Peebee

Pround of destiny

"ความรักที่มีอุปสรรคกีดขวาง ความแตกต่างของฐานันดร พวกเขาจะทำเช่นไร.........."

บทที่ 5

เส้นทางไปหุบเขาซาราร็อกค่อนข้างลำบาก อากาศร้อนระอุ ม้าห้าตัวควบขับมาตามทาง ห่างจากเส้นทางไปไม่ไกลเป็นเขตป่าทึบที่มีหมอกปกคลุมตลอดปี ชาวบ้านที่อาศัยแถบนี้เรียกป่านี้ว่า "ป่าต้องห้าม" เพราะเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายนานาชนิด และข่าวลือเกี่ยวกับมังกร จึงแทบจะไม่มีใครกล้าเหยียบย่างเข้าไป
ฟาริมที่นำหน้าชักม้าหยุดกระทันหัน เส้นทางข้างหน้ามีแต่ฝุ่นคลีคละคลุ้งแทบไม่เห็นเส้นทาง ม้าอีกสี่ตัวข้างหลังหยุดตาม สโตลควบม้าขึ้นไปยืนเคียง ทั้งสองคนมองหน้ากัน ฟาริมกระโดดลงจากหลังม้าเอาหูแนบกับพื้นดิน หน้าตาเคร่งเครียด ทุกคนเงียบกริบ
"เกิดอะไรขึ้นเหรอ" ซามิวถามด้วยสีหน้ากังวล ราเวลที่อยู่ข้างๆชี้ไปที่กลุ่มควันข้างหน้า
"หม่อมชั้นคิดว่าเส้นทางข้างหน้าคงจะต้องเกิดอะไรขึ้นสักอย่างพะยะค่ะ" เขามีสีหน้าครุ่นคิด "คงจะเป็นกองทหารแน่"
"อาจจะเป็นทัพเสริมจากไฮแลนการ์ดก็ได้นะ" โซลพี่เลี้ยงพูดด้วยความดีใจ
"ถ้าเป็นทัพเสริมจากไฮแลนการ์ดจริงละก็ อาจจะมีปัญหาอะไรสักอย่าง เหมือนเกิดการต่อสู้พะยะค่ะ" ฟาริมสีหน้ากังวล "เส้นทางนี้เป็นเส้นทางเดียวที่ตรงไปสู่หุบเขาได้"
"หมายความว่าเราต้องรองั้นเหรอ เราลองเข้าไปดูให้แน่ได้ไหม" ซามิวพูดอย่างสงสัย
"อันตรายเกินไปที่จะเอาตัวเข้าไปเสี่ยงพะยะค่ะ หม่อมชั้นคงปล่อยองค์หญิงไปไม่ได้" ราเวลพูดเสียงดัง
"อาจจะเป็นทางเบสแลนด์ยกทัพมาตีไฮแลนการ์ดก็เป็นได้" สโตลทำท่าครุ่นคิด
"ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเราต้องช่วยไฮแลนการ์ดนะ" ซามิวโพล่งขึ้นมา
"ตอนนี้เรามีกำลังแค่ขยิบมือ จะไปช่วยกองทัพอะไรได้" สโตลถามเหยียดๆ เขาแทบจะไม่เคยพูดคำราชาศัพท์กับซามิวเลย "แค่เอาตัวให้รอดไปถึงหุบเขาก่อนก็บุญแล้ว..." ซามิวนั่งอึ้ง


