Miss independent
คำสาบเงือก

คำสาปเงือก

ตอนที่ 14 พบกันอีกครั้ง

เขาอยู่บนเรือใหญ่ลำนี้เกือบสองอาทิตย์แล้ว...เดินทางทั้งวันทั้งคืนแทบไม่มีหยุด.. สัญชาติญาณของชลทิศบอกว่าคงอีกไม่นานเขาก็จะถึงดินแดนสวรรค์ ระยะนี้เฟอดินานกางแผนที่คุยกับกัปตันเรือบ่อยขึ้น ถกเถียงกันจนต้องกระชากแผนที่ขึ้นมายันกันดู ชลทิศเองก็พยายามทำเป็นไม่สนใจ เขาคิดถึงนาฟ..แต่ไม่ใช่ด้วยความรังเกียจ...ในแง่กลับกัน..ตอนนี้เขากลับเป็นห่วงชายคนนั้น ช่วงที่เขาหนีหายจากเกาะไปนาฟถูกลงโทษหรือเปล่า..ถูกทรมานเพราะเขาบ้างหรือเปล่า?
เสียงพายุพัดโหมแรง แม้เป็นเรือใหญ่ก็ยังโคลงเคลงไปตามคลื่น ตลอดการเดินทางพายุครั้งนี้นับว่าแรงที่สุดที่พวกเขาเคยเจอ เสียงฝนตกดังจนแทบไม่ได้ยินเสียงคุย น้ำฝนสาดซึมเข้ามาตามขอบหน้าต่าง
หมอซิซิเลียแทบไม่ได้ออกมาจากห้องของนายเวอร์นอนเลย เธอต้องคอยดูแลชายแก่แทบจะทุกวินาที เฟอดินานจึงเป็นคนจัดการเรื่องทุกอย่าง ดีเร็กรู้จากหมอสาวแล้วว่า..นายเวอร์นอนนั้นถึงแม้จะเป็นคนแก่ที่แข็งแรงสุขภาพดีก็ตาม แต่ร่างกายย่อมอ่อนแอเนื่องจากสังขารที่ร่วงโรยไปตามกาลเวลา แล้วทำไมถึงยังต้องเสี่ยงเดินทางมาแบบนี้ด้วยนะ..อาจจะตายไปเสียก่อนที่จะได้เจอดินแดนสวรรค์อะไรนั่นอีก

