Miss independent
คำสาบเงือก

ตอนที่ 12

            ความรักในอดีต

เขาเกิดมาเพื่อตายแทนดีเร็ก พี่ชายที่มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาไม่มี เกิดมาด้วยความรักของพ่อและแม่ มีครอบครัวที่สมบูรณ์

มีใครรักเขาจริงบ้าง แม่เสียชีวิตไปแล้ว พ่อไม่ได้รักเขา ญาติครอบครัวเกือบทุกคนก็เห็นว่าเขาเป็นแค่กาฝากที่ต้องมารับเลี้ยง

“ฆ่าคุณดีเร็กซะ ถ้าฆ่าเขาเสียคุณจะได้พิสูจน์ว่าคุณไม่ได้เกิดมาเพื่อตายแทนเขา แต่เขาเกิดมาเพื่อตายแทนคุณต่างหาก!!” เสียงของทนายทิมอนตะโกน ตอนนี้เขาตาแดงก่ำราวกับคนดื่มจัด อารมณ์พลุ่งพล่านการแก้แค้นของเขา

‘ฆ่าดีเร็ก’ ชลทิศกำมือแน่น ใช่สิ ตึกนี้อยู่ริมหน้าผาติดทะเล ถ้าฆ่าดีเร็กเสียคำสาปเงือกสำหรับรุ่นเขาก็คงจะหายไป...ชลทิศสะบัดหัว มองไปทางดีเร็ก ร่างบางนั่งนิ่งราวกับชีวิตที่พูดถึงไม่ใช่ของตัวเอง ชลทิศตัดสินใจอะไรบางอย่าง

“ไม่!!” เขาตะโกนกลบเสียงทิมอน หันหน้าไปสบตาทนายวัยกลางคน ดีเร็กเหลือบมองนิดหนึ่ง

ใช่สิ ชีวิตเขาไม่เหลืออะไรแล้ว ไม่มีใครรัก ไม่มีใครรอ เขาออกจากเกาะทิ้งทุกคนบนเกาะมาเพื่ออะไร ปริศนาคำสาปเงือก...

“ผมจะไม่ทำให้คำสาปเป็นจริง แต่ผมจะมาเพื่อทำลายคำสาปนี้ต่างหาก!! ผมจะไม่ฆ่าดีเร็ก ไม่มีใครตายแทนใคร แต่เราสองคนจะหนีไปด้วยกัน” ชลทิศพูดเสียงแข็ง ทิมอนโกรธจนตัวสั่น

“โง่ ๆ ๆ โง่กันทั้งแม่ทั้งลูก พวกแกสองคนได้แต่หน้ามืดตามัว คนพวกนี้ทำให้ชีวิตพวกแกเลวร้ายยังจะปกป้องมันทำไม ถ้าแกไม่ฆ่ามันชั้นจะฆ่าเอง แก้แค้นให้นงนภัส!!” ทนายทิมอนยกปืนขึ้นมาชี้ไปที่ดีเร็ก ชลทิศกระโจนเข้าไปผลักพี่ชาย ทั้งสองคนกลิ้งไปชนผนัง ลูกปืนนัดแรกเฉียดศีรษะไปเพียงนิดเดียว ฝังอยู่ที่ผนังฝุ่นคลุ้งออกกระจาย เสียงปืนนัดที่สองกับสามตามมาติดๆ ชลทิศเอาตัวเองบังพี่ชายไว้หลับตาแน่น เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเขาต้องปกป้องคนๆ นี้

ไม่รู้สึกเจ็บ ดีเร็กยังตกตะลึงอยู่ในอ้อมแขน  ชลทิศหันกลับไปมอง ทนายทิมอนยังยืนอยู่ที่เดิม แต่ตอนนี้ที่หน้าอกของเขามีรอยเลือดสีแดงฉานอยู่ เขาเซไปมาเล็กน้อย

“ทำไมคุณต้องปกป้องมันด้วย...” ร่างสูงพึมพำก่อนจะทรุดตัวลงไป

“เฟอดินาน” เสียงเบาลอดออกมาจากปากดีเร็กซึ่งแทบไม่ได้พูด

ข้างหลังร่างของทิมอนที่ทรุดลงไป เฟอดินาน กิลกาเมซ ยืนอยู่ที่นั่น  ใบหน้าไร้อารมณ์ ในมือเขาถือปืนไว้ และตอนนี้กำลังชี้มาที่ชลทิศ เสียงปืนสองนัดหลังย่อมต้องมาจากเขาแน่

