Peebee

Pround of destiny

"ความรักที่มีอุปสรรคกีดขวาง ความแตกต่างของฐานันดร พวกเขาจะทำเช่นไร.........."

บทที่ ๔

     รุ่งเช้าหลังจากเก็บกระโจมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฟาริมเดินเข้ามาทักทายซามิวกับโซล ท่าทางเขากระตือรือร้นพอสมควร ในมือถือหน้าไม้ขนาดใหญ่อันหนึ่ง พร้อมสะพายกระบอกใส่ลูกดอกอยู่ด้านหลัง
ซามิวสังเกตจำนวนคนจากหุบเขาซาราร็อก เห็นมีทั้งหมดแปดคน คนที่ดูท่าทางเป็นมิตรที่สุดคือฟาริม เพราะยิ้มแย้มแจ่มใสเสมอ และหน้าตาก็ดูไม่น่ากลัว ส่วนคนที่ซามิวไม่ถูกชะตาตั้งแต่แรกเห็นก็คือสโตล ชายร่างใหญ่เพื่อนของฟาริมที่ชอบพูดจาไม่เป็นมิตรคนนั้น
"รู้สึกเป็นยังไงบ้างพะยะคะ นอนหลับสบายไหม" ฟาริมเอ่ยปากถาม
"เราไม่ค่อยได้ออกเดินทางนอกปราสาทเท่าไหร่ เลยไม่ค่อยคุ้นกับการนอนนอกสถานที่น่ะ" ซามิวตอบเลี่ยง เขานอนแทบไม่หลับเลยเพราะมัวแต่คิดกังวลตลอด ผิดกับโซลที่หัวถึงหมอนก็หลับ
วันนี้ซามิวปลดผ้าคลุมหน้าออกแล้ว ใบหน้าสวยได้รูปปรากฏชัดเจน ผมสีน้ำตาลบางส่วนถูกมัดไว้หลวมๆด้านหลัง ชุดคลุมยาวสีเขียวอ่อนรับกับสีดวงตา คาดทับด้วยเข็มขัดผ้าสีทองมีปลายห้อยลงมาที่เอว กางเกงผ้าสีขาว รองเท้าผ้าสีน้ำตาล เป็นชุดที่ซามิวใส่แล้วรู้สึกว่าไม่ดูเป็นผู้หญิงมากนัก
"พวกท่านกำลังจะเดินทางกลับแล้วใช่ไหม เราจะได้ให้ราเวลไปเตรียมม้า" ซามิวถาม เพราะเห็นทุกคนท่าทางกระตือรือร้นเตรียมอาวุธ ชายร่างใหญ่ที่ซามิวไม่ชอบหน้าก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย

ด้วยความที่ตัวสูงใหญ่ ทำให้เขาดูเด่นท่ามกลางกลุ่มคน เสื้อขนสัตว์แขนกุด ท่อนแขนข้างขวาพันผ้าสักหลาดสีเทาไว้ กางเกงขายาวสีดำรัดรูป ผมสีเดียวกันแสกข้างอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก ที่หน้าผากคาดแผ่นหนังค่อนข้างใหญ่สลักลวดลายประหลาด หน้าตามีหนวดเครารุงรังทำให้ซามิวกะอายุไม่ถูก เขายืนตะโกนสั่งงานอยู่ทำให้ซามิวรู้ว่าเขาต้องมีฐานะในกลุ่มค่อนข้างสูงแน่
"เอ่อ....ยังไม่ใช่ยังนั้นหรอกพะยะค่ะ พวกเรากำลังจะเดินทางไปล่าสัตว์แถวชายป่าก่อน วันพรุ่งนี้ถึงเดินทางกลับ" ฟาริมยิ้มเจื่อนๆ
"ล่าสัตว์!!!!!" ซามิวรู้สึกตกใจ "แทนที่จะล่าสัตว์พวกท่านกลับหุบเขา คิดหาวิธีที่จะช่วยพี่ชายเราไม่ดีกว่าหรือ" เขาพูดปนโมโห ราเวลกับโซลพยักหน้าเห็นด้วย พวกเขามองฟาริมดว้ยสายตาตำหนิชัดเจน
"คือที่จริงหลังจากทางมาดาแลนด์ปฏิเสธข้อเสนอของพวกเราแล้ว พวกเราก็ตกลงกันว่าจะไปล่าสัตว์ที่ชายป่าเพื่อเก็บไว้เป็นเสบียง พวกเราไม่ได้คาดมาก่อนว่าองค์หญิงจะเสด็จมาเอง แล้วพวกลูกน้องก็ค่อนข้างกระตือรือร้น" ฟาริมทำท่าลำบากใจขณะพูด เขาเองก็ไม่ค่อยกล้าขัดใจลูกน้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อยากล่าสัตว์มากที่สุดคือสโตล เพื่อนรักเขาอีกด้วย
ซามิวเริ่มรู้ตัว ที่จริงการที่จู่ๆเขามาก็ทำให้ทางนี้ค่อนข้างลำบากใจพอสมควร เพราะได้วางแผนการต่างๆไว้แล้ว
"ขอโทษ...เราเองก็ค่อยข้างใจร้อนไปหน่อย" ซามิวพูดเสียงเบา "เชิญพวกท่านตามสบายเถอะ"

