Miss independent
คำสาบเงือก

คำสาปเงือก

ตอนที่ 4 โลกใหม่

แพที่เขาสร้างไว้ยังอยู่ที่เดิม...ถ้ำนี้มีทางเชื่อมสามารถออกสู่ทะเลได้ ชลทิศพบว่าในกล่องเสบียงมีเสื้อผ้าของเขาใส่เพิ่มขึ้นมาสองสามชุด พร้อมกับถุงหนังขนาดเล็กอีกหนึ่งใบ เขาไม่ได้ใส่ใจว่ามันมาจากไหนหยิบขึ้นเสื้อผ้ามาสวมแทนเจ้าเศษผ้าที่ปิดบังกายแทบไม่มิด เขาหาผลไม้ใส่ท้องก่อนจะล้มลงนอนพักอยู่ในถ้ำเพื่อเอาแรง
เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าเป็นเวลากลางดึกแล้ว ลมทะเลพัดแรง ได้ยินเสียงลูกมะพร้าวหล่นลงมา ชลทิศเดินออกไปดูสภาพอากาศภายนอก ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ดวงดาวนับล้านส่องแสงระยิบระยับ พระจันทร์ดวงโตลอยเด่นอยู่ พระจันทร์เต็มดวง!! นี่เขาสลบอยู่ในถ้ำนั้นสองวันเลยหรือนี่...มิน่าเขาตื่นขึ้นมาทั้งหิวทั้งกระหาย
ชลทิศผลักแพลงน้ำ เขาใช้ไม้พายที่เตรียมไว้ดันให้มันเคลื่อนที่ออกทะเล เปิดใบเรือรับลม แพของเขาใช้ได้ผลดีทีเดียว ในเวลาไม่นานมันก็เริ่มออกห่างจากเกาะไปเรื่อย...
เสียงคลื่นกระทบฝั่งเริ่มจะหายไป...สายตาเขาจ้องไปที่ท้องฟ้า นี่เขากำลังออกจากเกาะแล้วสินะ! แผลที่ร่างกายยังเจ็บปวดอยู่ ยิ่งถูกน้ำทะเลก็ยิ่งแสบ มันทำให้เขาระลึกถึงสิ่งที่นาฟทำกับเขา....ทำไม...เขาอยู่กับนาฟมาหกปี...นาฟทำร้ายเขาได้ขนาดนี้...ชลทิศนอนนิ่งปล่อยให้ลมพัดผ่านผิวกายนานจนรู้สึกว่าเขาออกห่างจากเกาะมาค่อนข้างมาก ในที่สุดเขาหันหน้าไปมองเกาะเป็นครั้งสุดท้าย...แต่สิ่งที่เขาเห็นทำให้ขนในร่างกายลุกชัน เกาะทั้งเกาะที่อยู่ตรงหน้าเลือนหายไปราวกับภาพวาด!! ไม่มีนกทะเล ไม่มีชายฝั่ง...มองรอบตัวก็พบว่าแพลอยอยู่ท่ามกลางท้องทะเลอันมืดมิด...
เป็นไปไม่ได้!! เขาจำได้ว่าเกาะอยู่ทางทิศเหนือเมื่อตอนออกมาชัดๆ ทั้งกระแสน้ำที่พัดออกจากเกาะทั้งกลิ่นดินกลิ่นหญ้า...แต่นี่ไม่มีอะไรสักอย่าง...ราวกับฝันร้าย แต่ที่แน่ใจว่าไม่ใช่ฝันก็เพราะความเจ็บปวดรวดร้าวของร่างกายที่ยังไม่หายไป
'เกาะนี่เข้าแล้วห้ามออก หรือถ้าออกไปแล้วก็เข้าไม่ได้เช่นเดียวกัน' ปริศนาคำพูดของนาฟดังเข้ามา หมายความว่าเขากลับไปที่เกาะไม่ได้อีกแล้วงั้นหรือ...มือร่างเล็กเลื่อนไปกำสร้อยคอเขี้ยวฉลามที่สวมอยู่อย่างไม่รู้ตัว



