Peebee

Message in the bottle

ตอนที่ 4

ตอนเช้าวันถัดมา ทุกคนก็มารวมกันที่หน้าบ้านมิเกลเหมือนเดิม แจ๊กกี้กับพอลสัญญากับมิเกลว่าจะพาไปเปิดบัญชีในตัวเมือง ส่วนกาเร็ทก็กลายเป็นมัคกุเทศน์จำเป็นให้ดักลาสไปเสียแล้ว เจ้าพอลพอเห็นหน้ากาเร็ทก็กระดี๊กระด๊าขึ้นมา จนดักลาสหมั่นไส้ ยังดีที่เจ้าพอลมันแต่งงานแล้ว ไม่งั้น....
"คุณกาเร็ทครับ ไว้คราวหน้าพาผมไปหาวิวสวยๆถ่ายบ้างนะครับ" พอลเอ่ยปาก
"ได้สิครับ..ที่นี่วิวสวยแยะ ถ้าจะให้ดี ต้องไปที่เกาะอื่นนะครับ วิวต่างกัน โดยเฉพาะหมู่เกาะแถบกลางๆของอโซเรสจะมีวิวสวยมากทั้งทะเลสาบทั้งภูเขาไฟ ไว้ถ้าวันนี้ไปเปิดบัญชีให้มิเกลก็ไปดูตารางเรือที่ตัวเมืองก็ได้ครับ" กาเร็ทแนะนำ
หลังจากทำอะไรเสร็จเรียบร้อยทุกคนก็มานั่งกินอาหารกลางวันที่ร้านอาหารเล็กๆในตัวเมือง
"ไว้พรุ่งนี้มิเกลก็พาแม่ไปหาหมอเลยดีกว่านะ พี่ว่าทิ้งไว้นานจะไม่ดี ตอนคุยกับมิเกลได้ยินไอตลอดเลย" แจ๊กกี้บอกมิเกล หลังจากสัมภาษณ์ตอนนี้ทั้งสองคนสนิทกันพอสมควร แจ๊กกี้ก็เอ็นดูเจ้าหนูมาก
"ครับๆ ไว้ยังไงพรุ่งนี้จะให้พ่อพาไปเลยครับ เมื่อคืนแม่ก็บ่นปวดท้องอีกด้วย" มิเกลพูดอย่างเป็นห่วง
"พวกพี่เที่ยวกันเองได้ มิเกลไม่ต้องมาพะวงทางพวกพี่หรอก เรื่องแม่สำคัญกว่า กาเร็ทก็ใจดีจะนำเที่ยวพวกพี่เอง" ดักลาสพูดดักคอ กาเร็ทหันมามองตาเขียว พูดต่อหน้ามิเกลอย่างนี้ใครจะกล้าปฏิเสธ หมอนี่ร้ายจริงๆ
"ไม่เป็นไรหรอกฮะ พ่อบอกผมไว้แล้วว่าให้ต้อนรับพวกคุณให้ดี พ่อมีเรือพาแม่ไปหาหมอสบายอยู่แล้ว แต่ยังไงพรุ่งนี้พี่กาเร็ทก็ไปกับพวกเราก็ได้นี่ฮะ เที่ยวกันหลายคนสนุกกว่า" มิเกลชวนกาเร็ทอีกคน พอลก็สนับสนุน เขาอยากคุยเรื่องถ่ายรูปกับกาเร็ทอยู่แล้ว
