คำสาบเงือก
ตอนที่ 7
"นาฟ"
แสงจันทร์สีนวลส่องกระทบพื้นผิวน้ำทะเลเป็นประกาย เสียงใบไม้ปลิวลู่ลมผสานกับเสียงคลื่นซัดเข้าสู่ฝั่ง
เป็นบรรยากาศที่เงียบสงบและชวนให้ลุ่มหลงยิ่งนัก เสียงฝีเท้าบนพื้นทรายดังขึ้นเบาทำลายความเงียบนั้น
ร่างเล็กเดินอย่างรีบร้อนเลียบไปตามชายหาด ผมที่มัดไว้สะบัดไปตามการเคลื่อนไหว
มือทั้งสองอุ้มถุงผ้าขนาดย่อมไว้แนบอก ร่างนั้นเดินตัดไปที่หน้าผาแล้วหยุดมองซ้ายขวาก่อนที่จะพึมพำอะไรบางอย่างออกมา
ครืน...ครืน...หน้าผาสองด้านแยกจากกันช้าๆราวกับถูกแรงผลักมหาศาล
เส้นทางขนาดเล็กทอดยาวเข้าไปด้านในปรากฏให้เห็น แสงจันทร์ลอดผ่านรอยแยกเห็นเป็นเงาตะคุ่ม
ภายในถ้ำนั้นมีร่างอีกร่างหนึ่งนั่งอยู่ ถึงแม้จะมืดแต่แสงของเหล็กตรวนที่แขนขาก็สะท้อนแสงจันทร์เห็นชัดเจน
"นาฟ" ร่างที่ถลันเข้าไปที่แรกพูดขึ้นมา ร่างที่ถูกตรวนขยับตัวอย่างอ่อนแรง
"ชั้นเอาอาหารมาให้นาย นายถูกทรมานแบบนี้มาหลายวันแล้วนะ"
"เลียม่าหรือ...." เสียงแหบแห้งถามกลับมา "นี่ไม่ใช่เวลาให้อาหารชั้นนี่
ไม่ต้องมาก็ได้ ถ้าหัวหน้ารู้เข้าเจ้าจะลำบากไปด้วย"
"ลำบากก็ลำบากสิ!! เราเป็นพี่น้องกันนะ จะให้ข้าทนดูน้องชายอดตายต่อหน้าหรือไง"
เธอพูดอย่างโมโห แกะห่อผ้าออก ยื่นเนื้อตากแห้งไปให้ที่ปากน้องชาย
นาฟก้มหน้าลงนิดหนึ่งก่อนจะทนความหิวไม่ไหว ก้มกัดกินเนื้อแห้งชิ้นนั้นอย่างตะกราม
"ขอบคุณมาก พี่" นาฟพูดเสียงเบา เลียม่าได้แต่ถอนหายใจ
ตั้งแต่เธอแต่งงานไปกับหัวหน้าเผ่า เธอกับน้องชายก็แทบจะไม่ได้พูดคุยกันบ่อยนัก
"พี่เคยเตือนเจ้าแล้ว เด็กคนนั้นจะนำความวิบัติมาสู่เจ้าและเผ่าของเรา"
เธอพูดเสียงเบา นาฟสะดุ้งขึ้นนิดหนึ่ง
"อัล..อัลไม่ได้ทรยศผม ผมตัดสินใจปล่อยเขาไปเอง" นาฟเถียงขึ้นมา
เลียม่าขมวดคิ้ว เธอเห็นแสงสะท้อนออกมาจากตาของน้องชาย นาฟไม่เคยร้องไห้มาก่อน
หรือว่านี่เขาทรมานถึงที่สุดจริงๆ เขารักเด็กนั่นขนาดนี้จริงๆหรือนี่
เธอพ่นลมหายใจอย่างสังเวช
"นายยังไม่เคยบอกอัลใช่ไหม ถึงตัวตนที่แท้จริงของพวกเรา ถ้าเด็กนั่นรู้เมื่อไหร่เขาอาจจะทรยศพวกเราก็ได้
มนุษย์นะมีแต่กิเลสและตัณหา"
