คำสาบเงือก
คำเตือน- เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อยากจะเขียนสนองตัณหาตัวเองมาก
ดังนั้นออกจะเรทเอาการอยู่
ไม่อยากเขียนเตือนไว้ด้านหน้าเพราะว่าเดี๋ยวจะเหมือนเป็นการเรียกร้อง
ใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะคะ...............
คำสาปเงือก
ตอนที่ 1 เด็กที่ถูกสาป
เสียงคลื่นสาดเข้ามากระทบข้างเรือเดินสมุทรลำใหญ่
ด้านนอกฝนเริ่มตกปรอยๆ อากาศค่อนข้างแปรปรวน ฟ้ามืดครึ้มมองเห็นแสงหลากหลายสีแลบแปลบๆ
ท่ามกลางกลุ่มเมฆ แต่บรรยากาศภายในห้องอาหารของเรือกลับครึกครื้น
เสียงดนตรีลอดผ่านออกมา เสียงหัวเราะของสาวๆ เสียงพูดคุยและเสียงช้อนส้อมกระทบกัน
แต่แล้วสรรพเสียงทุกอย่างก็เงียบกริบ เมื่อได้ยินเสียงร้องอย่างตกใจด้านนอก
"ลูกชายผม ลูกผมตกน้ำไปแล้ว ช่วยด้วย" ชายคนหนึ่งตะโกนก้อง
เขายืนอยู่ด้านนอกคนเดียว ฝนเริ่มตกหนาเม็ดจนมองไม่เห็นทาง ยามประจำเรือวิ่งออกมาดูเหตุการณ์
พวกเขาพยายามชะโงกลงไปดูเหนือผิวน้ำ แต่คลื่นก็ซัดแรงซะจนมองไม่เห็นอะไร
น้ำทะเลสีดำสนิทปั่นป่วน
"มิสเตอร์ซิลเวอร์สโตนครับ...กรุณาเข้าไปด้านในก่อน ฝนตกหนักมาก
พวกเราจะพยายามตามหาตัวลูกคุณเองครับ" ยามที่เรือจับไหล่ชายผู้นั้น
ฝนสาดซะจนเปียกปอน แถมเรือก็เอียงตามแรงคลื่นจนแทบจะเดินไม่เป็นเส้นตรง
พวกเขาไม่สามารถเอาเรือเล็กลงไปตามหาได้เพราะยิ่งอันตรายกับผู้ช่วยเหลือเข้าไปใหญ่
แต่ขณะที่เขากำลังดันร่างอันเปียกปอนของมิสเตอร์ซิลเวอร์สโตนเข้าไปในห้องรับรองนั้น
ผู้หญิงเอเชียคนหนึ่งกลับวิ่งออกมาจากห้องอาหารแบบไม่กลัวเปียก เธอวิ่งสวนไปเกาะที่กาบเรือ
คราญเสียงยาว
"ลูกแม่........ชลทิศศศศศ" เธอตะโกนอย่างสุดเสียง แต่แล้วในไม่ช้าก็ทรุดหมดสติลงข้างกาบเรือนั่นเอง
"ตูม" ร่างเล็กร่วงละลิ่วลงมาจากกราบเรือ ความเจ็บปวดยามที่ร่างกระทบน้ำทะเลนั้นแทบทำให้เขาหมดสติ
น้ำทะเลทะลักเข้าปากเข้าตาจนร้องแทบไม่ออก แขนขาพยายามพยุงตัวให้ลอยอยู่เหนือน้ำ
แต่คลื่นกับฝนที่เทกระหน่ำลงมากลับกวาดเขาจมลึกลงไปอีก แรงเฮือกสุดท้ายของร่างเล็กเริ่มจะแห้งเหือดไป...เขาจมดิ่งลงลึกเรื่อยๆ
เขาได้ยินเสียงบิดาร้องเรียกคนให้มาช่วย แต่ก็หลังจากเขาตกลงไปได้เกือบสิบนาที...