กรุงเทพมหานคร
นครที่วุ่นวายไปด้วยรถราและผู้คน ชาวเมืองเดินกันขวักไขว่แข่งกับเวลา ไม่มีใครสนใจใคร
ภายในบ้านสองชั้นหลังใหญ่ เสียงเครื่องปรับอากาศดังกระหึ่ม หญิงสาวร่างอ้วนคนหนึ่งกำลังนั่งดูข่าวภาคหัวค่ำอยู่อย่างไม่วางตา มือก็ล้วงหยิบขนมที่วางอยู่ในจานเข้าปาก
"แม่..เดี๋ยวผมจะออกไปข้างนอก..ขอตังค์หน่อย" เสียงตะโกนพร้อมกับเสียงวิ่งดังมาก่อนตัว ในไม่ช้าร่างสูงผอมของชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏกายเดินเข้ามา เขายืนจับเสื้อดึงให้เข้ารูป
"เจริญจริงๆลูกคนนี้..ออกนอกบ้านได้ทุกวัน เงินทองก็ยังหาไม่ได้ เพลาๆลงมั่งนะตาอ้น เที่ยวอยู่ได้ไอ้เทคไอ้ผับเนี่ย รู้ๆอยู่ว่ามันเปลือง" เธอชม้ายตามองลูกชายค้อนๆ วางมือจากขนมลง ก่อนจะลุกไปหยิบกระเป๋าสตางค์ของตัวเอง
"แหมแม่ครับ...ชีวิตวัยหนุ่มทั้งที...มีเพื่อนก็ต้องสังสรรค์หน่อยสิครับ เหมือนคุณแม่ไง" นางรมณีย์ล้วงกระเป๋าสตางค์หยิบแบงก์ร้อยให้หนึ่งใบ
"แค่นี้เหรอครับแม่..ร้อยเดียว" ลูกชายโอดครวญเมื่อเห็นเงินที่แม่ให้ "แค่ค่าทางด่วนกับค่าน้ำมันยังไม่พอเลย"
"วานซืนแกก็มาขอเงินชั้นไปทีหนึ่งแล้ว เงินที่ให้ใช้รายเดือนมันหายไปไหนหมดล่ะ" เธอบ่นต่อ
"แหม...ก็เรียนมหาลัยแล้ว....เพื่อนๆชวนกันออกไปเที่ยวก็ตามกันไป นะครับแม่ อย่างน้อยก็สักห้าร้อยก็ยังดี..." เสียงออดอ้อนดังมาจากปากร่างสูง นางรมณีย์ถอนหายใจก่อนจะควักแบงก์ร้อยยื่นให้อีกสองใบ
"ให้แค่นี้แหละ..ถ้าไม่พอก็ไม่ต้องออก"
"แค่นี้ก็ได้ครับ...รักแม่ที่สุดเลยคร้าบ" ร่างผอมเข้าไปกอดมารดาพร้อมกับหอมแก้มหนึ่งที นางรมณีย์ยิ้ม..ก็เพราะลูกชายคนนี้อ้อนเก่งแบบนี้แหละ ถึงตามใจอดให้เงินไม่ได้ทุกที
"คราวนี้อย่าไปก่อเรื่องอะไรอีกล่ะ ชั้นขี้เกียจไปประกันตัวแกออกมาจากซังเตอีก" มารดากำชับ..
"โธ่..คราวก่อนมันไม่ใช่ความผิดผมนะ ไอ้พวกนั้นจู่ๆมันก็เข้ามาหาเรื่องก่อน.." เขาโวยวาย มารดาโบกมืออย่างรำคาญ
"เออ...เออ..แกก็บอกแบบนี้ทุกครั้ง ชั้นเบื่อจะฟังแล้ว จะไปไหนก็ไปชั้นจะดูทีวีต่อ"
"ครับ ครับ......กลับดึกหน่อยนะแม่" ร่างผอมวิ่งปรู๊ดออกนอกบ้านไปที่โรงจอดรถ
"เฮ้อ...ทั้งลูกทั้งผัว อยู่ไม่ติดบ้านเลยสักคน" เสียงนางรมณีย์บ่นออกมาเบาๆ


