คำสาบเงือก
คำสาปเงือก
ตอนที่ 5 ครอบครัวที่หายไป...!?
ชลทิศยังยืนอยู่ที่เดิม มือกำหมัดแน่น สายตาจ้องไปที่กลุ่มคนข้างหน้า
"ผมไม่รู้ว่าใครควรไปด้วยไม่ควรไปด้วย แต่ถ้าใครมาหาเรื่องคนในครอบครัวผมก่อนละก็
ผมไม่ยอมแน่"
"ไอ้!!" ร่างสูงใหญ่อีกร่างหนึ่งกระโจนเข้ามาหาอย่างโกรธเคือง
ชลทิศหลบวูบพร้อมกับประเคนหมัดไปที่ท้องร่างใหญ่
อ้นมองอย่างตะลึง ไม่อยากเชื่อสายตา ญาติหนุ่มของเขาดูคล่องแคล่วท่ามกลางกลุ่มนักเลง
ถึงแม้ผมที่ยาวจะทำให้ไม่สะดวกในการต่อสู้ แต่ก็แทบจะดูไม่เป็นปัญหาในการตอบโต้
หมัดทุกหมัดที่ปล่อยออกไปแทบไม่มีพลาด ถึงแม้จะดูไม่มีแบบแผนแต่ก็เล่นเอาอีกฝ่ายเลือดอาบได้เหมือนกัน
จอนนี่เองก็รู้สึกว่าได้เจอของจริงเข้าแล้ว ไอ้หนุ่มหน้าหวานดูไร้น้ำยากลับกลายเป็นสิงห์ร้ายไปได้
ตอนแรกก็ยังไม่อยากลงมือเต็มที่เพราะถูกใจ แต่หลังๆแม้จะปล่อยสุดฝีมือก็ยังไม่สามารถตอบโต้ได้สักหมัด
ชลทิศต่อยแบบไม่ยั้ง เขารู้สึกเหมือนว่าอารมณ์บางอย่างที่เก็บกดมาตลอดตั้งแต่ตอนออกจากเกาะถูกปลดปล่อยออกมา
ความเครียด ความเศร้าได้ระบายออกมาในทีเดียวกัน จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงอ้นตะโกนห้าม
"เฮ้ย ไอ้อัล แกจะฆ่ามันเหรอไงวะ พอได้แล้ว!!" ชลทิศหยุดมือ
อ้าปากหอบ เสื้อยืดสีขาวที่ใส่มาถูกเลือดกระเซ็นเปื้อนเห็นเป็นจุดแดงๆเต็มไปหมด
ร่างด้านใต้ที่เขาประเคนหมัดใส่เลือดอาบเต็มหน้า อ้นเข้ามาดึงอัลไปจากกลุ่มของจอนนี่ที่ยืนหอบหิ้วกันอยู่
สายตาของชลทิศวาวไปด้วยอารมณ์บางอย่างก่อนที่เขาจะระงับอารมณ์ตัวเอง
จอนนี่ขนลุกเมื่อสบสายตานั้น เขาหอบหิ้วเพื่อนแทบจะวิ่งออกไปจากลานจอดรถ
ไม่มีใครพูดอะไรกับใครจนกระทั่งอ้นพาชลทิศกลับมาถึงบ้าน
เขาพาชลทิศย่องขึ้นชั้นบนจนกระทั่งทั้งสองคนมาถึงห้องนอน ห้องนอนของชลทิศอยู่ติดกับห้องของอ้น
อ้นลากญาติผู้น้องเข้าไปในห้อง ก่อนจะเอ่ยปาก
"เออ...ขอบใจเอ็งว่ะที่ช่วย..ไอ้โจ้เสียอีกแม่งหนีไปเฉย ไม่นึกว่าแกจะแน่ขนาดนี้
ไปฝึกมาจากไหนเนี่ย" เขาตบไหล่ชลทิศไปทีหนึ่งเป็นการยอมรับ
ชลทิศส่ายหัว
"นา..เอ่อ เพื่อนที่เกาะแค่สอนวิธีการเอาชีวิตรอดบนเกาะให้..ที่บนเกาะไม่ได้สะดวกสบายเหมือนที่นี่
มีแต่อันตรายรอบด้าน" เขาละที่จะเอ่ยชื่อนาฟออกมา หลุบตามองต่ำลงไปที่เสื้อผ้าตัวเองที่เปื้อน
"ผมขอโทษ ทำเสื้อพี่เปื้อนหมดเลย คงต้องเอาไปซักก่อน"
เขาถอดเสื้อยืดราคาแพงของอ้นออก โดยไม่ได้สนใจเพราะการเปลือยท่อนบนถือเป็นเรื่องธรรมดาตอนที่อยู่ที่เกาะ
อ้นมองตามพลางนึกถึงคำพูดของโจ้ที่บอกว่าชลทิศเซ็กซี่...ร่างข้างตัวเขามีผิวสีครีม
ผิวพรรณดูนุ่มเนียนถึงจะดูผอมแต่ก็เห็นร่องรอยกล้ามเนื้อที่แขนกับท้องชัดเจนแสดงว่าเป็นคนออกกำลังกายสม่ำเสมอ
แถมขนตามลำตัวก็ไม่มี....นี่ถ้าไปขึ้นปกนิตยสารวัยรุ่นรับรองดังระเบิด
สายตาของอ้นไปหยุดตรงที่ปานที่แขน
"นั่นมันรอยสักหรืออัล...อ่านว่าอะไรล่ะ จะว่าภาษาจีนก็ไม่ใช่"
อ้นถามขึ้นมา ชลทิศหยุดไปนิดหนึ่ง
"พี่อ้นไม่รู้จักหรือ...คำสาปเงือกน่ะ" ชลทิศถามหรี่ตามองปฏิกิริยา
อ้นหัวเราะออกมา
"ฮ่า ฮ่า...แกบ้าหรือเปล่า คำส่งคำสาปอะไร..นี่มันยุคสองพันแล้วนะโว้ย..ใครเชื่อเรื่องนี้ก็บ้าแล้ว
แถมเงือกอีก รู้ก็รู้ว่ามันเป็นปลาพยูนเกยตื้น ฮ่า ฮ่า เฮิ้ก..."