"งั้นพรุ่งนี้ก็จองตัวกาเร็ทไปเที่ยวเกาะกับพวกเราด้วยก็แล้วกัน ไปกันห้าคนนี่แหละ ใครจะไปถ่ายรูปก็เตรียมกล้องไปด้วยนะ" ตอนนี้ดักลาสไม่ได้จ้างลุงฮวนแล้ว เพราะเห็นว่ามิเกลพูดภาษาอังกฤษพอได้ และอีกอย่างจะได้หาโอกาสไปไหนมาไหนกับกาเร็ทด้วย ถ้ามีลุงฮวนอยู่มีหวังกาเร็ทหาข้ออ้างไม่ไปกับพวกเขาแน่


วันต่อมาดักลาสขับรถไปรับกาเร็ทกับมิเกลถึงบ้าน พาไปที่ท่าเรือพร้อมกับพอลและแจ๊กกี้ ดักลาสเป็นคนจ่ายค่าเรือของทุกคน ทีแรกกาเร็ทจะขอจ่ายของตัวเอง แต่ดักลาสให้เหตุผลว่า
"ผมจ่ายให้ทุกคนถูกแล้วครับ พอลกับแจ๊กกี้นี่คนของผม ส่วนคุณกับมิเกลมาช่วยเป็นมัคกุเทศน์ให้ฟรีอีก ยังไงค่าเรือผมสมควรออก" ดักลาสมองกาเร็ทผ่านแว่นกันแดดสีดำ วันนี้เขาก็แต่งตัวลำลองเช่นเคย ร่างสูงใหญ่เป็นเป้าสายตาของนักท่องเที่ยวสาวๆพอตัว
"หมู่เกาะอโซเรสเป็นหมู่เกาะที่ประกอบด้วยเกาะทั้งหมดเก้าเกาะ แบ่งเป็นสามกลุ่ม หมู่เกาะกลุ่มทางตะวันออกสองเกาะ ส่วนกลางห้าเกาะ และก็ส่วนตะวันตกอีกสองเกาะ ซานต้า มาเรีย เป็นเกาะในส่วนตะวันออก หมู่เกาะส่วนกลางจะมีขนาดค่อนข้างใหญ่และเป็นศูนย์กลางท่องเที่ยวมากกว่า มีทั้งภูเขาไฟ ทะเลสาบ แล้วก็ดอกไม้นานาพันธุ์" เสียงกาเร็ทอธิบายรายละเอียดให้พอลและแจ๊กกี้ฟัง ดักลาสก็ฟังเสียงนุ่มๆนั่นเพลินเหมือนกัน แต่ไม่ได้จับใจความหรอกว่ากาเร็ทพูดอะไร
ระหว่างที่เรือแล่นไปที่เกาะมิเกลหยิบขนมปังมาแจกทุกคน
"นี่เป็นขนมปังท้องถิ่นฮะ อร่อยมาก บ้านแทบทุกบ้านจะมีเตาอบขนมปังอยู่ด้านนอก ทำขายพวกนักท่องเที่ยวฮะ แต่บ้านผมไม่ได้ทำขายช่วงนี้เพราะแม่ป่วยอยู่ นี่ลุงจอห์นข้างบ้านให้มาฮะ..." มิเกลชวนคุยจ้อๆ ดักลาสยิ้มขึ้นมา
"อื้อ..อร่อยจริงๆด้วย กรอบนอกนุ่มใน" ดักลาสพูดชม เขากัดขนมปังชิมรสชาดดู ลมทะเลพัดผ่าน มิเกล มองเขาอย่างสนใจ
"คุณดักลาสนี่ยังดูหนุ่มจังเลยนะครับ...แถมยังหล่ออีกด้วย ดูไม่น่าเชื่อว่าจะร่ำรวยดูแลกิจการตั้งมากมาย" คำพูดตรงๆของมิเกลเล่นเอาดักลาสหน้าแดงเหมือนกัน เขากระแอมเบาๆ