"แต่ไม่ใช่อัล!!" นาฟตะโกนแทรกขึ้นมาด้วยเสียงแหบแห้งก่อนจะงอตัวลงไอ
เลียม่ามองอย่างเป็นห่วงลุกไปพยุง เธอพูดแบบน้อยใจ
"ใช่สิ นายเอาแต่ปกป้องเด็กนั่นมาแต่แรกแล้วนี่ ทั้งๆที่คนในหมู่บ้านไม่มีใครยอมรับแท้ๆ
ทำทุกอย่างเพื่อเด็กนั่น แล้วเป็นไงล่ะ ในที่สุดเขาก็ทิ้งนายไป นายก็ต้องมาถูกลงโทษแบบนี้"
เสียงปลายประโยคเริ่มสั่นตามแรงสะอื้นของผู้พูด
นาฟก้มหน้านิ่ง เขาไม่เคยบอกอะไรเกี่ยวกับหมู่บ้านให้ชลทิศฟังแม้แต่น้อย
เขากลัวว่าถ้าชลทิศรู้ความจริงจะกลัวเขา
ใช่สิ..แรกเริ่มในหมู่บ้านไม่มีใครยอมรับชลทิศ เขาจึงต้องสอนอะไรทุกอย่างให้ชลทิศด้วยตัวคนเดียว
จนกระทั่งชลทิศโตเป็นหนุ่มนั่นแหละ เขาถึงแน่ใจตัวเองว่า เขารักชลทิศ
ความรักก่อตัวตั้งแต่เขาเห็นหน้าใสๆนั่นครั้งแรก นิสัยดื้อรั้นนิดๆ
ดวงตาเป็นประกายยามอยากรู้อยากเห็น เขาต้องการชลทิศมาเป็นคู่ครองของเขาทั้งร่างกายและจิตใจ
แต่ปัญหาก็คือเขาจะทำให้ทุกคนในหมู่บ้านยอมรับชลทิศได้อย่างไร ถ้าจะอยู่ในหมู่บ้านตลอดไปละก็
เขาจึงตัดสินใจใช้กฎของหมู่บ้านมาขอร้องทุกคน
'หน้าผาฉลาม' เป็นหน้าผาที่มีฉลามชุกชุม ใครก็ตามที่ต้องการให้ทุกคนในหมู่บ้านยอมรับในสิ่งที่ตนเองร้องขอ
ต้องกระโดดลงจากหน้าผาเพื่อสังหารฉลามก่อนที่ตะวันจะตกดินและนำกลับมาที่หมู่บ้านเป็นการพิสูจน์
นับเป็นการตัดสินใจที่ต้องแลกด้วยชีวิต ถ้าสำเร็จทุกคนในหมู่บ้านจะพิจารณายอมรับคำขอ
แน่นอน คำขอของนาฟก็คือ..ขอให้ทุกคนยอมรับชลทิศเป็นคนของหมู่บ้าน
มีสิทธิ์เท่าเทียมกับคนในหมู่บ้านทุกอย่าง ถ้าเป็นเช่นนี้เขาจะสามารถแต่งงานกับชลทิศโดยพิธีของหมู่บ้านได้
เขาทำสำเร็จ ทุกคนในหมู่บ้านยอมรับชลทิศ แต่เขาต้องรักษาแผลที่ตัวนานเกือบเดือน
แถมหลังจากหายดีได้ไม่นานเขาก็พบความจริงที่ว่า ชลทิศกำลังหนีออกจากเกาะ
ชลทิศกำลังหนีจากเขา!! ความรู้สึกของเขาตอนนั้นราวกับถูกไฟเผาผลาญ
เขาเสียใจ โกรธ รู้สึกเหมือนถูกทรยศ เขาโกรธจนควบคุมตัวเองไม่ได้
เขาข่มขืนเด็กนั่น แม้ในใจเขาจะปวดร้าวก็ตาม เขาแค้น แค้นทุกอย่าง
และยิ่งสายตาของชลทิศที่มองเขาด้วยความกลัว...