อ้นหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง ชลทิศยืนนิ่ง...ท่าทางอ้นจะไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ
ถ้าครอบครัวทางฝ่ายแม่ไม่มีใครรู้จักอย่างนั้นก็ต้องเป็นทางฝ่ายบิดาของเขา
"ผมกลับห้องก่อนแล้วกัน...เสื้อนี่เดี๋ยวซักให้.." ชลทิศตัดบทเดินออกจากห้อง
ยังได้ยินเสียงอ้นหัวเราะแว่วออกมา
เขาคิดผิดหรือเปล่าที่ไม่เชื่อฟังนาฟหนีออกมา แต่นาฟทำร้ายเขา ทำร้ายจิตใจเขา....เขาไม่สามารถกลับไปที่เกาะได้อีกแล้ว
ลมทะเลพัดผ่านผิวหน้า เขานอนอยู่บนแพนี่นานเท่าไหร่แล้วนะ....หนึ่งเดือน...สองเดือน....อาหารที่ตุนไว้เป็นเสบียงหมดไม่มีเหลือ
น้ำเปล่าที่เตรียมมาก็ดื่มไปหมดตั้งแต่เดือนแรก ได้แต่อาศัยยามที่ฝนตกเก็บสะสมไว้
บางครั้งก็ต้องลงว่ายน้ำเพื่อจับปลาขึ้นมากิน เนื้อปลาสดๆก็รสชาติไม่เลวนักหรอก...เขาจะตายกลางทะเลนี่หรือเปล่า
ใบหน้าของแม่ที่เขานึกออกผุดขึ้นมา....ริมฝีปากแห้งผาก...ขณะที่ตาเหมือนจะปิดลงเขาได้ยินเสียงคน...เรือ!!
เรือประมง!!
เขาถูกช่วยเหลือขึ้นมา ร่างกายยามนั้นอ่อนเพลียแทบจะไม่มีแรง ผอมจนนับซี่โครงได้
ทุกคนรุมกันถามเขาเป็นภาษาอะไรที่ฟังไม่ออก จนในที่สุดก็สื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษที่ไม่ช่ำชอง
เขาถูกส่งตัวไปให้ทางสถานทูตไทย..สิ่งที่เขาจำได้ก็คือชื่อของมารดาและเบอร์โทรศัพท์
เขาไม่รู้จักครอบครัวหรือสถานที่ติดต่อของทางบิดาเลยแม้แต่น้อย...ในที่สุดเขาก็ถูกส่งตัวมาที่บ้าน....บ้านที่ไม่มีมารดา
***
น้ำตาไหลลงมาอาบแก้มอีกรอบ...ชลทิศสะดุ้งตื่นลุกขึ้นจากเตียง เขาฝันถึงเหตุการณ์ร้ายๆที่ผ่านพ้นไปอีกแล้ว
เขามาอยู่ที่บ้านได้เกือบเดือนแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างยังดูแปลกตาไปหมด
เขาพยายามปรับตัวให้เข้ากับทุกคน ยิ่งปรับตัวเขาก็ยิ่งคิดถึงเกาะที่จากมา
เสียงคุยโทรศัพท์ดังแว่วออกมาจากห้องรับแขก...ชลทิศเดินลงบันไดไป
เขานอนไม่หลับจึงกะจะลงมาหาอะไรดื่ม ใครใช้โทรศัพท์กลางดึกตีสามกว่าแบบนี้
เขาแอบมองก็เห็นน้ารมณีย์คุยโทรศัพท์อยู่ ท่าทางเธอตึงเครียด แถมคุยเป็นภาษาอังกฤษเสียด้วย
แรกๆก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะฟัง แต่แล้วเขาก็สะดุดชื่อบางชื่อขึ้นมาจากบทสนทนานั้น
((นี่คุณเป็นทนายไม่ใช่เหรอ...ทำไมถึงไม่รู้จักชื่อนงนภัศล่ะ...ถึงจะเป็นเมียไม่ได้จดทะเบียน
แต่ทางบิดาเขายอมรับนี่ ลูกชายก็ใช้นามสกุลของบิดา คุณน่าจะรู้จักนะ
อลัสเตอร์ ซิลเวอร์สโตนน่ะ))
เขาไม่รู้ว่าใครที่น้ารมณีย์คุยด้วย แต่อย่างน้อยก็น่าจะเกี่ยวข้องกับเขาเพราะเอ่ยชื่อออกมา
((ชั้นรู้นะว่าเขาหายสาบสูญไปทั้งครอบครัว...ข่าวหนังสือพิมพ์ออกจะดัง..ดังนั้นหลานชายชั้นที่เป็นลูกหลานที่เหลืออยู่ก็น่าจะมีสิทธิ์ในมรดกใช่ไหม
นายเอลตัน ซิลเวอร์สโตนน่ะโด่งดังจะตาย)) น้ารมณีย์ยังเถียงต่อ ชลทิศยืนตัวแข็ง
เขาไม่เข้าใจทั้งหมดที่น้ารมณีย์พูดหรอก แต่ก็พอจับใจความได้...