"เหตุการณ์เป็นยังไงบ้างฟาริม" สโตลเอ่ยปากถามหลังจากที่ฟาริมควบม้าไปดูลาดเลา
"ก็อย่างที่นายคิดนั่นแหละ เบสแลนด์ยกทัพมาดักตีไฮแลนการ์ดจริงๆ ตรงช่องหุบเขาข้างหน้า ปิดเส้นทางการเดินทางของพวกเราพอดี" เขาพูดพร้อมกับยกมือขึ้นเช็ดฝุ่นตามใบหน้า
"แล้วสภาพการณ์เป็นยังไง" ราเวลถามด้วยความกระวนกระวายใจ เขารู้สึกเป็นห่วงกองทัพของไฮแลนการ์ด ซามิวเองก็เช่นกันแต่เขาไม่ได้พูดออกมา
"เท่าที่ดูทั้งสองฝ่ายกำลังคุมเชิงกันอยู่ แม่ทัพทางฝ่ายไฮแลนการ์ดก็ฝีมือใช่ย่อย อาจจะต้องสูญเสียกำลังทั้งสองฝ่าย" ฟาริมพูดแบบคะเน
"แล้วพวกเราจะต้องรออยู่แบบนี้นะเหรอ" ราเวลพูดโพล่งขึ้นมา ด้วยเลือดนักรบเขาอยากจะกระโจนเข้าไปช่วยทางไฮแลนการ์ดยิ่งนัก
"ถ้าไฮแลนการ์ดสูญเสียกำลังคนมากแล้วเราจะมีอะไรไปต่อกรกับเบสแลนด์อีกล่ะ" โซลพูดซื่อๆ แต่ก็สะดุดใจคนที่เหลือ ทุกคนหน้าซีดเมื่อนึกถึงความจริงที่กำลังจะเกิด
"กำลังคนจากหุบเขาซาราร็อกจะช่วยเราได้หรือไม่" ซามิวในคราบเจ้าหญิงอะดิลล่ามองไปทางฟาริมอย่างขอร้อง ฟาริมได้แต่ถอนหายใจ
"กำลังคนของทางหุบเขาเองก็มีประมาณแค่ห้าร้อยคนเท่านั้น ถ้าดักซุ่มโจมตีแต่เฉพาะแม่ทัพของอีกฝ่ายก็อาจจะมีทางเป็นได้เพราะทางเรามีคนชำนาญภูมิประเทศหลายคน" สโตลพูดขัดขึ้นมา ซามิวรีบหันไปมอง
"ถ้าเน็กซ์ยังอยู่กับเราก็ดี อย่างน้อยก็ยังมีหนทางที่จะติดต่อคนในหุบเขาได้ง่ายขึ้น แต่นี่...." ฟาริมถอนหายใจอีกครั้ง เขารู้สึกเหมือนทุกอย่างมีแต่ปัญหามาประดัง
"เราต้องรีบเดินทางกลับหุบเขาให้ได้เร็วที่สุด" สโตลพูดขึ้นเรียบๆ "เรายังมีอีกเส้นทางที่สามารถผ่านเข้าไปในหุบเขาได้" เขาเว้นช่วงระยะไป ฟาริมจ้องหน้าสโตลอย่างตกใจ เขาขมวดคิ้วพร้อมกับตะโกนขึ้นมา
"เจ้าคงไม่คิดจะผ่านป่าต้องห้ามหรอกนะ สโตล!!!"


