มิเกลถือจดหมายที่เขาพึ่งได้รับมามือไม้สั่น
เขาถามบุรุษไปรษณีย์ที่มาส่งว่าจดหมายนี่ถึงใคร
พอรู้ว่าเป็นของเขาเท่านั้นแหละ มิเกลแทบจะโห่ร้องด้วยความดีใจ...อยากรู้เหลือเกินว่าในจดหมายนี่เขียนว่าอะไร
จากเจ้าของจดหมายในขวดแก้วนั่นใช่ไหม เขาจะได้รับเงินจริงๆหรือเปล่า
เขารีบวิ่งไปหากาเร็ททันที
สีหน้ากาเร็ทเต็มไปด้วยความประหลาดใจเหมือนกัน เขาไม่เคยคิดว่าไอ้เรื่องล้อเล่นแบบนี้จะเป็นเรื่องจริงไปได้
หรือว่าพระเจ้าเข้าข้างมิเกลจริงๆ หลังจากที่เขาอ่านจดหมายฉบับนั้นจบลง
"เขาบอกว่าเงินนั่นเป็นเงินสำหรับผู้โชคดีในการฉลองครอบรอบยี่สิบห้าปีของบริษัท
เขาอยากจะให้มิเกลเขียนบรรยายชีวิตความเป็นอยู่ที่นี่ พร้อมกับเล่าว่าถ้าได้เงินไปจะไปทำอะไร...ถ้าให้ดีช่วยส่งรูปถ่ายของมิเกลพร้อมกับรูปวิวที่นี่ส่งกลับไปให้เขาอีกที...แล้วเขาจะส่งเช็คเงินสดกลับมาให้มิเกลหลังจากที่นิตยสารของเขาลงเรื่องของผู้โชคดีเรียบร้อยแล้ว"
กาเร็ทถ่ายทอดข้อความให้มิเกลฟัง มิเกลยิ้มแก้มแทบฉีก...
"ผมจะมีเงินไปรักษาแม่แล้ว..." เขาหัวเราะทั้งน้ำตา "แต่เรื่องรูปถ่ายที่จะส่งกลับไป..."
"ชั้นถ่ายให้ก็ได้...มืออาชีพระดับนี้แล้ว...รับรองมิเกลของชั้นน่ารักกว่าใคร"
กาเร็ทหันไปหัวเราะให้กับมิเกล แน่นอนเขารู้ว่ามิเกลลำบากเรื่องเงินเขาเลยเสนอตัวเข้าช่วย
แค่ค่าฟิล์มเล็กน้อยไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาอยู่แล้ว
รูปถ่ายของมิเกลพร้อมกับทิวทัศน์ที่ซานต้า
มาเรียถูกส่งไปหาดักลาสในอีกไม่กี่อาทิตย์ต่อมา ร่างสูงรู้สึกสะดุดตากับร่างเล็กในรูปถ่ายทันที
เด็กหนุ่มผิวสีน้ำผึ้ง ผมสีน้ำตาลแดงแบบคนทะเล หน้าตาสมส่วน ตากลมโต
พร้อมกับรอยยิ้มที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา ซึ่งเขาไม่ค่อยได้พบเห็นบ่อยนัก
"เอ้านี่...รูปที่จะให้ลงในสกู๊ปเด็ดประจำฉบับนี้ของเรา"
ดักลาสวางรูปไปบนโต๊ะกลางห้องประชุม
"โห หน้าตาน่ารักจังนะคะ จริงๆบอสเอามาเป็นนายแบบเด็กในสังกัดได้สบาย"
สาวในห้องประชุมคนหนึ่งกล่าวอุทาน "แถมวิวก็สวยเหลือเกิน.."