เช้าวันนั้นนางรมณีย์ตื่นขึ้นมาก็พบว่าเจ้าลูกชายตัวดียังไม่กลับบ้าน เป็นปรกติเสียแล้วที่ลูกชายคนเล็กจะหายออกจากบ้านข้ามคืน บางครั้งก็มีโทรศัพท์มาจากสถานีตำรวจให้ไปประกันตัวเพราะว่าไปก่อเรื่องเข้าก็เคย
กริ๊งงงงงงง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา นางรมณีย์เดินอุ้ยอ้ายเข้าไปรับสาย เธอถอนหายใจเพราะคิดว่าลูกชายตัวดีต้องไปก่อเรื่องอะไรอีกแน่
"สวัสดีครับ...ผมโทรมาจากสถานทูตนะครับ" เสียงปลายสายแนะนำตัวเอง นางรมณีย์ขมวดหัวคิ้วด้วยความประหลาดใจ
"คะ..มีธุระอะไรหรือคะ"
"ไม่ทราบว่าที่บ้านมีคนชื่อ นงนภัส เจริญวิเศษกุล หรือเปล่าครับ" หัวคิ้วที่ขมวดมุ่นอยู่แล้วเริ่มขมวดมากเข้าไปใหญ่
"มีน่ะมีนะคะ แต่เธอไม่อยู่แล้วค่ะ"
"ไม่อยู่...คือผมมีธุระจะคุยกับเธอนะครับ...ไม่ทราบว่าฝากเรื่อง..."
"คุยกับเธอ...คงจะเป็นไปไม่ได้หรอก เธอเสียชีวิตไปเมื่อสองปีที่แล้ว ชั้นเป็นพี่สะใภ้ของเธอ คุณอยากจะคุยกับเธอเรื่องอะไรละ บอกดิฉันมาเลยก็ได้"
เสียงปลายสายอุทานอย่างประหลาดใจไปพักหนึ่ง ก่อนจะเริ่มเอ่ยปากออกมา
"เอ่อ งั้นคุณรู้จักคนชื่อ ชลทิศ ซิลเวอร์สโตนหรือเปล่าครับ"
นางรมณีย์อึ้งไปพักหนึ่งไม่ได้ตอบคำ จนกระทั่งเสียงปลายสายถามย้ำมาอีก
"ระ...รู้จักเหมือนคลับคล้ายคลับคลานะคะ รู้สึกว่าจะเป็นชื่อลูกชายของเธอ" เธอตอบแบบระมัดระวัง "ทำไมหรือคะ"
"คือทางเราได้รับการติดต่อจากชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งบอกว่าตัวเขาชื่อนั้นนะครับ"
"เป็นไปไม่ได้!!" นางรมณีย์อุทานอย่างตกใจ มือกำหูโทรศัพท์แน่น "ก็ลูกชายน้องสาวชั้นตกทะเลหายไปตั้งหลายปีแล้ว!!"
"ตกทะเล..งั้นก็น่าจะเป็นคนเดียวกันนะครับ...เพราะชายคนนั้นก็บอกแบบนี้เหมือนกัน..เขาเป็นลูกครึ่งใช่ไหมครับ" ชายหนุ่มจากสถานทูตถามต่อ น้ำเสียงตื่นเต้นเล็กน้อย นายรมณีย์ตอบรับ
"ก็ลูกนอกกฎหมายแหละคะ..พ่อเป็นฝรั่ง" เธอพูดใช้ความคิด ดวงตาเริ่มเปล่งประกายบางอย่าง "คุณบอกว่ามีคนอ้างชื่อนั้น..."
"ครับ..คือเขาถูกช่วยขึ้นมาจากทะเล..ถามไปถามมาเขาก็บอกเบอร์โทรศัพท์แล้วก็ชื่อคุณนงนภัส มานะครับ ผมก็เลยโทรมาถามยืนยันอีกที"
"จริงหรือคะ..!! ไม่น่าเชื่อเลย นี่ถ้าน้องสะใภ้ดิฉันอยู่ละก็ เธอคง.." เธอหยุดไปพักหนึ่งส่งเสียงคล้ายกับเสียงสะอื้นออกมา "ดิฉันจะไปหาเขาได้เลยหรือเปล่าคะ!!..."
"เอ่อ ตอนนี้คงไม่ได้ครับ เพราะว่าเขาไม่ได้อยู่ที่เมืองไทย คุณคงต้องรออีกสักอาทิตย์หนึ่ง ผมโทรมาปรึกษาเรื่องค่าใช้จ่ายในการส่งตัวกลับด้วยนะครับ"


"อ้น อีกไม่นานพ่อจะพาน้องชายอ้นมาอยู่ด้วยนะ" นายอาทิตย์บอกลูกชายกลางโต๊ะอาหารเย็น อ้นเงยหน้าขึ้นมองบิดา
"น้องชาย..น้องชายอะไรอีกละพ่อ หรือว่าพ่อแอบไปมีน้อยที่ไหนอีก" ร่างผอมถามโพล่งขึ้นมา บิดาแทบจะพ่นข้าวออกทางจมูก เขายื่นมือไปหยิบทิชชู่ขึ้นมาซับหน้าแทบไม่ทัน
"อุ้ย..ตาอ้น คิดอะไรบ้าๆ ถ้าพ่อแกพาลูกเมียน้อยมาอยู่จริงๆ มีหวังแม่เล่นบ้านแตกแล้ว...ลูกน้านงเขาต่างหาก" นางรมณีย์ตอบ เธอหันไปมองสามีทีหนึ่ง เห็นนั่งหน้าเจื่อนๆ
"ลูกน้านง..." อ้นถามอย่างสงสัย
"แกจำอัลได้หรือเปล่า" บิดาถามขึ้นมา ลูกชายทำท่านึกอยู่พักหนึ่งก็เอามือทุบโต๊ะเบาๆ
"อ๋อ ไอ้อัลเซเชี่ยน ลูกน้านงที่กัดเก่งยังกะหมา!!" ร่างผอมพูดอย่างนึกขึ้นมาได้ "มันตกทะเลตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ"
"อ้น" พ่อเริ่มพูดเสียงเครียด "ลูกต้องหัดพูดจาให้สุภาพกว่านี้หน่อยนะ ทำไมไปว่าน้องเขาอย่างนั้น" อ้นยักไหล่ ทำท่าไม่ยี่หระกับสิ่งที่บิดาเตือน
"ก็มันเคยกัดแขนอ้นนี่..แผลเป็นยังติดอยู่เลย ไม่กัดเก่งยังกะหมาจะเรียกว่าอะไร พ่อก็รู้นี่" ลูกชายโชว์รอยแผลเป็นเล็กๆที่แทบจะไม่เห็นแล้วขึ้น บิดาได้แต่ถอนหายใจ
"ชั้นรู้แต่ว่าแกไปด่าเค้าก่อน เค้าก็เลยกัดแกใช่ไหมล่ะ"
อ้นอึ้งไปพักหนึ่ง
"น้องเขาไปติดเกาะอยู่หกปี..." บิดาเล่าให้ฟัง พยายามเบนหัวเรื่อง อ้นอ้าปากค้าง
"โหยังกะหนัง Cast away..แนะพ่อ ใครมาล้อเล่นหรือเปล่า" เขาพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ
"ล้อไม่ล้อพบน้องเขาก็รู้เองแหละ"
อ้นเบ้ปาก ก่อนจะตักข้าวเข้าปากอีกไม่กี่คำ