พ่อโยนเขาลงมา!! ขณะที่เขากำลังรับประทานอาหารเย็นอยู่ พ่อก็ชวนเขาออกไปดูฟ้าแลบด้านนอก
บอกว่าสวยและหาดูยาก เขาเองก็ตามพ่อออกไปดู แต่แล้วร่างใหญ่กลับยกเขาลอยพยายามจะโยนเขาลงจากกาบเรือ
พ่อเอามือปิดปากไม่ให้เขาส่งเสียงออกมา ใบหน้าของบิดาราวกับพญามัจจุราช
เขาได้ยินพ่อพูดก่อนจะจับเขาโยนลงทะเล
"นายเกิดมาเพื่อตายอยู่แล้ว..จะโทษชั้นก็ไม่ได้...มันเป็นคำสาปของเงือก"
คำพูดสุดท้ายของบิดาที่เขาจำได้ ร่างเล็กหายใจไม่ออก สายตาเริ่มพร่าเลือน
เขาเหมือนจะเห็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ว่ายผ่านใต้ร่างเขาก่อนที่สติจะขาดหายไป
ลมอ่อนๆพัดผ่านผิวกาย เสียงนกทะเลร้องอยู่เหนือหัว เขารู้สึกตัวเพราะความเจ็บปวดของผมที่ถูกดึง
ชลทิศพยายามถ่างตาขึ้นมามอง แสงแดดส่องผ่านง่ามนิ้วมือ นกสีขาวตัวใหญ่ตกใจบินขึ้นท้องฟ้า
เศษผมของเขายังคาปากมันอยู่ ร่างเล็กสูดหายใจลึกๆเข้าปอด ยังไม่ตาย
เขารอด!! คลื่นทะเลสาดขึ้นมาโดนขา เขาพึ่งรู้ตัวว่าตัวเองยังนอนแช่อยู่ในน้ำทะเล
ทรายนุ่มๆรองอยู่ใต้ร่าง เขาลุกขึ้นมานั่งอย่างเหนื่อยอ่อน สายตาสำรวจรอบตัว
สถานที่ที่เขาลอยมาเกยตื้นนั้นเหมือนเป็นปากอ่าว หาดทรายขาวสะอาดโค้งไปจรดหน้าผาด้านหนึ่ง
เต่าทะเลยืนอาบแดดไม่ขยับอยู่บนขอนไม้ใกล้ๆ ต้นมะพร้าวขึ้นหนาอยู่บนฝั่ง
หน้าผามีนกทะเลตัวใหญ่ๆหลายร้อยตัวบินเข้าออก เป็นบรรยากาศที่ดูสงบเงียบราวกับไม่เคยมีมนุษย์เหยียบย่างเข้ามาก่อน
นี่เขาหลงมาบนเกาะร้างหรือนี่...เขาจะกลับบ้านได้ยังไง
ร่างเล็กนั่งสะอื้นหมดอาลัยตายอยาก พระเจ้า...แม่จะเป็นห่วงเขาขนาดไหน...จะมีใครออกมาตามหาเขาหรือเปล่า
เขารอดชีวิตจากฝันร้ายได้เขาก็ต้องสู้ต่อไป ไม่รู้กำลังใจมาจากไหน
ชลทิศลุกขึ้นมา เขาถอดเสื้อแขวนไว้กับกิ่งไม้เพื่อตากให้แห้ง ท้องเริ่มร้องประท้วง
เขาจะต้องหาอะไรกินก่อน
เขาเดินไปใต้ต้นมะพร้าว..พยายามจะหาลูกมะพร้าวที่หล่นลงมา แต่ก็ช่างโชคร้าย
มีแต่ลูกอ่อนๆ บางลูกก็ไม่แตก เขาพยายามกระแทกจนนิ้วเจ็บแต่ก็ไม่ประสบผล
ชลทิศจึงเปลี่ยนจุดมุ่งหมายไปที่ปลาแทน เขาวิ่งลงน้ำเพื่อที่จะจับปลา
"ชิบ..ทำไมว่ายเร็วนักว่ะ" เสียงสบถดังออกจากปาก ปลามีมากมายแต่ว่ายลอดผ่านขาเขาไปหมด
บางครั้งเขาไล่จับจนล้มก้นกระแทกพื้นทราย ชลทิศแทบจะร้องไห้ ถึงแม้ไม่เคยอยู่อย่างสบายแต่ก็ไม่เคยต้องมาทำอะไรแบบนี้มาก่อน
เขานอนหมดแรงอยู่ที่ชายหาดอีกรอบ...นกทะเลบางตัวบินเข้ามาใกล้คล้ายๆกับจะสำรวจเขา
ชลทิศจึงได้ไอเดียขึ้นมา ในเมื่อปลาไม่ได้นกก็ได้...เขาแกล้งนอนเฉยๆจนกระทั่งนกตัวหนึ่งเข้ามาใกล้
เขากระโจนเข้าตะครุบ แต่ก็พลาดไปฉิวเฉียด ขนนกสองสามเส้นติดมือมาแทน
แต่ยังไงมันก็ได้ผล!! ถึงครั้งแรกไม่ได้ แต่ครั้งที่สองไม่น่าจะมีปัญหา
คราวนี้ชลทิศยืนเฉยๆแทน เขาพยายามไม่ขยับเพื่อล่อให้นกเข้ามาใกล้
เจ้านกเคราะห์ร้ายตัวหนึ่งบินเข้ามาสำรวจ ชลทิศได้แต่ร้องเรียกในใจให้มันเดินเข้ามาใกล้อีกสักหน่อยในระยะที่เขาพอจะตะครุบได้
อีกก้าว อีกก้าว เจ้าหนู...ขณะเข้าจะกระโจนนั่นเอง เสียงหวีดหวิวผ่านอากาศตกลงตรงหน้า
ฉึก นกตัวที่เขาหมายตาเมื่อครู่ ถูกไม้แหลมยาวคล้ายหอกปักตรึงกับพื้นทราย
เลือดฉีดพุ่งออกมา ขนสีขาวแดงฉานไปด้วยเลือด ปากมันร้องอย่างดัง
พยายามตีปีกเพื่อจะบินขึ้นแต่ก็ไม่สำเร็จ ฟองเลือดไหลออกมาทางปาก