ชลทิศไม่ได้ใส่ใจ เขาตรงเข้าไปหาทนายทิมอน แรกสุดเขารังเกียจทนายวัยกลางคนคนนี้ แต่พอรู้ว่าที่ทนายทิมอนทำไปทั้งหมดเพราะอะไร เขาก็เกลียดทิมอนไม่ลง เขาก้มลงไปประคองร่างเปื้อนเลือด ทนายทิมอนหรี่ตามองเขา

“นงนภัส....ในที่สุดผมก็พบคุณ...” เสียงพร่าในลำคอก่อนจะสำลักติดๆ กัน เลือดทะลักจากรอยแผล มือยกขึ้นมาลูบหน้าชลทิศ ชลทิศไม่ได้พูดอะไร น้ำตาไหลทะลักออกมา สายตาของทิมอนตอนนี้ไม่ได้มองเขา แต่มองเลยไปที่แม่ของเขาต่างหาก

“อย่า...อย่าพึ่งตายนะ...” ชลทิศพูดปนสะอื้น จับมือของทิมอนขึ้นมากุม

“ผมทำทุกอย่างก็เพื่อคุณ...” เสียงพูดแผ่วเบาลงแต่แล้วเสียงปืนอีกนัดก็ดังมา หยดเลือดกระเซ็นทั่วชุดสีขาว ร่างที่อยู่ในอ้อมแขนสะดุ้งก่อนจะหยุดคำพูดและการเคลื่อนไหวทุกอย่าง ชลทิศวางมือนั้นลงอย่างแผ่วเบา สูดหายใจลึกก่อนจะหันหน้าไปมองเฟอดินาน ดวงตาเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง

“ฆาตกร!! นายฆ่าเขาทำไม เขากำลังจะตายอยู่แล้ว” ชลทิศตะโกนสุดเสียง ร่างหอบจนตัวโยน

เฟอดินานลดปืนลง ยิ้มเหยียดๆ

“นายเรียกคนที่ช่วยนายไว้ว่าฆาตกรงั้นรึ”

“ชั้นไม่ต้องการให้นายเข้ามาช่วย!!” ชลทิศตะคอก

“หึ ชั้นก็ไม่ได้อยากจะช่วยนาย ชั้นแค่ฆ่าคนที่จะมาทำลายของๆ ชั้นต่างหาก” เฟอดินานเดินตรงเข้าไปหาดีเร็กที่ยืนตัวสั่นอยู่ ยกมือขึ้นพันปอยผมสีทองเล่น ดีเร็กสะบัดตัวหนีก่อนที่เฟอดินานจะดึงผมนั้นอย่างแรงจนร่างบางเซและร้องด้วยความเจ็บ

ชลทิศได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามาหลายคู่ แน่นอนเสียงปืนดังหลายนัดขนาดนั้นย่อมต้องปลุกยามทุกคนอยู่แล้ว

“เอาศพทิมอนไปโยนในบ่อ” ร่างสูงใหญ่ออกคำสั่งอย่างเฉียบขาด ไม่มีใครถามอะไร ศพทิมอนถูกลากออกจากห้อง รอยเลือดเป็นทาง คนทำความสะอาดเข้ามาเก็บกวาด สักครู่เดียวห้องก็กลับคืนสภาพเดิม

“ชั้นจะถือว่าไม่เห็นเรื่องคืนนี้ก็แล้วกัน..เอาตัวคุณอลัสเตอร์กลับห้อง” ชลทิศถูกลากตัวออกไป เขาขัดขืนเล็กน้อยก่อนจะได้ยินเสียงพูดลอยๆ ของเฟอดินาน