หลังจากนั้นไม่นานชลทิศก็ได้พบหน้าครอบครัวที่เขารอคอย น้ารมณีย์โผเข้ามากอดจนเขาแทบจะล้มเพราะน้ำหนักตัวอันมหาศาลของเธอ นายอาทิตย์กับลูกชายเดินตามขึ้นมาทีหลัง อ้นได้แต่มองเด็กที่เคยทะเลาะกันเมื่อตอนเป็นเด็กอย่างประเมินแล้วก็ยิ้มเหยียดๆออกมา
"ต๊ายตาย...ตาอัล..น้าไม่อยากจะเชื่อว่าเธอจะมีชีวิตอยู่..ขอน้าดูหน้าชัดๆหน่อยสิจ๊ะ" น้ารมณีย์เอามืออันอวบหนาของเธอลูบหน้าลูบตาร่างเล็ก แต่ติดตรงที่หนวดเครารกครึ้มทำให้มองไม่ชัด
ชลทิศที่เห็นตรงหน้าถึงแม้จะแต่งตัวค่อนข้างเรียบร้อย เพราะมีคนหาชุดมาให้ใส่ แต่ร่างกายเขาก็ผอมจนแทบจะเรียกได้ว่าหนังหุ้มกระดูก ชุดลู่ไปกับตัว ผมยาวถูกมัดไว้ด้านหลัง ในมือถือถุงโทรมหนึ่งใบ หน้าตาดูอ่อนระโหย
"เอ๊ะ ตาบวมนี่นา..." เธอสังเกตสิ่งที่เห็นชัดเจนได้อย่างเดียวบนใบหน้า ร่างผอมกว่ามองไปอีกทางหนึ่ง
"ก็หลังจากที่พวกเรารายงานให้ฟังว่า คุณนงนภัสเสียชีวิตไปแล้วนั่นแหละครับ ไม่ยอมกินไม่ยอมนอนอยู่หลายวัน" เจ้าหน้าที่ที่สถานทูตรายงาน นางรมณีย์พยักหน้ารับรู้
"จริงๆอยากให้เขาโกนหนวดโกนเคราด้วย แต่เอาแต่นั่งซึมไม่ยอมทำอะไร..ก็เลยปล่อยไว้..นี่ก็ตั้งนานกว่าจะเข็นให้อาบน้ำแต่งตัวได้" เขารายงานต่อ มีแววสงสารเจืออยู่ในน้ำเสียงไม่น้อย
"น่าสงสารจริง..ไปติดเกาะตั้งหกปี ไม่ได้เห็นหน้าแม่ กลับมาแม่ก็เสียชีวิตไปเสียแล้ว...เรียกน้าว่าแม่แทนก็ได้" ร่างใหญ่ล้วงผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับหางตา จับร่างผอมเข้ามากอดลูบศีรษะอย่างเอ็นดู นายอาทิตย์กับลูกชายมองอย่างประหลาดใจ
นายอาทิตย์ไม่อยากจะเชื่อสายตา อยู่ด้วยกันมาเกือบยี่สิบห้าปี เขารู้นิสัยภรรยาดีว่าค่อนข้างเห็นแก่ตัว และบางเรื่องก็เค็มจนทะเลเรียกพี่ เขายังแปลกใจอยู่ที่หล่อนออกเงินค่าเครื่องบินให้กับหลานชายเขาเพื่อเดินทางกลับมาที่บ้านโดยไม่ได้ปรึกษาเขาก่อน หล่อนเคยบ่นให้เขาฟังหลายครั้งหลายคราตอนที่นงนภัสได้มรดกเป็นบ้าน ส่วนตัวเขาซึ่งเป็นลูกชายคนโตได้แค่เพียงเงินฝากธนาคารกับที่ดินต่างจังหวัดอีกไม่กี่ไร่ แต่หลังจากนงนภัสเสียชีวิตเธอก็เข้ามาจับจองบ้านมรดกของน้องสะใภ้เสียเองโดยเหตุผลที่ว่าในเมื่อเขาเป็นลูกชายคนโต น้องสาวไม่มีลูกหลานดังนั้นบ้านก็ควรจะตกเป็นของเขา
"ขอบคุณครับ" เสียงทุ้มประโยคแรกเอ่ยออกมาจากปากชลทิศ