ทุรนทุรายอยู่ที่พื้น ชลทิศตาเหลือก ถึงเขามีความคิดจะกินมันแต่ก็ไม่ได้คาดฝันถึงภาพตรงหน้า
เสียงหัวเราะดังขึ้นมาด้านหลัง เขารีบหันไปมอง ก็พบชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งดูท่าทางจะแก่กว่าเขาไม่เท่าไหร่ยืนท้าวสะเอวอยู่
ในมือถือหอกแบบเดียวกันอีกเล่มหนึ่ง แขนอีกข้างมีเชือกคล้องอยู่
ไม่บอกก็รู้ว่านกตัวนี้ผลงานของชายคนนี้แน่
เขาหรี่ตามองอย่างสำรวจ ชายหนุ่มตรงหน้าไม่ได้สวมเสื้อ ผิวสีคล้ำแบบคนทะเลตากแดด
ผมสีดำแต่ตาออกสีน้ำเงินนิดๆต้องยอมรับเลยว่าหน้าตาดีมากๆ จมูกโด่งออกไปทางพวกยุโรป
ยิ่งดูรวมกับแผงอกกำยำที่โชว์อยู่นั่นอีก ร่างกายด้านล่างถูกปิดบังด้วยหนังสัตว์อย่างหนึ่ง
ดูเป็นชายชาวเกาะเต็มที่ ร่างกายนอกร่มผ้าที่เห็นมีรอยขีดข่วนเต็มไปหมดแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกน่าเกลียดแต่อย่างใด
ชลทิศร้องอย่างดีใจ อย่างน้อยก็เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกับเขา
"นาย...นายอาศัยอยู่บนเกาะนี้เหรอ" เขาถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ
อย่างน้อยมันก็เป็นภาษาสากลมากกว่าภาษาไทยก็แล้วกัน ร่างตรงข้ามหรี่ตามองเขาเช่นเดียวกัน
ไม่ได้ตอบคำ
หรือว่าฟังภาษาอังกฤษไม่ออกอีก....พวกนี้เป็นชาวเกาะห่างไกลความเจริญใช่ไหมเนี่ย...ชายคนนั้นชี้หอกมาทางเขา
ชลทิศเริ่มตกใจ นกตัวที่เห็นนอนตายจมกองเลือดไปแล้ว หรือรายต่อไปจะเป็นเขา
เขาเคยดูหนังพวกคนป่าที่กินคนมาก่อน....พวกนี้กินคนหรือเปล่าเนี่ย!!
"นะ...นายคิดจะฆ่าชั้นรึเปล่า...ถ้าฆ่าแล้วไม่กินถือว่าบาปหนักนะ...อย่าเลย..หรือถ้านายคิดจะกินชั้นละก็
ไม่อร่อยหรอกนะ" ชลทิศพูดอะไรออกมาอีกยืดยาวโดยไม่ได้สนใจว่าร่างตรงข้ามฟังออกหรือเปล่า
แต่อย่างน้อยมันก็ดึงความสนใจของชายตรงข้ามเขาได้ ชลทิศเดินก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆ
จนระยะห่างพอสมควร เขาก็รีบหันหลังวิ่งเต็มฝีเท้า
"โอ๊ย..." ร่างสองร่างกลิ้งล้มไปกับพื้นทราย ชายหนุ่มคนนั้นวิ่งตามมากระแทกเขาล้มก่อนจะนอนคร่อมชลทิศไว้
ชลทิศกลัวจนขยับไม่ออก สายตาประสานกัน..ตัวเขาสั่นใต้ร่างใหญ่ อ้าปากหอบ
สีผิวสองสีตัดกันจนเห็นได้ชัดบนหาดทรายขาว เขาสะดุ้งเฮือกเมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆที่เลื่อนต่ำลงมาที่ซอกคอ
เขาหันหน้าหนีเข้าใจว่าจะถูกกัด แต่แล้วความชื้นแปลกๆก็ลากผ่านซอกคอลงไปที่หน้าอกข้างซ้าย
เขาขนลุกซู่ ชายคนนี้กำลังเลียเขา! ลิ้นฝ่ายตรงข้ามลากวนอยู่เหนือหน้าอกจนมันเริ่มตั้งชูชันขึ้นมา
ร่างตรงข้ามเหมือนจะพอใจอาการตอบสนอง เขาเลื่อนไปไล้เลียที่หน้าอกอีกข้าง
ดูดเล่นอยู่นาน ก่อนจะเลื่อนต่ำลงมาที่แอ่งเล็กๆตรงหน้าท้องไล่วนเหมือนจะหยอก
ชลทิศครางออกมาด้วยความกลัว
"จริงๆรสชาติก็ดีนะ เสียแต่เค็มไปนิด" เสียงห้าวๆดังออกมาจากปากเขา
ชลทิศตัวแข็ง ภาษาอังกฤษ!!! ผู้ชายคนนี้พูดภาษาอังกฤษได้ เขารีบลุกขึ้นมาเมื่อชายคนนั้นถอนตัวขึ้น
"นายอายุเท่าไหร่" เสียงนั้นถามต่อ ชลทิศมองเคืองๆ เขาลูบแขนตัวเองปัดเศษทรายออกก่อนจะตอบ
"สิบสอง"
"ยังเด็กไปนิดถ้าจะกิน...ไว้รอโตกว่านี้ก่อน"
ชลทิศมองตาเหลือก..เสียงหัวเราะห่างไกลออกไป ชายคนนั้นเดินไปที่ซากนกที่อยู่กับพื้น
ดึงขึ้นมาก่อนจะหันมาทางเขา