“อึ๊ก...อออ..อ๊วก...อุ๊บ....แหวะ...แหวะ” เสียงอาเจียนดังขึ้นจากร่างสมส่วนที่กำลังโก่งคออยู่หน้ากระโถน ร่างบางอีกร่างยืนลูบหลังให้อย่างเป็นห่วง
“กลั้วคอหน่อยไหม...ค่อยยังชั่วรึยัง” ดีเร็กลูบหลังให้น้องชาย เขาเองก็งงเหมือนกัน อยู่บนเรือมาตั้งหลายวัน ชลทิศไม่เคยเมาเรือ ถึงตอนนี้คลื่นจะแรงแต่ก็น่าจะคุ้นเคยได้แล้ว แถมน้องชายยังใช้ชีวิตอยู่กับทะเลมาตั้งหลายปี
ชลทิศหน้าซีด...เขาอ่อนเพลียไปหมด...ไม่ใช่เพราะเมาเรือ แต่เพราะความกลัวและความเครียดทำให้เขาหมดท่า เรือลำใหญ่กับพายุฝนทำให้เขานึกถึงวันนั้นที่ตกจากเรือ เป็นความกลัวฝังอยู่ในใจเขาเสียมากกว่า
“ผมไม่เป็นไรแล้วพี่...ขอนอนพักสักหน่อยก็หาย” ชลทิศทรุดตัวอย่างหมดแรงบนเตียง ดึงผ้าห่มขึ้นคลุม เขางีบไปได้ไม่นานเท่าไหร่ก็สะดุ้งตื่นจากเสียงเปิดประตูอย่างไร้มารยาท
ร่างสูงใหญ่ในเสื้อรัดรูปกับกางเกงผ้าหนาสีเขียวขี้ม้าเดินเข้ามา ในมือถือกล่องใสแบนๆมากล่องหนึ่ง ไม่พูดพล่ามทำเพลง เขาเดินดิ่งไปที่ร่างที่นอนพักอยู่บนเตียง ฉุดลงอย่างไรความปราณี ดีเร็กอุทานอย่างตกใจ
“มากับชั้นเดี๋ยวนี้” เสียงพูดออกคำสั่งลากชลทิศให้เดินตาม คลื่นกระแทกเข้ากราบเรือทำให้ร่างแทบล้ม ชลทิศเซไปกระแทกผนังห้อง
“เขาไม่สบายอยู่นะ...อย่ารุนแรงกับอัลนักสิ” ดีเร็กพูดเสียงเข้ม เฟอดินานมองหน้าตุ๊กตาของเขาอย่างแปลกใจ นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่ดีเร็กต่อว่าเขาก็ได้ เขายักคิ้วนิดหนึ่ง
ชลทิศขยับตัวพยายามลุกขึ้น เขาปวดหัวแทบจะระเบิด..อาการคลื่นเหียนกลับมาอีกครั้ง
“นายต้องมากับชั้น...พวกเราถึงที่หมายแล้ว!!!” เฟอดินานตะคอกขณะเดินจ้ำพรวดๆไปที่ชลทิศ
“ต่อไปนี้เป็นหน้าที่ของนายที่ต้องเปิดประตู!!!!”


ประตู ประตูที่เปิดทางไปสู่ดินแดนแห่งสวรรค์ อักขระที่จารึกบนกระดาษที่ทุกคนเฝ้าแย่งชิง...ท่ามกลางฝนฟ้ากระหน่ำนี่นะ.!! ถึงแม้เป็นเวลากลางวันแต่ฝนยังตกไม่ลืมหูลืมตา เสียงฟ้าร้องดังลั่นกระหน่ำแก้วหู พยายามถ่างตามองเท่าไหร่ก็ไม่สามารถเห็นพื้นที่ในระยะหนึ่งเมตรได้ชัด ดีเร็กรู้สึกเจ็บใบหน้ายามที่เม็ดฝนสาดซัดถูก แต่เขาก็ยังวิ่งตามเฟอดินานที่กึ่งวิ่งกึ่งลากชลทิศตามไปติดๆ
เขาพยายามมองไกลออกไป นี่นะ !!ที่หมาย!! ไม่ว่าจะเพ่งมองยังไงเขาก็เห็นแต่ทะเลสุดลูกหูลูกตา ไม่มีเกาะ..ไม่มีอะไรสักอย่าง เมฆดำทะมึนทั่วฟ้า คลื่นแรงสูงเกือบเท่าตัวเรือ
“อันตรายนะครับ...ไปดาดฟ้าเวลานี้..อาจจะถูกคลื่นพัดตกเรือไปก็ได้..คลื่นสูงมากเลยนะครับ” เสียงกัปตันเรือตะโกนผ่านหน้าต่างห้องเคบิน แต่ก็เปรียบเหมือนเสียงคลื่นในทะเลที่ไม่มีใครสนใจ