นายอาทิตย์ค่อนข้างจะเห็นใจชลทิศอยู่ไม่น้อย วันถัดมาเขาถึงขนาดลางานตระเตรียมของทุกอย่างให้หลานชาย
"อัล อยู่ห้องอั๋นไปก่อนคงไม่มีปัญหานะ เพราะเจ้าของเขาก็ไม่ค่อยกลับมาอยู่แล้ว ไว้ยังไงลุงจะจัดห้องให้ใหม่" นายอาทิตย์ยกห้องของลูกชายคนโตที่ไปเรียนมหาลัยต่างจังหวัดให้ชลทิศอยู่แทนก่อนที่เขาจะเตรียมห้องอื่นให้ใหม่
"ครับ ขอบคุณคุณลุงมากนะครับ.." ชลทิศตอบเสียงเรียบ ไร้อารมณ์
"อ้อ ลุงมีเครื่องโกนหนวดไฟฟ้าในห้องน้ำน่ะ หยิบไปใช้ได้นะ ใช้เป็นหรือเปล่า" เขาเห็นหลานชายชะงักไปนิดหนึ่ง นายอาทิตย์ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะพาชลทิศไปที่ห้องน้ำ

"วันนี้จะออกนอกบ้านอีกไหมเนี่ย ตาอ้น" นางรมณีย์มองไปทางลูกชายที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่
"แหมแม่ วันนี้วันศุกร์ไม่ออกได้ยังไง พรุ่งนี้วันเสาร์ไม่ต้องไปมหาลัยด้วย" ลูกชายละจากโทรศัพท์หันมาตอบมารดาก่อนจะหันหน้าไปคุยต่อ
"พาอัลไปด้วยสิ ให้น้องได้ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง เดี๋ยวแม่จะให้เงินไปเที่ยวด้วยกัน" แม่พูดพร้อมกับจ้องหน้าลูกชาย อ้นอ้าปากค้าง
"แม่..กินยาไม่เขย่าขวดหรือเปล่า..จู่ๆทำไมใจกว้างยังกะแม่น้ำแบบนี้"
"เอ๊ะ..ชั้นจะใจกว้างบ้างไม่ได้หรือไงยะ..แกไม่รู้อะไร.." นางรมณีย์ยังพูดไม่ทันจบ ชลทิศกับนายอาทิตย์ก็เดินลงมาจากชั้นบน เธอจึงไม่ได้พูดต่อ หันไปยิ้มให้ชลทิศแทน
"อัลจ๊ะ...เย็นนี้ออกไปเที่ยวกับพี่อ้นเขาหน่อยไหม..เปิดหูเปิดตาไงละลูก"
"นั่นสิ ดีเหมือนกันนะ..." นายอาทิตย์หยุดคิดสักพักก่อนจะสนับสนุน ชลทิศได้แต่มองหน้าลุงกับป้า อ้นยักไหล่เล็กน้อยก่อนจะเดินเอาโทรศัพท์ไปวางที่แป้น
ตอนนี้ชลทิศโกนหนวดเรียบร้อยแล้ว นางรมณีย์เห็นทีแรกถึงกับแอบกระซิบบอกกับสามีว่า
"อืม...ชั้นพอรู้แล้วว่าทำไมยัยนงถึงยอมไปเป็นเมียน้อยเขา ก็ลูกหน้าตาขนาดนี้ พ่อจะขนาดไหน" เธอต้องยอมรับว่าลูกชายน้องสะใภ้นั้นหน้าตาดีกว่าลูกชายของเธอสองคนมาก ถึงตอนเด็กๆจะเคยเห็นบ้างแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก

"อ๊า...จะให้ผมพาไปจริงๆหรือครับ" อ้นยิ้มเหยียดๆ "ถ้าจะให้พาไปจริงๆก็ไปเปลี่ยนชุดเชยๆนั่นด้วย" เขามองชลทิศตั้งแต่หัวจรดเท้า เสื้อยืดเก่าๆกับกางเกงยีนส์หลวมโพลก...ขืนพาไปแบบนี้อายเพื่อนเขาตายเลย ถึงหน้าตาจะดีก็เถอะ แถมท่าทางเงอะงะนั่นอีก
"แกก็เอาชุดแกมาให้น้องเขายืมหน่อย ชุดของอั๋นก็ใส่ไม่ได้เพราะคนละไซส์กันเลย เนี่ยพ่อแกก็เอาของเก่าให้ยืมไปก่อน" แม่หันไปบอกลูกชาย อ้นทำท่าไม่พอใจ ทำไมเขาต้องเอาชุดตัวเองไปให้คนอื่นยืมด้วย ของมีราคาทั้งนั้น แต่ก็ขัดสายตามารดาไม่ได้ เขาจำต้องพาชลทิศไปที่ห้องตัวเอง

"เฮ้ย ไอ้อ้น แกพาไอ้บ้านั่นมาทำไมวะ...." โจ้เพื่อนซี้เขาเข้ามาตบไหล่ ก่อนที่จะมองไปทางชลทิศที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยสาวๆ
"ก็แม่ให้กูพามาด้วยนี่หว่า จะปฏิเสธก็ไม่ได้" เขาเองก็ต้องยอมรับว่าไม่ได้อยากพาอัลมาเท่าไหร่ ตอนเห็นทีแรกไม่เคยคิดเลยว่าไอ้หนุ่มเคราครึ้มผอมแห้งคนนั้นจะกลายมาเป็นแบบนี้ได้ เพื่อนสาวของเขาก็เอาแต่ไปรุมไอ้หน้าฝรั่งนั่น
"ไอ้หมอนั่นมันเป็นญาติแกเหรอ.."
อ้นได้แต่พยักหน้าเบื่อๆ ก่อนจะกระดกเหล้าเข้าปาก