((อะไรนะ...ไม่มีมรดก!! หมายความว่ายังไง...ชั้นเสียเงินตั้งมากกว่าจะพาหลานชายกลับมาประเทศไทยได้..อย่างน้อยหลานชั้นก็น่าจะได้อะไรบ้างสิ
พ่อออกจะเป็นมหาเศรษฐี)) นางรมณีย์เริ่มขึ้นเสียงสูง เธอพูดอะไรต่ออีกสักพักก่อนจะวางหูโทรศัพท์อย่างเคือง
เธอเหลือบสายตาขึ้นมองก็เห็นชลทิศยืนอยู่ทางประตูห้องรับแขก
"อุ๊ย ตาอัล...ดึกดื่นแล้วทำไมไม่นอนละลูก...ลงมาทำไม"
เธอถาม
"คุณน้าละครับ..ดึกดื่นทำไมต้องลงมาโทรศัพท์ด้วย..คุณน้าคุยกับใครครับ
เรื่องผมใช่ไหม" ชลทิศถามเสียงเรียบ น้ารมณีย์หน้าเปลี่ยนสี
"นี่ เธอแอบฟังน้าคุยโทรศัพท์เหรอ ไม่มีมารยาทเลยนะ" เธอพูดเสียงกร้าวแบบร้อนตัว
"ผมคงจะไม่ฟังถ้าคุณน้าไม่ได้เอ่ยชื่อผมออกมา..." ชลทิศจ้องตอบ
น้ารมณีย์สะบัดหน้าพรืดเดินหนีขึ้นห้องเธอไปทิ้งชลทิศยืนอยู่หน้าห้องรับแขกคนเดียว
หลายวันผ่านไปชลทิศรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนไปของน้ารมณีย์ เธอแทบจะไม่พูดดีกับชลทิศเลย
ไม่เอาใจ ไม่ชวนไปไหนมาไหนด้วยเหมือนแต่ก่อน คำพูดของน้ารมณีย์ยังติดอยู่ที่หู
หายสาบสูญทั้งครอบครัว น้ารมณีย์หมายถึงใคร
นายอาทิตย์ยังปฏิบัติกับหลานชายเหมือนเดิม..เขาเองก็แปลกใจในตัวภรรยาเหมือนกันที่จู่ๆก็เปลี่ยนไป
กิ๊งก่อง..เสียงออดดังขึ้นมา ชลทิศรับอาสาเดินออกไปเปิด
ชายแก่หลังโค้งคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู พร้อมกับหนุ่มวัยกลางคนร่างใหญ่ถือประเป๋าเอกสารยืนอยู่ด้านหลัง
ทั้งสองคนไม่ใช่คนไทย ขณะที่ชลทิศจะเอ่ยปากถามเป็นภาษาอังกฤษ ก็ถูกขัดขึ้นมาจากฝ่ายตรงข้ามก่อน
((คุณหนูอัลใช่ไหมครับ!!)) ชายแก่ยื่นมือเข้ามากอด จับหน้าหันไปหันมา
((ผมว่าต้องใช่แน่ๆหน้าตาออกจะคล้ายคุณพ่อขนาดนี้)) ชายแก่คนนั้นพูดอะไรออกมาอีกยืดยาว
ชลทิศได้แต่ยืนอึ้งจนกระทั่งนายอาทิตย์ต้องออกมาดู
((ผมเป็นทนายของตระกูลซิลเวอร์สโตนครับ ชื่อทิมอน เกรยสตัน)) ชายร่างสูงใส่แว่นตาเอ่ยออกมา
((แล้วนี่ก็สจ๊วต พ่อบ้านของตระกูล)) เขาผายมือไปที่ชายแก่ ขณะนี้ทุกคนนั่งอยู่ในห้องรับแขก
((ผมได้รับการติดต่อจากคนในบ้านเรื่องคุณหนูอลัสเตอร์ครับ)) ทนายประจำตระกูลเอ่ยต่อ
นายอาทิตย์ทำหน้างงๆในที่สุดก็หันไปมองทางภรรยา
((ใช่แล้ว ดิฉันติดต่อไปเองแหละ...)) นางรมณีย์ยอมรับออกมา
"เธอ ติดต่อทางนั้นไปทำไม ก็ในเมื่อไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้ว