"เอ่อ...มันก็ไม่เชิงของชั้นหมดหรอก ชั้นรับหน้าที่ดูแลแทนพ่อชั้นน่ะ ท่านอายุมากแล้ว...มานี่ก็ให้น้องชายดูแลแทน ชั้นนะยี่สิบแปดแล้วนะ" ดักลาสบอก
"โห...เหรอครับ ผมนึกว่าคุณดักลาสอายุสักยี่สิบสามยี่สิบสี่..." มิเกลอุทาน...ดักลาสยิ้มหน้าบาน คุยกับเด็กนี่ดีแฮะ..พูดตรงดี
"เอ...แล้วกาเร็ทน่ะอายุเท่าไหร่มิเกลรู้ไหม" ดักลาสหลอกถามเด็กบ้าง แต่มิเกลไม่เคยใส่ใจถามกาเร็ทมาก่อนจึงไม่รู้ เขาจึงถอนหายใจด้วยความเสียดาย ก่อนจะหันไปคุยเรื่องอื่น
"เอ..ช่วงนี้นักท่องเที่ยวแยะจังนะ เรือเต็มไปหมดเลย" ดักลาสถาม
"ก็พวกนักตกปลาแหละครับ ที่นี่มีชื่อเรื่องตกปลาน้ำลึก ตกได้ทีตัวเบ้อเริ่มเทิ่ม เห็นว่าสถิติโลกอะไรก็อยู่ที่นี่ อีกไม่นานเห็นเขาจะมีแข่งตกปลานะฮะ ที่ซานต้า มาเรียก็มี" มิเกลบอก ดักลาสพยักหน้ารับรู้ มิน่าเจ้าอาชเลย์อยากมาน้ำลายหก...พวกบ้าตกปลานี่เอง
"น้องพี่ก็ชอบตกปลานะ ชอบออกเรืออยู่เรื่อย ครั้งสุดท้ายที่พี่ไปกับมันก็ช่วงเกือบปีใหม่ปีที่แล้วมั้ง...อืมช่วงที่หย่อนขวดลงทะเลไป" ดักลาสบอก
"โห ตั้งปีกว่าเชียวเหรอครับที่หย่อนขวดลงน้ำ...นึกยังไงถึงหย่อนลงน้ำไปละครับ ไม่กลัวขวดแตกหรือว่าหายไปเลยบ้างเหรอ" มิเกลถามอย่างสงสัย ตอนนี้คนอื่นก็หูผึ่งคอยฟังเหมือนกัน กาเร็ทเองก็อยากรู้
"อืม..ก็คงปนกับนิสัยนึกสนุกมั้ง...แต่ที่จริงมันมีเรื่องเล่าตั้งแต่ตอนปู่ทวดของพี่...เคยทำแบบนี้มาก่อน" ดักลาสยังเล่าไม่ทันจบ กาเร็ทก็หัวเราะเบาๆออกมาแบบกลั้นไม่อยู่ ดักลาสขมวดคิ้วหันไปมอง
"อุ๊บ...ผมแค่ขำนะ ผมนึกว่านิสัยแปลกๆแบบนี้คงจะมีไม่กี่คน ที่ไหนได้ปู่ทวดคุณก็เป็นเหมือนกัน" กาเร็ทพูดอมยิ้ม ดักลาสมองเคืองๆ
"ผมยังพูดไม่จบ...ปู่ทวดของผมเคยทำก่อนที่เรือจะล่มพรากชีวิตท่านกับคนอื่นเกือบทั้งลำไป..." คราวนี้กาเร็ทอึ้ง...
"ขอโทษ..ผมไม่รู้ว่า..."