"ต๊าย นี่เป็นญาติกับอ้นหรือ หน้าไม่เห็นเหมือนกันเลย นายนั่นหน้าตี๊ตี๋" สาวที่รุมล้อมชลทิศคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมา
"นั่นสิ จมูกโด่งจังนะ สีตาสวยดีด้วย..."
"ครับ.." ชลทิศตอบแบบไม่คุ้นเคยกับการที่มีผู้หญิงมาล้อมหน้าล้อมหลังแบบนี้ เขาไม่ชอบสถานที่นี้เลย มีแต่แสงสี ผู้คน กลิ่นควันบุหรี่แทบจะทำให้เขาหายใจแทบไม่ออก เสียงเพลงก็ดังสนั่น ผู้หญิงที่เข้ามาห้อมล้อมเขาแต่ละคนแต่งตัวแทบจะปิดเนื้อตัวไม่มิด แค่มาถึงเพียงไม่กี่วันเขาก็เริ่มคิดถึงเกาะที่เขาจากมา เกาะที่เขากลับไปไม่ได้แล้ว
"ชั้นชอบผมเธอจัง...ไว้มากี่ปีแล้วละเนี่ย" เสียงเจื้อยแจ้วถามต่อ
"หกปี.." เขาตอบเสียงห้วนเล็กน้อย หันไปมองทางอื่นแบบไม่สนใจ
เขามองเปรียบเทียบคนอื่นที่เห็นในผับ..เขาเคยคิดว่าตัวเองหุ่นไม่ค่อยดีเพราะทุกคนในหมู่บ้านดูดีกว่าเขาทั้งนั้น โดยเฉพาะนาฟ แต่ที่นี่ ผู้ชายหลายคนดูผอมแห้งแรงน้อยเหมือนคนไม่ค่อยออกกำลังกาย พอเทียบกับเขาแล้วเขาดูมีกล้ามเนื้อมากกว่าเยอะ ความสูงที่เขาเคยคิดว่าเตี้ยก็กลายเป็นกำลังดี ด้วยสัญชาติญาณเขารู้สึกเหมือนว่ามีสายตาหลายคู่กำลังมองมาทางเขา ทั้งประสงค์ดีและประสงค์ร้าย เขาชะงักไปเมื่อรู้สึกถึงมือที่จู่ๆเข้ามาจับที่ผม
"ผมหอมดีนะ ใช้ยาสระผมอะไรล่ะ" เสียงห้าวๆถามขึ้น ร่างนั้นถือวิสาสะจับผมเขาขึ้นไปจรดจมูกอีกด้วย เขาดึงผมตัวเองออกมองตอบอย่างเคืองๆ
สาวๆที่ล้อมรอบตัวเขาเริ่มหันไปสนใจหนุ่มที่แทรกเข้ามา
"กรี๊ด..จอนนี่ วันนี้มาที่นี่ด้วยเหรอ ดีใจจัง"
"คืนนี้ไปต่อกันไหม ชั้นคิดถึงนายมากเลย"
หนุ่มที่ถูกพูดถึงโอบแขนรอบคอสาวๆที่เข้ามาห้อมล้อม แถมก้มลงจูบแก้มโชว์ซ้ายขวาเสียอีก ชายหลายคนมองอย่างอิจฉา ร่างนั้นเงยหน้าขึ้นสบตาชลทิศ สายตาส่งประกายประหลาด
"หน้าใหม่นี่ ไม่เคยเห็นเลย พึ่งเคยมาที่นี่เหรอ" เขาถามมองชลทิศตั้งแต่หัวจรดเท้า ชลทิศไม่ได้ตอบคำแต่สาวๆที่รุมล้อมเขาคนหนึ่งพูดขึ้นมาแทน
"อ้นพามาแนะ..."
เสียงที่อยู่รอบข้างเหมือนเงียบลงไปครู่หนึ่ง หลายคนส่งสายตาไปเตือน จอนนี่ไม่ตอบ หรี่ตาลงนิดหนึ่ง