ชั้นไม่ให้อัลไปแน่ เราเคยคุยกันแล้วไม่ใช่หรือ" นายอาทิตย์พูดโกรธๆ
นางรมณีย์ขึ้นเสียงอย่างไม่อายบ้าง
"นี่คุณ...น้องสาวคุณน่ะเลี้ยงเด็กคนนี้มาจนโต เสียเงินไปโข
ทำไมชั้นจะติดต่อไปไม่ได้ก็ในเมื่อมันเป็นสิทธิ์ที่จะได้" เธอหันไปทางทนายทิมอนยิ้มหวาน
((เราเคยคุยกันผ่านทางโทรศัพท์แล้วนะคะ ยังไงก็ตกลงกันใหม่ก็ได้))
((ผมก็มาตกลงเรื่องนั้นแหละครับ...คนที่อ่านข่าวทางหนังสือพิมพ์ผ่านๆอาจจะไม่รู้เรื่องที่แท้จริงของตระกูล))
ตอนนี้ชลทิศรู้แล้วว่านางรมณีย์คุยโทรศัพท์กับชายหนุ่มคนนี้นี่เอง
สจ๊วตที่นั่งข้างๆยื่นแขนมาโอบไหล่ ก่อนจะพูดเสียงสั่น
((คุณหนูอาจจะยังไม่ทราบข่าว...ผมเข้าใจว่าคุณหนูเสียชีวิตไปเมื่อหกปีที่แล้วเสียอีก
ดีใจจริงๆที่คุณหนูรอด...คุณเอลตันมีผู้สืบทอดแล้ว...)) สจ๊วตพูดเสียงสะอื้น
ชลทิศขมวดคิ้ว
((นั่นสิ...แล้วตาอัลได้มรดกเท่าไหร่ล่ะ)) นางรมณีย์ถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
ทนายทิมอนถอนหายใจออกมา เขาดันแว่นขึ้นเล็กน้อยก่อนจะหยิบเอกสารออกมาปึกใหญ่
((คุณเอลตันกับครอบครัวหายสาบสูญไปเมื่อแปดเดือนที่แล้ว ไม่มีใครทราบข่าว
พวกเรายังไม่สามารถจะระบุได้ว่าเสียชีวิตแล้วหรือเปล่า ในเมื่อไม่มีใครพบศพ
อย่างคุณหนูอลัสเตอร์หายสาบสูญไปตั้งหกปียังกลับมาได้)) ทนายหยิบหนังสือพิมพ์ที่ลงข่าวออกมาเปิดให้ดู
ชลทิศแทบช็อค...ไม่มีใครเหลือ...แม่เสียชีวิตแล้ว ครอบครัวทางพ่อก็หายสาบสูญ...นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันนี่...!!
((โอ๊ย...เศรษฐีขนาดนี้หายสาบสูญทั้งครอบครัว คงถูกใครฆ่าหมกป่าไปแล้วละมั้ง
ถึงหาไม่เจอ..ชั้นว่าไม่รอดหรอก)) นางรมณีย์เอ่ยขึ้นมา สจ๊วตมองอย่างเคืองๆ
((อีกเรื่องก็คือตระกูลซิลเวอร์สโตนไม่มีมรดกแล้วนะครับ...นอกจากคฤหาสน์ที่อยู่นอกเมืองหลังเดียว))
((เป็นไปไม่ได้...ก็นายเอลตันน่ะ เป็นมหาเศรษฐีมีกิจการเดินเรือใหญ่โต
ทำไมจะไม่มีเงิน ชั้นไม่เชื่อหรอก)) นางรมณีย์ชี้ไปที่หนังสือพิมพ์
((นั่นมันเป็นบริษัทมหาชนนะครับ...ก่อนที่คุณเอลตันหายตัวไปกิจการของตระกูลก็ค่อนข้างจะระส่ำระสาย...แล้วยิ่งพอหายตัวไปแบบนี้บริษัทก็ถูกกว้านซื้อหุ้นไปเรียบร้อยแล้วครับ...ตอนนี้ทรัพย์สินของคุณเอลตันที่เหลืออยู่ก็คือคฤหาสน์นอกเมืองหลังเดียวกับเงินสดเล็กน้อย))
((งั้นก็ขายซะสิ คฤหาสน์น่าจะราคาโขอยู่!!))
