J_muay

สายสัมพันธ์

 


สั พั ธ์   .. 8…

 

            รอยตื่นขึ้นตอนเช้ามืดเพราะรู้สึกปวดระบมที่แก้ม ร่างเล็กนอนนิ่งลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน  ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปตั้งแต่กี่โมง รู้แต่ว่านอนคิดถึงพ่อจนหลับไป

            เด็กชายขยับตัวจะลุกขึ้น เสียงท้องร้องโครก!!! จึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่เมื่อเย็นวาน  เพราะหลับไปตั้งแต่บ่ายแก่ๆ  รู้สึกตัวอีกครั้งก็ดึกมากแล้ว  แม้จะรู้สึกหิวแต่ก็ต้องพยายามข่มตาหลับต่อเพราะรู้ดีว่าผู้พันใจร้ายต้องสั่งงดอาหารเย็นเขาแน่นอน

            รอยลุกขึ้นจากเตียง  เห็นนาฬิกาเป็นเวลาเกือบ 6 โมงเช้า  จึงเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวเตรียมตัวไปอาบน้ำเพื่อไปโรงเรียน นึกถึงโรงเรียนแล้วรอยมีความสุขอยากไปถึงเร็วๆ แต่แล้วความสุขก็มลายหายไปเมื่อประตูห้องเปิดไม่ได้ ประตูถูกล็อคจากด้านนอก  ร่างเล็กหมดแรงทรุดตัวลงบนพื้น…

            ....ทำไมต้องขังผมด้วย!!...

            รอยรู้สึกกลัวมาก กลับมาอยู่ที่นี่ครั้งนี้เขาคงไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีแน่  แล้ววันนี้เขาจะได้ไปโรงเรียนมั้ย!!!

            เด็กชายนั่งคอยอยู่ที่พื้นห้องข้างประตูเป็นเวลานานกว่าครึ่งชั่วโมง            ไม่กล้าทุบประตูห้องเอะอะโวยวาย  กลัวผู้พันจอมโหดอารมณ์เสียแต่เช้าและอาจทำให้รอยต้องเจ็บตัวแต่เช้าด้วยเหมือนกัน  เสียงกุญแจด้านนอกถูกไขออก รอยรีบลุกขึ้นยืนเตรียมพร้อมที่หน้าประตู แต่แล้วก็ต้องรีบถอยกลับไปนั่งที่เตียงเมื่อนึกขึ้นได้ว่า  ถ้าเป็นผู้พันเข้ามาล่ะ !!!… 

            วิภาวีเดินเข้ามาหาลูก   พลทหารรับใช้ถือถาดอาหารตามเข้ามา 

            “ตื่นแล้วหรือจ๊ะ รอย..”  

            น้ำเสียงอ่อนโยนของมารดาซึ่งเด็กชายไม่ได้ยินนานมากแล้วทำให้รู้สึกเคลิ้มและส่งยิ้มให้แม่

            “อรุณสวัสดิ์ครับ  แม่..”

            “อรุณสวัสดิ์จ้ะ..”

            “แม่ครับ ผมจะอาบน้ำไปโรงเรียน...”  เด็กชายบอกกล่าวเหมือนเป็นเรื่องปกติ  แต่ใจเต้นตุ้บตับกับคำตอบที่จะได้รับ                              

            “ไม่ต้องไปหรอกลูก  แก้มบวมอย่างนี้จะไปได้ยังไง”  

            หญิงสาวให้เหตุผลลูกแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีที่ห่วงใยเข้าไปสัมผัสความเจ็บปวดของลูกเลย

            “ผมไม่เป็นไรแล้วครับ  ให้ผมไปโรงเรียนนะ”

            “เอ๊ะ! รอย แม่พูดไม่รู้เรื่องหรือไง ถามเซ้าซี้อย่างนี้ถ้าคุณลุงได้ยินลูกก็จะเจ็บตัวอีก  แม่รู้นะว่าเราจะไปโรงเรียนทำไม หึ! คงนัดพบกับนายรังสรรค์ล่ะซิ อย่านึกนะว่าจะได้สมหวัง ฟังนะรอย!! แม่กับนายรังสรรค์จะต้องสู้คดีที่ศาลกันอีกครั้งเพื่อขอเป็นผู้ปกครองลูก  รอจนกว่าคดีจะเสร็จสิ้นลูกค่อยกลับไปเรียนหนังสือ”

            “ไม่นะ ไม่ได้นะครับแม่ ผมจะไปโรงเรียน ผมต้องเรียนหนังสือ ผมจะสอบแล้วด้วย…”   รอยจับแขนมารดาเขย่า   “แม่จ๋า.. ให้ผมไปโรงเรียนนะครับ”

            “รอย.. แม่รู้นะลูกอย่าเอาโรงเรียนมาอ้างเลย ลูกอยากจะไปพบใครที่โรงเรียนใช่มั้ย  ตอบแม่มาซิ!!..”

            เด็กชายไม่เคยพูดโกหก เมื่อถูกคาดคั้นความจริงจากผู้เป็นแม่ จำใจต้องพยักหน้า

            “อย่าหวังเลยว่าลูกจะได้พบเจอนายรังสรรค์อีก แม่จะไม่ให้ลูกกลับไปอยู่กับเขาอีกแล้วแม้วันเสาร์อาทิตย์แม่ก็จะไม่ให้ไป ลูกควรจะได้รู้ความจริงซะทีนะรอย ว่านายรังสรรค์ไม่ใช่พ่อของลูก แม่จะพาพ่อที่แท้จริงของลูกมาพบกับลูกในเร็วๆ นี้ พ่อที่แท้จริงของลูกชื่อคุณพ่อจักรกฤษณ์ ไม่ใช่พ่อรังสรรค์อีกต่อไปแล้ว เข้าใจมั้ย!!!”