แต่ก็เพราะเสียงดังนี่แหละ..ที่ทำให้ทุกคนบนเรือไม่รู้สึกถึงร่างหลายร่างที่กำลังว่ายตรงเข้ามา เงาดำเหล่านั้นว่ายเข้ามาชิดท้องเรือ เชือกกับตะขอเกี่ยวถูกขว้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ปีนป่าย พวกเขาเคลื่อนไหวตัวด้วยความรวดเร็วท่ามกลางพายุ ภายในเวลาไม่กี่นาทีหก็สามารถขึ้นมาบนเรือได้
เฟอดินานลากชลทิศไปยืนติดกับกราบเรือ ยื่นกล่องแบนๆไปทางด้านหน้าร่างบางที่ทำท่าพะอืดพะอม
“ได้เวลานายจะต้องอ่านอักขระพวกนี้แล้ว!!” เฟอดินานยืนหันหลังใช้ร่างกำยำของตัวเองบังเม็ดฝนที่สาดซัดลงมาให้เบาบางลงบ้าง
แผนที่ถูกเก็บไว้ในกล่องกระจกกันน้ำอย่างดี แม้ฝนตกหนักก็ไม่เป็นปัญหาเรื่องเปียก..ชลทิศก้มมองแผนที่เจ้าปัญหา ตัวเกร็ง
“ทำไมจะต้องอ่านตอนนี้ด้วย..รอให้ฝนหยุดก่อนก็ได้นี่” ร่างบางเถียง รู้สึกหัวหมุนไปหมด
เพียะ!! หลังมือฟาดใส่ใบหน้า ไม่หนักนักแต่ก็ทำเอาเลือดออกมุมปากซิบๆ
“แกไม่รู้อะไร..ทะเลแถบนี้ไม่เคยสงบ เป็นจุดอับของนักเดินเรือ...แกจะต้องอ่านเดี๋ยวนี้แหละ..ก่อนที่ชั้นจะรำคาญนายมากไปกว่านี้”
ชลทิศได้แต่เช็ดเลือดมุมปาก..กัดฟัน เอื้อมมือไปจับแผนที่