"ทั้งหมดนั่นต้องชมคนถ่ายนะครับ..." ช่างกล้องประจำนิตยสารคนหนึ่งหยิบรูปขึ้นมาดู
"ไม่ใช่ช่างกล้องธรรมดาแน่ ทั้งแสงทั้งองค์ประกอบดูดีไปหมด
โดยเฉพาะรูปนี้" เขาชี้ไปที่รูปมิเกลที่ยืนเล่นน้ำทะเลอยู่
ดักลาสก็ฟังอย่างสนใจ "ถ่ายย้อนแสงแท้ๆ แต่เพราะคำนวณแสงสะท้อนของน้ำทะเลเข้าไปที่ใบหน้าได้
ทำให้ดูไม่มืดเกินไ "ชั้นก็พอรู้แล้ว...ในจดหมายเขาบอกว่าเป็นช่างภาพที่รู้จักกับเด็กในรูป
เขาเป็นคนเขียนจดหมายให้เด็กคนนั้นเพราะเด็กเขียนภาษาอังกฤษไม่เป็นพร้อมกับถ่ายรูปให้ด้วย"
ดักลาสบอกต่อ จริงๆกาเร็ทเขียนมากกว่านั้น เขาเตือนไว้ตอนท้ายจดหมายว่าอย่าเห็นความรู้สึกดีใจของเด็กมิเกลเป็นเพียงแค่ของเล่น...พร้อมกับหวังว่าคำพูดของเขาคงจะเป็นเรื่องจริง
"ซานต้า มาเรียนี่ เป็นเกาะที่อยู่ในหมู่เกาะอโซเรสของโปรตุเกสใช่ไหม"
สาวนางหนึ่งถามขึ้นมา "ชั้นจำได้ลางๆว่าตอนไปฮันนีมูนชั้นไปทีนี่...สวยมากเลย
แต่ชั้นไม่ได้ไปที่ซานต้า มาเรียนะ รู้สึกจะไปเกาะอื่นที่อยู่ในหมู่เกาะอโซเรสนี่แหละ
มีภูเขาไฟสูงๆ" สาวนางนั้นพูดให้เพื่อนร่วมงานฟัง ดักลาสเองก็เก็บข่าวไปด้วย
เขาเริ่มจะสนใจซานตา มาเรียขึ้นมา ทั้งวิวทิวทัศน์ ทั้งมิเกล แล้วก็คนที่เขียนจดหมายมาเตือนเขานั่นอีก...
ข่าวของมิเกลที่เขาประกาศออกวิทยุในเครือและนิตยสารได้รับการตอบรับจากมหาชนดีเกินกว่าที่เขาคาดมาก
อาจจะเป็นเพราะชะตาชีวิตของมิเกลบวกกับความกตัญญูที่จะเอาเงินที่ได้ไปรักษาแม่
ทำให้ผู้อ่านประทับใจเขียนจดหมายเข้ามาชม พร้อมทั้งยอดขายแมกกาซีนฉบับนั้นทำรายได้ทะลุเป้า
เงินกำไรที่ได้ก็เกือบเท่ากับเงินที่จะให้มิเกลแล้ว
ดักลาสจึงได้ความคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา
"อะไรนะ พี่จะไปซานต้า มาเรียเหรอ!!" เสียงอุทานของอาชเลย์ด้วยความอิจฉา
ดักลาสพยักหน้ารับคำ
"ก็ว่าจะไปทำสกู๊ปต่อเนื่องน่ะ..คราวนี้คงอาศัยจดหมายไม่ได้
ว่าจะไปทำสัมภาษณ์เจ้าตัวเองด้วยเลย เอาเงินไปให้ด้วย ไปกันประมาณสามคนได้
ชั้นช่างกล้องแล้วก็คนสัมภาษณ์" เขาอธิบายให้น้องชายฟัง
"พี่ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องไปกับเขาเลยนี่...แค่ส่งคนสัมภาษณ์กับช่างกล้องไปก็พอแล้ว"
น้องชายโวยวาย
"ชั้นก็อยากจะพักผ่อนของชั้นมั่งซี แถมไม่ได้ไปนานสักหน่อย
แค่สองอาทิตย์เอง แล้วจะได้หลบหน้ายัยเจสซี่ด้วย เข้าใจ๋"