"นาฟ!!" เลียมาปลุกเจ้าของชื่อให้ได้สติขึ้นมา
"นายนะยังคิดอะไรเหมือนเด็ก นายไม่รู้หรือไงเมื่อนายปล่อยอัลออกไปแล้ว
เด็กนั่นจะตกเป็นเป้าหมายของกลุ่มคนที่คิดจะเดินทางมาที่นี่ คิดดูสิ
เด็กที่รอดชีวิตจากคำสาปเงือกแถมยังอ่านอักขระโบราณได้อีก"
เธอถอนหายใจ
นาฟหน้าซีดเมื่อได้ยินคำพูดของเลียม่า
"แม้ว่าอัลจะไม่คิดทรยศพวกเรา แต่เด็กนั่นไร้เดียงสานัก สักวันจะต้องถูกพวกมนุษย์หลอกลวง
ทำร้าย" เลียม่ามองหน้าน้องชายที่ก้มลงอย่างสำนึกผิด
"ถ้าสักวันอัลกลับมาที่เกาะนี้...ไม่ใช่เพราะนาย..ไม่ใช่ตัวคนเดียว
นายรู้นะว่าต้องทำยังไง" เธอจ้องหน้าน้องชายด้วยสายตาปวดร้าว
นาฟพยักหน้า
"ผมจะรับผิดชอบ" นาฟพูดสายตาแน่วแน่ "พวกเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ได้ชื่อว่า
'เงือก' ถ้าสุดท้ายจริงๆ ผมคงจะต้องใช้คำสาป..เพื่อปกป้องทุกอย่าง"
แสงจันทร์ส่องกระทบดวงตาเป็นประกายสีแดงท่ามกลางความมืด
เลียม่าปาดน้ำตาก่อนจะลุกเดินออกจากถ้ำไป..ไม่กล้าสบตาเขาตรงๆ นี่เธอจะต้องเสียน้องชายหรือเปล่านะ
เผ่าพันธุ์ที่เหมือนต้องสาป เผ่าพันธุ์ที่มีหน้าที่ที่ต้องปกป้องดูแลสิ่งนั้น...เมื่อไหร่ภาระหน้าที่นี้ถึงจะหมดไปนะ
อักขระโบราณ...คำสาปเงือก คาถาสะกดประตู ครอบครัวเขามีความลับอะไรกันแน่!!?
ชลทิศขบคิดอย่างปวดหัว ที่พ่อเขาหายตัวไปต้องเกี่ยวกับอักขระที่เขียนบนกระดาษนั่นแน่ๆ
เขาควรจะปรึกษาทนายทิมอนกับสจ๊วตดีหรือเปล่านะ...ถามสจ๊วตแล้วก็ดูเหมือนชายแก่จะไม่เคยเห็นอักขระที่เขียนแบบนั้นมาก่อนหรือว่าจะลองถามทนายทิมอนดูอีกคน
ทิมอน...นานวันเข้าเขาเริ่มรู้สึกว่าทนายทิมอนไม่น่าไว้วางใจเท่าไหร่
ทนายคนนี้เหมือนมีอะไรปิดบังเขาอยู่มาก
"คุณหนูครับ ที่ผมเปลี่ยนคนใช้ใหม่หมดก็เพราะเราไม่สามารถจ่ายเงินให้คนใช้เก่าแก่ได้
ถ้าเปลี่ยนซะใหม่แล้วก็ลดเงินเดือนจะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง"
ทิมอนอธิบายให้ชลทิศฟังหลังจากที่เขาเอ่ยปากถามเรื่องที่สงสัย
โกหก!! ชลทิศจ้องมองทิมอนแบบไม่เชื่อถือ เขาไม่ได้เอ่ยชื่อเจสซี่ออกไปเลย