"ไม่เป็นไร ชั้นเองก็ไม่เคยเห็นหน้าปู่ทวดเหมือนกัน...นายเป็นคนอังกฤษนี่ เคยได้ยินชื่อเรือลูซิทาเนียไหม" ดักลาสถาม กาเร็ทพยักหน้า
"เป็นเรือเดินสมุทรที่ถูกเรือดำน้ำของเยอรมันยิงตอปิโดใส่ แถวช่องแคบเซนต์จอร์จของอังกฤษช่วงสงครามโลกใช่ไหมล่ะ ปู่ทวดนายอยู่บนเรือนั่นเหรอ"
"ใช่...เป็นโศกนาฏกรรมคล้ายไททานิกแหละ เรือเกือบจะถึงฝั่งอยู่แล้วแท้ๆ คนกว่าสองพันคนหนีรอดออกมาได้แค่เจ็ดร้อยกว่าคน ปู่ทวดผมก็อยู่บนเรือนั่น...แต่ก่อนที่เรือจะล่ม ท่านได้เขียนจดหมายบรรยายถึงความรักของท่านต่อครอบครัวใส่ขวดลอยลงทะเลไป...อีกเกือบสามปีต่อมา จดหมายในขวดฉบับนั้นได้ถูกส่งมาที่บ้าน...คนที่เก็บขวดนั้นได้ทำตามคำขอร้องของปู่ที่ให้ส่งจดหมายฉบับนั้นถึงครอบครัวท่าน ย่าทวดพอเปิดจดหมายออกอ่านถึงกับน้ำตาซึม...ท่านคิดไม่ถึงว่าปู่ทวดจะยังห่วงทุกคนจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต จนถึงตอนนี้จดหมายฉบับนั้นถูกใส่กรอบอย่างดีเป็นอนุสรณ์ของครอบครัวผม...." พอดักลาสเล่าจบทุกคนเงียบด้วยความอึ้ง กาเร็ทเสหันหน้าไปทางอื่น ขอบตาแดงๆ
"ขอโทษ...ผมยังรู้สึกผิดอยู่ดี..." กาเร็ทพูดขอโทษรอบสอง ยกมือขึ้นปาดน้ำตา ดักลาสอดรนทนไม่ได้ยกมือขึ้นโอบจับศีรษะคนตัวเล็กกว่าที่นั่งข้างมาพิงที่ไหล่ จูบที่ผมเบาๆแบบไม่แคร์สายตาคนรอบข้าง ก่อนพึมพำเบาๆ
"ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้โมโห....พวกรักธรรมชาติอารมณ์ศิลปินมักอ่อนไหวแบบนี้แหละ"
"พี่กาเร็ทก็ต่อมน้ำตาตื้นแบบนี้แหละฮะ ผมเล่าเรื่องแม่ป่วยให้ฟังยังน้ำตาซึมเลย" มิเกลพูดสนับสนุน กาเร็ทขืนตัวออกจากอกดักลาส ทำหน้าบอกไม่ถูกก่อนจะขยับไปนั่งห่างๆ เผลออินไปกับเรื่องเล่าแถมถูกหมอนั่นฉวยโอกาสกอดเข้าไปอีก...หน้าด้านจริงๆไม่ได้รู้จักกันสนิทสนมกันสักหน่อย
"อ๊ะ..ขอโทษ ผมเผลอไปหน่อย เวลาเจ้าหลานชายร้องไห้ชอบปลอบแบบนี้นะ" ดักลาสแก้ตัวเพราะดูออกว่ากาเร็ทไม่ชอบ
"โห ไม่น่าเชื่อเลยว่าครอบครัวบอสจะมีความทรงจำเศร้าแบบนี้...แต่ประทับใจมากเลยคะ" แจ๊กกี้บอก
"ลืมๆเสียเถอะ...เรือใกล้ถึงฝั่งแล้วทำตัวร่าเริงไปเที่ยวดีกว่าน่า มาพักผ่อนไม่ใช่เหรอ" ดักลาสยืนขึ้นมองเรือจอดเทียบฝั่งบนเกาะฟาเอีล(Faial)
