลัวนะ  พ่อจะรีบมารับตามสัญญานะครับ”

            “ผมจะคอยพ่อครับ  พ่อไม่ต้องห่วงนะ  ผมเป็นลูกผู้ชายผมจะอดทนครับ”

            คำพูดปลอบโยนของลูกที่เข้าใจความรู้สึกของพ่อว่าห่วงใยเขามากขนาดไหน ทำให้รังสรรค์กลั้นน้ำตาไว้แทบไม่อยู่

            วิภาวีเดินออกมารับลูกชาย เห็นภาพสองพ่อลูกกอดกันก็รู้สึกหมั่นไส้จนอดประชดประชันไม่ได้

            “เด็กเค้ามีพ่อมีแม่นะ  คุณไม่ต้องห่วงขนาดนั้นหรอก รังสรรค์”

            คำพูดของวิภาวีจงใจเสียดแทงและตอกย้ำความสัมพันธ์ระหว่างเขากับรอย ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าปอดด้วยการหอมแก้มลูกชายอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นยืน  พยายามข่มใจอดทนและอดกลั้นมากที่สุดตามคำแนะนำของทนายประเสริฐ

            วิศรุตนั่งดูเหตุการณ์อยู่ในรถพร้อมกับสำรวจไปรอบๆ บริเวณบ้านพิพัฒน์ชัย   คำพูดของวิภาวีทำให้เขารู้สึกสงสารเพื่อนและหลานชายจับใจ

            รังสรรค์เดินกลับมาขึ้นรถด้วยอารมณ์ที่อดกลั้นอย่างเต็มที่ ตัดใจไม่หันกลับไปมองลูกชายอีกเลย จนวิศรุตต้องเป็นคนหันไปโบกมือลาเด็กชายที่เหลียวกลับมามองทั้งๆ ที่กำลังถูกผู้เป็นแม่ฉุดให้เดินเข้าไปในบ้าน

            วิศรุตชำเลืองมองเพื่อนซึ่งนั่งเงียบมาตลอดทาง เขาเอื้อมมือจับไหล่รังสรรค์บีบเบาๆ โดยไม่ได้พูดอะไร   สักพักจึงได้ยินเสียงเพื่อนเอ่ยถามเบาๆ

            “รุต.. นายว่าฉันจะได้รอยกลับมาอยู่ด้วยมั้ย”

            เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ เพราะตามติดมาด้วยคำถามใหม่ซึ่งตอบเองเสร็จสรรพ

            “นายรู้มั้ยว่าถ้าฉันไม่ได้รอยกลับมา ฉันจะเป็นยังไง.. ฉันคงเหมือนตายทั้งเป็นแล้ว หัวใจฉันคงแหลกสลายไม่มีชิ้นดี  แล้วนายคิดว่าคนที่ไม่มีหัวใจจะมีชีวิตอยู่ได้หรือ.... โอ๊ย! .....”

            ขาดคำรังสรรค์รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจอย่างรุนแรงจนต้องงอตัวลง วิศรุตตกใจกับอาการเจ็บปวดของเพื่อนจนต้องชะลอความเร็วและนำรถจอดเข้าข้างทาง

            รังสรรค์จะรับรู้หรือไม่ว่าอาการเจ็บปวดที่หัวใจของเขาเกิดจากสายสัมพันธ์ทางจิตใจที่เขาและลูกมีให้กันจริงๆ เพราะอาการเจ็บของเขาเป็นผลมาจากความเจ็บปวดที่เด็กชายได้รับพร้อมกับนึกถึงผู้เป็นพ่อให้ช่วยด้วย!!!…

 

 

———สั——พั——ธ์

 

 

            เด็กชายหลับตาปี๋!! เมื่อเห็นฝ่ามือใหญ่เงื้อขึ้น

....พ่อจ๋า!!  ช่วยด้วย!!! ....

เสียงร้องเรียกให้พ่อช่วยดังลั่น หากแต่ดังอยู่เพียงในใจเท่านั้น 

            ....เพี้ยะ !!......