เฮ้อ...หลายคนถอนหายใจออกมา
((ยังขายไม่ได้หรอกครับ ก็ในเมื่อยังระบุไม่ได้ว่าคุณเอลตันเสียชีวิตแล้วหรือยัง
คุณอลัสเตอร์ก็ยังไม่มีสิทธิ์ในมรดก แต่ทางเราสามารถรับตัวคุณหนูอลัสเตอร์กลับไปอยู่ที่บ้านคุณเอลตันได้))
((อะไรกัน...ไม่มีสิทธิ์ในมรดก แล้วนี่ต้องรอนานเท่าไหร่ล่ะเนี่ย...ชั้นเสียเงินไปตั้งแยะกับการที่พาตัวอัลมานะ
อย่างน้อยก็น่าจะให้เงินที่ทางชั้นต้องเสียไปบ้าง))
ชลทิศหน้าชา...ที่น้ารมณีย์ทำดีกับเขามาตลอดก็เพราะหวังว่าเขาคงจะได้มรดกทางพ่อของเขางั้นเหรอ!!
เขารู้สึกเจ็บลึกๆในใจ
"นี่คุณ..ทำไมหน้าด้านแบบนี้...อัลมันหลานชั้นนะ ชั้นจะเสียเงินพาหลานมาอยู่ด้วยมันแปลกตรงไหน"
นายอาทิตย์เริ่มไม่พอใจในคำพูดของภรรยา
"ทำไมชั้นจะพูดไม่ได้...พวกเรามีเงินเยอะนักเหรอ ตาอ้นก็เรียนมหาลัยเอกชน
ตาอั๋นก็ใกล้จะจบ คุณเองก็ทำงานเงินเดือนติ๊ดเดียว จู่ๆมีเพิ่มมาอีกหนึ่งปากหนึ่งท้องน่ะ
ใครจะเลี้ยงไหว แถมนี่ความรู้อะไรก็ไม่มี...จะไปทำงานที่ไหนได้"
((เอ่อ..สำหรับค่าใช้จ่ายที่ทางคุณออกไปทางเราจะออกให้ครับ...ส่วนถ้าคุณหนูอลัสเตอร์จะไปอยู่กับทางเราทางเราก็จะออกค่าเครื่องบินพร้อมกับค่าใช้จ่ายอื่นๆให้))
ทนายทิมอนพูดอย่างปลงๆ ถึงเขาจะฟังภาษาไทยไม่ออก แต่สองคนนี้คงจะมีปากเสียงเรื่องค่าใช้จ่ายแน่
เพราะเท่าที่คุยกับนางรมณีย์ดูก็พอจะเดานิสัยออกว่าเป็นคนงกขนาดไหน
((ผมไม่ให้อัลไปหรอก หลานผมผมเลี้ยงได้ แถมไปอยู่ที่นั่นก็อันตราย..ใครจะรู้ว่าหลานผมจะหายสาบสูญไปอีกคนหรือเปล่า))
นายอาทิตย์พูดเสียงเครียด แต่นางรมณีย์พูดแทรกขึ้นมา
((อะไรกัน ของแบบนี้มันต้องให้เจ้าตัวเขาตัดสินใจสิ....ถามอัลดูก็แล้วกันว่าอยากจะอยู่ที่นี่หรือเปล่า))
เธอหันไปจ้องชลทิศ
ชลทิศรู้แล้วว่าน้ารมณีย์ไม่ได้อยากให้เขาอยู่ด้วยเท่าไหร่ถึงแม้ลุงอาทิตย์จะไม่ว่าอะไรก็เถอะ
ส่วนตัวเขาเองก็อยากจะไขปริศนาคำสาปเงือกอยู่แล้ว ไปอยู่ทางครอบครัวบิดาน่าจะง่ายกว่า
แล้วอีกอย่างเขาเริ่มมั่นใจในความสามารถของตัวเอง เขาคิดว่าเขาปกป้องตัวเองได้
อย่างตอนที่สู้กับพวกจอนนี่เขาเองรู้สึกว่าไม่เหนื่อยแรงนัก
"ผมจะไปกับสจ๊วตครับ" ชลทิศตอบออกมา
ทนายทิมอนกับสจ๊วตได้ติดต่อทำเรื่องพาสปอร์ตกับวีซ่าให้ชลทิศเรียบร้อย
เขาซื้อตั๋วเครื่องบินชั้นหนึ่งเที่ยวกลับให้เที่ยวเดียวกัน ชลทิศเตรียมเก็บของอยู่ในห้อง
ข้าวของเขาแทบไม่มีอะไรอยู่แล้ว เสื้อผ้าที่ใส่ส่วนใหญ่ก็เป็นของเก่าของอ้นหรือไม่ก็ของนายอาทิตย์
สจ๊วตพาเขาไปซื้อเสื้อผ้าใหม่อีกสี่ห้าชุด ชลทิศยังเก็บเสื้อผ้าที่ใส่ตอนอยู่ที่เกาะไว้
เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะเก็บไปทำไม...ถุงหนังใบเล็กหล่นลงมา
ชลทิศแทบลืมไปเพราะเขาไม่ใช่คนใส่มันลงมาด้วย ถ้าไม่ใช่เขาก็คงเป็นนาฟ
เขาเคยเปิดออกดูแล้ว...ข้างในถุงบรรจุผลึกแก้วหลากสีก้อนใหญ่..ถึงแม้ยังไม่ได้เจียระไนเขาก็รู้ว่ามันเป็นเพชร
ก้อนขนาดนี้ราคาคงโขอยู่ ถึงแม้นาฟจะทำร้ายเขาแต่นาฟก็ยังใส่ของพวกนี้มาให้เขา
ใจจริงนาฟก็คงยังเป็นห่วงเขาอยู่....
