Peebee

Message in the bottle

ตอนที่ 1

ครืน..ครืน...เสียงคลื่นทะเลซัดเข้าสูชายหาด ฟองคลื่นสีขาวแตกกระจาย...นกทะเลบินวนเวียนหาเหยื่ออยู่ริมหน้าผาใกล้ๆ ยามเช้าตรู่ขนาดนี้ท้องทะเลยังไร้นักท่องเที่ยว ถ้ามองไปไกลแถบกลางทะเลที่พอยืนถึงก็จะเห็นชาวประมงท้องถิ่นเดินทอดแหหาปลาอยู่ ร่างเล็กๆร่างหนึ่งในมือถือถุงกระสอบใบใหญ่เดินเลียบชายหาดก้มๆเงยๆหยิบสิ่งของที่ลอยขึ้นมาติดหาด บางครั้งบางคราวจะมีเปลือกหอยสวยงามซึ่งพอขายได้ในหมู่นักท่องเที่ยว หรือไม่ก็บางทีเศษขวดหรือพลาสติกที่พอขายได้เงินไม่กี่เศษตังค์
นี่เป็นกิจวัตรประจำวันของมิเกลที่เขาต้องเดินออกมาเก็บเปลือกหอยริมหาดเพื่อเอาไปขายจุนเจือครอบครัว เกาะแห่งนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยว แต่ก็มีบางช่วงฤดูมรสุมที่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเท่าไหร่ ครอบครัวของมิเกลมีฐานะค่อนข้างยากจน พ่อเขาเป็นชาวประมง ส่วนแม่ปีนี้ก็เจ็บออดๆแอดๆ เงินที่ได้มาก็หมดไปกับค่ายารักษามารดา ตัวเขาเองเพราะมัวแต่ช่วยบิดาหลังจากกลับจากหาปลาและดูแลงานบ้านจึงไม่ค่อยได้ไปโรงเรียนเท่าไหร่ ยังดีที่บาทหลวงประจำเกาะเจียดเวลามาสอนเขาอ่านเขียนบ้าง
"หวัดดี มิเกล เป็นไงบ้างล่ะ...วันนี้ได้อะไรดีๆบ้างไหม" เสียงทักจากลุงจอห์นผู้ซึ่งหาปลาอยู่ริมหาด
"ยังเลยลุง...วันนี้ไม่ค่อยมีอะไรดีๆมาติดหาดเลย ได้เปลือกหอยไม่กี่ชิ้นเอง" มิเกลตอบพร้อมกับจับถุงกระสอบโชว์ให้ลุงดู
"เออ..มันก็ยังงี้แหละวะ ทะเลนะ เอาแน่นอนไม่ได้ บางทีก็ดีบางทีก็ร้าย เหมือนผู้หญิงแหละ" ลุงจอห์นพูดยิ้มๆ "แล้วแม่เอ็งล่ะ อาการดีขึ้นบ้างไหม"
"ก็ยังไออยู่เรื่อยๆ บางทีก็ปวดท้อง พ่อว่าจะเอาแม่ไปรักษาโรงพยาบาลใหญ่ๆสักที แต่ว่ายังไม่มีเงินเลย" มิเกลตอบเสียเศร้า ลุงจอห์นได้แต่ถอนหายใจโบกมือลาก่อนหันกลับไปทำงานต่อ
มิเกลเดินหาเปลือกหอยอยู่ริมหาดต่อจนเริ่มสาย ตะวันทอแสงแรงขึ้นเรื่อยๆ มิเกลเองก็เริ่มล้าจากการเดินระยะทางค่อนข้างไกล วันนี้เขาได้เปลือกหอยน้อยกว่าปกติ นับว่าเป็นโชคร้ายของเขา...ก่อนที่มิเกลจะตัดสินใจกลับบ้าน สายตาเขาเหลือบไปเห็นประกายสีเขียวสะท้อนขึ้นมาจากผืนทราย เขาเดินเข้าไปดูก็พบขวดแก้วสีเขียวที่ปากขวดปิดด้วยจุกค็อกแถมอุดด้วยกาวอย่างดีจมทรายลงไปกว่าครึ่ง มิเกลลงมือขุดเพื่อหยิบขวดนั้นขึ้นมา เขาพบว่าภายในขวดแก้วนั้นบรรจุด้วยม้วนกระดาษอยู่ภายใน ดวงตาของมิเกลทอประกายตื่นเต้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเด็ก ตัวอักษรที่ปรากฏอยู่บนม้วนกระดาษดูเหมือนจะเป็นภาษาอังกฤษ แต่เขาอ่านไม่ออก มิเกลจึงตัดสินใจที่จะนำขวดนั้นไปหาบาทหลวงที่โบสถ์...