            เด็กชายนั่งตะลึง น้ำตาไหลพรากอาบแก้ม  คำพูดของมารดาโหดร้ายและรุนแรงจนหัวใจดวงน้อยแทบจะสลาย หากไม่ได้รับรู้จากพ่อมาก่อน วันนี้รอยคงช็อกกับความจริงที่ได้รับรู้จากปากของแม่  ....ทำไมเรื่องที่พ่อบอกไม่เจ็บปวดและโหดร้ายเท่านี้  ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องเดียวกัน…

            “ไม่!!.. ผมจะอยู่กับพ่อรังสรรค์   ผมรักพ่อรังสรรค์คนเดียว”   รอยสั่นศีรษะไม่ยอมรับฟังสิ่งที่มารดาพูด

            วิภาวีโมโหจับต้นแขนของเด็กชายเขย่า

            “หยุดเดี๋ยวนี้นะ เขาไม่ใช่พ่อของลูก อย่าเรียกเขาเป็นพ่ออีก”

            “ไม่!!! พ่อรังสรรค์เป็นพ่อของผมคนเดียว ผมไม่มีพ่อคนอื่น ผมไม่อยากมี!!…. ” 

            “เพี้ยะ!!!”

            ขาดคำใบหน้าของเด็กชายสะบัดไปตามแรงตบของผู้เป็นแม่ แม้จะไม่รุนแรงเหมือนเมื่อวานแต่ก็เจ็บไม่น้อยเพราะถูกตบซ้ำเข้าที่เดิม

            “มากไปแล้วนะ ลูกทำให้แม่โมโหถึงต้องเจ็บตัวแบบนี้ ลูกอกตัญญู ใครสอนให้แกเป็นคนอย่างนี้  เขาใช่มั้ยที่สอนให้แกเกลียดพ่อที่แท้จริงของตัวเอง”

            ร่างเล็กสะอื้นจนตัวโยนยกสองมือปิดหู ไม่อยากได้ยินคำพูดรุนแรงของแม่ แม้แต่สรรพนามเรียกตัวเขาก็ยังเปลี่ยนไป เด็กชายล้มตัวลงบนที่นอนคว้าหมอนปิดหน้าไว้  ไม่อยากได้ยินเสียงแว้ด แต่ก็ยังแว่วเข้าหูจนได้

            “จำไว้นะรอย  อย่าดื้อกับแม่อีก แม่ตีลูกไม่เจ็บเท่าคุณลุงหรอกนะ ถ้าคุณลุงโมโหลูกจะเจ็บตัวหนักกว่านี้  แล้วอย่าหวังว่าจะได้พบกับนายรังสรรค์อีก จนกว่าคดีจะเสร็จสิ้นแม่ถึงอนุญาตให้ลูกไปโรงเรียน”

            เสียงมารดาเงียบไปตามด้วยเสียงประตูปิด และมีเสียงใส่กุญแจหน้าห้อง ทุกสิ่งรอบตัวเด็กชายเงียบสนิท ได้ยินแต่เสียงร้องไห้ของตัวเอง  มือเล็กควานหารูปของพ่อที่ซ่อนไว้ใต้ที่นอนขึ้นมากอด

            “ฮือๆ...พ่อจ๋าาา… ผมไม่ได้ไปโรงเรียนแล้ว ผมจะไม่ได้เจอพ่ออีกแล้ว”

            เด็กชายสะอื้นไห้น้ำตาไหลพราก หมดความอดทนต่อความเจ็บปวดที่จิตใจได้รับ

            “ผมรักพ่อคนเดียว ผมสัญญาว่าจะไม่รักใคร ผมไม่มีวันยอมให้ใครมาเป็นพ่อผม  นอกจากพ่อเสือของผมคนเดียว”

            รอยกอดรูปพ่อไว้แน่น น้ำตาไหลอาบแก้ม แต่พยายามกลั้นเสียงไว้ไม่ให้เล็ดลอดออกไปนอกห้อง เวลาผ่านไปอีกนานเท่าไรรอยไม่สนใจแล้ว จะมีประโยชน์อะไรในเมื่อถูกขังอยู่ในห้องแบบนี้

 

––– สั –– พั –– ธ์

 

            เด็กชายตื่นขึ้นอีกครั้งในตอนเที่ยงหลังจากผล็อยหลับไป   รู้สึกปวดระบมที่แก้มมากขึ้น ท้องร้องโครกครากอีกจนรู้สึกปวด มองไปที่โต๊ะเขียนหนังสือเห็นถาดอาหารยังวางไว้ โชคดีที่ยังไม่มีใครเก็บไป รอยลุกจากเตียงไปนั่งกินข้าวต้มที่เย็นชืดโดยไม่สนว่าจะอร่อยหรือไม่เพราะตอนนี้หิวมากจนทนไม่ไหวแล้ว  แต่หลังจากจัดการกับอาหารเรียบร้อย เด็กชายก็รู้สึกปวดท้องอย่างรุนแรงเพราะทานผิดเวลา

            รอยเดินไปที่ประตูเคาะเรียก

            “เปิดประตูให้ผมหน่อย มีใครอยู่บ้างครับ เปิดประตูด้วย ผมปวดท้อง!!..”

เด็กชายทุบประตูจนเจ็บมือ แสดงว่าไม่มีใครอยู่บนนี้เลย แต่ข้างล่างน่าจะมีคนอยู่ อย่างน้อยคนรับใช้ข้างล่างก็น่าจะได้ยิน

            “ผมปวดท้องนะ ผมอยากจะเข้าห้องน้ำ เปิดประตูให้หน่อยครับ ใครก็ได้ เปิดประตูให้ผมหน่อย โอยยย!!....” 