“นายรู้ไว้เลยนะ ว่าชั้นไม่ได้พูดเล่น ถึงชั้นจะไม่ฆ่าดีเร็ก แต่คนอื่นรอบตัวนายอาจจะตายเพราะนายก็ได้ ไม่เว้นแม้แต่ญาติทางแม่ของนาย ชั้นน่ะไม่มีปัญหาอยู่แล้วกับการฆ่าคนเพิ่มอีกสามสี่คนนายรู้ไหมว่าตระกูลกิลกาเมซน่ะมีอำนาจขนาดไหน” เฟอดินานพูดทิ้งท้ายไว้ ชลทิศอึ้ง เขากำลังถูกข่มขู่!! แน่นอนญาติทางแม่เขาก็คือคุณลุงอาทิตย์คุณน้ารมณีย์และลูกๆ พวกนี้กำลังเอาชีวิตคนรู้จักทั้งหมดมาข่มขู่เขา

“อ้อ..เอาชุดมาให้คุณอลัสเตอร์เปลี่ยนด้วยนะ สวมชุดผู้หญิงแบบนี้เดี๋ยวจะถูกเข้าใจผิดอีก”

ชลทิศถูกพาตัวกลับมาที่ห้องเดิม หมอซิซิเลียที่ถูกมัดอยู่บนเตียงไม่อยู่แล้ว มีเสื้อผ้าชุดใหม่พับวางไว้บนเตียง เขาไม่ได้ถามถึงเธอ หยิบชุดขึ้นมา

เมื่อกี้ไม่มีใครสังเกต เขาหยิบปืนของทิมอนซ่อนไว้ในเสื้อกาวน์ของหมอ ชลทิศก้มตัวลงนับลูกปืน สามนัด เขามีลูกปืนเหลืออยู่สามนัด..

เขาจะต้องใช้มันให้คุ้มค่าที่สุด!!

เสียงลมพัดแรงปะทะผนังหิน  ฟ้ามืดครึ้ม เงาคนหลายคนยืนรวมกันอยู่ที่กลางหมู่บ้าน คบไฟสะบัดตามแรงลม

หญิงสาวผิวคล้ำหน้าตาอมทุกข์คนหนึ่งยืนอยู่ข้างชายหนุ่มที่ถูกมัดคุกเข่าอยู่ตรงกลาง

“นาฟ… ตอนนี้นายพ้นโทษแล้ว..เวลาหลายเดือนที่ถูกขังอยู่ในถ้ำคงทำให้นายคิดได้แล้วนะ” เสียงหัวหน้าหมู่บ้านดังขึ้น

“หึ..” ร่างที่ถูกมัดพ่นลมทางจมูก ตอนนี้ร่างเขาผอมจนแทบจะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ถึงแม้ว่าเลียม่าจะแอบเอาอาหารมาให้เขากินบ้างก็ตาม

“นายรู้กฏของหมู่บ้าน นายรู้ถึงสิ่งที่พวกเราต้องปกป้อง..ถ้าเด็กคนนั้นนำภัยพิบัติมา เจ้าจะต้องรับผิดชอบทุกอย่าง”

“เด็กคนนั้นจะกลับมา....อีกไม่นานนี้แหละ หายนะจะเข้ามาสู่พวกเรา...” คำทำนายออกมาจากปากของคนที่อาวุโสที่สุด ร่างนั้นถือไม้คทาที่จารึกอักขระไว้มากมาย ตามท่อนแขนและลำตัวด้านบนที่เปิดโล่งก็มีอักษรสักไว้เต็มตัว

“ที่พวกท่านปล่อยผมออกมาก็เพราะรู้คำนายนี้ใช่ไหม...พวกท่านต้องการให้ผมรับผิดชอบ...” นาฟไม่ได้พูดต่อ แต่เขาหัวเราะเบาๆ “แต่เขาจะกลับมาได้ยังไง ก็ในเมื่อเกาะนี้มีอำนาจของอักขระครอบคลุมอยู่ มนุษย์มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นหรอกนอกจากพวกเราจะไปพาเข้ามา”

“นายเองก็น่าจะรู้...พวกเราไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นเงือก!! ถึงแม้ตอนนี้พวกเราจะอาศัยอยู่ที่นี่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอกก็ตาม แต่ก็มีมนุษย์บางคนที่พยายามตามหาที่นี่อยู่”

นาฟนอนอยู่ในกระท่อมของเขา ฝุ่นจับหน้าต่างและเตียงหนาเตอะ แต่เขาก็ไม่สน ล้มลงนอนทั้งอย่างนั้น มือก่ายหน้าผาก เสียงเปิดประตูเบาๆ ไม่ได้มองแต่นาฟก็รู้ว่าคนที่เข้ามาคือใคร

