Peebee

Pround of destiny

"ความรักที่มีอุปสรรคกีดขวาง ความแตกต่างของฐานันดร พวกเขาจะทำเช่นไร.........."

บทที่ ๓

เสียงพึมพำด้วยความโมโหดังมาจากเหล่าเสนาอำมาตย์หลังจากได้ฟังข้อตกลงจากตัวแทนของหุบเขาซาราร็อก ราชินีฟอจูน่าหรี่ตาด้วยความไม่พอใจ
"พวกเราไม่ต้องการตำแหน่งใดๆที่พวกท่านเสนอมา เพราะพวกเราพอใจชีวิตอิสระ แต่พวกเราต้องการเงิน เงินมากกว่าเงินที่ท่านเสนอมาสิบเท่า" ตัวแทนร่างใหญ่ ผมสีทองหน้าตาจัดได้ว่าหล่อคนหนึ่งตะโกนตอบ
"สิบเท่า!!!! มันมากเกือบเท่าเงินในท้องพระคลังเชียวนะ" เสียงอำมาตย์คนหนึ่งอุทานอย่างตกใจ
"แต่มันคงไม่มากสำหรับชีวิตเจ้าชายรัชทายาทและชีวิตของพวกเราที่ต้องเข้าไปเสี่ยงหรอก" ตัวแทนคนนั้นหัวเราะอย่างเย้ยหยัน
"แล้วไม่ว่างานจะสำเร็จหรือไม่เราจะขอค่าเหนื่อยครึ่งหนึ่ง"
"จะมากไปแล้วนะ ช่วยไม่สำเร็จยังจะเอาเงินอีกเหรอ ขูดเลือดกันชัดๆ สันดานโจรจริงๆ" เหล่าอำมาตย์ขึ้นเสียงขึ้นพร้อมกัน
"ถ้าท่านไม่พอใจข้อเสนอนี้ เรายังมีข้อเสนอที่สองอีก" ชายร่างใหญ่หยุดพูดไปสักพัก พร้อมกวาดสายตามองไปโดยรอบ
"เงินที่ท่านเสนอมาตอนแรก แต่ทางเราอยากจะขอเชิญเจ้าหญิงอะดิลล่าเสด็จไปประทับที่หุบเขา ซาราร็อกซักระยะหนึ่ง หัวหน้าของเราต้องการยลโฉมเจ้าหญิงของอาณาจักรสักครั้ง" หลังจากจบประโยค ทั้งห้องโถงเงียบกริบ ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา
"ถ้าพวกท่านตกลง ก็ให้เจ้าหญิงเดินทางไปหุบเขาซาราร็อคพร้อมกับพวกเรา" สายตาของตัวแทนคนนั้นจ้องไปที่หน้าราชินีฟอจูน่าเพื่อรอคำตอบ
เงินสิบเท่าจากที่เสนอไปนั้นเป็นเงินที่มากซะจนเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ทุกคนรู้อยู่ในใจดีว่าพวกโจรใน หุบเขานั้นไม่ไว้ใจข้อเสนอของพวกเขา พวกเขาต้องการหลักประกันที่มีค่าพอที่จะรับประกันความปลอดภัยของพวกเขาเมื่องานสำเร็จเสร็จสิ้น ข้อเสนอที่สองนั้นพอจะเป็นไปได้ แต่ก็เป็นการเสียเกียรติมากที่จะให้ เจ้าหญิงของอาณาจักรเดินทางไปรังโจร
"เราคงต้องปฏิเสธข้อเสนอของพวกท่าน" ราชินีฟอจูน่าพูดออกมาอย่างลำบากใจ เธอถอนหายใจเบาๆ "เชิญพวกท่านเดินทางกลับเถอะ"