            เด็กชายนอนขดตัวอยู่หน้าประตูห้อง คิดถึงหน้าพ่อแล้วน้ำตาไหลพราก  ....ทำไมแม่ถึงใจร้ายอย่างนี้  ถ้าเป็นฝีมือลุงผู้พัน  รอยจะไม่เสียใจเลย....

 

––– สั –– พั –– ธ์

 

            วันนี้ทั้งวันรังสรรค์นั่งไม่ติดเพราะไปหาลูกที่โรงเรียนแต่ไม่พบ เด็กชายไม่ได้ไปโรงเรียนแสดงว่าวิภาวีคงมีความคิดเหมือนเขา... 

            วิศรุตตาปรือมองดูเพื่อนเดินไปมา

            “เสือ... นั่งลงเถอะ นายกังวลมากเกินไปแล้ว”

            “นายไม่เข้าใจหรอกรุต ไม่ใช่ฉันไม่อยากนั่ง ฉันรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงลูกเรียกหาอยู่ตลอดเวลา  ฉันไม่ได้คิดไปเอง   ฉันรู้สึกจริงๆ นะรุต..” 

วิศรุตเข้าใจว่ารังสรรค์เป็นห่วงลูกมากจนอาจคิดหรือรู้สึกไปเอง เมื่อคืนรังสรรค์ก็ไม่ได้นอนทั้งคืน ทำเอาเขาแทบจะไม่ได้นอนไปด้วยเพราะต้องนั่งอยู่เป็นเพื่อนคอยปลอบใจกัน

            …RRRR…

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น…รังสรรค์ยืนทอดอาลัยอยู่ที่หน้าต่าง สายตาจับจ้องที่สนามหน้าบ้านเหมือนกับจะเพ่งกระแสจิตไปถึงใครที่เคยวิ่งเล่นอยู่บริเวณนั้น จนไม่สนใจกับเสียงโทรศัพท์   วิศรุตถอนใจเฮือกและลุกขึ้นเดินไปรับสายแทน

            “เสือ.. วินัยจะคุยด้วย”

            รังสรรค์รีบเดินมารับสาย  สีหน้าตื่นเหมือนกำลังรอฟังข่าวสำคัญในชีวิต

            “สวัสดีครับคุณรังสรรค์..”

            “หวัดดีวินัย  มีอะไรคืบหน้าบ้าง  คุณได้คำสั่งศาลหรือยัง”

            “ใจเย็นซีครับ  พี่เสริฐกำลังเร่งเรื่องให้คุณอยู่  คิดว่าไม่เกินวันศุกร์ก็คงไปรับคุณรอยได้”

            “ คงจะ..ไม่ได้นะวินัย ผมต้องไปรับ ผมสัญญากับลูกไว้แล้ว ยังไงผมก็ต้องไปรับรอยภายในวันศุกร์  ไม่ว่าจะดึกดื่นขนาดไหนผมจะรอคำสั่งศาลจากคุณ”

            รังสรรค์เสียงแข็งใส่เมื่อทนายวินัยทำเหมือนไม่แน่ใจในคำตอบ  แต่แล้วก็อ่อนลงจนเกือบจะอ้อนวอน…

            “ได้โปรดเถอะวินัย ช่วยเร่งเรื่องให้ผมด้วย ผมต้องไปรับรอย ทุกลมหายใจของลูกรอให้ผมไปรับ  เหมือนทุกลมหายใจของผมในตอนนี้.......”

รังสรรค์นิ่ง ลำคอตีบตันไม่สามารถพูดอะไรได้อีก จนอีกฝ่ายต้องรีบรับปาก

            “อย่ากังวลเลยครับคุณรังสรรค์  ผมรับปากว่าจะจัดการให้ทัน”

            “ขอบคุณวินัย   คุณโทรมามีธุระอื่นใช่มั้ย”

            “เอ่อ.. ครับ  พี่เสริฐให้ผมแจ้งคุณว่า ถ้าเป็นไปได้หาพยานไว้สัก 2 - 3  คน ด้วย”

            “พยาน ?  เป็นพยานเรื่องอะไรหรือวินัย”

            “พยานที่พบเห็นพฤติกรรมระหว่างคุณกับลูก อาจจะสนิทหรือไม่สนิท แต่ต้องไม่ใช่คนในบ้านเดียวกัน”

            รังสรรค์ถอนใจ  เริ่มรู้สึกว่าสู้คดีครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย

            “ผมไม่รู้จะหาที่ไหนนะ  เป็นนายรุตได้มั้ย”

            “คุณวิศรุตน่ะหรือครับ ไม่เหมาะแน่ใกล้ชิดเกินไป จะเป็นคนรู้จักกันในหมู่บ้าน  หรือใครก็ได้ที่เคยเห็นคุณกับลูกอยู่ด้วยกัน”

            “โอเค..  ขอคิดดูก่อนล่ะกัน...  แล้วจะโทรบอก..”