ถึงแม้ซามิวกับพรรคพวกจะไม่เคยเข้าป่าต้องห้ามมาก่อน แต่ทั้งสองก็รู้ถึงคำเล่าลือของชาวบ้านเกี่ยวกับป่าต้องห้ามดี
"ท่านจะเดินทางผ่านป่าต้องห้ามงั้นหรือ" ซามิวถามขึ้นมา รอยยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นที่มุมปากสโตล
"หรือว่าองค์หญิงไม่กล้าพอที่จะตัดสินใจพะยะค่ะ"
"ทำไมเราจะไม่กล้า" ซามิวพูดอย่างโมโห เกลียดผู้ชายคนนี้นัก เกลียดทั้งคำพูดและกิริยาท่าทาง "เรากล้าเดินทางมากับพวกท่านนี่ยังไม่เพียงพออีกหรือ.....ถ้าท่านกล้าเสนอออกมาเราก็กล้าพอที่จะรับ" ซามิวพูดพร้อมกับหอบหายใจด้วยความโกรธ ฟาริมกับราเวลมองหน้าทั้งสองคนอย่างเลิ่กลั่ก ฝ่ายโซลนั้นกลัวจนตัวสั่นไม่กล้าจะทำอะไรอยู่แล้ว
"มะ...ไม่ใช่ว่าจะอันตรายกว่าเดิมนะเพคะ ป่าต้องห้าม ยายของหม่อมชั้นเคยบอกไว้ว่า ใครผ่านเข้าไปไม่เคยรอดชิวิตมาก่อน" โซลพูดพร้อมกับตัวสั่นเป็นลูกนก ฟันกระทบกันดังกึกๆ
"แต่มันเป็นหนทางที่ดีที่สุดตอนนี้ เราเองก็เคยได้ยินแต่คำเล่าลือมาเหมือนกัน เต่ถ้าเราไม่กล้าเสี่ยงจะปล่อยให้มันฝ่านเลยไปงั้นหรือ" ซามิวพูดอย่างเข้มแข็ง จนฟาริมและราเวลมองอย่างชื่นชม สโตลได้แต่ยืนนิ่งเงียบ ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย

ทั้งห้าคนทายาป้องกันแมลงและตัวอูลอีกครั้ง กลิ่นอันเหลือรับของยาทำให้โซลกับซามิวหน้าเบ้
"ข้ารู้สึกว่าข้ากลัวกลิ่นยานี่มากกว่ากลัวเจ้าตัวอูลแล้วละสิ" ซามิวพูดขึ้นมา
"ถ้าทาบ่อยๆก็ชินเองพะยะคะ ถ้าอยู่ในหุบเขาซาราร็อกแล้วล่ะก็อาจจะต้องทาทุกวันก็ได้" ฟาริมพูดยิ้มๆ
"หา!!! ทาทุกวันงั้นเหรอ" ซามิวแทบจะตะโกนออกมา แต่เมื่อเขาเห็นฟาริมหัวเราะเสียงดังก็จึงรู้ว่าแค่ล้อเล่น
"ห้ามจับต้องอะไรตามใจชอบ เมื่อถึงชายป่าเราคงต้องลงเดิน ส่วนม้าก็ทิ้งให้เดินทางกลับเอง พยายามเดินตามหลังข้ากับฟาริม เอาแต่สัมภาระที่จำเป็นมาถือไว้ ส่วนที่ไม่จำเป็นก็เอาทิ้งไป" สโตลหันมาสั่งกับทุกคน
เส้นทางในป่าปกคลุมด้วยเถาวัลย์และไม้หนาม ทางเดินค่อนข้างเฉอะแฉะ แมลงชุกชุม ต้นไม้ป่าสูงตระหง่าน ได้ยินเสียงน้ำไหลไกลๆเหมือนกับมีแม่น้ำไหลผ่านเส้นทางข้างหน้า สโตลเดินนำหน้าสวบๆอย่างมั่นใจ อาวุธในมือฟันเถาวัลย์ถางหญ้าออกเป็นทาง
"เจ้าหญิงมั่นพระทัยได้เลยพะยะค่ะ ถ้ามากับสโตลหม่อมชั้นรับประกันว่าป่าต้องห้ามอีกสิบป่าก็ฝ่าได้"
"ข้าเคยได้ยินว่าป่าต้องห้ามมีมังกรอาศัยอยู่ ยายข้าเล่าว่าบางคืนก็จะได้ยินเสียงมันคำรามจริงหรือเปล่า" โซลถามเสียงสั่น เรื่องเล่าสมัยเป็นเด็กฝังความกลัวไว้ในจิตใต้สำนึกของหล่อน ซามิวมองหน้าฟาริมราวกับจะถามด้วยเหมือนกัน
ฟาริมขำในลำคอ เขาสั่นศีรษะเบาๆ
"ทุกอย่างเป็นเรื่องกุขึ้นทั้งนั้นแหละ ไม่มีมังกรอะไรที่ว่านั่นหรอก ป่าต้องห้ามเป็นปราการป้องกันคนภายนอกของหุบเขาซาราร็อก บรรพบุรุษของพวกเราในหุบเขาพยายามกุเรื่องหลอกชาวบ้านเพื่อไม่ให้คนเข้ามาในป่า ตอนกลางคืนก็แกล้งทำเสียงประหลาดๆ พวกชาวบ้านก็หลงเชื่อเป็นตุเป็นตะว่ามีจริง"
"งั้นจริงๆแล้วป่าต้องห้ามก็เป็นป่าธรรมดานะสิ" ราเวลถามขึ้นมา
"ก็เป็นป่าธรรมดา แต่ถ้าป่าไหนไม่มีคนย่างกรายเข้ามามันย่อมจะอันตรายกว่าป่าธรรมดาอยู่แล้ว" สโตลพูดขัดขึ้นมา เขาไม่อยากให้ฟาริมพูดถึงความลับของหุบเขาออกไปมากกว่านี้
หลังจากฟังฟาริมเล่าทุกคนเดินได้อย่างสบายใจขึ้น สโตลยังเดินนำหน้าเหมือนไม่รู้จักเหนื่อย จนระยะห่างเริ่มไกลขึ้นเรื่อยๆ
"นี่...อย่าเพิ่งรีบร้อนสิ รอเจ้าหญิงด้วย" ฟาริมตะโกนเรียกเพื่อนที่เดินจ้ำอ้าวไม่หยุด สโตลหัวคิ้วขมวดอย่างไม่พอใจ เดินย้อนกลับมา
"ที่นี่ยังอันตราย ควรจะรีบเดินเข้าไว้ก็ดี ก่อนที่จะพลบค่ำเราจะได้ถึงที่หมาย" สโตลพูดพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ป่าที่นี่หนาทึบมากจนแสงส่องเกือบลงมาไม่ถึง อากาศจึงค่อนข้างชื้นและมืดครึ้มราวกับตอนเย็น กลิ่นดินผสมกับกลิ่นหญ้าเป็นกลิ่นแปลกๆ เสียงแมลงร้องอื้ออึง
ซามิวมองรอบตัวเขาอยากจะหยุดพักยิ่งนัก รองเท้าของเขาแตกต่างจากของคนอื่น เป็นรองเท้าผ้าพื้นบางเย็บอย่างปราณีต ปักเส้นไหมเดินทองสวยงาม แต่ตอนนี้เลอะโคลนจนแทบจะไม่เห็นสีเดิม ฝ่าเท้าของเขาระบมจนปวดไปหมด บางแห่งเลือดซึมออกมา ยามเดินแต่ละก้าวราวกับเดินเท้าเปล่า
"เจ้าจำทางไปประตูลับได้หรือสโตล" ฟาริมถามด้วยความกังวล เขาเองรู้แค่เพียงว่าบรรพบุรุษได้เคยสร้างทางลับเชื่อมในหุบเขากับป่าต้องห้ามไว้ พร้อมกับออกกฏว่าถ้าไม่มีเรื่องสำคัญถึงขนาดชีวิตของคนในหุบเขาละก็ห้ามใช้เด็ดขาด ซึ่งทุกคนก็ปฏิบัติตามจนทางลับถูกลืมทิ้งไว้หลายร้อยปี
"เฮ้อ ข้าเองก็ไม่แน่ใจนักหรอกว่ามันอยู่ตรงไหนแน่นอน จำได้ลางเลือนว่าท่านพ่อเคยพาข้าเข้าไปดู แต่เป็นเส้นทางจากในหุบเขาออกมาในป่า ข้าเองก็ไม่เคยเข้ามาจากทางด้านป่าต้องห้ามด้วยสิ" สโตลพูดเรียบๆ
"หา...ท่านเองไม่แน่ในแต่พาพวกเรามาเสี่ยงงั้นเหรอ" ราเวลพูดด้วยความโมโห แต่ซามิวยกมือขึ้นห้าม
"ถ้ามีเส้นทางจริงเราช่วยกันค้นหาก็คงจะไม่ยากเกินไปหรอก" ซามิวพูดขึ้น เขาไม่คิดว่านี่เป็นความผิดของใคร