“มันจะเป็นไปได้ไง..ดินแดนสวรรค์อะไรจะอยู่กลางทะเลเวิ้งว้างว่างเปล่าแบบนี้ มีแต่พายุนรกละสิไม่ว่า” เสียงกัปตันเจเรอมี่สบถออกมา เขาเถียงกับเจ้านายคนนี้หลายครั้งแล้วเรื่องสถานที่ ไม่มีเกาะแก่งอะไรทั้งนั้น แถมทะเลแถบนี้ไม่ค่อยจะมีคนอยากมาเท่าไหร่เนื่องจากมรสุมตลอดปี..ไม่ว่ามาครั้งใดจะต้องมีฝนตกหนัก ยิ่งถ้าเป็นเรือลำเล็กอาจจะถูกพัดล่มก็เป็นได้ แล้วไหนละ..สวรรค์ !! ถ้าตายไปละก็รับรองถึงสวรรค์ทุกคนแน่ๆ
ดีเร็กไม่ได้วิ่งตามออกไปจนถึงดาดฟ้าตรงที่ทั้งสองคนยืนอยู่ เขาทานพายุไม่ไหวจนต้องเอาหลังพิงกับผนังห้องเคบินของกัปตันพร้อมกับเอามือยึดจับผนังไว้แน่น สายตาเขาเหลือบเห็นเงาตะคุ่มๆ หลายคนวิ่งผ่านไปอีกด้านหนึ่งของกราบเรือ
“เฮ้..พวกนายนะ..ชั้นเตือนแล้วไงว่าให้อยู่แต่ในห้อง...ทอดสมอเสร็จแล้วไม่ใช่รึ..ฝนตกอย่างนี้หล่นไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้นะ” กัปตันตะโกนเตือนด้วยเสียงอันดังฝ่าเสียงฝน เขาเดินออกมาเพื่อขอให้ดีเร็กที่ยืนอยู่ด้านนอกเข้าไปในห้องเช่นเดียวกัน ส่วนคนบ้าที่ไม่กลัวตายเขาก็ไม่อยากจะพูดให้เสียน้ำลายหรอก
เงาตะคุ่มๆที่เห็นทำท่าตกใจก่อนจะกระจายแยกย้ายกันออกไป กัปตันวัยกลางคนขมวดคิ้ว ลางสังหรณ์ประหลาดแวบขึ้นมา เขาล้วงมือไปในอกเสื้อก่อนจะหยิบปืนพกกระบอกเล็กออกมาถือไว้ในมือ
“เกิดอะไรขึ้นครับ กัปตัน” ดีเร็กถามอย่างแปลกใจในอาการของคนตรงหน้า
กัปตันส่งสัญญาณให้ดีเร็กหลบไปด้านหลัง ก่อนจะพยายามเดินช้าๆ ฝ่าพายุฝนไปตรงจุดที่เห็นเงาคน
“.....” เมื่อกัปตันเดินมาถึงก็ไร้ร่องรอยของใคร ดีเร็กพยายามเดินตาม
“เอ่อ...ทำไมหรือครับ” ดีเร็กถามซ้ำ กัปตันถอนหายใจ
“คุณเห็นเงาคนเหมือนผมหรือเปล่า...ถ้าเป็นลูกน้องผม..ผมว่าพวกเขาทำท่าลับๆ ล่อๆ แปลกไปนะครับ..แต่จะว่าเป็นคนอื่นก็ไม่น่า..หรือว่าผมตาฝาด”
“..ผมก็เหมือนจะเห็นเงาคนสองสามคนนะครับ” ดีเร็กบอกยืนยัน
กัปตันเจเรอมี่เดินต่อไปที่ข้างเรือ หันมองสภาพรอบตัว..ก้มลงมองท้องทะเล แต่แล้วเขาก็ครางออกมา
“โอออ...พระเจ้า!!! เป็นไปไม่ได้”
ดีเร็กรีบเดินไปหากัปตัน ก่อนจะตกตะลึงกับภาพที่เห็นไปด้วย เชือกเส้นใหญ่ปลายติดตะขอเกี่ยวติดอยู่กับราวเหล็กทอดลงสู่ท้องทะเล เชือกโยนไปตามแรงลม แกว่งไกวอยู่ราวกับงูที่กำลังเลื้อย
มีคนนอกปีนขึ้นมาบนเรือลำนี้!! จากสภาพที่เห็นคงจะต้องบอกแบบนี้แน่นอน แต่ว่าใครละที่ปีนขึ้นมาบนเรือที่กำลังทอดสมออยู่ท่ามกลางทะเลเวิ้งว้างแบบนี้ได้ แถมกลางพายุพัดกระหน่ำ!!
‘มาดีไม่มา มาร้ายถึงมา’ ไม่ต้องมาเสียเวลาคิดว่าใครหรือตัวอะไรขึ้นมาจากทะเลแล้ว..กัปตันเรียกสติคืนมาก่อนจะ เดินไปตามทางด้วยความระมัดระวังมากขึ้น
พับผ่าสิ..!!! เขาไม่อยากจะคิดอะไรอีกแล้ว มีแต่เรื่องปวดเศียรเวียนกบาลมาให้เขา..
“คุณดีเร็กมีอาวุธป้องกันตัวบ้างไหม..” กัปตันถามขึ้น ร่างบางส่ายหัว..
“งั้นคุณเดินตามหลังผมไปข้างในห้องท้องเรือก็แล้วกัน” กัปตันคิดสักพักก่อนจะเดินนำไปเปิดประตู