 

––– สั –– พั –– ธ์

                                                                                     

            ตั้งแต่เด็กชายต้องพรากจากพ่อมาอยู่กับแม่ที่บ้านนี้ นอกจากวันสุดสัปดาห์ที่สองพ่อลูกจะได้พบกันตามสิทธิแล้ว  รอยไม่มีโอกาสได้พบหรือแม้แต่จะพูดคุยกับพ่อทางโทรศัพท์ในวันอื่นๆ   ทุกครั้งที่คิดถึงพ่อมาก  จึงไม่มีอะไรดีไปกว่าการเขียนระบายความในใจเป็นตัวหนังสือ 

            วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่รอยนั่งระบายความรู้สึกลงในบันทึกประจำวัน ร่างเล็กนั่งเขียนหนังสืออยู่ที่โต๊ะ เสียงกุกกักที่ประตูทำให้เด็กชายรีบเก็บสมุดบันทึกลงในลิ้นชักก่อนที่ร่างสูงใหญ่ของพลทหารจะเดินเข้ามาหา

            “ถึงเวลาไปอาบน้ำแล้วครับ คุณหนู”

            รอยลุกขึ้นเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าหยิบผ้าเช็ดตัวและชุดนอนเตรียมพร้อม วิภาวีสั่งลูกชายไว้ว่าจะให้พลทหารพาออกไปเข้าห้องน้ำวันละสองครั้ง ตอนเช้าและตอนเย็น นอกเหนือจากเวลานั้นเด็กชายต้องอยู่แต่ในห้อง วิภาวีจัดเตรียมสุขภัณฑ์ชั่วคราวไว้ให้ เผื่อลูกชายปวดท้องกระทันหันเหมือนเมื่อตอนกลางวันจนทำให้ห้องเลอะเทอะอย่างช่วยไม่ได้ แม้รู้ว่าเป็นความผิดของตัวเองที่กักลูกไว้ในห้อง แต่ก็อดโกรธไม่ได้  จึงตีที่ต้นขาเด็กชาย 2 ครั้ง ฐานที่ทำเลอะเทอะ

            “ก็ผมปวดท้องนี่ครับแม่ ไม่มีใครเปิดประตูให้ แม่ขังผมทำไม.... ผมทำผิดอะไรเหรอครับ”

            “ไม่ต้องถามอีกแล้วนะ แม่ไม่ต้องการให้ใครมาพาลูกไปจากบ้านนี้อีก เข้าใจมั้ย”

            ทุกคำพูดของแม่ทำให้เด็กชายต้องแอบร้องไห้คิดถึงพ่อ  แค่วันเดียวที่จากมา   รอยร้องไห้คิดถึงพ่อครั้งนี้เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้…

            “ฮือๆ  พ่อจ๋า…  เราจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วจริงเหรอครับ”

 

––– สั –– พั –– ธ์

 

            เสียงกุกกักที่หน้าประตูห้องทำให้เด็กชายซึ่งเพิ่งจะเคลิ้มหลับตกใจตื่นหันมองไปที่ประตู ใจหายวาบแค่เห็นร่างตะคุ่มในความมืดรอยก็จำได้เพราะเป็นคนที่เกลียดและกลัวที่สุดในชีวิตตอนนี้  ร่างเล็กลุกพรวดขึ้นนั่งเมื่อไฟในห้องสว่างขึ้น ร่างสูงเดินก้าวเข้ามาหาและยิ้มให้ หัวใจดวงน้อยเต้นแรง ไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับความเจ็บปวดทรมานแบบไหนอีก  

            “เป็นไงบ้าง.. อยู่คนเดียวในห้องเหงามั้ย..” เสียงอ้อแอ้และกลิ่นแอลกอฮอล์โชยคลุ้ง 

            “ถ้าเหงาลุงจะอยู่เป็นเพื่อน”   ผู้พันสินชัยทรุดตัวลงบนเตียง โน้มตัวเข้ามาจะกอดเด็กชาย 

“รู้มั้ยว่าลุงรักเรา อยากให้เราเป็นลูกชายลุง ทำไมรอยต้องดื้อกับลุงด้วย” 

ร่างเล็กกระเถิบหนีร่างสูงใหญ่ที่โถมเข้ามา กลิ่นเหล้าเหม็นคลุ้งจนเด็กชายทนไม่ไหวต้องกระโดดหนีลงจากเตียง

            ผู้พันเห็นเด็กชายทำท่ารังเกียจและถอยหนีก็เริ่มหัวเสีย และยิ่งโกรธมากขึ้นเมื่อเห็นรูปของผู้เป็นพ่อที่เด็กชายรักสุดหัวใจวางอยู่บนที่นอน มือใหญ่คว้ารูปชายหนุ่มขึ้นมาถือไว้และหัวเราะเยาะ

            “ฮะ ฮะ นี่น่ะหรือ พ่อรังสรรค์สุดที่รักของเธอ น่าสงสารเขานะ ในที่สุดก็หลงเลี้ยงลูกคนอื่นนึกว่าเป็นลูกของตัวเอง อย่างนี้เขาเรียกว่าอะไรหือ.. รอย รู้มั้ย ถ้าไม่รู้ลุงจะบอกให้ พ่อรังสรรค์ของเธอก็คือพ่อกาดำ ถูกพ่อกาเหว่าไข่ทิ้งไว้ให้ก็หลงนึกว่าเป็นลูกตัวเอง น่าเวทนาจริงๆ ฮะ ฮะ....”

            รอยสะอื้น คิดถึงและสงสารพ่อที่ต้องตกอยู่ในฐานะเช่นนี้ ทำให้คนอื่นฉวยโอกาสค่อนขอดและแอบว่าพ่อที่รักของเขา

            “ขอรูปพ่อคืนเถอะครับ คุณลุง..”  