     การล่าสัตว์ของพวกหุบเขาซาราร็อกก็คือการขี่ม้าไล่ตามฝูงกวางหรือฝูงวัวป่าในทุ่งกว้าง ใช้หน้าไม้ไล่ยิงสัตว์ให้ล้ม หรือไม่ก็ใช้เชือกคล้องจับเป็น
ราเวลก็เข้าร่วมล่าสัตว์ด้วย ท่าทางเขาสนุกพอสมควร ซามิวมองฝ่ากลุ่มฝุ่นหนา เขาเห็นร่างใหญ่ดูเด่นท่ามกลางกลุ่มคน เสียงตะโกนโห่ร้อง สโตลเป็นคนที่ล่าสัตว์ได้มากที่สุด หน้าไม้ที่เขายิงออกไปแทบไม่มีพลาดเป้า ส่วนคนอื่นๆบางคนก็ได้แต่ขี่ม้าไล่ตาม เสียงสัตว์ร้องอย่างเจ็บปวดดังระงม ซามิวไม่ชอบการล่าสัตว์เลยจริงๆ ถึงเขาจะเป็นผู้ชายแต่ไม่เคยเห็นว่าการทำแบบนี้จะเป็นการสนุกสนาน เขาชักม้าเดินออกไปอีกทางหนึ่ง โซลควบม้าตามเขาไป

ต้นไม้ใหญ่ร่มครึ้มตรงเขตชายป่า กลิ่นหอมของกล้วยไม้โชยออกมา ซามิวกับโซลควบม้าชมทิวทัศน์อย่างสำราญใจ ในที่สุดเขาผูกม้าไว้กับต้นไม้แล้วลงเดิน เขาเพลิดเพลินจนลืมเวลา แสงแดดเริ่มจางลง โซลเริ่มสังเกตเห็นตัวหนอนเล็กๆหลายตัวคลานอยู่ตามใบหญ้า บางตัวกระโดดขึ้นมาเกาะตามเสื้อผ้า โซลปัดออกด้วยความรังเกียจ แต่พวกหนอนเหมือนยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ โซลร้อง ยี้...ทันใดนั้นเองซามิวก็ได้ยินเสียงม้าร้องด้วยความตกใจ พอเขาเห็นพวกหนอนเล็กๆพวกนั้นก็หน้าเปลี่ยนสี รีบฉุดโซลออกวิ่งทันทีไม่สนใจสัมภาระใดๆที่ทิ้งไว้เลย เขาวิ่งฝ่าออกมาจนถึงทุ่งหญ้าที่ล่าสัตว์เมื่อครู่ การล่าสัตว์จบลงแล้วแต่ทุกคนกำลังเป็นห่วงเจ้าหญิงที่หายตัวไป โดยเฉพาะราเวล เขาหน้าซีดเผือด ด้วยความเป็นทหารประจำตัวเขากับละเลยหน้าที่ ถ้าเจ้าชายซามิวเป็นอะไรไปล่ะก็ ชีวิตเขาอีกสิบชีวิตก็ไม่คุ้ม ทันทีที่ได้ยินเสียงร้อง เขารีบควบม้าไปทางต้นเสียง แต่ม้าตัวที่กระโจนนำหน้าเขาไปกลายเป็นม้าของสโตล