"อัล..ไปแล้วถ้ามีปัญหาอะไรก็ติดต่อลุงได้เสมอนะ..ไม่ต้องไปสนใจเมียลุงหรอก"
นายอาทิตย์เอ่ยตอนเดินทางมาส่งชลทิศที่สนามบิน ไม่มีใครมาด้วยกับเขา
นางรมณีย์แทบจะไม่สนใจ ส่วนอ้นก็ไปมหาลัยกับเพื่อน ถึงแม้จะเคยออกไปไหนมาไหนด้วยแต่ก็แค่ไม่กี่ครั้งทั้งสองคนจึงไม่ค่อยสนิทกันนัก
"ขอบคุณครับคุณลุง" ชลทิศเอ่ยปาก ตาแดง อย่างน้อยลุงอาทิตย์ก็ยังจริงใจกับเขา
เสียงเรียกของทางสนามบินดังขึ้นมา สจ๊วตหันมามองทางชลทิศบอกให้เตรียมตัว
ชลทิศยกมือปาดหางตา
"คุณลุงครับ" เขาเอ่ยปาก "ผมให้นี่คุณลุงครับ อย่างน้อยมันคงช่วยอะไรได้บ้าง"
เขากุมมือนายอาทิตย์ไว้ก่อนที่จะวิ่งตามสจ๊วตออกไป
นายอาทิตย์ก้มลงมองมือตัวเองก็เห็นเป็นถุงหนังเก่าๆใบหนึ่ง
การเดินทางกินเวลาเกือบยี่สิบชั่วโมง ในที่สุดเขาก็มาถึงบ้านบิดา
คฤหาสน์หลังใหญ่นอกเมือง...มีสระว่ายน้ำอยู่กลางบ้าน ตัวบ้านค่อนข้างเก่า
สจ๊วตพาเขาดูรอบบ้าน ก่อนจะพามาที่ห้องรับแขก
เขามองเห็นรูปภาพสีน้ำมันหลายรูปตลอดระเบียงทางเดิน สจ๊วตบอกว่าเป็นรูปบรรพบุรุษ
คฤหาสน์หลังนี้อายุกว่าสามร้อยปีแล้ว บรรพบุรุษของเขาเป็นชาวประมงแต่โชคดีได้พบสมบัติร่ำรวยขึ้นมาจึงเริ่มกิจการแพปลาและต่อมาก็เริ่มกิจการขนส่งทางทะเล
จนกระทั่งมาเป็นบริษัท Sevenseas ในปัจจุบันนี้
รูปสุดท้ายที่เขาเห็นเป็นภาพถ่ายครอบครัวขนาดใหญ่ เขายืนจ้องอยู่นาน
สจ๊วตเอ่ยออกมา
"รูปคุณเอลตันกับคุณเบลินดาภรรยาครับ ส่วนนั่นคุณดีเร็กกับคุณดีน่าพี่ชายแล้วก็พี่สาวของคุณหนู"
พี่ชายและพี่สาวของเขาในภาพถ่ายอายุประมาณสิบสามสิบสี่ ภาพนี้คงจะถ่ายไว้นานแล้ว
ทุกคนในภาพยิ้มอย่างมีความสุข ภรรยาของพ่อเขาหน้าตาสวยหวาน เธอมีผมสีทองเคลียไหล่
ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลต่างจากแม่เขาโดยสิ้นเชิง แถมลูกๆของเธอสองคนที่ยืนด้านหลังก็ดูน่ารักราวกับเทพธิดาเทพบุตรก็ไม่ปาน
"คุณเบลินดาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุนานแล้วครับ คุณเอลตันกับลูกๆก็มาหายตัวไปเมื่อแปดเดือนที่แล้วอีก..."
สจ๊วตพูดเสียงเศร้า เขาเดินนำชลทิศไปที่ห้องรับแขก
ชลทิศพูดอะไรไม่ออก สจ๊วตบอกว่าตอนนี้ที่บ้านมีคนรับใช้ไม่กี่คน
หลายคนลาออกไปแล้ว ส่วนตัวเขาทำงานที่นี่มานานไม่ขอลาออก
"ผมให้คนใช้จัดห้องให้คุณหนูอลัสเตอร์ใหม่แล้วนะครับ...อยู่ติดกับห้องคุณดีเร็ก
ผมคิดว่าพวกเขาจะกลับมาสักวันหนึ่งจึงไม่ได้ย้ายอะไร"
ห้องของชลทิศที่นี่กว้างกว่าห้องที่บ้านน้ารมณีย์สักสามเท่าได้ เตียงสี่เสาขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง
ตู้เสื้อผ้าสมัยวิกตอเรียนสามตอน แถมมีประตูเชื่อมไปที่ห้องอาบน้ำอีก
เขาถอนหายใจออกมา
"คุณหนูไม่ชอบหรือครับ"
"ปะ..เปล่า...ผมคิดเรื่องอื่นน่ะ สจ๊วตทำงานที่นี่มานานเคยเห็นแม่ผมหรือเปล่า.."