            สินชัยชักรูปหนีสีหน้าดุดันขึ้น

            “ทำไมต้องคืนด้วย  ฉันไม่ต้องการให้มีรูปผู้ชายคนนี้อยู่ในบ้านฉัน  ฉันจะทำลายมัน”

            รอยใจหายวาบ  ร่างเล็กทรุดตัวลงข้างเตียงคุกเข่าขอร้อง

            “อย่านะ!!  อย่านะครับคุณลุง  อย่าทำลายรูปพ่อ ขอคืนให้ผมเถอะครับ”

            “อยากได้คืนมากเหรอ.. ก็ได้.... ต่อไปนี้เธอต้องเปลี่ยนมาเรียกฉันว่าคุณพ่อ  ทำได้มั้ย… ถ้าทำได้ฉันจะคืนรูปนี้ให้  ถ้าไม่… ฉันก็จะทำลายมันให้แตกและฉีกรูปเขาทิ้งซะ”

            เป็นข้อต่อรองที่โหดร้ายที่สุด เด็กชายสะอื้นเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่ายอย่างอ้อนวอน

            “ให้ผมทำอย่างอื่นได้มั้ยครับ  ผมเรียกคุณลุงว่าพ่อไม่ได้  ก็คุณลุงไม่ใช่พ่อผมนี่ครับ”

            สินชัยแสยะยิ้ม ก้มหน้าลงมาจนเกือบจะชิดใบหน้าของเด็กชาย รอยเบือนหน้าหนีกลิ่นเหม็นทั้งเหล้าและบุหรี่ของผู้พันจอมโหด

            “หึ.. แล้วไอ้นายรังสรรค์มันใช่พ่อเธอที่ไหน  รู้ว่าไม่ใช่แล้วยังเรียกมันว่าพ่ออยู่ทำไม”          

            เด็กชายก้มหน้าลง  รู้สึกเกลียดชังชายผู้นี้จับใจที่ใช้สรรพนามเรียกพ่อที่รักของเขาอย่างหยาบคาย

            “พ่อรังสรรค์เป็นพ่อผมครับ.. ผมอยู่กับพ่อมาตั้งแต่เกิดจนโต ถึงพ่อจะไม่ใช่พ่อที่แท้จริงของผม  ผมก็ยังรักพ่อเหมือนเดิม  รักพ่อคนเดียว  ผมจะไม่ยอมมีพ่อคนอื่นอีกด้วย”

            มือใหญ่บีบคางเด็กชายให้เงยขึ้น

            “เชอะ!!! รักกันมากเหลือเกินนะ ฉันขอเตือนให้ทำใจเสียตั้งแต่วันนี้ หากพ่อที่แท้จริงของเธอมารับรองเธอเป็นลูก ถึงวันนั้นเธอกับนายรังสรรค์ก็ขาดจากกันแล้ว ฮะ ฮะ..”

            รอยหมดความอดกลั้นต่อไปแล้ว น้ำตาไหลอาบสองแก้ม เหลือบดูรูปที่ผู้พันถืออยู่ในมือ  สินชัยเข้าใจความรู้สึกของเด็กชายว่ากำลังเป็นห่วงรูปถ่ายพ่อที่อยู่ในมือเขา  ด้วยความอิจฉาและหมั่นไส้ในความรักที่สองพ่อลูกมีให้กัน จึงโยนรูปรังสรรค์ขึ้นไปเพื่อต้องการให้ร่วงหล่นพื้น 

            รอยใจหายวาบ ดวงตากลมโตเบิกกว้างมองดูกรอบรูปที่ลอยขึ้นไป  ออกแรงปัดมือใหญ่ที่บีบแก้มตัวเองก่อนที่ร่างเล็กจะถลาล้มลงรับรูปพ่อไว้ได้ทัน  ผู้พันรู้สึกโกรธและขัดใจที่ถูกเด็กชายต่อต้าน ร่างสูงลุกขึ้นตามไปดึงกรอบรูปออกจากมือเล็กและเขวี้ยงรูปชายหนุ่มลงบนพื้นอย่างแรง รวดเร็วจนหนูน้อยขยับตามไปรับไว้ไม่ทัน

                “เพล้ง..!!!!!!!.” 

กระจกกรอบรูปแตกกระจาย  สินชัยยิ้มอย่างสะใจและก้าวตามไปยกเท้าที่ยังสวมรองเท้าอยู่เหยียบรูปชายหนุ่มที่เขาเกลียดเต็มแรง

                “อย่านะ!!...  โอ๊ะ!!…”

            “กร๊อบ !!!!”   

ผู้พันสินชัยยกเท้าขึ้นด้วยความตกใจ หน้าเสียลงทันที แม้จะรู้สึกว่าตัวเองทำรุนแรงเกินกว่าเหตุ  แต่ก็ตวาดใส่อย่างฉุนเฉียว

            “เธอหาเรื่องเข้ามาเจ็บตัวเองนะ รอย.. โทษฉันไม่ได้”

            ร่างสูงผลุนผลันออกจากห้องไป  ไม่สนใจกับร่างเล็กที่นอนคว่ำอยู่

             “อืออ~~......” 

            เด็กชายร้องครางด้วยความเจ็บปวด มือขวาวางทับอยู่บนกรอบรูปปวดและชาจนขยับไม่ได้จึงใช้มือข้างซ้ายค่อยๆ ดึงกรอบรูปออกมาสะบัดเศษกระจกที่แตก  โชคดีที่กระจกไม่บาดมือ  และรูปพ่อก็ยังไม่เป็นไรแค่กระจกแตกเท่านั้น

            “พ่อจ๋า… ไม่เป็นไรแล้วนะครับ  ผมไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายพ่อของผม”

 

            รอยน้ำตาไหลพรากเจ็บปวดที่กายยังน้อยกว่าที่หัวใจหลายเท่า… ร่างเล็กพยายามยันกายขึ้นนั่งด้วยความยากลำบาก เพราะมือข้างขวาขยับเพียงนิดเดียวก็ปวดร้าวไปทั้งแขน  รอยกลับมาที่เตียงล้มตัวลงนอน มือซ้ายกอดรูปพ่อไว้แนบอกมือขวาวางไว้แนบลำตัว พยายามข่มตาหลับแม้จะรู้สึกเจ็บระบมไปทั้งแขน

            ....ดึกมากแล้วรอยต้องนอนหลับซะที  พ่อคงไม่ชอบถ้ารู้ว่ารอยนอนดึก....  