“ทำไมไม่ทำความสะอาดล่ะ” เธอถามเดินมาปัดฝุ่นที่เก้าอี้ก่อนจะนั่งลงไป

“....” เขาไม่ได้ตอบ แต่จู่ๆ ก็ถามขึ้นมา

“พี่ มนุษย์กับเงือกรักกันได้ไหม”

เลียมาอึ้งไป

“กฏก็คือกฏ พวกเราน่ะมีชีวิตยืนยาวกว่ามนุษย์หลายเท่า พวกเรารักกันไม่ได้หรอก สักวันมนุษย์ก็ต้องตาย ส่วนพวกเราก็ต้องอยู่ต่อ”

“การที่ผมถูกขังอยู่ในถ้ำนั่นทำให้ผมได้คิดอะไรหลายอย่าง...” นาฟพูดพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงจันทร์สีนวล เขาพูดสิ่งที่ทำให้เลียมาตกตะลึง

“กฏคืออะไร กฏเป็นแค่สิ่งที่ถูกตั้งขึ้น เป็นเพราะกฏพวกนี้ใช่ไหมพวกเราถึงต้องถูกบังคับให้อยู่ที่นี่ตลอด ไปไหนไม่ได้”

เลียม่าถอนหายใจ

“ไม่ใช่หรอก นายยังเด็กกว่าคนอื่น นายอาจจะรู้สึกเบื่อหน่ายที่จะอยู่ที่นี่ แต่ทุกคนที่นี่เบื่อหน่ายที่จะอยู่ในโลกภายนอกต่างหาก”

“นายเสียใจหรือเปล่าที่ช่วยชีวิตเด็กคนนั้นขึ้นมาจากทะเล”

นาฟส่ายหน้า

“อัลทำให้ชีวิตที่แสนเบื่อหน่ายของผมมีความสุขขึ้น” นาฟพูด สุ้มเสียงมีชีวิตชีวา เลียม่าพยักหน้าเข้าใจ

“ถึงแม้มนุษย์จะมีชีวิตที่แสนสั้น...แต่สำหรับคนที่ผมรัก การที่ได้อยู่กับเขานับเป็นความทรงจำที่ดีที่สุด มีชีวิตยืนยาวแต่ไร้จุดหมายจะมีไปทำไม...”

เงาจากแสงจันทร์ทอดยาวไปที่พื้นห้อง ไม่มีใครขยับ มีแต่เสียงลมหายใจเบาๆ เลียม่าน้ำตาซึม พวกเธอเป็นเผ่าเงือก..มีชีวิตยืนยาว..เงือกเพศเมียที่นี่แทบจะไม่มีเหลือแล้ว ทุกคนอายุมากกว่าพวกเธอตั้งไม่รู้เท่าไหร่ นาฟเป็นน้องชายที่คลอดห่างจากเธอหลายสิบปี เมื่อคลอดแล้วแม่ของพวกเธอก็เสียชีวิตไป นาฟจึงเป็นเงือกหนุ่มที่อายุน้อยที่สุดในหมู่บ้าน เธอจึงเป็นห่วงอยู่เสมอ

อาจจะเป็นเพราะฟ้าลิขิตที่ทำให้เด็กคนนั้นกับน้องชายของเธอได้มาพบกัน นาฟแทบไม่เคยออกไปที่ไหนนอกเกาะแห่งนี้ ทุกอย่างนาฟเรียนรู้มาจากผู้อาวุโสของหมู่บ้าน แม้แต่กฏเกณฑ์ที่ทุกคนต้องทำตามและความเกลียดชังต่อโลกภายนอก

“พี่ไม่ต้องกังวลกับผมมากนักหรอก เดี๋ยวจะเป็นอันตรายต่อลูกในท้องเสียเปล่าๆ” นาฟพูดเสียงเบา ถึงแม้เลียม่าไม่ได้บอก แต่เขาก็สังเกตได้จากหน้าท้องที่นูนขึ้นมา  

“นาฟ...พี่ไม่เคยบอกนาย แต่พี่คิดว่าพี่รู้จักเงือกที่ใช้คำสาปกับตระกูลของอัล”    เธอพูดเสียงเบา แต่นาฟรีบลุกขึ้นมา จ้องไปที่พี่สาวอย่างสงสัย

“พี่รู้ได้ยังไง!!”