"หิวไม่ใช่เรอะ เห็นอยากจะกินนกนี่" เขาพยักเพยิดให้ชลทิศเดินตาม
ร่างเล็กได้แต่เดินตามไปด้วยความลังเล
ชายคนนั้นก่อไฟขึ้นบนหาด นกถูกถอนขนพร้อมกับเสียบไม้ย่าง
รสชาติมันก็ไม่ดีเท่าไหร่ แต่เขาก็กินอย่างตายอดตายอยาก ชายคนนั้นมองยิ้มๆ
เขาเดินย้อนไปที่หาด ลงมือขุดพื้นทรายสักพักก็กลับมาพร้อมกับหอยสองฝาขนาดใหญ่สิบกว่าตัวล้างเรียบร้อย
เขาโยนมันเข้าไปในกองไฟ ไม่นานเท่าไหร่ก็สุกปากอ้าออกมา ชลทิศมองอย่างตะลึง
นี่เขามัวแต่ไปเสียเวลาจับนกจับปลาซะตั้งนาน ไอ้ที่จับง่ายกว่านั้นอยู่ใต้เท้าเขาไม่ได้นึกถึงเลย
"นายเป็นพวกติดเกาะเหมือนกันเหรอ" เขาเลียบเคียงถาม แต่ชายคนนั้นส่ายหัว
"ชั้นอาศัยอยู่ที่นี่"
"เอ่อ..แล้วนายกินเนื้อ..เนื้อคนด้วยหรือ...." ชลทิศถามต่อด้วยความกลัวจากที่ได้ยิน
ชายคนนั้นหัวเราะ
"ถ้ากินจริง ชั้นไม่ช่วยนายมาจากน้ำหรอก อยากกินแบบอื่นมากกว่า
แต่ต้องรอให้รู้เรื่องกว่านี้ก่อน"
ชลทิศชะงักกึก อ้าปากกว้าง ไม่ค่อยเข้าใจความหมาย
"นายอย่าคิดนะว่าเกาะนี้มาได้ง่ายๆ...." เขาชี้ไปที่หน้าผาสูงที่มองเห็นไม่ไกล
"ด้านหลังหน้าผานั่นเป็นดงฉลาม ถ้าไม่รู้ลู่ทางลอยผ่านไปทางนั้นก็ไม่มีเหลือ
ชั้นเป็นคนลากนายเข้ามาที่ฝั่งเมื่อเช้า"
"นายชื่ออะไร..." จู่ๆเขาก็เปลี่ยนหัวข้อพูดซะเฉยๆ
"เอ่อ..อลัสเตอร์ ชลทิศ ซิลเวอร์สโตน" ชลทิศตอบ เขาเป็นลูกครึ่ง
สีผิวของเขาไม่ขาวแบบชาวยุโรปแต่ก็ไม่เหลืองแบบคนเอเชีย ผมสีน้ำตาลเข้มตาสีเขียวเหมือนพ่อซึ่งเป็นคนอเมริกัน
พ่อเขาเป็นเจ้าของบริษัทเรือเดินสมุทรใหญ่โต ร่ำรวย พวกญาติๆบอกเขาว่าแม่เขาเป็นเมียนอกกฎหมาย
พ่อเขาเองแต่งงานแล้วกับผู้หญิงฝรั่งมีทั้งลูกชายและลูกสาว ดังนั้นชลทิศจึงอยู่กับแม่ที่เมืองไทย
เขาแทบไม่เคยได้เห็นหน้าพ่อรู้แต่ว่าพ่อส่งเงินให้แม่ทุกเดือน แม่เก็บเงินทั้งหมดใส่บัญชีในชื่อเขา
เพราะฐานะที่บ้านทางเมืองไทยของแม่ก็ไม่ใช่จน แม่เลี้ยงเขาจนเขาโต
จู่ๆเมื่อเดือนที่แล้วพ่อเขาก็ติดต่อมาพร้อมกับขออนุญาตพาเขากับแม่ไปเที่ยวล่องเรือแปซิฟิกกัน
ญาติส่วนใหญ่ทางแม่ไม่ยอม แต่แม่ก็ยืนกรานจะมาให้ได้ อย่างน้อยก็อยากให้ลูกชายได้เห็นหน้าพ่อ...เห็นแล้วเป็นไงล่ะ....!!
พ่อที่เห็นครั้งแรกพยายามจะฆ่าเขา ชลทิศร้องไห้ออกมาเมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ร้ายที่พึ่งผ่านพ้นไป
เขาซบหน้าลงกับแขน เพื่อนใหม่ที่พึ่งรู้จักดึงเข้าไปกอดปลอบใจ
"ขอบใจนะ...นายชื่ออะไรล่ะ" ชลทิศถามฝ่ายตรงข้ามบ้าง
"นาฟ" เขาพูดสั้นๆ
"นาฟอย่างเดียวเหรอ...นามสกุลล่ะ" ชลทิศถามงงๆ ร่างตรงข้ามแค่พยักหน้าเหมือนจะบอกว่านาฟอย่างเดียว
"นายพูดภาษาอังกฤษนี่....ที่นี่ไม่ห่างไกลจากแผ่นดินใหญ่ใช่ไหม"
ชลทิศถามต่ออย่างมีความหวังจะได้กลับบ้าน
"หึ....ผิดแล้ว...ชั้นแค่เคยเรียนภาษาที่นายพูดมาก่อน..แต่ไม่ได้หมายความว่าชั้นรู้จักประเทศของนาย
เกาะนี้ไม่มีอยู่บนแผนที่โลกหรอก...ถ้านายมาแล้วอย่าหวังว่าจะกลับไปได้เลย"
เขาพูดออกมา ก่อนจะหันไปจับแขนขวาชลทิศดึงเข้ามาชิดเหมือนจะสังเกตอะไรสักอย่าง
"ปานนี่ นายมีตั้งแต่เกิดเหรอ" เขาถามถึงปานรูปร่างประหลาดสีดำที่คล้ายอักขระอะไรสักอย่างที่ไหล่ขวา
ชลทิศพยักหน้า ปานที่หัวไหล่เป็นปมด้อยของเขา...เขาไม่กล้าสวมเสื้อแขนกุดหรือถลกแขนเสื้อให้เพื่อนเห็นมาก่อนเพราะกลัวถูกล้อ...