ระหว่างที่มิเกลถือขวดแก้วเดินขึ้นเนินเพื่อที่จะไปหาท่านบาทหลวงนั้น เขาก็เห็นร่างคุ้นตาของชายหนุ่มผมทองคนหนึ่งยืนถ่ายรูปอยู่ มิเกลยิ้มด้วยความดีใจ
"กาเร็ท!!" เขาตะโกนเรียกร่างสูง ร่างสูงสะดุ้งในตอนแรกก่อนที่จะหันมามองเขาแล้วส่งยิ้มให้ มิเกลวิ่งเข้าไปหากาเร็ท ทั้งสองคนกอดกันกลม
"มาที่ซานต้า มาเรียทั้งที ทำไมไม่ไปหาผมเลยล่ะ ผมนั่งนับนอนนับรอวันที่กาเร็ทจะมา..." ร่างเล็กพูดงอนๆแบบน้อยใจ เขาพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่ยังติดสำเนียงท้องถิ่นอยู่มากแต่กาเร็ทก็ฟังเข้าใจ
"ชั้นเพิ่งมาถึงเมื่อวานนี้เอง..วันนี้ตื่นแต่เช้าก็ว่าจะออกมาถ่ายรูปก่อนแล้วว่าจะไปหามิเกลนี่แหละ" ชายร่างสูงกว่าอธิบาย เขาลูบหัวร่างเล็กอย่างเอ็นดู กาเร็ทเป็นช่างภาพอิสระ เขาเดินทางไปทั่วโลกเพื่อถ่ายรูปทิวทัศน์และสัตว์ป่า แต่ที่ที่ประทับใจกาเร็ทที่สุดก็คือที่ซานต้า มาเรียแห่งนี้ เขาจึงตัดสินใจจะมาพักที่ซานต้า มาเรียทุกปี ปีละประมาณสี่ถึงห้าเดือนก่อนที่จะออกเดินทางไปทำงานที่เขารักต่อ ที่จริงคงจะบอกได้อีกอย่างว่าเจ้าหนูร่างเล็กน่ารักนี่ก็มีส่วนทำให้เขามาที่นี่ทุกปี เขารู้จักมิเกลเมื่อประมาณหกปีที่แล้ว ตอนนั้นมิเกลอายุแค่เก้าขวบแต่ก็ซนแสบอย่าบอกใครก่อกวนเขาตอนถ่ายรูปตลอด ยามนี้มิเกลโตขึ้นจากตอนนั้นมาก ร่างเล็กน่ารักขึ้นทุกปีที่เขาเห็น
"กาเร็ทผอมลงนะฮะ...ผมว่า" มิเกลสำรวจเพื่อนเก่า "แต่ก็ยังสวยเหมือนเดิม"
"แน้...กับผู้ชายเขาไม่ใช้คำว่าสวยนะ ต้องบอกว่า หล่อ มากกว่าจะดีใจมากเลย" กาเร็ทติงเพื่อนตัวเล็ก
"แต่ผมว่ากาเร็ทสวยมากกว่าหล่อนะฮะ...ยิ่งผอมลงแบบนี้ยิ่งเหมือนผู้หญิงใหญ่เลย"มิเกลยังเถียงอยู่
กาเร็ทมีใบหน้านวลรูปไข่ ผมยาวสีทองมัดรวบไปทางด้านหลัง ดวงตายาวเรียวสีน้ำทะเล แก้มที่ค่อนข้างจะมีสีชมพูตลอดเวลาด้วยเพราะสภาพอากาศที่ค่อนข้างร้อน สีผิวของกาเร็ทจะค่อนข้างคล้ำกว่าคนยุโรปทั่วไปเพราะเดินทางบ่อย
"งั้นมิเกลต้องขุนชั้นให้อ้วนหน่อย จะได้ดูเป็นแมนกว่านี้" กาเร็ทพูดติดตลก ก่อนที่จะสังเกตเห็นขวดแก้วที่มิเกลถืออยู่
"นั่นอะไรน่ะ ลายแทงสมบัติเรอะไง" เขาถามมิเกล
"ฮ้า...กาเร็ทก็คิดเหมือนผมเลยสิฮะ ผมเก็บได้ที่ชายหาดเมื่อกี้นี้ ว่าจะเอาไปให้คุณพ่อดูสักหน่อย" คุณพ่อที่มิเกลพูดถึงก็คือบาทหลวงนั่นเอง