 

––– สั –– พั –– ธ์

 

            “คุณนายครับ”  

            พลทหารรับใช้เข้ามารายงานคุณนายหลังอาหารเช้า หลังจากที่ผู้พันสินชัยออกไปทำงานแล้ว

            “ว่าไงบุญมา เช้านี้ตารอยดื้อหรือเปล่า”

            “ไม่ครับคุณนาย เช้านี้คุณหนูยังไม่ตื่นเลยครับ สีหน้าไม่ค่อยดี คุณนายจะขึ้นไปดูหน่อยมั้ยครับ”

            “โอ๊ย!! ไม่เอาหรอก เบื่อจะทะเลาะด้วย อยากนอนตื่นสายก็ให้เขานอนไป ดีเสียอีกจะได้ไม่งอแง..”

            วันนั้น… กว่าวิภาวีจะรู้ว่าลูกไม่สบายมีไข้สูงเวลาก็ผ่านไปเกือบเที่ยง เธอกำลังจะออกไปข้างนอกจึงแวะดูเด็กชายเพื่อกำชับให้อยู่ในความสงบ ทันทีที่เห็นอาการบวมแดงที่มือของลูก   วิภาวีรู้ทันทีว่าเป็นฝีมือของสามีอีกแล้ว….

 

––– สั –– พั –– ธ์

 

                วิภาวีพาเด็กชายเดินมานั่งเก้าอี้หน้าห้องจ่ายยา กระดูกข้อมือของหนูน้อยเคลื่อนหลุดจากที่และเอ็นข้อต่อฉีกขาด เพราะแรงกระแทกอย่างหนักและรุนแรงจากเท้าที่สวมรองเท้าอยู่ของผู้พันสินชัย     

หญิงสาวกำชับลูกชายก่อนลุกไปชำระเงิน

            “รอย.. คอยแม่อยู่ตรงนี้นะ  อย่าหนีไปไหนล่ะ ลูกหนีไม่พ้นหรอกแล้วลูกก็เจ็บมากด้วย… ”  

เด็กชายพยักหน้าให้วิภาวีจึงเดินไปจัดการธุระ

 

            แพทย์หญิงวัยกลางคนยืนกอดอกดูเด็กชายที่นั่งอยู่หน้าห้องจ่ายยาด้วยความไม่แน่ใจก่อนตัดสินใจเดินเข้าไปทรุดตัวลงนั่งข้างๆ  หนูน้อยนั่งนิ่งจนเกือบจะเหม่อลอย สีหน้าซีดเซียว แขนข้างขวาคล้องคอไว้เพราะถูกเข้าเฝือกบริเวณข้อมือ

            คุณหมอสุรีย์เอ่ยเรียกเด็กชายเบาๆ

            “รังสิมันต์..  หนูชื่อรังสิมันต์.. หรือเปล่าจ๊ะ”

            เด็กชายหันขวับตามเสียงเรียกก็พบคุณหมอผู้หญิงที่ตรวจและเจาะเลือดให้ตัวเอง

            “ใช่ครับ”   เด็กชายกล่าวเบาๆ และก้มหน้าลง

            “หนูมากับใครคะ  คุณพ่อมาด้วยหรือเปล่า”

            ได้ยินแค่คำว่า “คุณพ่อ” เด็กชายก็แทบสะอื้นพยายามอดกลั้นไว้ ส่ายหน้าปฏิเสธแทนการตอบคำถาม

            คุณหมอแปลกใจกับท่าทางหงอยเศร้าของหนูน้อย แต่แล้วทุกอย่างก็กระจ่างเมื่อได้ยินเสียงเรียก

            “รอย.. แม่เสร็จธุระแล้ว ตามมาเร็วๆ ”   วิภาวีเรียกลูกชายให้ตามไป

            รอยเงยหน้าขึ้นสบตาคุณหมอ ไม่รู้จะพูดอะไรได้นอกจากระบายความในใจสั้นๆ

            “ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่กับพ่อ...  แต่ผมคิดถึงพ่อมากครับ..”

            “รอย!!!…”   

            เสียงผู้เป็นแม่เรียกซ้ำ  เด็กชายรีบลุกขึ้นเดินตามไป

            คำพูดของหนูน้อยทำให้คุณหมอสุรีย์เข้าใจว่า .…ผลการตรวจเลือดคงทำให้เกิดปัญหาครอบครัวแตกแยก....    

อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ที่เห็น คุณหมอแทบไม่อยากเชื่อว่าหญิงสาวผู้นั้นเป็นแม่ของเด็กชาย พฤติกรรมของผู้เป็นแม่ต่างกับพ่ออย่างขาวกับดำ ไม่มีความรักและความห่วงใยให้เห็นในกิริยาเลย ลูกเจ็บขนาดนี้ไม่ได้คิดจะประคองหรือแตะต้องถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง กลับเดินจ้ำอ้าวนำหน้าไปปล่อยให้เด็กชายเดินตามต้อยๆ หวนนึกถึงกิริยาที่ชายหนุ่มผู้เป็นพ่อปฏิบัติกับลูกแล้ว ช่างเป็นคุณพ่อที่อบอุ่นและนุ่มนวลเหลือเกิน 