"คำสาปเงือก" นาฟพึมพำออกมาเบาๆ ชลทิศตัวเย็นเฉียบ 'นายเกิดมาเพื่อตายอยู่แล้ว..จะโทษชั้นก็ไม่ได้...มันเป็นคำสาปของเงือก'
คำพูดของบิดาดังก้องอยู่ในหู ขณะเขาจะเอ่ยปากถาม นาฟก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
หยิบอุปกรณ์ต่างๆที่เขาเอาติดตัวมา พร้อมกับเดินไปหยิบเสื้อชลทิศที่ตากแห้งอยู่
ก่อนจะพูดออกมาว่า
"ชั้นจะพาไปที่หมู่บ้าน...ตามมา"
หมู่บ้านที่นาฟพูดถึงนั้นต้องเดินเข้าไปในป่า...ชลทิศรู้สึกกลัวขึ้นมา
ที่นี่ไร้ความเจริญสิ้นดี ต้นไม้แต่ละต้นใหญ่กว่าที่เห็นในสวนสาธารณะไม่รู้กี่เท่า
เสียงสัตว์ป่าร้องมาเป็นระยะๆ เมื่อเดินมาถึงหมู่บ้านที่นาฟบอกเขาก็ยิ่งรู้สึกแปลก
ทั้งหมู่บ้านนั้นมีคนประมาณสิบกว่าคนเท่านั้น ไม่มีคนแก่ ไม่มีเด็ก...ทุกคนอยู่ระหว่างสามสิบถึงสี่สิบ
แทบไม่ค่อยพูดจากันเท่าไหร่ ตรงกลางหมู่บ้านมีเสาไม้สลักอักขระแปลกๆตั้งไว้
นาฟจูงมือเขาเดินเข้ามา สายตาทุกคู่ในหมู่บ้านล้วนจ้องมาที่เขา
เสียงพูดจาภาษาแปลกๆดังออกมาจากปากหญิงคนหนึ่ง เธอจ้องมาที่นาฟแล้วก็เขา
นาฟเองก็ตอบไปเป็นภาษาเดียวกัน ชลทิศฟังไม่ออก นาฟลากเขาเข้าไปในบ้านไม้เล็กๆหลังหนึ่ง
"นี่บ้านฉัน...ต่อไปนายก็อยู่ที่นี่กับฉัน" เขาพูด ผมมองไปรอบๆ
บ้านนี้มีแค่ห้องๆเดียว ที่ผนังประดับด้วยปะการังและหอยมุกกับเขี้ยวของสัตว์อะไรบางอย่าง
บนพื้นด้านหนึ่งยกสูงปูด้วยผ้าคงจะเป็นที่นอน
"มีปัญหาอะไรไหม" นาฟถาม
"เอ่อ...เมื่อกี้นายพูดถึงคำสาปเงือก" ชลทิศนึกออกถึงคำพูดที่ค้างคาในใจเขา
นาฟชะงักนิดหนึ่งก่อนจะบอกว่า
"ชั้นไม่ได้พูดอะไรสักหน่อย"
รุ่งเช้านาฟปลุกชลทิศขึ้นมาแต่หัวค่ำ...เขาสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย
"ตอนนี้นายเป็นคนของหมู่บ้านแล้ว...ชั้นจะต้องบอกนายถึงกฎของหมู่บ้าน"
เขาพูดเสียงเครียด จู่ๆก็ยกถังน้ำขึ้นมาสาดไปที่คนที่ทำท่าจะหลับอีกรอบ
คราวนี้ตาสว่างเกือบจะร้องด่าออกมา
"ฟัง...ชลทิศ!! กฏของหมู่บ้านมีสองข้อ หนึ่ง เข้าแล้วห้ามออก
สอง ห้ามไปที่ยอดเขา" ชลทิศฟังอย่างไม่เข้าใจ
"ทำไมถึงห้ามไปที่ยอดเขา" เขาอดถามออกมาไม่ได้ นาฟเหลือบสายตามอง
"ภูเขามันอันตราย" นาฟตัดบทแค่นั้น
"แล้วอะไรคือเข้าแล้วห้ามออก"