"ชั้นล้อเล่นตลกๆน่ะ สมัยนี้ยังจะมีสมบัติโจรสลัดให้ขุดอีกหรือไง แล้วนั่นก็ยังมียี่ห้อแชมแปญติดอยู่ที่ขวดเลย..." กาเร็ทชี้ไปที่สัญลักษณ์ปั๊มนูนบนตัวขวด แน่นอนขวดนี้คงมีอายุไม่เกินสามปีหรอก เขาฉวยขวดจากมือของมิเกลขึ้นไปส่องดู
"ภาษาอังกฤษนี่นา..." กาเร็ทพึมพำ "ชั้นทุบดูข้างในเลยนะ" กาเร็ทของอนุญาตเจ้าของก่อน ร่างเล็กพยักหน้าเนือยๆ หลังจากที่ถูกทักว่าไม่ใช่แผนที่สมบัติอะไรที่เขาคิด มิเกลพูดภาษาอังกฤษพอได้เพราะเค้ามีเพื่อนคือกาเร็ทและต้องพูดกับนักท่องเที่ยวบ่อย แต่เรื่องอ่านเขียนภาษาอังกฤษนี่เขาแทบไม่ได้เลย
กาเร็ทคลี่ม้วนกระดาษข้างในออกดู หลังจากอ่านจบเขาก็ทำสีหน้าประหลาดยิ้มก็ไม่ใช่ร้องไห้ก็ไม่เชิง..
"ว่าไงฮะ ในนั้นเขียนว่าอะไรละ"
"ตลกร้ายนะ...ไม่ต้องสนใจหรอก คงไม่ใช่เรื่องจริง" กาเร็ทถอนหายใจ
"ผมอยากรู้นี่นา กาเร็ทบอกผมหน่อยสิฮะ" มิเกลอ้อน...คำพูดของกาเร็ทจุดประกายสงสัยในตัวเขาขึ้นมา
"ในกระดาษนี่บอกไว้ว่า....ใครก็ตามที่เก็บขวดนี้ได้ ให้เขียนชื่อที่อยู่และสถานที่ที่เก็บได้ส่งกลับไปให้เขาตามที่อยู่ที่เขียนในนี้ แล้วเขาจะมอบเงินรางวัลให้หนึ่งหมื่นดอลล่าร์"
"หนึ่งหมื่นดอลล่าร์!!" มิเกลอ้าปากค้างด้วยความตกใจ เงินหนึ่งหมื่นดอลล่าร์สำหรับเขานั้นมากมายซะจนแทบจะใช้ไม่หมด บางทีเท่ากับรายได้ที่พ่อเขาขายปลาได้ห้าปีรวมกันเสียอีก
"ไม่ต้องตกใจขนาดนั้นก็ได้ ชั้นว่าแล้วไงว่ามันเป็นตลกร้าย..ใครจะบ้าเขียนโน้ตใส่ในขวดลอยทิ้งทะเลตั้งรางวัลแบบนี้...ถ้าไม่บ้าก็ประสาทแล้ว" กาเร็ทพูดฉอดๆ จนกระทั่งเขาเห็นว่าเพื่อนตัวเล็กเงียบลงทำท่าเหมือนจะร้องไห้นั่นแหละถึงได้ชะงัก
"เป็นอะไรนะมิเกล..." กาเร็ทถาม มิเกลสะอื้นน้อยๆ
"คุณแม่ไม่ค่อยสบายนะครับ...ถ้านี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ผมก็คงจะมีเงินรักษาแม่ได้จริงๆ...เงินตั้งหมื่นดอลล่าร์" กาเร็ทสะอึกไปเหมือนกัน เขาเพิ่งจะมาถึงซานต้า มาเรีย เลยไม่รู้ข่าวว่าแม่ของมิเกลป่วยอยู่
"เธอจะลองตอบจดหมายนี่ไปก็ได้นะ....ชั้นจะช่วยเขียนให้" กาเร็ทพูดเสียงอ่อน "แต่อย่าไปหวังอะไรกับมันมากนัก"
"แล้วเค้าให้ส่งกลับไปที่ไหนเหรอฮะ..." มิเกลถาม
"นิวยอร์กน่ะ"

นิวยอร์ก มหานครใหญ่แห่งอเมริกา ที่มีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่รวมกัน