"เฮ้ย ไอ้จอนนี่มันอยู่โน่นแนะ..อ้น" โจ้หันไปบอกอ้นที่นั่งอยู่มุมมืดของผับ อ้นกับจอนนี่ถือเป็นคู่อริที่อยู่ร่วมฟ้าเดียวกันไม่ได้ ทั้งคู่มีเรื่องกันเป็นประจำเมื่อพบหน้ากัน ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องผู้หญิง ผู้หญิงที่อ้นเคยควงมาที่นี่ถูกจอนนี่ฉกไปหน้าตาเฉย เขาเคยต่อยกับมันจนถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาลมาแล้วแต่ครอบครัวจอนนี่ค่อนข้างมีอิทธิพลทางการเมืองอยู่ คนที่ซวยจึงมักจะเป็นอ้นเสียมากกว่า แถมจอนนี่มันก็หน้าตาดีกว่าเขา สาวๆจึงมักจะไปห้อมล้อมมันเสียมาก ยิ่งช่วงหลังๆ เจอหน้ากันที่ไรเป็นต้องมีเรื่องกันทุกที
"ช่างมันสิ กูไม่อยากยุ่งกับมัน" อ้นเมินหน้าไม่สน หยิบแก้วเหล้าขึ้นมาดื่ม
"แต่ดูท่ามันจะสนเด็กแกนะ...เห็นจีบอยู่นี่" โจ้ยังเหลียวหน้าไปมองอยู่
"เด็กกูคนไหนอีกวะ..กูไม่มีจะให้มันคั่วสักคนแล้ว" เขาถามงงๆ
"อ้าว ก็น้องเอ็งที่พามาด้วยไง..ไอ้ลูกครึ่งนั่นน่ะ"
พรวด!! อ้นแทบสำลักเหล้าที่ดื่ม
"เฮ้ย ไอ้หมอนั่นมันตัวผู้นะโว้ย!! ถึงมันจะผมยาวหน้าตาดีก็เถอะ ไอ้เวรจอนนี่มันคงตาไม่บอดเห็นเป็นผู้หญิงไปได้หรอก"
"กูก็ไม่ได้บอกนี่หว่าว่าจอนนี่มันเห็นเป็นผู้หญิง ก็ไอ้จอนนี่น่ะ ถ้ามันถูกใจ ผู้หญิงผู้ชายมันก็จีบหมดแหละ...แถมน้องแกนะ..." โจ้เว้นช่วงไปพักหนึ่งหันไปมองคนที่ถูกเอ่ยถึง อ้นมองตาม แสงไฟในผับเป็นเพียงแสงสลัว เขามองได้ไม่ชัดเจนนัก แถมควันบุหรี่ก็ฟุ้งกระจายไปทั่ว แต่บรรยากาศแบบนี้ก็ชวนให้คนลุ่มหลงอยู่แล้ว
"น้องกูทำไม.."
"ก็ขนาดกูเป็นผู้ชาย...ยังรู้สึกว่าเซ็กซี่ฉิบหาย" โจ้สรุปให้เพื่อนฟัง อ้นเบ้ปาก

"ไว้ไปไหนกันต่อไหม คืนนี้ ชั้นเลี้ยงเอง" ดวงตาพราวระยับจ้องไปที่ชลทิศไม่วางตา สาวๆที่รุมล้อมเริ่มทำหน้าไม่พอใจ
"จอนนี่ เก๋อุตส่าห์ว่างคืนนี้ ไม่ชวนเก๋เหรอ...คิดถึงนะ" สาวนุ่งน้อยคนหนึ่งพูดขึ้นมาฉุนๆ จอนนี่ยกแขนออกจากไหล่สาวๆ ท้าวโต๊ะใกล้ตัว
"ว่างก็หาคนอื่นไปสิ...ชั้นไม่ได้คิดถึงเธอนี่ คืนนี้ชั้นชวนคนนี้ต่างหาก ว่าไง" เขาพูดตัดไมตรีหันไปมองร่างที่หมายตาไว้ สาวเก๋เดินกระทืบเท้าออกจากวงไปทันที
"ไม่" ชลทิศตอบสั้นๆ เบือนหน้าไปอีกทาง เขารู้สึกไม่ถูกชะตาร่างตรงข้ามตั้งแต่แรก ถึงแม้หน้าตาจะค่อนข้างดูดี แต่สายตาที่มองมาทางเขามันทำให้เขารู้สึกรังเกียจแบบบอกไม่ถูก จอนนี่หน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
"ทำไมตอบตัดไมตรีอย่างนี้ล่ะน้อง...ถ้าคิดจะมาแถวนี้อีกน่าจะรู้ว่าใครควรคบไม่ควรคบนะ..."
ชลทิศเหลือบตามอง ยิ้มเหยียดๆออกมา
"ไม่ก็คือไม่...ผมตัดสินใจเองได้ว่าจะคบกับใคร แต่อย่างน้อยก็คงไม่ใช่คุณ" พูดจบเขาก็เดินออกห่างกลับไปโต๊ะที่อ้นกับเพื่อนนั่งอยู่