เลียม่ายิ้มนิดหนึ่ง

“คนเราย่อมมีลายมือที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองไม่ใช่หรือ เธอเป็นเพื่อนรักของแม่พวกเรา มีนิสัยอยากรู้อยากเห็นเหมือนกับนายในตอนนี้ที่สุด ตอนพี่เห็นคำสาปเงือกที่แขนของอัล พี่ก็รู้แล้วว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีกับเธอแน่”

เลียม่าหยุดไปนิดหนึ่ง เหลือบสายตาไปที่น้องชาย ถอนหายใจ

“เธอรักกับมนุษย์...เรื่องของเธอจึงกลายเป็นเรื่องต้องห้ามที่จะพูด ตอนพี่เด็กๆ เธอมักจะเล่าเรื่องโลกภายนอกให้ฟังเสมอ”

“แล้วที่เธอใช้คำสาปเงือกเป็นเพราะอะไร นาฟเอ่ยปากถาม “ถ้าคนรักเธอเปลี่ยนใจไปรักคนอื่น แล้วเธอใช้คำสาปเงือกกับเขาเธอก็เป็นคนเห็นแก่ตัว” เลียม่าหันมามองอย่างแปลกใจกับความคิดน้องชาย

“ถ้าเป็นผม ผมยอมที่จะให้คนรักของผมพบคนอื่นที่เขารักมากกว่า...เพราะว่าผมรักเขา ผมไม่ต้องการให้ชีวิตลูกหลานของเขาทรมานแบบนี้หรอกผมจะเป็นฝ่ายจากมา”

“นายหมายถึงอัลด้วยหรือเปล่า...ถ้าเขารักคนอื่นที่ไม่ใช่นาย นายจะยอมจากมาง่ายๆ งั้นหรือ” เลียม่าสบตาน้องชาย นาฟพยักหน้าน้อยๆ เธอถอนหายใจ

“นี่นายเป็นน้องชายชั้นจริงๆ หรือเปล่านี่!! แค่ถูกขังในถ้ำไม่เท่าไหร่นาฟผู้อารมณ์ร้ายหายไปไหนเสียแล้ว เหมือนความคิดนายแก่พอเป็นพ่อพี่ได้แนะ”

“ก็ผมคนเดิมแหละ แต่ใจเย็นขึ้นเท่านั้น” นาฟยิ้ม

“ถ้าอัลไม่ได้รักผม แต่ผมก็ยังจะขอรักเขาตลอดชั่วอายุผมนี่แหละ...ถึงเขาจะลืมผม..แต่ผมก็คงจะไม่ลืมเขา”

“นาฟ!! นายนี่งมงายจริงๆ เด็กคนนั้นกำลังจะกลับมาที่นี่ตามคำทำนายต่างหาก แถมจะกลับมาพร้อมกับหายนะอีกด้วย” เลียม่าพูดเคืองๆ

“งั้นผมก็ควรจะดีใจสินะ...ที่อย่างน้อยก่อนตายผมจะได้พบกับเขาอีกครั้ง”

ในที่สุดเวลาที่นายเวอร์นอนกำหนดก็มาถึง สองวันที่ชลทิศต้องให้คำตอบ

เขาถูกพาเข้ามาในห้องส่วนตัวของนายเวอร์นอน ด้านหลังขนาบด้วยบอดี้การ์ดร่างยักษ์...แผนที่ถูกถือไว้ในมือของร่างชรา

“เฟอดินานบอกชั้นว่า...นายเคยอยู่ที่ดินแดนสวรรค์มาก่อน” นายเวอร์นอนเอ่ยปากถาม

“ผมไม่รู้หรอกว่าผมมาจากที่นั่นหรือเปล่า” ชลทิศตอบตามตรง เขาแค่คาดเดาเท่านั้น

“ที่เกาะนั่นมีหมู่บ้านอยู่ แต่ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปา..อาศัยอยู่กับธรรมชาติ พูดคุยกันด้วยภาษาเงือก...สามารถใช้อำนาจวิเศษได้...ว่ายน้ำราวกับปลา...มีอายุที่ยืนยาว” นายเวอร์นอนพล่ามไปเรื่อย แต่ชลทิศหน้าเปลี่ยนสีไป