คืนนั้นหลังจากที่เจ้าชายซามิวอาบน้ำเรียบร้อยตระเตรียมจะขึ้นนอน เขาได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ เมื่อเดินออกมาเปิดประตูก็เห็นอะดิลล่ายืนอยู่หน้าห้อง ในมือถือถุงท่าทางหนักถุงหนึ่ง เธอวิ่งเข้ามาในห้องเขาอย่างรวดเร็วราวกับกลัวใครจะเห็น
"หม่อมชั้นมีเรื่องจะปรึกษาเสด็จพี่" เธอพูดด้วยท่าทางเร่งรีบ ซามิวมองอย่างงงๆ
"เรื่องอะไรด่วนหรือไงถึงมาหาพี่ดึกขนาดนี้" เวลาในขณะนั้นเป็นเวลาดึกมากแล้ว ธรรดาซามิวมักจะอ่านหนังสือจนดึกแล้วค่อยอาบน้ำนอน อะดิลล่าเงยหน้าสบตาพี่ชาย
"หม่อมชั้นไม่อยากปฏิเสธข้อเสนอจากพวกหุบเขาซาราร็อก"
"หา เธอรู้ตัวรึเปล่าว่าพูดอะไรออกมา ทุกคนลงมติกันแล้วนะ อะดิลล่า" ซามิวมองหน้าน้องสาวอย่างตกใจ
"ข้อเสนอที่เขาเสนอมาก็เพราะต้องการหลักประกัน พวกเราเคยยกทัพไปปราบปรามพวกเขามาแล้ว ใครจะกล้าเชื่อใจว่าเราจะไม่ทรยศพวกเขา ทางฝ่ายเรานั่นแหละที่มัวแต่หยิ่งในศักดิ์ศรีซะจนมองข้ามคนอื่น คิดแต่ว่าเสียเกียรติ" อะดิลล่าพูดพร้อมกับนั่งลงบนเตียงของซามิว ซามิวถอนหายใจ
"เสด็จแม่คงเป็นห่วงความปลอดภัยของเธอมากกว่า มันอันตรายเกินไปที่จะปล่อยเธอเดินทางไปกับโจรพวกนั้น ถ้าเกิดพวกนั้นจับเธอเป็นตัวประกันแล้วเรียกร้องเงินจากทางเราอีกล่ะจะทำยังไง เราก็เหมือนกับเผชิญปัญหาทั้งสองด้าน รอกองทัพของไฮแลนการ์ดเดินทางมาให้ถึงก่อนดีกว่า"
"กองทัพของไฮแลนการ์ดจะมาถึงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อาจจะสายไปสำหรับเราก็ได้....ราชวงศ์มาดาแลนด์อาจจะถึงกาลล่มสลายเสียก่อน" อะดิลล่ารำพึงเบาๆ
"ไม่รู้ล่ะ หม่อมชั้นตัดสินใจแล้วจะไปกับพวกหุบเขาซาราร็อก ตอนนี้หม่อมชั้นให้ทหารคนสนิทกับสาวใช้ออกไปรอนอกประตูปราสาททิศเหนือแล้ว"
"หา!!!! ทำไมทำแบบนั้นอะดิลล่า"
"ตอนนี้ตัวแทนจากหุบเขาซาราร็อกยังตั้งกระโจมที่พักอยู่นอกเมือง หม่อมชั้นจะเดินทางไปตกลงกับพวกเขา...ถ้ามีปัญหาอย่างที่พี่บอกมาจริงๆล่ะก็ ไม่ต้องสนใจหม่อมชั้นคิดเสียว่าหม่อมชั้นเสียชีวิตไปแล้วก็แล้วกัน เสด็จพี่ซาเรกับเสด็จพี่คามิวก็เสียชีวิตอย่างกล้าหาญในการรบ ทำไมหม่อมชั้นจะทำแบบนั้นบ้างไม่ได้" อะดิลล่าพูดพร้อมกับก้มหน้าลงซบกับฝ่ามือ ส่งเสียงสะอื้นเบาๆ