สจ๊วตเงียบไปไม่ได้พูดอะไร...หลังที่งอเหมือนจะงุ้มลงไปอีก
"เคยเห็นเหมือนกันครับ...แต่ผมไม่ได้ใส่ใจเรื่องของเจ้านายเท่าไหร่.."
สจ๊วตพูดเหมือนจะตัดบท ชลทิศจึงไม่ได้ถามอะไรต่อ
"คุณหนูจะนอนพักผ่อนก่อนก็ได้นะครับ...เดินทางมาเหนื่อยๆ ถ้าหิวผมจะไปยกอะไรมาให้ทาน"
"เอ่อ...ไม่เป็นไรครับ ถ้าไม่ว่าอะไรผมขอเดินดูในบ้านหน่อย...ยังไม่เหนื่อยด้วย"
ชลทิศบอกสจ๊วต
"ไม่มีปัญหาหรอกครับ แต่บางห้องใส่กุญแจไว้เพราะไม่ได้ใช้ สาวใช้ก็ลาออกไปเหลือไม่กี่คน
เราก็เลยปิดไม่ให้ฝุ่นเข้า ทำความสะอาดเฉพาะห้องที่ใช้ประจำ กุญแจอยู่ที่ผมนะครับ"
สจ๊วตทำท่าจะส่งพวงกุญแจขนาดใหญ่มาให้
"ยังไม่ต้องก็ได้ครับ...แค่จะเดินดูอย่างเดียว ห้องไหนเข้าได้ก็ได้
ไม่ได้ก็ไว้วันหลัง" ชลทิศยิ้มแหยๆ
"ห้องของคุณดีเร็กไม่ได้ล็อคนะครับ จะเข้าไปดูก็ได้"
ในที่สุดชลทิศก็เข้าไปในห้องพี่ชายตามที่สจ๊วตบอก ห้องของดีเร็กเล็กกว่าเขาเล็กน้อย
ดูหรูเรียบมีระดับ ในห้องติดรูปถ่ายหลายรูป ส่วนใหญ่จะเป็นรูปศิลปะ
สายตาเขาเลื่อนไปที่ตู้หนังสือก่อนจะถือวิสาสะหยิบอัลบั้มรูปออกมาดู
รูปถ่ายส่วนใหญ่จะเป็นรูปที่ถ่ายกับเพื่อนหรือไม่ก็ทิวทัศน์ ใบหน้าของดีเร็กค่อนข้างคล้ายเขาแต่ดูสวยไปทางมารดา
ผมสีน้ำตาลอ่อนตัดสั้นระต้นคอ ชลทิศต้องยอมรับเลยว่าดีเร็กเป็นชายหนุ่มที่เหมาะกับคำว่าสวยมาก
อาจจะเป็นเพราะถูกเลี้ยงมาแบบคุณหนู ดีเร็กจึงดูอ่อนแอเปราะบางน่าทะนุถนอม
ยิ่งพอยืนคู่กับดีน่าราวกับพี่สาวน้องสาว เขาเปิดผ่านไปอีกหลายหน้าชลทิศเริ่มสังเกตเห็นชายหนุ่มอีกคนที่มักจะถ่ายรูปคู่กับดีเร็ก
น่าจะเป็นเพื่อนสนิทหรือไม่ก็อาจจะสนิทมากกว่าเพื่อน เพราะมีรูปถ่ายเดี่ยวๆอีกหลายรูป...เขาไม่ทันได้ใส่ใจหน้าตาสายตาเขาก็จ้องไปที่ภาพถ่ายตอนไปเที่ยวน้ำตกที่ไหนสักแห่ง
ดีเร็กสวมกางเกงว่ายน้ำยืนยิ้มอยู่กับเพื่อน
คำสาบเงือก!! ดีเร็กเองก็มีปานที่หัวไหล่เหมือนกับเขาทุกอย่าง
ทนายทิมอนเข้ามาหาเขาที่บ้านเป็นครั้งคราวเพื่อรายงานความเป็นไปของบริษัท
อย่างที่รู้บริษัทของบิดาตอนนี้ถูกเทคโอเวอร์ไปเรียบร้อยแล้ว แต่บิดาก็ยังมีหุ้นเหลืออยู่เล็กน้อย
บริษัทที่เทคโอเวอร์ไปนั้นเป็นของตระกูลกิลกาเมซ ซึ่งเป็นตระกูลร่ำรวยมหาศาลติดอันดับหนึ่งในห้าของโลก
"ผมไม่แน่ใจว่าคุณหนูอลัสเตอร์จะดูแลหุ้นส่วนที่เหลืออยู่ได้หรือเปล่า
เพราะคุณหนูพึ่งจะสิบแปด แล้วอีกอย่างไม่เคยร่ำเรียนมาทางนี้"
คุณทิมอนพูดอย่างเกรงใจ ชลทิศรู้ดีว่าเขาไม่มีความรู้ด้านการตลาดหรือธุรกิจอะไรเลย
สิ่งที่เขาเรียนรู้คือการใช้ชีวิตอยู่ในป่าเขาธรรมชาติ ไม่ใช่ป่าคอนกรีตแบบนี้
แถมการศึกษาของเขาก่อนจะหายสาบสูญไปก็คือประถมหก
"ผมคงดูแลเรื่องหุ้นอะไรไม่ได้...ใครรับผิดชอบไปก็รับผิดชอบต่อเถอะครับ.."