แต่ที่แน่ๆเขารู้ว่าทิมอนกำลังโกหกเขา เจสซี่บอกเขาว่าน้าเธอไม่ได้อยากจะลาออก
คนใช้เก่าแก่ที่นี่รักนับถือนายเอลตันทุกคน ยิ่งพอรู้ว่านายเอลตันลำบากหลายคนถึงขนาดออกตัวยอมทำงานแบบไม่เอาเงินเดือนเสียอีก
ทำไมทิมอนต้องโกหกเขาอีก ทั้งๆเรื่องที่ครอบครัวหายตัวไปเขาก็ไม่ได้บอกตำรวจหลายอย่างทั้งๆที่เป็นข้อมูลสำคัญ
หรือว่าทิมอนรู้เห็นการฆาตกรรมบิดาและพี่สาวของเขา แถมเขาเป็นคนสนิทของบิดาด้วย..ถ้าเขาทรยศบิดาละ
ชลทิศขนลุกซู่ ใช่สิ..เงินนะสามารถสั่งปิศาจมารับใช้ยังได้ แล้วทิมอนเองก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาเท่านั้น
"คุณหนูครับ!!" ชายแก่วิ่งอย่างรีบร้อนเข้าไปหาขณะที่เขาคุยกับทิมอนอยู่
ชลทิศหันมามองอย่างแปลกใจ ธรรมดาพ่อบ้านจะไม่ค่อยเข้ามาขัดตอนที่เขากำลังคุยกับคนอื่น
หรือว่ามีเรื่องเดือดร้อนจริงๆ
"วันนี้ที่ห้องทำงานของนายท่านนะครับ...พอผมรื้อเก็บของผมก็พบรูปถ่ายพวกนี้เข้าครับ"
เสียงพ่อบ้านบอกอย่างตื่นเต้น ชายแก่ยื่นมือที่ถือรูปอยู่ส่งไปให้ชลทิศ
เด็กหนุ่มรับมาดูอย่างงงๆ ทนายทิมอนเองก็ชะโงกเข้ามาดูด้วย
"นี่มัน!!" ชลทิศหยิบรูปขึ้นมาดูใกล้ๆ
"ใช่แล้วครับ..อักขระแบบเดียวกับที่คุณหนูบอกผมเมื่อคืนวานเลยครับ..แล้วรูปพวกนี้เป็นรูปถ่ายด้วย"
รูปในรูปถ่ายเป็นรูปถ่ายของ 'ประตู' ที่บอกว่าเป็นประตูนั้นไม่ได้หมายถึงประตูแบบประตูบ้าน
แต่เป็นการเขียนตัวอักขระตามทิศทั้งแปดเป็นวงกลมล้อมรอบตรารูปพระอาทิตย์
ตัวอักษรพวกนั้นเหมือนกับที่ชลทิศเขียนให้สจ๊วตดูทุกอย่าง เพียงแต่อักษรในรูปเขียนได้ไม่ชัดเจนราวกับผู้เขียนเขียนอย่างเร่งรีบ
แถมบางทีอักขระยังดูเลือนๆเสียอีก สีก็หม่นๆ อักขระในรูปถูกเขียนไว้บนกำแพงห้อง
ชลทิศมองรูปอย่างสนใจ
"ลายวอลเปเปอร์แบบนี้เป็นของห้องชั้นสองนี่ครับ" เสียงทนายทิมอนแทรกเข้าด้านหลัง
ชลทิศสะดุ้งเล็กน้อย
"ใช่ครับ..แต่ว่าผมไม่เคยเห็นตัวอักษรพวกนี้ที่ผนังแบบนี้มาก่อนเลยนะครับ..."
สจ๊วตพูดแบบประหลาดใจ แต่แล้วสายตาสามคู่ก็สบประสานกันแบบนึกขึ้นมาได้
"ผนังลับ!!"