ทั้งห้าคนเดินต่อจนกระทั่งถึงหน้าผาสูงไม่สามารถไปต่อได้แล้ว สองข้างทางเห็นเป็นเนินลาดชันทอดลงไปหุบเขาด้านล่าง ฟาริมกับสโตลออกไปสำรวจหาเส้นทางลับ ส่วนซามิวกับพวกพบชะง่อนผาแห่งหนึ่งที่ดูค่อนข้างจะปลอดภัยจึงเข้าไปนั่งพัก ซามิวนั้นเหนื่อยจนพูดอะไรไม่ออก ขาก็แทบไม่มีแรง เขาล้มตัวลงนั่ง ส่วนโซลก็ยังอุตส่าห์ไปเก็บไปไม้ขนาดใหญ่มาพัดให้เขา ราเวลก็ยืนคุ้มกันอยู่ข้างๆ

ผ่านไปสักพัก ราเวลได้กลิ่นสาบสางชนิดหนึ่งลอยมาตามลม เขาหันขวับไปมอง ดวงตาสีแดงคู่หนึ่งจ้องผ่านพุ่มไม้ด้านข้าง เสียงคำรามดังออกมา ราเวลตื่นตัวเขาชักดาบออกมาถือไว้ ข้างฝ่ายโซลกับซามิวก็ขยับชิดเข้าหากัน สัตว์สี่เท้าชนิดหนึ่งตัวใหญ่เกือบเท่าลูกม้า ขนสีเทายาวรุงรัง ดวงตาสีแดง เขี้ยวยาวสีขาวโง้งออกมานอกปาก กำลังคำรามมาทางพวกเขาอย่างหิวกระหาย โซลร้องอย่างตกใจเมื่อสัตว์ตัวนั้นกระโจนเข้ามาใส่เธอ แต่ราเวลเข้ามากันไว้ทัน เขายกดาบขึ้นฟันสุดแรง การต่อสู้ระหว่างคนและสัตว์ก็ได้เริ่มขึ้น สัญชาติญาณของสัตว์ก็เหมือนรับรู้ว่าสิ่งที่ถือในมือของทหารหนุ่มตรงหน้านั้นเป็นอันตรายต่อมัน มันกระโดดหลบหลีกพร้อมขู่คำราม น้ำลายไหลย้อยมาตามมุมปาก ฝ่ายราเวลนั้นเขาถูกฝึกมาให้สู้กับทหารด้วยกันเอง ไม่เคยสู้รบกับสัตว์ร้ายสี่เท้าบ้าคลั่งแบบนี้มาก่อน เขาจึงค่อนข้างละล้าละลังพอสมควร ไม่นานเท่าไหร่เขาก็ได้ยินเสียงร้องคำรามมาจากทางทิศตรงข้ามอีกทางหนึ่งทางที่เจ้าชายซามิวนั่งอยู่
โซลกรีดร้องเสียงดังเมื่อเห็นสัตว์ชนิดเดียวกันอีกตัวอยู่ห่างเจ้าชายซามิวไปไม่เท่าไหร่ สัตว์ตัวนี้อยู่กันเป็นคู่!!! เมื่อสังเกตดีๆจะพบกว่าสถานที่ที่นั่งอยู่ อยู่ไม่ไกลจากปากถ้ำของมันเท่าไหร่
"รีบถอยออกมาจากปากถ้ำก่อนพ่ะย่ะค่ะ" ราเวลตะโกนเตือนทั้งๆรับมือลำบากอยู่แล้ว จนในที่สุดก็ถูกมันกัดไปเป็นแผลลึกพอสมควร