ซามิวกับโซลยืนหอบอยู่ที่ราวป่า ทั้งสองคนต่างสำรวจเสื้อผ้าของตัวเองขณะที่ราเวลกับสโตลควบม้ามาถึง
"เกิดอะไรขึ้นพะยะค่ะ" ราเวลรีบลงจากม้าวิ่งเข้าไปหา
"ในป่ามีแต่หนอนทั้งนั้นเลย" โซลละล่ำละลักพูด ขนลุกซู่
"นั่นมันไม่ใช่หนอนหรอก แต่เป็นตัวอูลต่างหาก ส่วนใหญ่จะออกหากินตอนกลางคืน" ซามิวพูดด้วยสีหน้าตกใจ เพื่อระงับอาการหอบเขารีบสูดหายใจลึกๆ
สโตลยิ้มที่มุมปากนิดหนึ่ง "ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าหญิงจะมีความรู้รอบตัวมากขนาดนี้ ยังดีที่วิ่งออกมาทันนะพะยะค่ะ"
โซลมองอย่างงงๆ เธอไม่เห็นว่าเจ้าหนอนตัวเล็กๆนี่จะอันตรายขนาดไหน เพียงแต่ว่ามันน่าขยะแขยงเท่านั้นเอง แต่ชายหนุ่มข้างหน้าสามคนพูดราวกับว่ามันอันตรายมากอย่างนั้นแหละ
"อูล เป็นสัตว์ที่ดูดเลือดสัตว์เป็นอาหาร อาศัยอยู่เป็นฝูง ไม่ว่าเป็นสัตว์ใหญ่ขนาดไหนแต่ถ้าหลงเข้าไปในดงอูลแล้วล่ะก็ เพียงแค่ไม่กี่นาทีก็จะเหลือแต่ซากแห้งๆ" ฟาริวอธิบายให้โซลฟัง
"พวกท่านมีสมุนไพรป้องกันอูลบ้างหรือเปล่า สัมภาระของพวกเรายังอยู่ในป่า" ซามิวเงยหน้าถามสโตล เห็นเขายิ้มๆตะโกนเข้าไปคุยกับกลุ่มคนด้านหลัง มีคนโยนขวดยาเล็กๆมาให้เขา เขาส่งต่อให้ซามิว
"ถ้าเจ้าหญิงทายานี้ตามขาและแขน พวกอูลจะไม่กล้าเข้าใกล้" เขาพูดสั้นๆ ห้วนๆ ซามิวยกยาขึ้นมาดม เขาไม่ทันตั้งตัวกับกลิ่นยาที่ฉุนและแสบ เขาไอสำลักอย่างเต็มที่ น้ำตารื้อขึ้นเต็มสองตา โซลรีบเข้ามาประคอง เขาได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆดังมาจากคนข้างหน้า
หลังจากทายาเรียบร้อย สโตลกับฟาริมและราเวลก็เดินเข้าไปสำรวจในป่า ทั้งสามคนกลับมาด้วยถุงสัมภาระเพียงไม่กี่ถุง
"ม้าทั้งสองตัวไม่รอดแล้วพะยะค่ะ ถูกดูดเลือดจนเกือบหมดทั้งสองตัว" ราเวลอธิบายรายละเอียดให้ฟัง ซามิวรู้สึกเหมือนเป็นความผิดของตัวเองที่ทำให้เกิดเรื่องยุ่งยาก
สโตลโยนถุงใส่ของที่เคยผูกติดกับตัวม้าลง โซลเดินเข้าไปหยิบมาถือไว้
"ขาดม้าไปสองตัวการเดินทางคงต้องล่าช้าขึ้นแน่" ซามิวพึมพำขึ้นมา
"ไม่มีปัญหาอะไรหรอกพะย่ะค่ะ องค์หญิง หม่อมชั้นจะเอาม้าจากคนของหม่อมชั้นให้องค์หญิงกับคนรับใช้ใช้ไปก่อน" ฟาริมพูดยิ้มๆ สโตลหยิบนกหวีดที่เขาคล้องคอขึ้นมาเป่าเป็นเสียงแหลมๆยาวๆ สองที ซามิวรู้สึกแปลกใจกับการกระทำนั้น แต่อีกไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงกระพือปีกของสัตว์ชนิดหนึ่ง สโตลยกมือข้างที่เขาพันผ้าสักหลาดขึ้น เจ้าสัตว์ตัวนั้นก็บินเข้ามาเกาะแขนของสโตล
นกอินทรีย์สีขาวล้วน ดวงตาสีทอง ตัวค่อนข้างใหญ่ มันกวาดตามองคนรอบๆตัวอย่างสำรวจ ซามิวมองด้วยสายตาชื่นชม เขารู้สึกชอบนกตัวนี้ทันที
"เดี๋ยวหม่อมชั้นจะเขียนจดหมายผูกขาเน็กซ์ให้มันบินไปส่งข่าวที่หุบเขา บอกว่าให้ส่งม้ามาเพิ่มอีกสี่ตัว" ฟาริมพูด
หลังจากเขียนเรียบร้อย เน็กซ์บินตรงไปที่หุบเขาด้วยความรวดเร็ว
"เราล่าสัตว์ได้มากพอสมควร ให้พวกนั้นจัดการรมควัน เก็บไว้เป็นเสบียงในหุบเขา ส่วนพวกเราห้าคนก็เดินทางกลับวันพรุ่งนี้แต่เช้า คงจะถึงหุบเขาตอนช่วงพลบค่ำได้" สโตลพูดด้วยสายตาเย็นชา เขาควบม้าเข้าไปคุยกับคนด้านหลัง แล้วก็ขี่จากไป ทิ้งฟาริมกับพวกไว้
"สโตลมันค่อนข้างเป็นคนใจร้อน พูดน้อย ดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ แต่จริงๆแล้วมันเป็นคนใจดีนะพะยะค่ะ" ฟาริมหันมาพูดกับเจ้าชายซามิว
"ท่านสองคนรู้จักกันมานานแล้วหรือ" ซามิวถาม
"ตอนเด็กๆเล่นด้วยกันเป็นประจำ โดนหัวหน้าหุบเขาทำโทษเกือบทุกวันด้วยเพราะความซนพะยะค่ะ" ฟาริมพูดด้วยสีหน้ายิ้มๆ ทำให้ซามิวนึกไปถึงพี่น้องของเขาที่ตอนนี้เหลืออยู่เพียงไม่กี่คน พี่ชายสองคนเสียชีวิตจากสงคราม อีกคนถูกจับเป็นเชลย พี่สาวแต่งงานไปอยู่อาณาจักรอื่น น้องสาวอีกคนก็อายุเพียงแค่สองขวบ ก็เหลือแต่อะดิลล่าที่เป็นฝาแฝดกับเขา