ชลทิศนิ่งเงียบไปก่อนที่จะรวบรูปภาพถือไว้ข้างตัว บางทีบ้านหลังนี้อาจจะมีผนังลับอะไรอย่างที่บอกจริง
แต่ตอนนี้คนรอบตัวเขาเหมือนจะไม่น่าไว้ใจไปซะหมด
"คุณหนูจะลองหาดูไหมครับ" ทนายทิมอนถามขึ้นมา
"ไว้ก่อนแล้วกัน ผมขอคิดอะไรหน่อย" ชลทิศพูดอย่างครุ่นคิด
ก่อนจะเดินเลี่ยงขึ้นไปที่บันได เขาจับได้ว่าน้ำเสียงของทนายทิมอนแสดงความตื่นเต้นไม้น้อยถึงแม้ว่าจะพยายามพูดให้ไม่แสดงอารมณ์ก็ตามที
ชลทิศเดินขึ้นบันไดแล้วตรงไปที่ห้องตัวเอง เขาเงียบตลอดทาง
สะกดประตูที่เห็นในรูปท่าทางจะเก่าพอสมควร แต่ใครเป็นคนเขียนไว้ล่ะ
จะว่าเป็นบรรพบุรุษแต่ก็ทำไมถึงไม่มีใครในครอบครัวอ่านอักขระโบราณได้สักคน
ของอะไรที่ถูกเก็บอยู่หลังประตูนี่อีก เงิน ทอง ทรัพย์สมบัติ? จากที่สจ๊วตเคยเล่าให้ฟัง
บรรพบุรุษของเขาทรยศเปลี่ยนใจไปรักมนุษย์ธรรมดาแทนเงือกคนรักเก่าทำให้เธอแค้นสาปตระกูลเขา
หรือสิ่งที่ซ่อนอยู่หลังประตูคือความลับที่จะไขปริศนาที่เงือกตนนั้นซุกซ่อนไว้
ผ่านไปสักพักชลทิศก็ค่อยๆเดินไปที่ห้องทำงานของบิดา เขาเคยขอกุญแจของบ้านจากสจ๊วตมาเก็บไว้นานแล้วจึงไม่เป็นปัญหาถ้าเขาอยากเข้าห้องไหนของบ้าน
อย่างน้อยเริ่มหาที่ห้องนี้ก่อนก็ดี
"บอสครับ..เหยื่อเริ่มเคลื่อนไหวไปตามหมากบนกระดานแล้วนะครับ"
เสียงทุ้มพูดขึ้นช้าๆ ร่างที่ถูกเรียกว่าบอสไม่ได้หมุนตัวกลับมา
เขายืนจ้องไปที่จอโทรทัศน์วงจรปิด บนโต๊ะที่อยู่ระหว่างเขาทั้งสองคนเต็มไปด้วยรูปถ่ายอักขระโบราณแบบเดียวกับที่ชลทิศได้ไปวางระเกะระกะ
"เหยื่อดูท่าจะฉลาดกว่าที่คิดเล็กน้อย...พยายามจับตาดูให้ดีด้วย"
เสียงห้าวๆแต่ยังฟังดูหนุ่มเอ่ยขึ้นมา ร่างที่รับคำสั่งพยักหน้ารับรู้
"บอสคิดว่าเด็กนั่นจะเปิด 'ประตู' ได้หรือครับ"
"หึ..เด็กนั่นรู้อะไรมากกว่าผู้เชี่ยวชาญของเราเสียอีก"
ร่างที่รับคำสั่งดันแว่นที่เลื่อนลงขึ้นไปเล็กน้อย
"ผมคิดว่า ประตู คงจะถูกหาเจอในอีกไม่นานครับ แต่ผมไม่เข้าใจเลย
ทำไมพวกเราต้องเสียเวลาอ้อมไปอ้อมมาตั้งนาน จริงๆ จับตัวเด็กนั่นมาแล้วบังคับให้เปิดประตูนั่นเสียก็สิ้นเรื่อง"
บอสที่ถูกเรียกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
"การทำให้เหยื่อตายใจนะ เป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งที่พวกเราใช้มาตลอด..