"นายจะต้องอยู่ที่นี่จนตาย" นาฟพูดเรียบๆ แต่ชลทิศร้องประท้วงขึ้นมาอย่างไม่ยอม
"ถึงยังไงนายก็ไปจากที่นี่ไม่ได้อยู่แล้ว"
หลังจากนั้นชลทิศก็อาศัยอยู่กับนาฟ นานเท่าไหร่เขาก็จำไม่ได้
เขารู้แต่ว่าผมที่เคยสั้นกุดตอนนี้ยาวเกือบถึงหัวไหล่ แถมตัวที่เคยสูงแค่ระดับหน้าอกนาฟก็เพิ่มขึ้น
ตอนนี้เขาสูงเกือบระดับคางของนาฟแล้ว นาฟกลายเป็นเหมือนกับครูของเขาเป็นทั้งพี่ทั้งเพื่อน
นาฟสั่งสอนการใช้ชีวิตในป่าให้เขา
ชลทิศค้นพบว่านาฟนั้นฉลาดเกินกว่าคนป่าเขาธรรมดา ไม่ว่าเขาถามอะไรไปนาฟสามารถตอบเขาได้เกือบทุกเรื่อง...ทำไมเขาถึงมาอาศัยที่เกาะร้างนี่
ทุกคนบนเกาะก็คล้ายกับนาฟ ลึกลับ พวกเขาพูดภาษาอังกฤษได้แต่ไม่ยอมพูดกับเขา
เอาแต่พูดภาษาอะไรที่ฟังไม่ออก
"นาฟ...นายสอนภาษาของนายให้ชั้นหน่อยสิ" ชลทิศเอ่ยปากขึ้นมาวันหนึ่ง
"นายเชื่อไสยศาสตร์หรือเปล่า" เขาถามย้อนขึ้นมา
"เอ่อ...เรื่องพวกนี้มันพิสูจน์ไม่ได้นี่" ชลทิศตอบอ้ำอึ้ง
ทำไมจู่ๆนาฟถามเขาแบบนี้
"ชั้นสอนนายได้..อัล..แต่ห้ามใช้พร่ำเพรื่อ" ตอนนี้นาฟจะเรียกชลทิศว่า
'อัล' ซึ่งเพี้ยนมาจากชื่อต้นภาษาอังกฤษของชื่ออลัสเตอร์เขาของ แม่ของชลทิศก็เรียกเขาแบบนี้
นาฟสบสายตาที่มองมาอย่างสงสัย
"ภาษาที่พวกเราใช้เป็นภาษาโบราณ อักขระทุกตัวมันมีอำนาจ....โดยเฉพาะอักขระต้องห้าม
แต่นายไม่ได้มีสายเลือดโบราณ อาจจะไม่มีปัญหา"
ชลทิศอยากจะหัวเราะออกมาเมื่อฟังนาฟพูด แต่ก็กลั้นเอาไว้เพราะเกรงใจ
"ถ้าใช้อักขระต้องห้ามจะต้องแลกด้วยชีวิต" คำพูดสุดท้ายของนาฟเครียดเสียจนชลทิศอึ้ง
นาฟเริ่มเขียนอักขระแปลกๆไว้บนผืนทราย ไล่ไปทีละตัวทีละตัว
จนกระทั่งถึงอักขระตัวหนึ่งซึ่งเขาหยุดกลางคัน ชลทิศเร่งให้นาฟเขียนต่อ
เขาถอนหายใจน้อยๆในที่สุดก็ลากไม้เขียนจนจบ ชลทิศมองตัวอักษรตัวนั้นอย่างตะลึง
"ไหนนายบอกว่าไม่รู้จักคำสาปเงือก" เขาถามเสียงดัง อักขระตัวนั้นเป็นตัวเดียวกับปานที่แขนเขาไม่ผิดเพี้ยน!!
"ชั้นไม่ได้บอกว่าไม่รู้จัก" เขาถอนหายใจ ผมจับไหล่เขาเขย่า
"มันคืออะไร!! นายอธิบายให้ชั้นฟังหน่อย"
นาฟกัดริมฝีปากตัวเองเล็กน้อย "ชั้นบอกแล้ว...อักขระทุกตัวมีอำนาจ...ตระกูลนายถูกสาปด้วยอำนาจของอักขระตัวนี้!!"