เขายิ้มให้น้องชาย ฝ่ายบิดาก็สนับสนุน
"ดีแล้ว ๆๆ อย่าเอาแต่หมกมุ่นกับงาน พักผ่อนซะบ้างแกน่ะ ชั้นเห็นแล้วเหนื่อยแทน"
"ผมไปด้วย...!!" อาชเลย์โวยวายขึ้นมา
"ไม่ได้" ดักลาสพูดเสียงเข้ม "ชั้นไม่อยู่แล้วใครจะดูแลบริษัทเล่า
นายนั่นแหละต้องไปทำงานแทนชั้นเที่ยวเล่นมากพอแล้ว" เขาสั่งน้องชาย
ซึ่งแน่นอนหันไปนั่งน่าบูดเป็นตูดอยู่ข้างบิดา เขาได้แต่กลั้วหัวเราะ
ซานต้า มาเรียเจริญกว่าที่ดักลาสคาดไว้มาก บนเกาะมีแม้กระทั่งสนามบิน
ท่าเรือใหญ่... ด้านหนึ่งของเกาะเป็นไร่องุ่นกว้างใหญ่ ซึ่งหมู่เกาะอโซเรสมีชื่อทางด้านการผลิตไวน์อีกด้วย
เขามาที่ซานต้า มาเรียพร้อมกับแจ๊กกี้และพอลพนักงานในบริษัท จริงๆการสัมภาษณ์กินเวลาเพียงวันเดียวก็คงจะเสร็จแล้ว
เพียงแต่เขาถือโอกาสมาเที่ยวด้วยซะเลย ส่วนพนักงานที่มากับเขาก็ถือว่าได้โบนัสไป
หลังจากที่เปิดห้องพักเรียบร้อยแล้วดักลาสว่าจ้างล่ามชาวพื้นเมืองคนหนึ่ง
เขานำที่อยู่ของมิเกลให้กับล่ามคนนั้นดู เพื่อนำเขาไปหาบ้านเด็กหนุ่ม
ในใจเขาเองก็ตื่นเต้นไม่น้อย
ลมพัดหอบกลิ่นน้ำทะเลมาเป็นระยะๆ ซานต้า มาเรียเป็นเกาะที่มีขนาดไม่ค่อยใหญ่นัก
มองจากที่สูงก็จะเห็นไร่องุ่นสีเขียวกว้างขวาง ดักลาสรู้สึกผ่อนคลายมาทีเดียว
เขาแต่งตัวค่อนข้างลำลอง เสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์ ทำเอาผู้หญิงที่มาด้วยคนเดียวตาลุก
"แหม ชั้นเพิ่งเคยเห็นคุณดักลาสไม่ได้ใส่สูทก็วันนี้แหละ
ดูสบายๆหล่อไปอีกแบบ...เด็กกว่าเดิมเยอะเลย" แจ๊กกี้พูดให้เพื่อนร่วมงานฟัง
ฝ่ายพอลได้แต่ส่ายหน้า
"ดูด้วยสายตาก็พอนะเจ๊...อย่าหวังมาาาากกกกก...เจ๊แก่แล้ว"
พอลพูดเสียงยานคาง จนถูกแจ๊กกี้ตีดังเพี้ยะ
"ไว้เดี๋ยวผมแอบถ่ายรูปไว้ให้...เอาไว้ให้เจ๊เก็บไปฝันดีม้ะ"
พอลยังกระเซ้าแจ๊กกี้อยู่ แต่หลังจากนั้นทั้งสองก็พบว่าดักลาสกับล่ามเดินนำไปไกลแล้ว
จึงต้องวิ่งหอบข้าวของตามไป
ดักลาสได้เขียนจดหมายมาบอกกับมิเกลก่อนแล้วว่าพวกเขาจะเดินทางมาสัมภาษณ์
มิเกล พร้อมกับนำเงินรางวัลมาให้มิเกลด้วยเลย แต่ยังไม่ได้ระบุเจาะจงว่าวันไหน
เพราะดักลาสเห็นว่าพวกเขามีเวลาเหลือเฟือถ้าจะมาพักผ่อนที่อโซเรสถึงสองอาทิตย์จริง
เด็กมิเกลนั่นคงไม่หายตัวไปไหนหรอก เกาะก็ไม่ได้กว้างจนหากันไม่เจอ
ดักลาสเช่ารถจี๊บไว้คันหนึ่ง เขาขับตามทางที่ล่ามบอก ในที่สุดก็มาจนถึงหมู่บ้านชาวพื้นเมืองเล็กๆ