อีกอย่างนายก็เห็นพลังลึกลับที่ซ่อนอยู่ที่ประตูแล้วไม่ใช่หรือไง
ถ้าเราบังคับให้เด็กนั่นเปิดประตูโดยไม่เต็มใจละก็ 'ของ' ข้างในเสียหายไปละก็ใครจะรับผิดชอบ"
ร่างที่ถามก้มหน้าอย่างสำนึกผิด..ใช่สิ พวกเขาพบประตูที่ว่านั่นตั้งนานแล้ว
แต่ไม่ว่าจะพยายามเช่นไรก็ไม่สามารถที่จะเปิดได้ บางครั้งถึงกับถูกพลังไร้สภาพบางอย่างดันกระเด็นออกมา
ตอนนี้พวกเขาได้แต่รอเท่านั้น รอชลทิศหาประตูให้เจอ!
"แล้วตุ๊กตาอีกตัวที่ยังเหลือรอดอยู่จะทำอย่างไรละครับ เห็นว่าไม่ค่อยสบาย
ไม่ยอมกินอาหารด้วย"
สายตาเย็นเยียบกวาดผ่านหน้าคนถามแวบหนึ่ง ก่อนจะเผยอเรียวปากบางขึ้นตอบคำ
"ส่งหมอไปดูอาการด้วย ถ้าของของชั้นเสียหายก่อนที่ทุกอย่างจะเรียบร้อยละก็
ถูกจับโยนลงทะเลหมดแน่"
"สวัสดีค่า...คุณอัล วันนี้ตื่นสายอีกแล้วนะคะ
เมื่อคืนนอนดึกหรือ" เสียงใสๆของเจสซี่ดังขึ้นมาปลุกเขา ชลทิศงัวเงียลุกขึ้นมา
เขากับเจสซี่สาวใช้เริ่มสนิทกันมากขึ้น ชลทิศอนุญาตให้เธอเรียกเขาว่า
อัล แทนที่จะเรียกว่าคุณหนู
"อือ..นิดหน่อยนะ" เขาขยี้ตา เมื่อคืนเขาพยายามหาแทบจะค้นตู้หนังสือทุกตู้ดูเผื่อว่ามีช่องลับหรือว่าประตูกลไกที่ไหนหรือเปล่าในห้อง
จนแล้วจนรอดก็ไม่พบสักที เขายังลองเดินไปสำรวจตามห้องต่างๆในบ้านอีกด้วย..ห้องของบิดาเป็นห้องขนาดใหญ่
ในห้องมีแต่รูปถ่ายครอบครัว แถมยังมีรูปวาดสีน้ำมันของภรรยาขนาดใหญ่ติดที่ผนังอีก
เขาเห็นทีไรน้ำตาก็พาลจะไหลไปทุกที พ่อรักแม่เขาบ้างหรือเปล่านี่...