ซามิวหยิบเศษกิ่งไม้ค่อนข้างใหญ่มาถือไว้ป้องกันตัว เขากระเถิบออกจากที่เดิม เจ้าสัตว์ตัวนั้นขู่ใส่เขาพร้อมหันมาจ้องอย่างโกรธแค้น ถึงแม้ว่าเจ้าตัวนี้จะมีขนาดเล็กกว่าตัวที่สู้กับราเวล แต่ก็น่ากลัวไม่แพ้กัน ซามิวเริ่มก้าวถอยหลังเรื่อยๆ จนในที่สุดเขาก้าวถอยไปจนสุดขอบเนินสูง หันไปมองด้านล่างก็พบแต่พุ่มไม้ลึก ตรงหน้าก็สัตว์ร้าย ซามิวรู้สึกเหมือนหน้ามืด โซลที่ยืนอยู่ใกล้ๆตัดสินใจขว้างก้อนหินใส่เจ้าสัตว์สี่ขาตัวนั้น ได้ผล!! เจ้าสัตว์ตัวนั้นหันมาทางเธอแทน ซามิวตกใจไม่คิดว่าโซลจะกล้าดึงความสนใจขนาดนั้น เขาพยายามร้องห้าม แต่ด้วยขาที่บาดเจ็บและอารมณ์ที่ไม่มั่นคงทำให้ซามิวก้าวพลาดกลิ้งหล่นลงจากเนินสูง ก่อนที่สติของเขาจะดับวูบลงเขาเห็นสัตว์ตัวนั้นกระโจนเข้าใส่โซล.....

ความชื้นของอากาศที่สัมผัสผิวหน้าเตือนสติให้ซามิวรู้สึกตัว อากาศเริ่มเย็นลง เขาเอามือลูบใบหน้าพร้อมทั้งสำรวจตัวเอง โชคดียิ่งนักที่เขาแทบไม่ได้แผลอะไรมาก นอกจากรอยฟกช้ำนิดหน่อยเท่านั้น เขาพยายามเพ่งมองด้านบน แต่กิ่งไม้หนาทึบเขาเองไม่สามารถมองฝ่าขึ้นไปได้ ซามิวเริ่มใจเสีย เขาตะโกนเรียกทุกคน ไม่มีเสียงตอบ ซามิวพยายามตะโกนเรียกหลายครั้งจนเสียงเริ่มหาย จะปีนขึ้นไปทางเก่าก็ไม่รู้ว่าทางไหน ผ่านไปสักพักเขาได้ยินเสียงตะโกนเรียกชื่อเจ้าหญิงอะดิลล่า ซามิวพยายามตะโกนตอบ เขาเดินไปทางที่มาของเสียง แต่ยิ่งเดินไปลึกเท่าไหร่เขาก็เริ่มรู้สึกว่าเริ่มไกลออกไปทุกที ในที่สุดซามิวตัดสินใจหยุดพักเพราะเจ็บที่เท้า อากาศเริ่มชื้นและหนาวขึ้นเรื่อยๆ ซามิวนั่งชันเข่าซุกหน้าลง นี่เขาจะต้องมาตายก่อนที่จะเดินทางไปถึงหุบเขาซาราร็อกอีกหรือนี่ ไม่รู้ว่าโซลจะเป็นไงอีกด้วย