ที่อยู่ติดกันเป็นแถบ
"บ้านนี้แหละครับ บ้านไอ้หนูมิเกล ช่วงนี้พ่อมันคงไปรับจ้างพานักท่องเที่ยวทัวร์ตามเกาะ
ไม่แน่ใจเหมือนกันนะครับว่ามันจะอยู่บ้านหรือเปล่า...เห็นทำงานตัวเป็นเกลียวเลย
เพราะแม่มันไม่ค่อยสบาย" ล่ามคนนั้นอธิบาย เขาเองก็พอจะรู้จักมิเกลอยู่บ้าง
ก่อนยกมือขึ้นเคาะประตู
ไม่นานนักประตูก็เปิดออก หญิงสาวคนหนึ่งซึ่งพอมองปราดเดียวก็รู้เลยว่าไม่ค่อยแข็งแรงยืนไอโขลกๆอยู่
เธอมองพวกดักลาสด้วยความประหลาดใจ ลุงฮวนที่เป็นล่ามจึงอธิบายให้ฟัง
"มิเกลอยู่ไหมราเชล...คุณพวกนี้เขามาหามิเกลนะ"
"ไม่อยู่หรอก ออกไปกับกาเร็ทนะ พอกาเร็ทมาทีไรไม่เคยอยู่ติดบ้านหรอก"
ราเชลตอบเป็นภาษาพื้นเมือง เธอรู้จักกาเร็ทดี พอกาเร็ทมาทีไรมักจะจ้างลูกชายเธอให้เป็นเด็กช่วยหอบของไปโน่นมานี่
มิเกลเองก็ได้รายได้เล็กๆน้อยๆไปด้วย แถมไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไหร่
"กาเร็ทที่ว่านี่คือคนที่เป็นช่างภาพใช่ไหมครับ รู้จักชื่อเต็มๆหรือเปล่าครับ"
เสียงพอลถามผ่านล่าม...เขาสนใจคนที่ชื่อกาเร็ทนี่มากกว่ามิเกลเสียอีกหลังจากที่ได้เห็นรูปถ่ายของกาเร็ทแล้ว
ดีใจที่จะได้พบคนคอเดียวกัน
"โอ๊ย ชั้นไม่รู้หรอกค่า ว่ากาเร็ทเขาเชื่อเต็มๆว่าอะไร ก็เรียกกาเร็ทๆ
มาตลอด จริงๆชั้นก็ไม่ได้ใส่ใจด้วยซ้ำไปว่าเขาทำงานอะไร"
พูดยังไม่ทันจบ ราเชลก็ไอค้อกแค้กอีก ดักลาสจึงตัดความบอกให้ราเชลไปพักผ่อนดีกว่า
"อีกสักชั่วโมงค่อยมาใหม่แล้วกันนะคะ เพราะยังไงเขาก็ต้องกลับมาเตรียมอาหารเย็น"
แม่ของมิเกลอธิบาย ทุกคนก็ได้แต่พยักหน้า...
"แล้วพวกคุณอยากจะไปไหนอีกรึเปล่าครับ หรือว่าจะไปเที่ยวแถวนี้ก่อน
ไว้ผมจะแนะนำให้" ลุงฮวนถามพวกเจ้านายเขา
"ดีเหมือนกันนะคะ บอส..ไปเดินเล่นสักชั่วโมงแล้วค่อยกลับมาใหม่ก็ได้"
แจ๊กกี้บอกดักลาส เธอเองก็อยากเที่ยวเหมือนกันแหละ ที่นี่อากาศสดชื่นจริงๆ
แถมอุณหภูมิก็ไม่ร้อนเกินไปนักราวๆ สิบห้าสิบหกองศาได้ กำลังสบาย
"ทางด้านเหนือของเกาะมีอนุสาวรีย์โคลัมบัสอยู่นะครับ อยากไปดูหรือเปล่า"
ลุงฮวนบอกต่อ ซึ่งทุกคนก็พยักหน้าตกลงเดินกลับไปที่รถ ระหว่างที่ดักลาสขับรถไปตามทางนั้น
ลุงฮวนก็เรียกดักลาสขึ้นมากะทันหัน
"คุณครับ...นั่นไอ้หนูมิเกลนี่ครับ...นู้น เดินอยู่ทางโน้นนะครับ"
ลุงฮวนชี้ไปที่ริมหาด ทุกคนมองตาม