ซามิวรู้สึกตกใจกับการตัดสินใจอันเด็ดขาดของน้องสาวฝาแฝดยิ่งนัก อะดิลล่าเป็นที่รักของพี่น้องทุกคน เป็นเสมือนแก้วตาดวงใจของอาณาจักรเลยทีเดียว เขาเองก็เอ็นดูอะดิลล่ามากถึงแม้บางทีอาจจะมีปากเสียงกันบ้างก็ตาม ในที่สุดซามิวก็ตัดสินใจอะไรบางอย่างออกมา
"พี่จะไปแทนเธอเอง เธออยู่กับเสด็จแม่ที่นี่" ซามิวลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อผ้าตนเองบางชุดออกมา อะดิลล่ามองอย่างตะลึง
"พี่จะไปได้ไง ในเมื่อพี่ไม่ใช่เจ้าหญิงอะดิลล่า" อะดิลล่าทำท่าจะเถียง
"พี่ก็จะไปในฐานะเจ้าหญิงอะดิลล่าไง หน้าตาพี่กับเธอก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ ถ้าพวกนั้นมีศักดิ์ศรีจริง คงจะไม่มาแตะต้องพี่หรอก ถ้าไม่มีปัญหาอะไรงานก็คงเรียบร้อย เอาถุงเสื้อผ้าเธอมาให้พี่" ซามิวยื่นมือไปดึงถุงจากมือของอะดิลล่า ถุงนั้นหนักพอสมควร เขาเปิดดูก็พบว่ามีเงินอยู่ในนั้นด้วยเป็นจำนวนมากพอดู เขาเอาเสื้อผ้าของเขาใส่เพิ่มเติมลงไป
"เธออยู่ที่นี่ดูแลเสด็จแม่กับเสด็จพ่อด้วย"
อะดิลล่ามองหน้าพี่ชาย ที่จริงซามิวก็หน้าตาคล้ายเธอ รูปร่างบอบบางค่อนข้างสูง คางเหลี่ยมและหน้าคมเข้มกว่า ผิวขาวมากด้วยเพราะไม่ค่อยได้ออกไปตากแดดตากลมข้างนอก ซามิวไม่ค่อยได้เป็นที่สนใจของคนอี่นนักเพราะวันๆเอาแต่เก็บตัว แล้วก็ไม่ค่อยยิ้มแย้มแจ่มใส ผิดกับอะดิลล่า ที่ร่าเริงยิ้มแย้มอยู่เสมอ
"น้องว่าท่านพี่ซามิวตัดผมข้างหน้าออกสักหน่อยจะดูดีกว่านี้" อะดิลล่าเสนอขึ้น เป็นการยอมรับกลายๆแล้วว่าเธอจะให้ซามิวไปแทน ซามิวยิ้มบางๆ เขาให้น้องสาวจัดการตกแต่งให้เขาในแบบของหล่อน เมื่อเสร็จเรียบร้อย เธอมองหน้าเขา
"พี่จะเป็นคนสวยมากเลยนะ ถ้าพี่ยิ้มบ่อยกว่านี้" อะดิลล่าพูดอย่างใจจริง ซามิวดูดีมากในชุดแบบผู้หญิง เมื่อตัดผมออกหน้าตาดูแจ่มใสขึ้น เห็นตาสีเขียวชัดเจน
"ไม่ดีใจเลยที่มีคนชมว่าสวย..." ซามิวพูดแกมเอ็นดู
"พี่น่าจะดีใจนะ....ก็ตอนนี้พี่เป็นเจ้าหญิงอะดิลล่านี่" อะดิลล่าเดินเข้าไปหอมแก้มเขาเบาๆ ก่อนจะออกจากห้องไปซามิวหันมาพูดกับน้องสาว
"ถ้าเกิดมีปัญหากับพี่จริงๆ ก็ให้คิดว่าพี่เสียชีวิตไปแล้วก็แล้วกัน....."