"เสด็จพ่อ เสด็จแม่...." ซามิวพูดเสียงสะอื้น ยามนี้เขารู้สึกอ้างว้างไม่เคยเป็นมาก่อน...ซวบ เสียงกิ่งไม้ไหวอยู่ด้านบนศีรษะของเขา เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็ตกใจแทบจะสิ้นสติ งูลำตัวสีแดงตัวใหญ่ประมาณแขนเด็ก บนหัวมีติ่งเล็กๆสีเขียวกำลังเลื้อยมาทางเขา ลิ้นสีแดงแลบแปรบๆดูน่าขยะแขยง ขณะกำลังตกใจมือใหญ่มือหนึ่งก็จับที่หัวไหล่ดึงเขาไปอีกทางอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเสียงดาบฟันงูตัวนั้นขาดกระเด็น ลำตัวของมันยังดิ้นทำให้เลือดกระจายไปทั่ว
"สโตล" ซามิวตะโกนอย่างดีใจเมื่อมองเห็นคนช่วยชัดเจน ถึงจะเป็นคนไม่ชอบขี้หน้าก็เถอะ แต่เวลานี้ซามิวไม่ถือสาแล้ว น้ำตาแห่งความดีใจไหลเป็นทาง เขากอดร่างใหญ่แน่น สโตลอึ้งไปพักหนึ่ง ซามิวสะอื้นฮักๆอยู่กับอกคนตัวใหญ่ ร่างใหญ่กอดตอบเขา ผ่านไปสักพักซามิวจึงเริ่มรู้สึกตัว เขาผละออกจากร่างสูง
"ขะ..ขอโทษ เราลืมตัวไป" ซามิวพูดเสียงเบา "ท่านหาเราเจอได้ยังไง"
"ตามรอยท่านมาเรื่อย" ร่างใหญ่ถอนหายใจ "โซลบอกให้ลงมาตามหาเจ้าหญิง ตอนแรกที่ท่านตกมามันไม่ไกลจากที่ที่เราอยู่เท่าไหร่ แต่นี่ท่านเดินออกมาไกล ถ้าอยู่ที่เดิมก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว" สโตลยังไม่วายบ่นว่า ซามิวค้อนเขาวงใหญ่
"โซลเหรอ โซลบอกให้มาตามเหรอ พวกนั้นเป็นไงบ้าง" ซามิวถามอย่างเป็นห่วง
"ไม่มีอะไรมาก หม่อมชั้นกับฟาริมเข้ามาช่วยทันพอดี อาจมีแผลขีดข่วนบ้างเล็กน้อย พวกเรารีบเดินทางกลับเถอะ" สโตลพูดเรื่อยๆ แต่ไม่ได้บอกว่าแผลขีดข่วนของเขานั้นขนาดไหน ซามิวเริ่มสำเหนียกถึงความเจ็บที่เท้า
"ถ้ารู้ว่ายิ่งเดินยิ่งไกล ใครเขาจะเดินเล่า" ซามิวบ่นอุบอิบ เขาทรุดนั่งลงกับพื้นอีกครั้งแต่ยังไม่ทันนั่งเรียบร้อยดี ก็ถูกอุ้มช้อนขึ้นตัวลอย
"ท่านจะทำอะไรนะ...ปล่อยข้านะ" ซามิวร้องอย่างตกใจ พยายามบิดตัวออก
"ถ้าดิ้นมากตกไปข้าไม่รับผิดชอบนะ..." ร่างใหญ่ทำท่าจะปล่อยลงพื้นจริงๆ ซามิวหันไปยึดไหล่ร่างใหญ่แน่น
"ท่านเจ็บขาไม่ใช่รึ คงไม่มีแรงเดินกลับหรอก ข้าอุ้มท่านไปก็แล้วกัน" สโตลให้เหตุผล ซามิวเงียบ จริงอย่างที่สโตลบอก ตอนนี้เขาไม่มีแรงแม้แต่จะลุกยืนด้วยซ้ำ เขาจึงไม่ตอบอะไร สโตลได้แต่ถอนหายใจยิ้ม ร่างบางตรงหน้าอึดกว่าที่เขาคิด ทั้งๆที่เจ็บขาแทบตายก็ไม่บ่นสักคำไม่รู้ทิฐิหรือว่าอดทนกันแน่

แนะนำติชมได้ที่บอร์ดนิยายนะคะ...................
1