ณ. คฤหาสน์ใหญ่ใจกลางมหานคร...รถคันหรูขับเข้าเทียบประตูคฤหาสน์ คนขับรถรีบลงมาเปิดประตูอีกฝั่ง ร่างใหญ่ในชุดสูทก้าวออกมา
มิสเตอร์ดักลาส เบอร์เรย์ หนุ่มใหญ่ผู้เป็นเจ้าของกิจการบันเทิงต่างๆประกอบด้วยสถานีวิทยุและนิตยสารแฟชั่นในเครืออีกมากมาย เขาเข้ามาดูแลธุรกิจแทนบิดาซึ่งปลดเกษียณตัวเองเมื่อสี่ปีที่แล้ว ยามนี้เขาอายุยี่สิบแปดปี เป็นหนุ่มสังคมไฮโซเนื้อหอม ด้วยหน้าตาที่หล่อเหลาพร้อมทั้งทรัพย์สมบัติที่ติดตัวทำให้มีทั้งสาวใหญ่สาวน้อยแม่ม่ายหรือแม้แต่เกย์มาคอยตามตื้อเขาตลอด..จนกระทั่งบางครั้งเขาเองก็รำคาญ
ร่างสูงใหญ่เดินเข้าไปในห้องรับแขก บิดาของเขากำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่เงยหน้าขึ้นมอง ส่วนเจ้าน้องชายตัวดีได้แต่นั่งเล่นเกม...
"อารมณ์บูดมาอีกตามเคย" บิดาทักขึ้นมา
"ก็ยายเจสซี่นะสิ วันนี้ก็มาหาผมถึงบริษัทอีกแล้ว แค่เคยคบด้วยสี่เดือนมาทำเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ...น่ารำคาญ" ดักลาสบ่น เขาปลดเนคไทออกโยนไว้บนโต๊ะ ก่อนที่จะมีสาวใช้มาหยิบออกไปแขวนให้เป็นที่เป็นทาง
"อ้าว ก็แกดันไปคบกับเขาทำไมล่ะ...แต่ยายนั่นเค้าก็สวยไม่ใช่เล่นนะ เป็นนางแบบชื่อดังด้วยไม่ใช่เหรอ" พ่อถามยิ้มๆ
"ผมเป็นผู้ชายนะพ่อ...ไม่ใช่ก้อนอิฐ..ของมันยื่นมาเสนอเองก็เลยรับไว้ก่อน ไม่ได้คิดจริงจังสักหน่อย" ดักลาสถอนหายใจ
บิดาเขาได้แต่ส่ายหัว ก่อนที่จะชี้นิ้วไปที่จดหมายที่วางอยู่บนโต๊ะ
"มีจดหมายมาถึงแกน่ะ ต่างประเทศซะด้วย ธรรมดาไม่ค่อยให้ใครส่งมาที่นี่ไม่ใช่เหรอ" บิดาถามด้วยความสงสัย
"ถึงผมเหรอ..." ดักลาสเดินเข้าไปหยิบซองขึ้นมาดู แสตมป์รูปทะเลที่ค่อนข้างแปลกตาติดอยู่ตรงมุม
เขาฉีกจดหมายออกอ่าน หลังจากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง จนน้องชายที่กำลังเล่นเกมอยู่หันมามองด้วยความสนใจ
"โห ใครเขียนมานี่ทำให้พี่ผมหัวเราะได้ขนาดนี้ สาวสวยที่ไหนอีกละสิ" อาชเลย์น้องชายที่อายุอ่อนกว่าห้าปีค่อนขอด
"คนแปลกหน้าน่ะ..." คำตอบของดักลาสทำเอาชายหนุ่มแก่กับหนุ่มน้อยอีกสองคนมองสบตากันด้วยความสงสัย
"อ้าว..พี่ไม่รู้จักเขาแล้วไหงหัวเราะด้วยความดีใจแบบนั้นได้ล่ะ"
"จะว่าไม่เคยรู้จักก็ไม่เชิง แต่จะว่ารู้จักก็ไม่ได้" ดักลาสหยุดพูดไปสักพัก "แกจำเมื่อประมาณต้นปีที่แล้วได้รึเปล่าล่ะ ที่พวกเราออกไปเที่ยวล่องเรือยอร์ชกันนะ" ดักลาสถามน้องชาย