"จะรับกาแฟแก่ๆเป็นเครื่องดื่มตอนเช้าไหมค่ะ..ตาจะได้สว่าง"
"อืม..ก็ดีนะ..เดี๋ยวผมขออาบน้ำก่อนแล้วกัน"
พอเดินลงมาข้างล่างชลทิศก็ต้องอารมณ์เสียแบบไม่มีสาเหตุเมื่อเห็นทนายทิมอนกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์รออยู่
ส่วนสจ๊วตก็กำลังยืนบริการกาแฟให้ทนายวัยกลางคน
"รู้สึกว่าคุณทิมอนนี่จะมีเวลาว่างมากเลยนะครับ..." ชลทิศพูดกระทบกระเทียบ
"ช่วงนี้ก็ไม่ค่อยมีอะไรทำหรอกครับ จะวุ่นๆก็แต่เรื่องมรดกกับเรื่องจัดการทุกอย่างของคุณเอลตันให้เรียบร้อย
งานส่วนตัวของผมทำที่บ้านใหม่ก็ได้ ช่วงนี้ผมก็ไม่ได้อยู่บ้านนี้ด้วยแล้ว"
"อยู่บ้านนี้?" ชลทิศทวนคำอย่างงุนงง
สจ๊วตหยิบชุดอาหารเช้าและกาแฟมาวางที่โต๊ะ ก่อนจะกระแอมนิดหนึ่ง
"เอ่อ..ผมไม่เคยบอกคุณหนูครับ ว่าคุณทิมอนนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องห่างๆ
กับคุณเอลตัน แต่ก่อนคุณทิมอนอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้ด้วยเหมือนกัน
แต่เป็นห้องด้านตะวันตกที่ค่อนข้างห่างจากตัวตึกใหญ่นะครับ คุณปู่ของคุณหนูให้คุณทิมอนเรียนด้านกฎหมายเพื่อมาช่วยธุรกิจของครอบครัวครับ"
"อ้อ...." ชลทิศลากเสียงยาวพร้อมกับพยักหน้ารับรู้
"ส่วนใหญ่งานที่ผมทำก็ทำให้กับคุณเอลตันอย่างเดียว..แต่พอหลังคุณเอลตันเสียผมก็ลองมาทำธุรกิจซื้อขายหุ้นผ่านทางอินเตอร์เนต
ได้กำไรพอสมควรผมก็เลยแยกตัวออกไปซื้ออพาร์ทเมนต์อยู่คนเดียว ไม่ค่อยได้ออกไปหางานที่อื่นอีก
นั่งอยู่กับบ้านก็ทำเงินได้แล้ว" ทนายทิมอนพูดยิ้มๆ
ชลทิศเดินไปนั่งที่โต๊ะกินข้าว ไข่ดาวทอดกับขนมปังปิ้งพร้อมกับกาแฟหอมกรุ่นวางอยู่ที่โต๊ะแต่เขาแทบจะไม่ได้แตะ
นอกจากหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาจิบไม่กี่อึก
"กินน้อยเหมือนพี่ชายเลยนะครับ มิน่ารูปร่างถึงบอบบางเหมือนผู้หญิงแบบนี้"
ทนายทิมอนพูดขำๆ แต่ชลทิศมองอย่างเคืองๆ
"ผมไม่ได้เหมือนผู้หญิงสักหน่อย" เขาพูดกระแทกเสียง
"ก็ไม่ได้บอกว่าเหมือนผู้หญิงนี่ครับ..คุณหนูออกจะเป็นผู้ชายเต็มตัว
แล้วเป็นไงครับ..ลองค้นหาประตูลับดูบ้างหรือยัง" ทนายทิมอนพูดขึ้นเหมือนเป็นเรื่องตลกประจำวัน
แต่ชลทิศชะงักกึก จริงๆแล้วทิมอนกังวลเรื่องนี้หรือเปล่า
"ขี้เกียจหา..ไว้ว่างๆค่อยหาแล้วกัน ผมว่าผมไม่ค่อยได้ออกไปไหนออกไปเที่ยวดีกว่า"
ชลทิศทำท่าไม่สนใจ เขาสังเกตเห็นทิมอนขมวดคิ้วแวบหนึ่ง
"จริงหรือครับคุณหนู...ผมว่าถ้าออกไปเที่ยวมากๆเงินเก็บที่มี...."