ใช่ ทุกอย่างที่หมู่บ้านคล้ายกับที่นายเวอร์นอนบอกราวกับตาเห็น

“แค่ที่นายอ่านภาษาเงือกได้ก็รู้อยู่แล้วว่านายต้องร่ำเรียนมาจากพวกเงือก”

ชลทิศสีหน้าเปลี่ยนไปนิดหนึ่ง เรียนกับพวกเงือก เขาไม่มีใครรู้จักเป็นเงือกสักหน่อย

“คนที่สอนผมเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาบนเกาะต่างหาก” ชลทิศพูดเถียง

นายเวอร์นอนหัวเราะเสียงดัง

“หึ หึ...เด็กเอ๋ย นายเข้าใจว่าเงือกคือพวกครึ่งคนครึ่งปลาหรือไง..เงือกที่ชั้นบอกมีรูปร่างเหมือนคนอย่างพวกเรา ต่างกันตรงที่พวกนั้นว่ายน้ำเก่งและก็อายุยืนยาวกว่าคนหลายสิบเท่า”

หมายความว่านาฟและทุกคนที่เกาะเป็นเงือก....มิน่าเขาถึงรู้สึกว่านาฟไม่แก่ลงเลยตั้งแต่ที่รู้จักกัน

“ชั้นปรารถนาที่จะได้ไปที่เกาะนั้นมาตลอด...หลายสิบปีที่ชั้นสืบเสาะ หมดเงินไปไม่รู้เท่าไหร่ ในที่สุดชั้นก็ได้แผนที่นี้ไว้ในมือ” ร่างชราลูบคลำแผนที่อย่างหวงแหน สายตาเปล่งประกาย

“เพราะแผนที่นี้แหละที่ทำให้บรรพบุรุษของนายโดนคำสาปเงือก”

ชลทิศชะงักไป คำสาปที่เขาอยากรู้

“คุณรู้ได้ยังไง!?”

นายเวอร์นอนหันไปมองชลทิศพร้อมรอยยิ้มมุมปาก

“เพราะว่าชั้นตามหามันมาตลอดนะสิ...ชั้นทั้งสืบเสาะทั้งบังคับขู่เข็ญจนในที่สุดชั้นก็รู้”

ถึงตอนนี้ชลทิศหวนนึกถึงคำสาปประตูที่เขียนด้วยเลือด...แผนที่ที่ถูกซ่อน

‘บรรพบุรุษนายรักกับเงือก แต่แล้วบรรพบุรุษนายเกิดเปลี่ยนใจไปรักคนอื่น เงือกตัวนั้นเลยใช้คำสาป’ คำพูดที่ชลทิศจำได้จากที่สจ๊วตหรือเฟอดินานเคยบอกเขาชลทิศพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด

“บรรพบุรุษของผมหลอกเงือก....เขาหลอกเงือกตัวนั้นให้หลงรักเพื่อที่จะให้หล่อนเขียนแผนที่นี้ขึ้นมา...หลังจากนั้นเขาก็ไปมีผู้หญิงคนอื่น เงือกตัวนั้นพอรู้ความจริงก็เลยใช้คำสาปกับเขาพร้อมกับใช้เลือดเขียนอักขระซ่อนแผนที่นั่นเอาไว้.....ส่วนผมก็คือลูกหลานที่ต้องรับเคราะห์”

นายเวอร์นอนเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ

“นายเองก็ฉลาดเหมือนกันนี่....เดาได้เกือบถูก...บรรพบุรุษของนายคนนั้นหลอกเงือกให้เขียนแผนที่ไปดินแดนสวรรค์ให้ หลังจากนั้นเขาก็วางยาคิดจะฆ่าเงือกตัวนั้นแต่น่าเสียดายจริงๆที่เขาไม่บรรลุความหวังของตัวเอง แถมถูกคำสาปเสียอีก”

เสียงตบมือดังมาจากด้านหลัง เฟอดินานยืนยิ้มอยู่ นายเวอร์นอนทำท่าไม่ได้สนใจอะไร

“ถึงตระกูลกิลกาเมซของเราจะหลอกลวงคนอื่นให้ล้มละลาย..แต่คงจะสู้ตระกูลซิลเวอร์สโตนไม่ได้แน่..ที่เชี่ยวชาญด้านหลอกลวงผู้หญิง..ทั้งบรรพบุรุษของนายทั้งพ่อของนาย”