            คุณหมอสุรีย์คาดเดาว่า ...ครอบครัวนี้คงมีปัญหา เนื่องจากรังสรรค์มาแจ้งความประสงค์ขอตรวจดีเอ็นเอเพื่อเช็คความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลูกชาย โดยบอกเธอแต่เพียงว่าเขาแอบได้ยินมาว่าลูกชายที่เขาเลี้ยงดูมาตั้งแต่เกิดไม่ใช่ลูกที่แท้จริงของเขา เขาจึงอยากจะตรวจให้รู้แน่ว่าเป็นความจริงหรือไม่  ซึ่งเมื่อความจริงปรากฏหมอสุรีย์ยังแนะนำให้ชายหนุ่มปล่อยวาง อย่าสนใจกับความเป็นจริงนั้น  สิ่งสำคัญคือจิตใจและความผูกพันที่เขาและลูกมีต่อกันมากกว่า

            ......ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่กับพ่อ แต่ผมคิดถึงพ่อมากครับ........

            หมอสุรีย์รู้สึกสะท้อนใจ คำพูดของหนูน้อยทำให้เธอเข้าใจว่าผู้เป็นพ่อคงรับไม่ได้และทิ้งลูกไป… สงสัยว่าสิ่งที่หมอแนะนำไปในวันนั้นคงจะไม่ได้ผล ไม่อยากเชื่อเลยว่าชายหนุ่มจะทำใจไม่ได้ทั้งที่ความรักที่เขามีให้เด็กชายมากมายเหลือเกิน...

 

––– สั –– พั –– ธ์

 

            วันนี้เป็นวันที่สองที่รังสรรค์ร้อนใจกระวนกระวายจนนั่งไม่ติด เพราะรู้แน่ชัดแล้วว่าวิภาวีจงใจกักตัวลูกชายไว้ไม่ต้องการให้เขาพบ ..เขากำลังเปิดศึกแย่งชิงลูกกับเธออย่างจริงจังแล้วหรือนี่..

            “สวัสดีครับครู.. ขอโทษที่โทรมารบกวน ไม่ทราบว่าวันนี้รอยไปโรงเรียนหรือเปล่าครับ”  

รังสรรค์โทรไปถามครูสมเกียรติแต่เช้า  ซึ่งคำตอบที่ได้รับทำให้เขาแน่ใจว่าวิภาวีจงใจกีดกันไม่ให้เขาและลูกได้พบกัน

            ครูสมเกียรติให้ความเห็นว่า เขาเข้าใจว่าครอบครัวของเด็กชายกำลังมีปัญหา ทั้งพ่อและแม่ต่างก็ต้องการลูกไปอยู่ด้วย แต่ไม่ว่ากำลังอยู่ในขั้นตอนใดก็ตามไม่น่าจะทำให้เด็กต้องเสียการเรียนเช่นนี้

            รังสรรค์เองก็รู้สึกเสียใจที่ทำให้ลูกต้องขาดเรียนอย่างไม่มีเหตุผล  เขาตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้ครูสมเกียรติฟัง ซึ่งเขาไม่ได้คาดหวังอะไรเพียงแค่อยากให้ครูเข้าใจถึงฐานะและความรู้สึกของเขาในขณะนี้

            เมื่อได้รับทราบเรื่องราวทั้งหมด ครูสมเกียรติรู้สึกเห็นใจชายหนุ่มอย่างมากและทึ่งในความรักของรังสรรค์ที่มีต่อลูก แม้จะรู้ความจริงแล้วว่าเด็กไม่ใช่สายเลือดเขา  ความรู้สึกของพ่อก็ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลงแต่กลับเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำ

            ดังนั้นครูสมเกียรติจึงอาสาไปพบผู้ปกครองเด็กในฐานะครูประจำชั้น   เพื่อเกลี้ยกล่อมให้ผู้เป็นแม่ส่งลูกชายกลับไปเรียนเหมือนเดิม

 

––– สั –– พั –– ธ์

            วิภาวีพาลูกชายกลับจากโรงพยาบาลมาถึงบ้านในราวบ่าย 3 โมง ก็พบครูสมเกียรตินั่งคอยอยู่ในห้องรับแขก  ครูสมเกียรติรู้สึกตกใจเมื่อเห็นลูกศิษย์ตัวน้อยมีอาการบาดเจ็บที่มือและสีหน้าก็ไม่สู้ดี  วิภาวีไม่ค่อยพอใจกับการมาของครูแต่ก็ต้องฝืนต้อนรับตามมารยาท

            “สวัสดีครับ คุณแม่ของรังสิมันต์ใช่มั้ยครับ ผมครูสมเกียรติ ครูผู้ปกครองและเป็นครูประจำชั้นของรังสิมันต์ครับ”

            “สวัสดีค่ะคุณครู  ไม่ทราบว่าครูมีธุระอะไรหรือคะ”   วิภาวีเอ่ยถามเหมือนแกล้งซื่อไม่รู้ว่าครูมาด้วยเรื่องอะไร

            “เอ่อ.. คือผมมาเยี่ยมเด็ก  เห็นขาดเรียนไปหลายวัน เกือบจะ 2 สัปดาห์แล้วกระมัง”

ครูสมเกียรติหันไปทางเด็กชาย เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

            “ที่แท้ไม่สบายหรือครับนี่  เป็นยังไงบ้างรังสิมันต์  มือเป็นอะไรครับ”

            ยังไม่ทันที่เด็กชายจะเอ่ยปากตอบ  หญิงสาวผู้เป็นแม่ก็ขัดขึ้น

            “ซนจนเจ็บตัวน่ะค่ะ  แต่นี่ไม่ใช่สาเหตุที่ไม่ได้ไปโรงเรียนนะคะ ที่ต้องหยุดเรียนหลายวันมานี่ก็เพราะพ่อของเขาพาไปเที่ยวต่างจังหวัดเพิ่งจะกลับมาค่ะ”