คนสนิทของอะดิลล่าที่จะตามไปด้วยสองคนล้วนแต่เป็นคนที่ซามิวคุ้นหน้าดี คนหนึ่งเป็นทหารเอกฝีมือเยี่ยมชื่อราเวล อีกคนคือโซลพี่เลี้ยงสาวของอะดิลล่า ม้าสามตัวถูกผูกไว้ข้างๆ มันขยับหัวส่งเสียงร้องเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า ราวิลกับโซลเงยหน้ามองซามิว
"เจ้าชายซามิว" ด้วยความที่คุ้นเคยทำให้โซลจำเจ้าชายซามิวได้ทันที ผิดกับราเวล
"เราจะไปแทนอะดิลล่าเอง" ซามิวพูดเรียบๆ

ที่ราบนอกเมืองห่างออกไปไม่ไกลเท่าไหร่เรียงรายไว้ด้วยเต็นท์ของตัวแทนจากหุบเขาซาราร็อก แสงจากกองไฟที่ก่อไว้ส่องกระทบกับร่างใหญ่ของคนที่นั่งรายล้อมอยู่ทอดเป็นเงายาวไปทางเบื้องหลัง เสียงคุยกันดังขโมงโฉงเฉง บางคนนั่งกินอาหาร บางคนนั่งขัดถูอาวุธ
"พวกคนในวังนี่ยังหยิ่งถือตัวเหมือนเดิมนะ" ตัวแทนร่างใหญ่ผมสีทองที่เข้าไปเจรจาเมื่อตอนกลางวันกล่าวขึ้น เขาหันไปคุยกับชายร่างใหญ่อีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ
"ข้าก็กะอยู่แล้วฟาริม...ข้อเสนอของพวกเราคงถูกปฏิเสธแน่ๆ" เสียงห้าวดังมาจากร่างใหญ่ เขายกดาบในมือส่องกับแสงไฟ พลางใช้ผ้าชุบน้ำมันเช็ดทำท่าเหมือนไม่สนใจอะไร
"หึ....ข้าว่าเจ้าผิดหวังเล็กๆนะสโตล ข้าเองก็อยากเห็นเจ้าหญิงอะดิลล่าสักครั้งว่าจะสวยจริงอย่างที่เขาร่ำลือรึเปล่า" ชายหนุ่มผมทองแสยะยิ้มพร้อมหันไปมองเพื่อนข้างๆ
"เจ้าคิดเหรอว่าพระราชาอะเรเซียจะยอมปล่อยเจ้าหญิงมากับเรา มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว" ชายที่ชื่อสโตลพูดขึ้น พร้อมเอามือตบไหล่ฟาริมที่นั่งข้างๆ "คิดถึงเรื่องพรุ่งนี้ที่เราจะออกล่าสัตว์ดีกว่า"
"ข้าได้ข่าวว่าตอนนี้พระราชาอะเรเซียประชวรจนออกว่าราชการไม่ได้แล้ว ตอนนี้ให้ราชินีฟอจูน่าดูแล แทนทั้งหมด" ฟาริมตอบเพื่อนพร้อมกับถอนหายใจอย่างเสียดาย
"ในหัวเจ้านี่มีแต่เรื่องล่าสัตว์นะ เมื่อไหร่จะลองคิดเรื่องผู้หญิงบ้างวะ" เขาส่ายหัว สักพักเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าเข้ามาใกล้ ฟาริมรีบลุกขึ้นยืนพร้อมๆกับคนอื่นอีกหลายคน เสียงคุยเงียบลงทันใด สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องไปทางเสียงฝีเท้า ม้าสามตัวใกล้เข้ามา ม้าตัวหน้าสุดควบเข้ามาหาพวกเขา บนม้ามีบุรุษหนุ่มหน้าตาดี สวมชุดทหารในวัง บุรุษนั้นกวาดตามองพวกเขาสักครู่ ในที่สุดสายตาก็มาหยุดที่ฟาริม ด้วยเพราะจำได้ว่าเป็นตัวแทนที่เข้าไปเจรจาในวัง
"ข้ามีเรื่องจะเจรจากับพวกท่าน" ราเวลบอกกับฟาริมตรงๆ ฟาริมก้าวเดินออกมาข้างหน้า
"ข้าชื่อฟาริม เป็นตัวแทนของคนกลุ่มนี้ ท่านต้องการเจรจาเรื่องอะไร" ฟาริมพูดห้วนๆ