ด้วยระยะที่ค่อนข้างไกล ทำให้เห็นหน้าไม่ค่อยถนัดนัก มิเกลกำลังเดินอยู่กับชายหนุ่มผู้หนึ่ง
ในมือถือของพะรุงพะรัง ถึงแม้จะไกลขนาดนั้นแต่ลุงฮวนก็ยืนยันแน่นอนว่าใช่มิเกลแน่
เพราะเห็นมาแต่เด็ก แถมเดินอยู่กับหนุ่มผมทองแบบนั้นอีกคงเป็นใครไปไม่ได้...ดักลาสจึงจอดรถเข้าข้างทาง
ปล่อยให้ลุงฮวนลงวิ่งไปเรียกสองคนนั่น เขาเองยืนรออยู่นอกรถ มองเห็นลุงฮวนวิ่งเข้าไปคุย
แล้วอีกไม่นานมิเกลกับชายหนุ่มผมทองก็เดินมุ่งหน้ามาทางรถเขาที่จอดอยู่
"สวัสดีฮะ คุณดักลาส" มิเกลพูดภาษาอังกฤษกับเขาเมื่อเดินเข้ามาถึง
เจ้าหนูยังกล้าๆกลัวๆอยู่บ้าง ดักลาสยิ้มตอบก่อนจะยื่นมือขวาเข้าไปจับมือเจ้าหนูเป็นการทำความรู้จัก
เขาสังเกตมิเกล มิเกลน่ารักอย่างที่เห็นในรูปถ่าย ดูคล่องแคล่ว
กระฉับกระเฉง เต็มไปด้วยพลัง แต่ที่ตรึงตาเขากลับเป็นชายหนุ่มผมทองที่ยืนด้านหลังมิเกลมากกว่า
ใบหน้าสวยรูปไข่ที่ไม่ได้แต่งแต้มเครื่องสำอาง แต่มีสีเลือดจางๆ
โหนกแก้มสูง ปากสีชมพูอิ่มเต็ม ผมสีทองมัดไว้ด้านหลังปลิวไปกับแรงลม
ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลมองเขาอย่างสำรวจ ดักลาสจ้องกับความงามที่คาดไม่ถึงอย่างลืมตัว
ก่อนที่จะสะดุ้งกับเสียงตะโกนแบบดีใจด้านหลัง
"ฮ้า...คุณกาเร็ท ไวท์ใช่ไหมครับ" เสียงช่างภาพหนุ่มถามออกมาอย่างดีใจ
กาเร็ทเบนสายตาไปมองก่อนจะพยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้
"ครับ..คุณ..เอ่อ" กาเร็ทตอบ เขาไม่รู้จักชื่อหนุ่มคนที่เรียกเขา
"พอลครับ...ผมชื่อพอลครับ เป็นช่างภาพนิตยสาร...ผมชื่นชมงานรวมภาพถ่ายของคุณกาเร็ทมากเลยนะครับ..ผมซื้อเก็บทุกเล่ม
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้มาเจอตัวจริงที่ซานต้า มาเรียนี่"
พอลพูดด้วยความตื่นเต้นพร้อมกับยื่นมือให้ กาเร็ทยื่นมือเข้าไปจับ
ดักลาสมองตามด้วยความรู้สึกแปลกๆ
"ถ้าผมรู้มาก่อนว่าจะได้มาเจอคุณที่นี่ ผมจะหอบหนังสือมาให้คุณเซ็นด้วย"
พอลพูดอย่างเสียดาย
"ไม่เป็นไรครับ ไว้ถ้าหนังสือเล่มใหม่ของผมออกเมื่อไหร่ผมจะส่งไปให้พอลพร้อมลายเซ็นเลย"
กาเร็ทพูดยิ้มๆ
"เอ้า...อย่ามายืนคุยกลางถนนแบบนี้เลย ย้อนกลับไปบ้านมิเกลดีกว่า...ขึ้นรถเถอะ"
ดักลาสพูดเคืองๆ ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แค่เห็นหนุ่มที่ชื่อกาเร็ทนั่นคุยกับพอลอย่างสนิทสนมแทนที่จะเป็นเขาก็รู้สึกฉุนแล้ว..