วิภาวีโยนความผิดให้รังสรรค์ว่าเป็นเพราะเขาพาลูกไป ซึ่งเรื่องนี้ครูสมเกียรติรับรู้อยู่แล้วแต่แกล้งทำเป็นไม่รู้

            “อ้าว! จริงเหรอครับ  สงสัยคงต้องไปขอคุยกับคุณพ่อหน่อยแล้ว”

            วิภาวีตัดบทให้ลูกขึ้นไปพักผ่อนเพราะเห็นครูสมเกียรติจ้องมองเด็กชายเหมือนกับจะจับผิด

            “รอย.. ขึ้นไปนอนพักข้างบนลูก  แม่จะคุยธุระกับคุณครู”

            “ครับแม่…”   เด็กชายพยายามยกมือไหว้ครูด้วยความลำบาก

            เมื่อร่างเล็กเดินจากไปวิภาวีจึงถามเข้าเรื่อง

            “คุณครูมาที่นี่ถูกได้ยังไงคะ  มีใครบอกให้ครูมาหรือเปล่า”

            “อ๋อ ถูกซีครับ เรามีที่อยู่ปัจจุบันของเด็กนักเรียนทุกคน เผื่อมีเหตุฉุกเฉินเร่งด่วนที่ต้องแจ้งหรือติดต่อกับผู้ปกครอง”

            “แต่รอยเพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน  ครูมีที่อยู่ได้ยังไง  เป็นที่บ้านพ่อเขาก็ว่าไปอย่าง”

            ครูสมเกียรติรู้ทันว่ากำลังถูกแม่ของลูกศิษย์ซักไซ้ด้วยความสงสัย  ซึ่งเขาก็สามารถให้เหตุผลได้อย่างดี

            “เราให้เด็กเขียนที่อยู่ปัจจุบันทุกการเปิดภาคเรียน เพื่อจะได้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบันที่สุด   สำหรับรังสิมันต์ผมมีที่พักอยู่ 2 แห่ง คือที่บ้านคุณพ่อและของคุณแม่ ก่อนจะมาที่นี่ผมโทรเช็คที่บ้านคุณพ่อก่อนแล้วจึงทราบว่ารังสิมันต์อยู่ที่นี่”

            “เอาล่ะค่ะ ไหนๆ คุณครูก็มาถึงที่นี่แล้ว อยากจะเรียนให้ครูทราบไว้เลยว่าดิฉันจะขอให้ลูกพักการเรียนสักระยะ เพราะระหว่างดิฉันกับรังสรรค์ เรากำลังมีเรื่องฟ้องร้องสิทธิในการปกครองลูกกันอยู่ จึงไม่สะดวกที่จะให้รังสิมันต์ไปเรียนหนังสือตอนนี้”

            “ไม่สะดวกยังไงหรือครับ  ขอโทษที่ผมก้าวก่าย  ในฐานะที่ผมเป็นครู  รักและหวังดีกับลูกศิษย์ทุกๆ คน ผมอยากให้ลูกศิษย์ของผมมีครอบครัวที่อบอุ่น หากเป็นไปได้สิ่งที่กำลังกระทำกันอยู่  ผมขอให้นึกถึงความรู้สึกและจิตใจของเด็กด้วย”

            “ขอโทษนะคะคุณครู  ครูมีหน้าที่อบรมสั่งสอนลูกศิษย์ แต่คงไม่ได้หมายถึงแม่ของลูกศิษย์ต้องเชื่อฟังครูด้วยนะคะ”

            “เอ่อ..ขอโทษครับ คุณวิภาวี.. ถ้าสิ่งที่ผมพูดทำให้คุณรู้สึกขุ่นเคืองใจ ผมไม่มีเจตนาอื่นใดจริงๆ นอกจากไม่อยากให้เด็กเสียการเรียนเท่านั้น เทอมนี้เป็นเทอมสุดท้ายที่แกจะจบชั้นประถม 2 แล้วนะครับ ถ้าขาดเรียนนานกว่านี้อาจจะหมดสิทธิ์สอบแล้วต้องซ้ำชั้นใหม่”

            “ช่างเถอะค่ะ ซ้ำก็ซ้ำ.. ถ้าปัญหามากนัก ดิฉันจะเปลี่ยนโรงเรียนให้ลูกใหม่”

            ประโยคสุดท้ายทำให้ครูสมเกียรติต้องรีบลากลับ เพราะป่วยการที่จะพูดจาด้วย หญิงสาวผู้นี้ไม่เหมาะที่จะเป็นแม่ของลูกเลย คิดแล้วรู้สึกสงสารลูกศิษย์ตัวน้อยเหลือเกิน  หากสู้คดีครั้งนี้แล้วผู้ชนะคือฝ่ายแม่  ชีวิตในวัยเด็กที่เริ่มต้นมาอย่างดีจากการเลี้ยงดูของพ่อที่มีแต่ความรักความเข้าใจ ผิดกับหญิงสาวผู้เป็นแม่หน้ามือเป็นหลังมือ หากต้องเติบโตต่อไปด้วยการเลี้ยงดูของแม่ เด็กชายจะต้องเติบโตขึ้นอย่างเด็กที่มีปัญหาแน่นอน  นึกแล้วครูสมเกียรติก็อดไม่ได้ที่จะช่วยภาวนาขอให้ผู้เป็นพ่อเป็นฝ่ายชนะคดีในครั้งนี้ 

Y o u    m e a n   s o  m u c h   t o   m e   dad.

แนะนำติชมได้ที่บอร์ดนิยายนะคะ...................
 
1