"ขออภัยด้วยแม่ทัพฟอร์ด ท่านพาชายผู้นี้ออกจากที่นี้ไม่ได้ขอรับ" ทหารยามพูดพร้อมกับยกมือขึ้นมากันเขา
"ทำไม ชายคนนี้เป็นของข้า ข้าจะพาไปไหนมันก็เรื่องของข้า" ฟอร์ดถามเสียงกร้าว
"คะ...คือมีคำสั่งมาอย่างนี้ขอรับ" ทหารพูดด้วยสีหน้าลำบากใจ ฟอร์ดคำรามในลำคอ ข้างฝ่ายราวินซ์เองกลับไม่รู้สึกแปลกใจเท่าไหร่
"คำสั่งจากพระราชาดาซิลงั้นเรอะ" เขายกมือทุบกำแพง ทหารคนนั้นทำท่ากลัว
"เอะ..เอ่อ จากแม่ทัพวัลโลขอรับ" เขาพูดตะกุกตะกัก
"วัลโล!!!!" เขาตะโกนเสียงดัง "วัลโลมีสิทธิอะไร" พอพูดจบเขาก็หันหลังเดินกระทืบเท้ากลับไปที่ห้อง เสียงชุดเกราะกระแทกพื้นดังเป็นจังหวะ
โครม เสียงผลักประตูอย่างแรงพร้อมกับร่างที่เดินเข้ามาด้วยความโมโห วัลโลเงยหน้าขึ้นมองนิดหนึ่งอย่างไม่สนใจ
"หึ ท่านแม่ทัพฟอร์ด มีเรื่องอะไรหรือถึงได้มาหาข้าถึงนี่" เขาปิดหนังสือที่กำลังอ่านค้างไว้อยู่
"ท่านไม่มีสิทธิ์มาสั่งข้าไม่ให้พาใครออกไป..พระราชาดาซิลเท่านั้นที่มีสิทธิ" ดวงตาสีม่วงฉายแสงอย่างโกรธเคืองผ่านหน้ากากเหล็ก
"หึ..ข้าไม่มีสิทธิสั่งท่านหรอก แต่ข้าถือเป็นที่ปรึกษาของพระราชาดาซิล อะไรที่ข้าเห็นว่าเป็นอันตรายต่อประเทศชาติ หรือขัดผลประโยชน์ข้าน่าจะมีสิทธิ์สั่งได้ไม่ใช่รึ คนที่ใช้แต่กำลังอย่างท่านอาจจะไม่เข้าใจก็ได้กระมัง" วัลโลย้อนถาม เขายิ้มมุมปากก่อนจะพูดว่า "ท่านมาก็ดีแล้ว ข้ามีเรื่องจะไหว้วานพอดี ข้าได้ข่าวมาว่าไฮแลนการ์ดจะยกกำลังหนุนมาช่วยมาดาแลนด์ ท่านช่วยยกทัพไปดักโจมตีไฮแลนการ์ดก่อนที่จะไปถึงมาดาแลนด์ที" วัลโลพูดแบบไม่สนใจอะไรนัก "หรือว่าท่านจะให้ข้าไปขอคำสั่งจากพระราชาดาซิลมาก่อนก็ได้นะ" วัลโลยิ้มเยาะๆ
ฟอร์ดได้แต่ยืนอึ้ง เขาโกรธจนตัวสั่น แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เขาสะบัดหน้าเดินออกจากห้องไป แต่ก็ยังได้ยินเสียงวัลโลตะโกนไล่หลังมา
"ท่านน่าจะรู้ ที่พระราชาดาซิลเอาใจท่านขนาดนี้เพราะอะไร ทุกคนเขาก็รู้กันทั้งนั้น"