เขาถอนหายใจ "แต่ผมขอข้อมูลเรื่องที่พ่อกับพี่ชายพี่สาวหายตัวไปก็แล้วกัน"
ชลทิศเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับบิดาและพี่ชายพี่สาว บางเรื่องเขาก็ถามสจ๊วต
ชายแก่ค่อนข้างเต็มใจให้ข้อมูลต่างๆกับเขา ส่วนใหญ่เวลากลางคืนเขากับสจ๊วตมักจะนั่งคุยกันที่ห้องนั่งเล่น
"ตระกูลผมก็ทำงานรับใช้ตระกูลคุณหนูมาตั้งแต่รุ่นทวดแล้วเหมือนกัน
ผมเองก็ทำงานที่นี่มาตั้งแต่ยังหนุ่มเกือบห้าสิบปีได้แล้วมั้งครับ"
"แล้วสจ๊วตรู้เรื่องคำสาปเงือกหรือเปล่า" ชลทิศถามตรงๆ
สจ๊วตหน้าเปลี่ยนสีไป
"คุณหนูหมายถึงปานที่แขน...." เขาเอ่ยตะกุกตะกัก
"ใช่...ลุงรู้ใช่ไหม"
"ผมเองก็ไม่รู้อะไรมาก.....ได้แต่ฟังเรื่องที่เล่าต่อๆกันมาอีกที.."
"แล้วมันว่ายังไงล่ะ" ชลทิศเร่งชายแก่
"มันคล้ายๆกับนิทานนะครับ....เล่ากันว่าต้นตระกูลของคุณหนูทำมาค้าขึ้นจนร่ำรวยได้ก็เพราะมีเงือกช่วยเหลือ...บรรพบุรุษของคุณหนูพบรักกับเงือกสาว
เงือกสาวนำความร่ำรวยกับความโชคดีมาให้เขา แต่ผ่านไปไม่นานชายหนุ่มคนนั้นก็รักกับหญิงสาวมนุษย์ธรรมดาอีก
เขาละทิ้งเงือกภรรยาเก่าทำให้เธอโกรธแค้นจนสาปตระกูลของเขา...เล่ากันว่าทุกชั่วอายุคนลูกชายของตระกูลจะต้องสังเวยชีวิตในทะเล
มิฉะนั้นตระกูลเขาจะพบกาลวิบัติ..."
"นี่มันนิทานชัดๆ เรื่องแบบนี้มันจะเป็นจริงไปได้ไง!!"
"แรกๆก็ไม่มีใครเชื่อคำสาปนี้หรอกครับ...แต่หลังจากนั้นตระกูลก็ตกต่ำลงจนแทบจะล้มละลาย
ลูกชายของตระกูลจึงไปกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตายเพื่อหนีหนี้...ราวกับปาฏิหาริย์หลังจากที่ฆ่าตัวตายไปตระกูลก็กลับดีขึ้นจากหน้ามือเป็นหลังมือ
ที่เคยขาดทุนก็กำไร...หลังจากนั้นทุกรุ่นก็เลยต้องมีการสังเวยชีวิตลูกชายของตระกูล..."
สจ๊วตหยุดพูดไปมองหน้าชลทิศ
เขาไม่อยากจะเชื่อจริงๆว่ายุคนี้ยังจะมีคำสาปบ้าบออะไรแบบนี้อีก
แต่จะไม่เชื่อก็ไม่ได้ นาฟแสดงให้เขาเห็นถึงอำนาจของอักขระมาแล้ว
"หรือที่พ่อผลักผมก็เพราะเรื่องนี้..." เขาหยุดไปหันไปมองสจ๊วต
เขาจับไหล่พ่อบ้านแทบจะเป็นเขย่า "ลุงรู้ใช่ไหม...เรื่องที่พ่อผลักผมลงทะเล!!
ลุงรู้ใช่ไหมว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุ!!"
"ผะ...ผมแค่คาดเดาเอา....แต่คุณหนูก็รอดชีวิตมาได้นี่ครับ..."
"ใช่สิ!!ผมไม่ได้ตาย ผมไม่ได้ถูกคำสาปฆ่าตาย" ชลทิศตะโกนออกมา
เขาขนลุกซู่
"เพราะผมไม่ตายใช่ไหม ตระกูลเราถึงจะต้องพบกาลวิบัติ...."