"จำได้สิพี่....ก็พี่หนีบรรดาผู้หญิงของพี่ออกไปล่องเรือกับผม" อาชเลย์พูดติดหัวเราะ จริงๆอาชเลย์เองก็เป็นชายหนุ่มหน้าตาดี เพียงแต่ว่าไม่ได้เป็นลูกชายคนโตที่ต้องรับสืบทอดกิจการก็เลยทำให้สาวๆสนใจน้อยกว่าดักลาสเท่านั้นเอง งานอดิเรกเขาคือตกปลากับล่องเรือยอร์ช
"ตอนนั้นชั้นปรึกษากับแกเรื่องจะจัดงานฉลองที่บริษัทครบรอบยี่สิบห้าปีนะ" ดักลาสอธิบายต่อ ตอนนี้อาชเลย์เริ่มนึกได้เลือนราง
"เฮ้ย...อย่าบอกว่าไอ้ความคิดบ้าๆของพี่นี่มีคนตอบกลับมาด้วยนะ" อาชเลย์จำได้แล้ว ตอนนั้นพี่เขาปรึกษาเรื่องที่จะฉลองครบรอบบริษัทพร้อมกับจะแจกรางวัลให้กับผู้โชคดี ระหว่างที่กำลังดื่มเชมเปญนั่นเองพี่เขาดันเกิดความคิดวิตถารเขียนโน้ตลงไปในกระดาษพร้อมยัดเข้าขวดเชมเปญปิดซะอย่างดี แถมบอกอีกว่า อยากรู้เหมือนกันว่าขวดนั่นจะลอยไปได้ถึงไหน ถ้ามีคนบ้าจี้ตอบกลับมาจริงๆก็จะให้เงินตามที่สัญญาไว้
"ผมลืมไปแล้วนะเนี่ย ตั้งเกือบปีได้แล้ว" อาชเลย์ตบศีรษะตัวเอง "แล้วใครตอบกลับมาล่ะฮะ"
"เป็นเด็กผู้ชายอายุสิบห้าน่ะ ชื่อมิเกล...อยู่ที่ซานต้า มาเรีย แกรู้จักไหม เห็นชอบแล่นเรือนี่นา" คราวนี้น้องชายเขาหูผึ่งบ้าง
"หา...ซานต้า มาเรียเหรอ...เกาะนั่นมันอยู่ห่างจากนิวยอร์คตั้งสามพันกว่ากิโลแน่ะ..." น้องชายเขาทำท่าเพ้อฝันขึ้นมา "ผมเคยคิดว่าจะลองไปตกปลาแล่นเรือแถบนั้นสักครั้ง สวรรค์บนดินเลยนะ"
"ฝันไปก่อนแล้วกัน...แกต้องมาช่วยงานชั้นที่บริษัทก่อน เรียนจบแล้วอย่ามัวเอาแต่เล่นเกมเที่ยวผับไปวันๆแบบนี้ อายุก็ตั้งบ้านแล้ว" ดักลาสตบหัวน้องชาย
"จริงๆเรื่องนี้ก็น่าจะเขียนเป็นคอลัมน์ลงในนิตยสารของเราได้นะ น่าสนใจดี เด็กชายผู้โชคดีแห่งเกาะสวรรค์อะไรทำนองเนี้ย" เขาอดไม่วายคิดถึงเรื่องงานอีกจนได้ น้องชายได้แต่แลบลิ้น ก่อนที่ดักลาสจะเดินไปที่ห้องทำงานส่วนตัวของเขา



นิยายเรื่องใหม่คะ....ได้แรงบันดาลใจมาจากอ่านหนังสือเรื่อง The Twelve Million Dollar Note and Other Strange But True Sea Stories…. ข้างในจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องแปลกแต่จริงเกี่ยวกับทะเลที่มีคนรวบรวมเอาไว้ มีเรื่องนึงคล้ายๆกับเรื่องนี้ เราเลยได้ไอเดียมาแต่งเป็นนิยายของเรา คิดว่าเรื่องนี้แฮปปี้นะ....

แนะนำติชมได้ที่บอร์ดนิยายนะคะ...................
1