"โห...แกดูหน้าไอ้จอนนี่สิวะ สะใจจริงๆ ยังกะกินขี้หมาเข้าไปงั้นแหละ" โจ้พูดพร้อมกับชี้ไอ้อ้นดู ทั้งสองคนหัวเราะท้องคัดท้องแข็งก่อนที่ชลทิศจะเดินเข้าไปสมทบด้วย
"อัล...พี่อยากรู้จริงๆว่าบอกอะไรจอนนี่มันนะ" อ้นเข้ามาตบไหล่ชลทิศ ถามปนหัวเราะ ชลทิศมองงงๆ
"ก็แค่บอกปฏิเสธไม่ไปดื่มกับเขาเท่านั้นแหละครับ"
โจ้เริ่มนั่งเงียบเมื่อเขาสังเกตสายตาของจอนนี่ที่มองมาที่โต๊ะเขา
"เฮ้ย ไอ้อ้น...กูว่าท่าจะไม่ดีแล้วว่ะ ไอ้จอนนี่ท่าทางมันจะเคืองจัดอยู่" โจ้หันไปกระซิบเพื่อนซี้
"คราวนี้กูไม่อยากไปพัวพันมีเรื่องร่วมกับเอ็งนะโว้ย ไอ้อ้น วันนี้มีกันแค่สองคนเอง"
"สองคนแล้วทำไมวะ...ดี สะใจทำมันหน้าแหกได้..เอ้า อัล ดื่มอะไรรึเปล่า พี่เลี้ยงเอง ฮ่ะ ฮ่ะ" อ้นยังครึ้มอกครึ้มใจหัวเราะออกมาอีกยกใหญ่ แต่โจ้ยิ่งใจคอไม่ค่อยดีเมื่อเหลือบมองเห็นจอนนี่กระซิบพูดอะไรกับกลุ่มเพื่อนที่มาด้วยกัน
ผ่านไปเกือบสองชั่วโมงไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ชลทิศไม่ได้ดื่มเหล้า เขาลองชิมไปเล็กน้อยก็ไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนถึงชอบดื่มกันนัก ไอ้น้ำรสชาติแปลกๆเนี่ย
"พี่อ้น...เมื่อไหร่จะกลับ" เขาถามแบบเบื่อเต็มที่ มีคนชวนเขาออกไปเต้นหลายคน สาวบางคนก็เข้ามาจับมือถือแขนดึงเขาออกไปนั่งโต๊ะอื่น ส่วนใหญ่เขาจะปฏิเสธ อ้นมองหน้า
"เอ้า...กลับก็ได้ เด็กอนามัยก็แบบนี้..." เขาลุกขึ้น พร้อมกับบ่นอะไรอีกสองสามประโยค โจ้ก็ลุกขึ้นเดินตามไป ยังไงวันนี้ก็ไม่มีรสชาติอะไรอยู่แล้ว เพราะผู้หญิงไปเกาะติดอยู่กับจอนนี่หมด

ขณะที่ทั้งสามคนเดินมุ่งไปที่ลานจอดรถก็ถูกขวางด้วยร่างสูงใหญ่สองร่าง โจ้จำได้ทันทีว่าเป็นเพื่อนของจอนนี่ ไอ้พวกนี้มันรอตอนที่พวกเขาออกมาจากผับนี่เอง
"เฮ้ย...ไอ้อ้น...มาวันนี้ไม่ไปทักจอนนี่เลยเหรอ..พี่เขาถามหาแนะ"
อ้นเดินถอยหลังไปนิดหนึ่ง คงไม่พ้นมีเรื่องแน่คืนนี้
"ธรรมดากูก็ไม่เคยทักมันอยู่แล้ว เรื่องอะไรวันนี้นึกพิศวาสกูเป็นพิเศษวะ" อ้นพูดเหยียดๆ ก่อนจะได้ยินเสียงตอบมาจากด้านหลัง
"จริงๆกูก็ไม่ได้พิศวาสมึงเลยนะ...ที่อยากรู้จักน่ะน้องมึงต่างหาก..อยากให้น้องมึงรู้สักหน่อยว่าแถวนี้ใครควรคบใครไม่ควรคบ" จอนนี่ยืนกอดอกมอง สายตาเขาหันไปมองที่ชลทิศ
"ก็พวกมึงไม่ใช่เหรอที่ไม่ควรคบ" อ้นเถียงตอบ มองอย่างไม่ยอมแพ้ เขากำหมัดแน่น สามต่อสามไม่น่าจะมีปัญหาอะไร จอนนี่ย่างสามขุมเข้ามาหา เพื่อนอีกสองคนที่ยืนขวางด้านหลังก็เริ่มขนาบเข้ามา ชลทิศมองตื่นๆ ข้างฝ่ายโจ้เขารีบเดินถอยหลังไปหลายก้าวก่อนจะตะโกนบอกเพื่อน
"เฮ้ย..ไอ้อ้น..กูพึ่งนึกได้ว่ามีธุระด่วน ขอตัวกลับบ้านก่อนนะโว้ย" ว่าแล้วเขาก็หันหลังออกวิ่งออกจากลานจอดรถไป อ้นหันไปมองอย่างเคืองๆ ไอ้โจ้บ้าเล่นหนีกันหน้าด้านๆ
'พลั่ก' จอนนี่ถือโอกาสที่อ้นหันหน้าไปปล่อยหมัดไปที่หน้า ร่างสูงผอมกระเด็นไปกระแทกพื้น ขณะที่คนอื่นๆจะเข้ามากระทืบซ้ำ ชลทิศรีบเข้าไปยืนขวาง เพื่อนของจอนนี่จึงชะงักไปหน่อยหนึ่ง
"น้อง...คงรู้แล้วสิว่าใครควรไปด้วย..." ยังพูดไม่ทันจบร่างนั้นก็ล้มลงไปกองกับพื้นท่ามกลางความตกใจของทุกคน


แนะนำติชมได้ที่บอร์ดนิยายนะคะ...................
www.clik.to/miracle
1