ดีเร็กเดินตามกัปตันร่างใหญ่ไปติดๆ เขาพอรู้สึกได้ถึงบรรยากาศตึงเครียด ห้องแรกของทางเดินเป็นห้องพักพนักงานประจำเรือสามคน กัปตันแนบหูเข้ากับประตูเหล็ก ไร้เสียงใดๆ ในห้อง เขาลังเลก่อนจะผลักเข้าไป
ประตูเหล็กหนาถูกผลักออกอย่างง่ายดาย
“อุ๊บ..!!” เสียงดีเร็กอุดปากตัวเองไว้ก่อนจะกรีดร้องกับภาพที่เห็น แน่นอน พนักงานประจำเรืออยู่ในห้องตามคำสั่งของกัปตันครบ แต่เป็นร่างที่ไร้ชีวิต คนหนึ่งศีรษะตกห้อยจากเตียงลงมาที่พื้น ผ้าปูที่นอนสีขาวแดงไปด้วยเลือด อีกคนนอนคว่ำจมกองเลือดอยู่ เท่าที่ดูพวกเขาถูกแทงขณะยังหลับไม่ทันได้ตอบโต้ ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ นับจากเวลาที่กัปตันเห็นเงาคนจนกระทั่งเดินมาถึงนี่ไม่เกินสิบห้านาทีเท่านั้น ช่างเป็นการฆ่าที่รวดเร็วแล้วไร้ความปราณีจริงๆ
อย่างน้อยตอนนี้พวกเขาทั้งหมดก็รู้แล้วว่า..มีศัตรู....ศัตรูที่กำลังคืบคลานเข้ามา ศัตรูที่พวกเขาไม่รู้ว่าเป็นใคร ศัตรูที่อยู่ในความมืด ราวกับปิศาจที่มาจากท้องทะเล
กัปตันเจเรอมีไม่ได้หันกลับมามองลูกเรืออีก..เขาแทบจะวิ่งออกจากห้องตรงไปสำรวจห้องอื่นๆ ในท้องเรือ ทุกห้องจะเป็นแบบเดียวกันหรือเปล่า..ลูกเรือของเขาสองคนมีแต่ร่างไร้ชีวิตนอนกองอยู่ในห้อง ทั้งสองคนติดสอยห้อยตามเขามานานปี.....ถ้าเจอไอ้คนฆ่าล่ะก็..เขาจะยิงมันไม่ให้เหลือซากเลยเชียว
เขาเองก็เคยประสพมาหมดแล้ว...ทั้งโจรสลัดดุร้ายท่ามกลางทะเลทั้งผู้ว่าจ้างหัวรุนแรง..แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกตื่นกลัวที่สุด
ดีเร็กพยายามเดินตามกัปตันเจอเรอมี่ไปติดๆ ห้องลูกเรือมีหลายห้องแต่ส่วนใหญ่จะเป็นห้องเปล่าๆ เพราะการเดินทางครั้งนี้ของเฟอดินานไม่ใช่เดินทางท่องเที่ยว..ดังนั้นจึงมีพนักงานประจำเรือไม่กี่คน นอกจากบอดี้การ์ดร่างใหญ่ที่เฟอดินานจ้างมาสิบกว่าคน ก็เหลือแค่เพียงพนักงานทำความสะอาดกับพ่อครัวที่ไม่มีอาวุธติดตัวเท่านั้น
เปรี้ยง!! เปรี้ยง!! เสียงปืนดังขึ้นสองนัดติดๆ กันจากทางด้านหน้า กัปตันวิ่งตามเสียงปืนไปอย่างรวดเร็ว แน่นอน..ผู้ติดตามของเฟอดินานคงจะรับรู้ถึงศัตรูที่ลักลอบเข้ามาแน่ๆ พวกนั้นมีฝีมือคงไม่จนมุมง่ายๆหรอก ไม่งั้นจะจ้างให้เสียเงินทำไม
พวกเขาวิ่งตามเสียงจนไปถึงห้องรับแขกใหญ่ กัปตันรีบยืนป้องกันดีเร็กไว้ ข้าวของหลายอย่างล้มระเนระนาด โต๊ะเก้าอี้ยังอยู่ที่เดิมเพราะยึดหมุดไว้กับพื้นเรือ ได้กลิ่นดินปืนจางๆ ในอากาศ ภายในห้องเต็มไปด้วยบรรยากาศตึงเครียด บอดี้การ์ดคนหนึ่งนอนคว่ำหน้าอยู่กับพื้น มีหอกยาวปักตรึงอยู่กลางหลัง ส่วนอีกสองคนยืนถือปืนตั้งท่าอยู่ สายตามองไปรอบๆห้อง ไม่เห็นร่างของศัตรู แต่มีรอยเลือดหยดเป็นรอยอยู่ที่พื้น
เสียงฝีเท้าของดีเร็กและกัปตันทำให้ชายที่ยืนอยู่คนหนึ่งสะดุ้งหันปืนมาทางพวกเขา กัปตันชะงักก่อนจะรีบยกมือเตือนให้รู้ว่าพวกเดียวกัน เขาถอนหายใจก่อนจะพยักเพยิดให้ดีเร็กและกัปตันเดินเลียบๆไปทางอื่น
“ออกมาซะเถอะ..พวกแก..ไม่มีปืนแท้ๆ ดันกล้าขึ้นมาบนเรือ ถ้ายังไม่อยากตายก็รีบๆออกมา” ชายร่างใหญ่ตะโกนเสียงดังก้องไปทั่วห้อง..
สายตาของทุกคนมองไปหลังเก้าอี้ที่ถูกผ้าปูโต๊ะคลุมไว้ มีรอยเลือดเป็นทางด้านนอก ‘ผู้บุกรุก’ ต้องบาดเจ็บแล้วแน่ๆ ผ้าคลุมขยับขึ้นเบาๆ หอกปลายแหลมถูกเขวี้ยงออกมาด้วยกำลังแรง เฉียดข้างกายกัปตันเจอเรมี่ไปนิดเดียว ช่วงขณะที่ทุกคนกำลังตะลึง ร่างที่หลบซ่อนอยู่รีบวิ่งออกไปตรงไปที่ประตู เสียงปืนดังขึ้นอีกนัด ไม่ถูกแต่ก็หยุดชะงักผู้บุกรุกสองคนที่กำลังจะหนีได้
ดีเร็กแทบจะช็อกกับสิ่งที่เห็น มนุษย์สองคน..ไม่ใช่สิ..สิ่งมีชีวิตสองร่างที่รูปร่างเหมือนคน..แต่ว่า..มีดวงตาสีแดงฉานกำลังมองมาที่พวกเขา สีแดงเลือด!!! พวกเขาแต่งตัวประหลาด..ร่างท่อนบนไม่ได้สวมเสื้อผ้า ส่วนท่อนล่างใส่กางเกงผ้าธรรมดาสีเข้ม รองเท้าก็ไม่สวม หนึ่งในสองนั้นบาดเจ็บที่แขน เลือดไหลเป็นทาง
“โอ........พระเจ้า..........”กัปตันเจเรอมี่อุทานออกมา พร้อมยกมือทำท่าไม้กางเขนราวกับเจอปิศาจร้าย