ราเวลสังเกตชายตรงหน้า ชายหนุ่มร่างใหญ่ ผมสีทองถูกมัดรวบเป็นกระจุกเล็กๆอยู่ตรงต้นคอ หน้าตาไม่หน้ากลัวเท่าไหร่ ดูดีเสียด้วยซ้ำในสายตาของเขา แต่งตัวด้วยชุดหนังเย็บติดๆกัน ที่ต้นแขนข้างหนึ่งมีปลอกแขนสีทองสวมอยู่
"เราต้องการมาเจรจาข้อเสนอของท่าน" ราเวลสูดลมหายใจลึกๆ เขาเน้นคำพูดช้าๆ
"ฮ้า...พวกท่านเกิดเปลี่ยนใจรับข้อเสนอของเราแล้วรึ ข้อเสนอของเราเป็นเงินจำนวนมากขนาดนั้นท่านจะจ่ายให้เราเมื่อไหร่ล่ะ" ฟาริมหรี่ตามองอย่างสงสัย
"นี่เป็นข้อตกลงส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับทางราชสำนัก" เสียงเล็กๆพูดแทรกเข้ามาพร้อมกับม้าอีกสองตัวควบเข้ามาใกล้ ฟาริมมองตาม ร่างเล็กใบหน้าคลุมผ้าโปร่ง เสื้อผ้าดูมีราคา
"เรามาตกลงข้อเสนอที่สอง"
เสียงพึมพำดังขึ้นกระหึ่ม ทุกสายตาจ้องไปที่ร่างเล็กบนหลังม้า ชายร่างใหญ่ที่นั่งเช็ดอาวุธอยู่หลังสุดเงยหน้าขึ้นมองนิดหนึ่ง
"เจ้าหญิงอะดิลล่า.." ฟาริมพูดอย่างประหลาดใจ
ร่างนั้นชูสร้อยคอที่ประดับด้วยตราสัญลักษณ์รูปใบไม้เล็กๆสีทองขึ้นมา
"นี่เป็นตราสัญลักษณ์ของราชวงศ์มาดาแลนด์ จะมีเฉพาะพระราชธิดาและพระราชโอรสเท่านั้น" เจ้าชายซามิวประกาศก้อง
"หึ แค่ตราสัญลักษณ์ใครก็ถือได้ มันก็เป็นแค่สมบัตินอกกาย" เสียงห้าวๆเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาจากทางด้านหลัง ร่างใหญ่ที่กล่าวลุกตามขึ้นมา ราเวลกับซามิวไม่ได้สังเกตเห็นผู้ชายคนนี้มาก่อนเพราะนั่งอยู่ในเงามืด แต่พอร่างนี้ยืนขึ้นมา ฟาริมที่ว่าสูงยังเตี้ยกว่าผู้ชายคนนี้เกือบฝ่ามือ
"เราของรับรองด้วยเกียรติของเรา" ซามิวพูดเสียงกร้าว เขาไม่ค่อยถูกชะตากับผู้ชายคนนี้เท่าไหร่
"สัญลักษณ์เปลี่ยนคนถือได้แต่หน้าตาเปลี่ยนไม่ได้ ท่านช่วยเปิดผ้าคลุมหน้าออกให้พวกเราได้เห็นหน่อยดีกว่า" ร่างนั้นยกดาบชี้มาที่ซามิว
"ถึงแม้เราไม่เคยเห็นหน้าเจ้าหญิงจริงๆมาก่อน แต่ความงามที่เขาร่ำลือกันคงพอเป็นเครื่องพิสูจน์ให้พวกเราเชื่อถือได้มั่งกระมัง" ร่างใหญ่พูดเหยียด ซามิวกัดริมฝีปากด้วยความโกรธ
"นี่ เจ้าเสียมารยาทมากไปแล้วนะ" ราเวลตะโกนขึ้นมาอย่างไม่พอใจ เขาชักดาบขึ้นมา
"ราเวล..." เสียงซามิวดังขึ้นห้าม เขายกมือปลดผ้าคลุมหน้าออก เชิดหน้าจ้องสายตาชายร่างใหญ่นั้นตรงๆ ชายคนนั้นยิ้มอย่างพอใจนิดๆ ฟาริมกับคนอื่นๆถึงขั้นตะลึงอ้าปากค้าง พวกเขาเป็นแค่โจรป่า สาวๆในหุบเขาก็มีที่หน้าตาค่อนข้างดี แต่ก็อยู่กับดินกินกับทราย ไม่ได้ถูกเลี้ยงมาอย่างทนุถนอม หน้าตาผิวพรรณย่อมต่างกัน
"พอใจรึยัง......ส่วนเรื่องเงินเราจะให้เมื่องานเสร็จแล้ว" ซามิวพูดต่อ เขายกผ้าคลุมหน้าขึ้นมาคลุมตามเดิม มีเสียงถอนหายใจด้วยความเสียดายดังออกมา