ถึงตอนนี้คนชำนาญภูมิประเทศสองคนก็เหมารถเช่าจากท่าเรือไปเที่ยวกันต่อ
"ที่นี่มีทะเลสาบสวยนะครับ อยู่ตรงกลางหุบเขาเลย ตรงที่ภูเขาไฟเคยระเบิดมาก่อน" กาเร็ทบอกกระตือรือร้น เมื่อรถจอดตรงสุดถนน ทุกคนหอบข้าวของเดินต่อ มิเกลเข้าไปจะช่วยกาเร็ทแบกขาตั้งกล้อง แต่ก็ถูกดักลาสแย่งไปถือเสียก่อน

"โห สวยจริงๆ เลย...น้ำสีฟ้าใส้ใส..."แจ๊กกี้พูดอย่างตื่นเต้น นักท่องเที่ยวหลายคนเดินถ่ายรูปกันขวักไขว่
"เอ...เราน่าจะอยู่ที่นี่กันได้นานหน่อยนะครับ วิวสวย ไว้เดี๋ยวผมจะไปเดินทางโน้น...ขอตัวไปถ่ายรูปหน่อย อยากถ่ายรูปมุมกว้างของที่นี่ ไว้ยังไงมาเจอกันสักบ่ายสอง"
"ผมไปด้วยนะครับ ไหนๆก็สมัครตัวเป็นลูกหาบเรียบร้อยแล้ว..." ดักลาสเสนอตัวเข้าช่วยเต็มที่
"ผมไปด้วยครับ..อยากถ่ายมุมกว้างเหมือนกัน..." พอลช่างภาพเอ่ยปาก ดักลาสยิ้มหุบไอ้หมอนี่ตัวขวางความสุขจริงๆ แต่ก่อนที่เขาจะเคืองมากไปกว่านี้ แจ๊กกี้ก็เรียกพอลไว้
"พอล นายไปถ่ายรูปให้ชั้นทางนั้นดีกว่า ชั้นอยากเข้าไปดูทะเลสาบใกล้ๆน่ะ ชั้นถ่ายรูปไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ ...มิเกลก็มากับพี่ด้วยสิ" ไม่พูดเปล่าแจ๊กกี้ลากแขนทอมเดินไปอีกทาง มิเกลยักไหล่วิ่งตามแจ๊กกี้ไป ดักลาสยิ้มร่า


ดักลาสเดินตามกาเร็ทเป็นเงาตามตัว เขาแย่งของมาถือซะเกือบหมด กาเร็ทแทบจะเดินตัวเปล่า..ในเมื่ออยากถือก็ถือไป ไม่ใช่เบานะนั่นเจ็ดแปดกิโลได้ กาเร็ทคิด ระหว่างเดินดักลาสก็ถามไปเรื่อย
"คุณกาเร็ทเดินทางตัวคนเดียวไปเกือบรอบโลกแบบนี้ แล้วครอบครัวไม่ว่าบ้างเหรอครับ ออกจะอันตราย" ดักลาสชวนคุย
"ก็ไม่เห็นเคยมีอะไรเกิดกับผมนี่ ทำมาสิบกว่าปีแล้ว...พ่อแม่ผมก็ไม่ว่าเพราะเห็นผมชอบ..แล้วอีกอย่างผมก็ยังไม่ได้แต่งงาน" กาเร็ทตอบ
"ฮ้า...ทำมาสิบกว่าปีแล้วเหรอครับ คุณกาเร็ทอายุเท่าไหร่แล้วนี่" ดักลาสอุทานแบบผิดคาด
"แล้วคุณคิดว่าผมอายุเท่าไหร่กัน.." กาเร็ทย้อนถาม
"เห็นแอบถามมิเกลด้วยนี่ ถามผมตรงๆก็ได้"
"ตอนแรกก็คิดว่าเท่ากับเจ้าน้องชาย...สักยี่สิบสี่ยี่สิบห้า.." ดักลาสอ้อมแอ้มตอบ