ชลทิศอึ้งไปเมื่อได้ยินคำพูดจากปากของนาฟ
"ทำไม!! ใครเป็นคนสาป..." เขาถามขึ้นมาเสียงแหบกับคำพูดที่คาดไม่ถึง
คำสาปฟังดูแล้วน่าขนลุก เขาถามเสียงสั่น "แล้วเมื่อไหร่ถึงจะพ้นคำสาป"
นาฟส่ายหัว
"ชั้นไม่รู้หรอก.. นายจะต้องรู้ก่อนว่าถูกสาปด้วยสาเหตุอะไร...และอีกอย่างคนสาปจะต้องแลกด้วยชีวิต"
หลังจากนั้นนาฟพบว่าชลทิศไม่ถามเซ้าซี้เหมือนเมื่อก่อน เพียงแต่เงียบไป
เขาอยากรู้เหมือนกันว่าร่างเล็กนั้นคิดอะไรอยู่ ตอนนี้ชลทิศเรียนรู้ภาษาพูดของพวกเขาแล้ว
แต่แทนที่เขาจะพูดกับคนอื่นในหมู่บ้านอย่างเป็นกันเองได้ เขาพบว่าคนอื่นๆในหมู่บ้านกลับเงียบยิ่งกว่าเก่า
แทบจะไม่ปริปากพูดกับเขาเลย
ตอนนี้ชลทิศสามารถว่ายน้ำลงไปเอาหอกแทงปลาขึ้นมากินได้อย่างสบาย
เขาเรียนรู้การใช้ชีวิตตามธรรมชาติ ล่าสัตว์ เดินป่า ถึงเขาจะไม่สูงมากแต่ร่างกายก็แข็งแรง
เขามีรอยแผลเป็นจากการต่อสู้บ้างแต่ก็น้อยกว่านาฟมาก
จุดชมวิวที่เขาชื่นชอบที่สุดคือหน้าผาริมหาด เมื่อมองลงไปสามารถเห็นปลาฉลามหลายสิบตัวว่ายวนอยู่ด้านล่าง
เป็นภาพที่ทั้งสวยงามทั้งน่ากลัว
ชลทิศมีความลับที่ไม่ได้บอกใคร หลังจากนาฟอธิบายให้เขาเรื่องอักขระต้องสาป
เขาตัดสินใจที่จะแก้ปมปริศนาที่ฝังใจเขาตั้งแต่เด็กให้ได้ เขาแอบสร้างแพอยู่ที่ถ้ำลับด้านหลังของภูเขาที่เขาค้นพบขึ้นมา
ด้วยเพราะเป็นความลับ ทุกอย่างจึงเป็นไปอย่างล่าช้า นาฟเองก็ไม่ได้ระแคะระคายเรื่องนี้มาก่อน
"นาฟ....ฟฟฟฟ"
เสียงสะโกนดังขึ้นตอนรุ่งเช้าของวันหนึ่ง...นกกาบินขึ้นอย่างแตกตื่น
นาฟลุกขึ้นมองร่างข้างตัวอย่างสงสัย
"เกิดอะไรขึ้นอัล...!!"
ร่างเล็กกว่าทำสีหน้าประหลาด เสียงที่ออกมาจากปากแหบแห้ง "สะ...เสียงชั้น"
ชลทิศยกมือจับคอตัวเอง เขาไม่ได้เป็นหวัดสักหน่อย...แต่จู่ๆเสียงก็แหบราวกับเสียงเป็ด
นาฟเริ่มหัวเราะแปลก สายตาที่มองมาทางชลทิศเปลี่ยนไปเล็กน้อย
"เสียงแตกน่ะ...เรื่องธรรมดาของวัยหนุ่ม"
"หนุ่ม!!..." ชลทิศทวนคำ...หมายความว่าเขาโตแล้วงั้นเหรอ
เขาอยู่ที่เกาะนี้นานเท่าไหร่นี่ ตอนมาสิบสอง...ตอนนี้ก็ควรจะ..
"สิบหก...นายอายุสิบหกแล้ว" นาฟพูดปนหัวเราะ
"นายรู้ได้ไง ที่นี่ไม่มีปฏิทินสักหน่อย" ชลทิศถามงงๆ
นาฟมองแบบอ่อนใจ
"ไม่เห็นจะต้องมีปฏิทินเลยนี่...ถ้านายสังเกตสิ่งรอบตัว น้ำขึ้นน้ำลง
ต้นไม้ ดวงจันทร์ หรือแม้แต่ฤดูกาลที่เปลี่ยนไป" ชลทิศหน้าแดงด้วยเหตุผล
นาฟเคยสอนเขาเรื่องนี้แล้ว เขาปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อ เรื่องง่ายๆรอบตัวไม่เคยสังเกต
"แต่นายไม่เห็นเปลี่ยนไปเท่าไหร่" ชลทิศหรี่ตามองนาฟ เขาแทบไม่เห็นเปลี่ยนไปเท่าไหร่เลย
เพียงแต่สูงขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น
"ชั้นโตแล้ว...ไม่เหมือนเด็กหรอก นายยังต้องเรียนรู้อะไรอีกแยะ"
เขามองยิ้มๆ ตาเป็นประกาย
"อืม..บอกเด็กไม่ได้แล้วสิ..นายโตพอแล้วนะ..." จู่ๆเขาก็พูดอะไรแปลกๆ
"โตพออะไร.." ชลทิศถามอย่างประหลาดใจ
"โตพอถูกกิน.."