“ไอ้พวกปิศาจ..” บอดี้การ์ดร่างใหญ่คนนึงเตรียมลั่นไก
“......” เสียงพึมพำภาษาประหลาดดังขึ้น มือของผู้บุกรุกตวัดในอากาศอย่างรวดเร็วคล้ายกับเขียนหนังสืออะไรสักอย่าง ก่อนจะทำท่าผลักไปข้างหน้า ราวกับพลังไร้สภาพ บอดี้การ์ดที่เตรียมลั่นไกกระเด็นไปกระแทกผนังที่ห่างไปเกือบสามเมตรทันที
ผู้บุกรุกรีบวิ่งออกไปทางประตู
ดีเร็กและกัปตันรีบวิ่งตามออกไป ฝนด้านนอกซาลงไปมาก ไม่มีเค้าเมฆฝนก่อตัวให้เห็น กัปตันได้ยินเสียงน้ำแตกกระจาย..เขาชะโงกหน้าไปดูก็เห็นแต่เพียงรอยของคลื่นน้ำที่ถูกกระแทก ไม่หลงเรือร่องรอยของผู้บุกรุกอีก
บอดี้การ์ดที่เหลือวิ่งตามมา บางคนหน้าซีดเซียวด้วยความตกใจ
“พวกนั้น!!!...”
“สองคนนั่นกระโดดลงทะเลไปแล้ว..” กัปตันเจเรอมี่รายงาน
“เป็นไปได้ไง นี่มันกลางทะเลลึกนะ...แถมรอบข้างไม่มีอะไรอีก..โดดลงทะเลก็เท่ากับไปตายแท้ๆ!!!”