"ผมแก่กว่าคุณอีก" กาเร็ทบอก เขาทราบอายุดักลาสเพราะได้ยินตอนที่มิเกลคุยกับชายหนุ่ม
"พระเจ้า!! ผมไม่อยากจะเชื่อ คุณแก่กว่าผม คุณอายุเท่าไหร่กัน"เขาถามซ้ำอีกรอบ กาเร็ทยิ้ม
"ลองเดาดูสิครับ" เขากลั้วหัวเราะ ทุกครั้งพอเขาบอกอายุจริงทีไร คนรู้จักเขาอ้าปากค้างทุกที เพราะเขาหน้าอ่อนกว่าอายุมาก


"พอแล้ว เจ๊...ไม่ต้องลากผมแล้ว..จะกลัวผมจะหนีรึไง" พอลว่า ไม่เข้าใจแจ๊กกี้จริงๆ ทำไมจู่ๆตามเขาแจแบบนี้ มิเกลไม่ได้สนใจอะไร เดินไปเรื่อย
"ผมเลยอดไปกับกาเร็ทเลย..เพราะเจ๊แท้ๆ" พอลบ่นกระปอดกระแปดตามทาง แจ๊กกี้อดรนทนไม่ได้พูดออกมา
"ขืนชั้นปล่อยแกไปกับนายกาเร็ทนั่น มีหวังกลับไปแกถูกลดเงินเดือนแน่ เจ้าพอลเอ๋ย" แจ๊กกี้หันมาจิ้มหน้าผาก พอลมองแจ๊กกี้งงๆ
"ทำไมผมต้องถูกลดเงินเดือนด้วย...ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย"
"ผิดเต็มประตูเลย หมูเขาจะหามแต่แกดันเป็นคานเข้าไปสอด ไม่ผิดแล้วเรียกว่าอะไร" แจ๊กกี้บอก
"ใครใครเป็นหมู ใครเป็นคาน เฮ้ย...อย่าบอกนะว่าบอส..." พอลอ้าปากอย่างตกใจ เมื่อเข้าใจคำพูดของแจ๊กกี้ "บอสไม่ใช่เกย์นี่นา มีแฟนเป็นผู้หญิงตั้งหลายคน แล้วยัยเจสซี่ที่ตามตื้ออยู่ตอนนี้ก็แฟนเก่าไม่ใช่เรอะ" พอลพูดอย่างไม่เชื่อถือ
"เชื่อชั้นสิ ตาชั้นนี้ไม่พลาดหรอก ดูตอนบนเรือก็รู้...แถมคุณกาเร็ทหน้าตาดีจะตาย หล่อกว่านายแบบหนังสือเราบางคนอีก บอสจะจีบก็ไม่แปลก" แจ๊กกี้ยังยืนยันคำเดิม...พอลลองนึกย้อนไปก็คงจะจริงแฮะ
"คร้าบ... ผมมันอายุยังน้อยดูไม่ออก สู้เจ๊ไม่ได้ ตามีประสบการณ์กว่าสี่สิบปี" แจ๊กกี้หยิกพอลจนเนื้อเขียว เจ้าตัวดีร้องโอดโอย
"แต่เห็นคุณกาเร็ทหน้าใสๆแบบนั้น จริงๆอายุมากกว่าบอสอีกนะครับ" พอลบอก
"หา ชั้นนึกว่าเท่าคุณอาชเล่ย์เสียอีก" แจ๊กกี้อุทาน "แล้วนายไปสู่รู้อายุเขาได้ยังไง.." แจ๊กกี้ยังไม่ค่อยเชื่อ
"ก็ผมตามงานคุณกาเร็ทอยู่ เขาค่อนข้างมีชื่อเสียงในวงการถ่ายรูปธรรมชาติครับ..มีหนังสือรวมภาพแล้วสี่เล่ม ทำงานมาสิบกว่าปีแล้ว...เคยอ่านเจอในประวัติ ผมว่าน่าจะประมาณสามสิบสี่สามสิบห้าแล้วนะครับ"
แจ๊กกี้ตาโตกับคำบอกของพอล

แนะนำติชมได้ที่บอร์ดนิยายนะคะ...................
1