"ทำไม..เงินผมเองก็มี ใช่ว่าผมจะไม่มีเงินติดตัวมาจากบ้านสักบาท"
เขาวางแก้วกาแฟลงก่อนจะหันไปบอกสจ๊วต
"สจ๊วต ผมจะออกไปข้างนอกนะ...แต่ไม่ค่อยรู้ทางผมขอเอาเจสซี่ไปกับผมด้วยแล้วกัน"
"คุณหนูครับ...ผมขอโทษ.." ทนายทิมอนก้มหน้าแบบเหมือนสำนึกผิด
เขาเอามือกดขมับเล็กน้อย
"ช่วงนี้ผมห่วงเรื่องหนี้สินของคุณเอลตันมากไปหน่อย ก็เลยคิดๆไปว่าถ้าเกิดคุณหนูพบประตูลับหรือว่าเซฟลับในห้องนอนของคุณผู้ชายแล้วมีชุดเครื่องเพชรเก่าๆของคุณเบลินดาซุกซ่อนไว้บ้างก็จะดี
อย่างน้อยก็จะได้เอาไปขายปลดหนี้สินพะรุงพะรังลงบ้าง" ทนายทิมอนพูดพล่ามไปเรื่อย
"เซฟลับในห้องของพ่อ.." ชลทิศขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดประโยคนั้น
"อ๋อ...ผมไม่ทราบละเอียดหรอกครับ..แต่ที่แน่ๆในห้องนอนของคุณเอลตันมีเซฟลับอยู่
เพราะแต่ก่อนคุณเอลตันกับคุณเบลินดาไปออกงานด้วยกันเสมอ เครื่องเพชรบางตัวก็ฝากไว้กับธนาคาร
แต่บางชิ้นก็เก็บไว้ในห้องนอน แถมพวกเอกสารสำคัญๆบางใบด้วย"
ทนายทิมอนอธิบาย
ชลทิศยืนนิ่ง เขาครุ่นคิดอยู่สักพัก ใจจริงอยากจะเข้าไปรื้อห้องบิดาซะเดี๋ยวนั้นเลย
แต่ก็ไม่ไว้ใจทนายทิมอนที่อยู่ตรงนี้
"คุณหนูคะ...ดิชั้นเรียบร้อยแล้วค่ะ" เสียงใสๆของเจสซี่ดังขึ้นมาข้างข้าง
เธอค่อนข้างตื่นเต้นพอสมควร
"คุณหนูอยากจะไปเที่ยวที่ไหนหรือคะ จะไปสวนสนุกหรือห้างสรรพสินค้าดี"
เธอยิ้มจนตาหยี ชลทิศจึงพึ่งนึกออกว่าเขาให้สจ๊วตไปตามเจสซี่มาเป็นคนนำทางเขาไปเที่ยวเมื่อสักครู่
เธอเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวใหม่เรียบร้อยแล้ว
"เรื่องนั้นเอาไว้คิดทีหลังแล้วกัน ผมขอออกไปข้างนอกก่อน"
ชลทิศพูดตัดบทพร้อมกับหันกายเดินออกไปนอกประตูบ้านโดยมีเจสซี่ตามไปติดๆ
ทนายทิมอนยืนก้มหน้าอยู่ที่เดิม รอยยิ้มประหลาดผุดขึ้นบนใบหน้า
"อีกไม่นานปลาต้องติดเบ็ดแน่" เขาพึมพำออกมา
แน่นอนช่วงที่ชลทิศเดินเที่ยวกับเจสซี่นั่น เขาใจแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
สมองเขามัวแต่คิดถึงคำพูดของทนายทิมอน เขาคิดว่าสิ่งที่อยู่หลังประตูบานนั้นไม่น่าจะใช่เครื่องเพชร..เพราะไม่มีใครสามารถเปิดได้
บรรพบุรุษของเขาก็ไม่รู้อักษรเงือก มันน่าจะเป็นของที่สำคัญกว่านั้น
ห้องนอนของบิดาเป็นห้องขนาดใหญ่ เตียงมโหฬารเสียจนเขาคิดว่าสามารถนอนได้ทั้งครอบครัวข้างเตียงมีหนังสือวางอยู่ในชั้นเล็กๆอีกไม่กี่เล่ม
ในห้องมีตู้เสื้อผ้าแบบสร้างติดผนังติดอยู่ โต๊ะเครื่องแป้งตั้งไว้อีกมุมหนึ่งของห้อง
ผนังด้านข้างอีกด้านก็มีรูปวาดของนายเอลตันกับนางเบลินดาขนาดใหญ่ติดอยู่
ชลทิศพยายามสำรวจทุกที่ที่