     พลบค่ำฟาริมให้คนของเขายกน้ำมาให้ซามิวสองถังสำหรับชำระล้างตัว ซึ่งเขารู้สึกดีมากเพราะตัวเหนียวเหนอะหนะ แถมยังกลิ่นยาที่ทาไปเมื่อตอนบ่ายอีกด้วย หลังจากอาบน้ำเสร็จเขาเดินออกไปนอกกระโจมคนเดียว คนหลายคนกำลังง่วนอยู่กับการชำแหละเนื้อสัตว์ พวกนั้นก่อไฟกองใหญ่ เมื่อชำแหละเนื้อสัตว์เสร็จก็เสียบไม้อังไฟ กลิ่นหอมของน้ำมันสัตว์ผสมกับกลิ่นเนื้อเป็นกลิ่นหอมชวนกินยิ่งนัก
"เจ้าหญิงอะดิลล่า" เสียงเรียกเบาๆดังมาจากทางด้านหลัง ซามิวหันไปก็เห็นฟาริมยืนยิ้มอยู่ เขายิ้มตอบทักทาย
"อาหารเย็นใกล้จะเสร็จแล้วพะย่ะค่ะ ไม่ทราบว่าอาหารฝีมือชาวป่าชาวดงอย่างหม่อมฉันจะถูกปากเจ้าหญิงหรือเปล่า คงจะสู้อาหารในวังไม่ได้" ฟาริมพูดติดตลก เขาชอบหาโอกาสเข้ามาคุยกับเจ้าหญิงอะดิลล่า ในสายตาเขาเจ้าหญิงอะดิลล่าเป็นผู้หญิงที่ไม่ค่อยถือยศศักดิ์หรือหยิ่งจนเกินไป แต่ก็มีสง่าราศีเหนือกว่าหญิงคนอื่นที่เขาเคยพบเห็น
"หึ...อาหารในวังไม่ได้อร่อยอย่างที่ท่านคิดหรอกนะ แต่พวกพ่อครัวเขาชอบคิดไปเองว่าเลิศลอยที่สุด เราก็เลยไม่กล้าบอกความจริงให้เขาฟัง" ซามิวพูดเรียบๆ แต่ฟาริมกับหัวเราะเสียงดัง เขายกมือขึ้นเสยผมพร้อมกับพูดว่า "หม่อมชั้นอยากลองชิมบ้างซะแล้ว"
ทั้งสองคนยืนคุยกันอยู่นานโดยไม่รู้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งจ้องพวกเขาผ่านกลุ่มคนที่กำลังทำงานอยู่ ร่างนั้นถอนหายใจเงียบๆพร้อมกับก้มสั่งงานต่อ

แนะนำติชมได้ที่บอร์ดนิยายนะคะ...................
1