ชลทิศไม่ได้ใส่ใจคำพูดของนาฟเท่าไหร่เพราะคิดว่าพูดเล่น เพราะอยู่ด้วยกันมานาฟไม่เคยโกรธเขา
ไม่เคยตีเขา ใจเย็น อ่อนโยน ทำอะไรให้ทุกอย่าง จนทำให้เขาเขามีนิสัยค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเองไม่น้อย
นาฟทำตัวเป็นปกติจนกระทั่งตกดึก ชลทิศตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกหนักตัว
เหมือนมีอะไรมาทับ
"อือ...เล่นอะไรน่ะนาฟ...ง่วงนะ"เขาพยายามพลิกตัวหนี แต่แล้วก็เริ่มรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นที่ไล้สัมผัสข้างแก้ม
มันทำเขาขนลุกซู่ ตื่นเต็มที่ เขาหันไปสบตาคนที่เล่นอยู่ที่ข้างๆหู
ประกายตาร่างนั้นแพรวพราว
"ไม่ได้เล่น...แต่จะกินต่างหาก" ชลทิศอ้าปากจะถาม แต่ร่างข้างบนก็ก้มศีรษะเข้ามาชิด
ประกบปากปิดคำถามเสียแน่น เสียงครางอือ..ดังออกมาจากร่างข้างใต้
นาฟไล่ลิ้นเข้าไปสำรวจโพรงปากร่างเล็ก หยอกเย้าอย่างสนุกสนาน ความรู้สึกของชลทิศเริ่มเตลิดไปไกล
ช่องท้องด้านล่างเริ่มก่อตัวด้วยความรู้สึกแปลก ราวกับมีมดแมลงนับล้านวิ่งอยู่
เขาบิดตัวด้วยความเสียวส่าน เสียงครางด้วยความพอใจลอดผ่านออกมาจากเรียวปากงาม
ตาเยิ้มไปด้วยอารมณ์บางอย่าง มือกดศีรษะนาฟลงมาให้แนบแน่นกับเขายิ่งขึ้น
นาฟยิ้มมุมปากนิดๆ
"ใจเย็นๆสิ เด็กน้อยของฉัน" เขาพึมพำเสียงเบา ก่อนจะถอนปากออกไล่ลงมาที่จุดชีพจรตรงแอ่งคอ
มือเริ่มถอดเศษผ้าที่ปกปิดร่างเล็กออก จนในที่สุดก็เปลือยเปล่า ร่างสีครีมบิดไปมาท่ามกลางแสงจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่าง
"อัล นายสวยอย่างที่ฉันคิด...น่ากินไปทั้งตัว" เขามองชลทิศอย่างชื่นชม
ก่อนจะก้มหัวลงไปที่ติ่งเนื้อ ขบเบา ชลทิศสะดุ้งเฮือก..เขาจำได้ว่านาฟเคยทำแบบนี้มาก่อน
ครั้งแรกเต็มไปด้วยความกลัว แต่ครั้งนี้มันต่างกันออกไป เขาครางด้วยความพอใจ
ความรู้สึกแปลกในช่องท้องก่อตัวมากขึ้น เขารู้สึกว่าอวัยวะที่กลางลำตัวแข็งขันขึ้นมา
ชลทิศไร้ประสบการณ์ด้านนี้โดยสิ้นเชิง เขามาติดเกาะตอนอายุสิบสอง
สี่ปีมานี้เขาได้แต่ใช้ชีวิตในป่า ไม่เคยรู้จักอารมณ์แบบนี้มาก่อน
ลิ้นของนาฟที่ลากผ่านสะดือหยุดความคิดทั้งมวล มือเขาเปะปะลูบไล้ร่างตรงข้ามอย่างเงอะงะ
ชลทิศแทรกนิ้วไปลูบคลำเส้นผมดำสนิทของร่างตรงข้าม...เขาหอบราวกับวิ่งรอบป่า
ความร้อนเหมือนไปรวมอยู่ที่จุดๆเดียว ปากร้อนที่เคลื่อนไหวอยู่ที่หน้าท้องก็เริ่มเลื่อนต่ำลงไป
ราวกับถูกไฟช็อตเมื่อส่วนที่ร้อนที่สุดของร่างกายเขาถูกครอบครอบด้วยปากของนาฟ
ราวกับเหล็กร้อนๆลากผ่าน นาฟเล่นกับส่วนนั้นของเขาราวกับหยอกเย้า....มือก็จับบั้นท้ายเขาแน่น
เขาไล่ลิ้นไปตามความยาวขึ้นลงช้า บางทีก็ดูดราวกับของหวาน ชลทิศครางไม่ได้ศัพท์
กัดปากแน่น เขาเกร็งยกสะโพกขึ้นตามสัญชาติญาณ นาฟเริ่มขยับขึ้นลงเป็นจังหวะ
จากที่ช้าๆในทีแรกก็เริ่มเร็วขึ้นเรื่อยๆ เขาจำไม่ได้เหมือนกันว่าเริ่มขยับสะโพกตัวเองตามจังหวะของนาฟเมื่อไหร่
ในที่สุดเขาก็รู้สึกร้อนวูบ ปลดปล่อยออกมาในปากร่างตรงข้าม ชลทิศรู้สึกเหมือนเห็นดาวพร่างพราวอยู่ตรงหน้า
เขากัดปากกลั้นเสียงร้องไว้แน่น เหนื่อยยิ่งกว่าครั้งไหน ไม่เข้าใจอารมณ์ที่ก่อตัวขึ้น
เขาหอบอย่างหมดแรง ปล่อยให้นาฟไล่ลิ้นทำความสะอาดส่วนนั้นของเขาต่อไป
"ชั้นกินนายแล้ว....นายเป็นของชั้น" เขากระซิบข้างหูเสียงแหบพร่าด้วยอารมณ์บางอย่างก่อนที่จะจูบร่างข้างใต้
ชลทิศได้รับรู้รสชาติของตัวเองเป็นครั้งแรก...หน้าท้องเขายังสัมผัสได้ถึงความแข็งขันของนาฟ...เขาไม่รู้หรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป
แต่แล้วจู่ๆนาฟก็จูบหน้าผากเขาพร้อมกับลุกขึ้น
"นายจะไปไหน..."
"นั่นแค่บทเรียนบทแรก....บทต่อไปไว้โตกว่านี้อีกหน่อย...ชั้นขอออกไปข้างนอกสักพัก"
เขาตอบยิ้มๆก่อนจะเปิดประตูเดินออกไป