"พวกเจ้ากางกระโจมให้เจ้าหญิงอะดิลล่าด้วย" เสียงฟาริมสั่งอย่างรวด
"เดี๋ยวก่อนฟาริม"
"มีอะไรรึ สโตล" ฟาริมหันไปถามเพื่อนคู่หู
"หรือว่าท่านยังไม่เชื่อถือเรา" ซามิวถามเสียงสั่น หรือว่าผู้ชายคนนี้ดูออกว่าเขาไม่ใช่เจ้าหญิงอะดิลล่า ราเวลกับโซลหน้าซีด
"เราเชื่อถือท่าน แต่ว่าถ้าท่านหายตัวไปเฉย ทางราชสำนักคงไม่ยกทัพมาโจมตีพวกเราฐานลักพาตัวหรอกนะ" ชายคนนั้นพูดเรียบๆ
ซามิวสูดหายใจ ชายคนนี้ค่อนข้างรอบคอบทีเดียว
"เราได้บอกเสด็จพี่ของเราไว้แล้ว เสด็จแม่คงไม่ยกทัพมาตีพวกท่านได้หรอก"

ราวินซ์จ้องน้ำในทะเลสาบอยู่นาน เขามานั่งที่นี่ทุกคืนหลังจากคืนที่เขาพบผู้ชายคนนั้น เขาอยากจะสัมผัส อยากกอด อยากจูบ แต่ก็ไม่พบแม้แต่เงา จนเขาคิดว่าเขาฝันไป ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายเหมือนกันจะทำให้เขาพะวงได้เพียงนี้ บางเวลาเขาแอบเข้าไปในห้องของฟอร์ด จ้องมองรูปที่ผนังอย่างเลื่อนลอย
"ท่านมีบุตรหรือเปล่า" ราวินซ์เอ่ยปากถามฟอร์ดตอนเย็นหลังจากฟอร์ดกลับมา
"ท่านอยากรู้ทำไม" ชายในหน้ากากเหล็กเงยหน้าขึ้นมองเขา
"ข้า...ข้าก็แค่อยากรู้ว่าคนอายุขนาดท่านมีลูกหรือเปล่าก็เท่านั้นเองแหละ" ราวินซ์พูดตะกุกตะกัก
"ท่านน่าจะห่วงเรื่องอาณาจักรของท่านมากกว่าที่จะมาอยากรู้เรื่องส่วนตัวของข้า" ฟอร์ดพูดตอกกลับมาอย่างเย็นชา "แผลท่านเป็นไงบ้างล่ะ"
ราวินซ์รู้สึกเหมือนถูกตบหน้าอย่างจัง เขาอ้อมแอ้มตอบตอบไปว่า
"เกือบหายสนิทดีแล้ว ขอบใจสำหรับยาของท่าน"
"ถ้าท่านหายดีเมื่อไหร่ข้าจะพาท่านออกไปจากสถานที่นี่" ฟอร์ดพูดด้วยน้ำเสียงแปลกๆ ราวินซ์รู้สึกว่าฟอร์ดไม่ชอบสถานที่นี้เท่าไหร่ ทั้งๆที่มันเป็นห้องที่สวยงามมาก
"ท่านหมายความว่าจะพาข้าไปที่อื่นงั้นเหรอ" ราวินซ์ย้อนถาม
"ข้าจะปล่อยท่านไปต่างหาก" ฟอร์ดพูดเรียบพร้อมกับเดินเข้าไปนั่งบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน
"ปล่อยข้าไป..." ราวินซ์อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ เขาเป็นเชลยคนสำคัญที่สามารถ ต่อรองกับมาดาแลนด์ได้ เรื่องอะไรพระราชาดาซิลจะยอมปล่อยเขาไปเฉย หนแรกที่ได้ยินเขาคิดว่าฟอร์ดพูดประชดไปอย่างนั้นเอง
"พระราชาดาซิลยกท่านให้ข้าแล้วนี่ ข้าจะทำอะไรมันก็เรื่องของข้า" ฟอร์ดถอนหายใจ เขาหันไปมองรูปผู้หญิงบนผนังแล้วเงียบไป
ราวินซ์ไม่ได้ซักถามอะไรต่อ ถ้าฟอร์ดปล่อยเขาไปจริงๆ พระราชาดาซิลจะจัดการกับฟอร์ดยังไง ราวินซ์รู้สึกว่าตนเองเป็นห่วงแม่ทัพฝ่ายศัตรูคนนี้พอสมควร

แนะนำติชมได้ที่บอร์ดนิยายนะคะ...................
1