            ฝ่ามือทั้งใหญ่และหนักสัมผัสแก้มเด็กชายอย่างรุนแรง ร่างเล็กเซถลาไปตามแรงตบและทรุดกองลงกับพื้น  สัมผัสที่ได้รับเปลี่ยนจากความเจ็บเป็นอาการชา ไม่เฉพาะแค่บริเวณใบหน้าเท่านั้น หนูน้อยรู้สึกหูอื้อจนไม่ได้ยินเสียงว่าใครพูดอะไร  ภาพที่เห็นพร่ามัวจนต้องหลับตาและลืมขึ้นใหม่อีกครั้งภาพจึงชัดขึ้น เด็กชายตัวสั่นด้วยความตกใจเมื่อเห็นของเหลวสีแดงไหลออกจากจมูกตัวเองหยดลงกับพื้น  ร่างเล็กถอยหนีเข้าข้างฝามือกุมจมูกและปากไว้  ตัวสั่นด้วยความกลัวไม่รู้ว่าจะต้องรับกับอะไรอีก

            “ผู้พันคะ  คุณทำรุนแรงอย่างนี้อีกไม่ได้แล้วนะ ใจเย็นๆ หน่อยซีคะ”  

            วิภาวีเริ่มไม่พอใจกับอารมณ์ของสามี

            “ยังน้อยเกินไปสำหรับความผิดฐานที่หนีไปเที่ยวเป็นอาทิตย์  บ้านไม่กลับ โรงเรียนก็ไม่ไป  คุณคิดว่าลูกชายคุณทำถูกแล้วเหรอ”

            “แต่คุณอย่ารุนแรงอย่างนี้ซีคะ  ตอนนี้เรากำลังจะมีเรื่องฟ้องร้องขึ้นศาลกับพ่อเขาอยู่นะ  ถ้าเด็กเจ็บเวลาขึ้นศาลเราจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบนะคะ”

            “ฉลาดหน่อยซี วิภาวี.. ฟ้องร้องครั้งนี้คุณกับผมจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเลย ใช้นายจักรกฤษณ์ให้เป็นประโยชน์กับเรา  ให้พ่อทางสายเลือดกับพ่อที่เขาเลี้ยงดูกันมาสู้คดีกันเอง เราไม่เกี่ยว”

            วิภาวีหันไปมองลูกชายที่นั่งตัวสั่นอยู่ริมห้อง 

            “บุญมา  พาคุณรอยขึ้นไปบนห้อง” 

พลทหารรับใช้ร่างยักษ์รับคำสั่ง รีบตรงเข้ามาอุ้มเด็กชายพาขึ้นห้องตามที่คุณนายสั่ง

            พลทหารบุญมาวางร่างคุณหนูลงบนเตียง ร่างเล็กสั่นสะท้าน เลือดกำเดายังไหลไม่หยุดจนเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าและมือทั้งสองข้าง พลทหารรู้สึกสงสารจึงนำผ้ามาเช็ดและจัดการห้ามเลือดให้เด็กชาย

            “ไม่เป็นไรแล้วนะครับคุณหนู เดี๋ยวเลือดหยุดไหลแล้วค่อยเอาผ้าออกนะครับ”

พลทหารมองคุณหนูด้วยความสงสารก่อนจะเดินออกจากห้องไป

            รอยนอนสะอื้นน้ำตาร่วงผล็อยเป็นทาง …บอกแล้วว่าที่บ้านนี้น่ากลัว… เทียบกับบ้านพ่อที่เป็นเหมือนสวรรค์แล้ว  อยู่ที่นี่เหมือนตกนรกทั้งเป็น!!!…...

            “ฮืออๆๆ พ่อจ๋า  ผมจะอดทนคอยพ่อมารับ  พ่อไม่ต้องห่วงนะ ผมเจ็บนิดเดียวผมทนได้ครับ   ฮือๆๆ … ”

 

 

———สั——พั——ธ์

 

 

แนะนำติชมได้ที่บอร์ดนิยายนะคะ...................
 
1