เฟอดินานยังไม่ทันพูดจบ ชลทิศก็พุ่งตัวเข้าไปหาด้วยความเร็ว เขาต่อยร่างใหญ่ด้วยกำลังทั้งหมด บอร์ดี้การ์ดยืนตะลึงอยู่ด้านหลัง จนเมื่อเฟอดินานถูกต่อยล้มกลิ้งไปนั่นแหละ พวกเขาจึงโถมเข้าไปจับตัวชลทิศ

เขาเกลียดคนพวกนี้! ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยรู้สึกรังเกียจใครมากเท่านี้มาก่อน

“ชั้นไม่ยอมร่วมมือกับพวกนายแน่!?” ชลทิศตะโกนพร้อมหลบหลีกมือเท้าของบอร์ดี้การ์ด แต่ในที่สุดก็ถูกจับยึดเอาไว้ แต่ก็เล่นงานจนพวกนั้นบาดเจ็บกันเป็นแถว เขายืนหอบตัวโยน

เฟอดินานลุกขึ้นยืน ยกมือขึ้นเช็ดเลือดมุมปาก สายตาเต็มไปด้วยความโกรธ ขณะที่กำลังจะเข้าไปหาชลทิศที่ถูกจับไว้ก็ถูกเสียงชราภาพขัดไว้เสียก่อน

“เฟอดินาน...พอได้แล้ว ชั้นบอกไม่ให้แกมายุ่ง แกออกไปจากห้องเดี๋ยวนี้” นายเวอร์นอนสั่งหลานชาย เฟอดินานสะบัดหน้าเดินออกอย่างไม่พอใจ

นายเวอร์นอลหันมาทางชลทิศพูดด้วยเสียงนุ่ม

“หลานชั้นมันก็แบบนี้ ไม่มีพ่อแม่สั่งสอนเลยออกจะไร้อารมณ์พูดจาขวานผ่าซากไปหน่อย แถมบางทีก็โง่ในบางเรื่อง แต่นายท่าจะฉลาดกว่ามันนะ...น่าจะรู้ว่าถ้าไม่ร่วมมือกับเราจะเกิดอะไรขึ้น”

ชลทิศขนลุก ใช่สิ เฟอดินานยังเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรงไหนจะมาสู้กับเสือแก่แต่ยังไม่ยอมถอดเขี้ยวเล็บอย่างนายเวอร์นอนนี่ล่ะ ชลทิศนิ่งเงียบไปจนในที่สุดเขาพยักหน้าช้าๆ

“ผมขอข้อแม้...คุณจะต้องไม่ทำร้ายครอบครัวของผมญาติพี่น้องของผมและคนที่เกาะทั้งหมด และอีกอย่างต้องให้ผมพักห้องเดียวกับดีเร็กตั้งแต่คืนนี้”

“ถ้าเธอฉลาดพูดจารู้เรื่อง ชั้นก็ไม่เห็นความจำเป็นต้องไปเสียเวลาที่อื่นข้อตกลงแค่นั้นไม่มีปัญหาสำหรับชั้นอยู่แล้ว” นายเวอร์นอนยิ้มปากกว้างอย่างถูกใจ

***** 

ชลทิศย้ายไปอยู่ห้องเดียวกับดีเร็กในคืนนั้น แต่ดีเร็กกลับพยายามหลบสายตาของน้องชายตลอด จนชลทิศทนไม่ไหว

“พี่ !! พี่เกลียดผมนักหรือ จนแค่หน้าก็ไม่อยากมอง” เขาตะโกนออกมา จนดีเร็กสะดุ้ง

“ไม่ใช่..พี่บอกแล้วไงพี่เกลียดตัวเอง” ดีเร็กตอบเสียงสั่น

“งั้นพี่ก็อย่าหลบหน้าผมได้ไหม ผะ...ผมเหงานะ...” ชลทิศเริ่มพูดเสียงสั่น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเก็บกดออกมาอยากจะระบายออกไป เขาต้องการครอบครัว ต้องการความรักจากใครสักคนที่จะปลอบประโลมหัวใจ

แนะนำติชมได้ที่บอร์ดนิยายนะคะ...................
www.clik.to/miracle
1