“พวกเขาไม่ตายหรอกน่า...ก็ในเมื่อเขาขึ้นมาจากทะเล..ถ้าจะกลับ..กระโดดลงทะเลก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”กัปตันพูดแทรก
“พวกนั้นเป็นปิศาจชัดๆ ใครที่ไหนจะเป็นแบบนั้น แถมยังภาษาแปลกๆ นั่นอีก” บอดี้การ์ดคนหนึ่งร้องขึ้น

“เงือก...พวกนั้นเป็นเงือกต่างหาก” เสียงดังออกมาจากปากดีเร็กที่เงียบเกือบตลอด ทุกคนหันหน้าไปมอง
“เงือกต้องมีหางเป็นปลาไม่ใช่เหรอไง นี่ก็มีสองแขนสองขาเหมือนกับคนทั่วไปนี่” เสียงคนบางคนไม่เห็นด้วย
“แล้วเงือกมีหางเป็นปลาคุณเคยเห็นหรือไง” ดีเร็กพูดเรียบๆ ไม่ได้มองหน้าใคร


“..เอล...เมอร์...รีอาลา..” เสียงพึมพำภาษาแปลกๆ ดังออกมาจากปากสีซีด ชลทิศอ่านอักขระไปตามวิธีที่เคยรู้จากนาฟ เขาไม่อยากเชื่อ..มันได้ผลจริงๆ
ลมพายุรุนแรงเริ่มสงบลง ฝนก็เริ่มเบาบาง ท้องฟ้าที่มืดครึ้มเมื่อสักครู่เริ่มมีแสงส่องลงมา เมื่อชลทิศอ่านจนถึงบรรทัดสุดท้าย สิ่งที่ทำให้เขาอ้าปากค้างก็เกิดขึ้น
เมฆบนท้องฟ้าแหวกออกเป็นช่อง แสงสว่างส่องลงมากระทบกับทะเลสีฟ้าเข้มกลายเป็นเส้นทางสีเงินส่องประกายระยิบระยับทอดยาวบนท้องทะเล และที่สุดปลายของถนนแห่งแสงนั่นมีเงาลางๆ ของ.....
“เกาะ!!!”
“โอ..มีเกาะอยู่ตรงนั้นจริงๆ!!”
เสียงดังเซ็งแซ่จากกลุ่มคนด้านหลังดีเร็ก นี่ถ้าเขาไม่เคยได้ยินน้องชายเล่ามาก่อนละก็..เขาเองก็คงจะเก็บอาการไว้ไม่อยู่แน่ๆ
“ไม่น่าเชื่อ..เกาะนั้นไม่น่ามีอยู่จริง!! มันไม่มีในแผนที่โลกไหนๆเลยนี่” กัปตันเจเรอมีอ้าปากค้างกับสิ่งมหัศจรรย์ที่เขาได้เห็นในวันนี้
“งั้นบางทีผู้บุกรุกสองคนนั่นคงมาจากเกาะนี้แน่” กัปตันเปรยออกมา เขาเดินเข้าไปใกล้กราบเรือเพื่อชะโงกมองให้ชัด
“ใครบอกสอง..สามต่างหาก พวกนั้นมากันสามคน” บอดี้การ์ดคนหนึ่งอุทานออกมา
“ผมก็เห็นสามนะ..เรายิงบาดเจ็บไปสองคน” อีกคนพยักหน้า
“แต่พวกเขากระโดดลงน้ำไปสองคนไม่ใช่หรือ”
ดีเร็กขมวดคิ้ว
“แล้วอีกคนหนึ่งล่ะ!!”

แนะนำติชมได้ที่บอร์ดนิยายนะคะ...................
www.clik.to/miracle
1