Pround of destiny
"ความรักที่มีอุปสรรคกีดขวาง
ความแตกต่างของฐานันดร พวกเขาจะทำเช่นไร.........."
บทที่ 6
"ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้าหญิงของมาดาแลนด์นี่เป็นผู้ชาย"
สโตลพูดขึ้นมาหลังจากที่อุ้มซามิวแล้ว แต่เมื่อซามิวได้ฟังเขากลับตัวเย็นเฉียบ!!!
"คะ ใครบอกท่านกัน...มั่วชัดๆ" ซามิวพยายามเถียงพยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่น
"ไม่มีใครบอกหรอก แต่รู้ได้ตอนที่ท่านเข้ามากอด เจ้าหญิงที่ไหนไม่มีข้างบนแต่มีข้างล่าง"
สโตลพูดอย่างเคร่งขรึม ฟังดูเหมือนเรื่องตลกแต่ซามิวหัวเราะไม่ออก
แล้วยิ่งตอนนี้เขาถูกผู้ชายคนนี้อุ้มอยู่จะไปไหนก็ไม่ได้ ชายคนนี้เจ้าเล่ห์นัก
รออุ้มเขาก่อนแล้วค่อยถาม
"หรือว่าจะลองให้ข้าพิสูจน์ดูอีกทีก็ได้นะ" พูดจบสโตลพยายามทำท่าเหมือนจะเลิกชุดของซามิวขึ้น
"หยุดนะ!!! ถึงข้าจะเป็นผู้ชายจริงท่านก็ไม่มีสิทธิ์มาลบหลู่ข้าขนาดนี้"
ซามิวพยายามบิดตัวออก แต่ร่างใหญ่กลับเกร็งแขนรัดเขามากขึ้น
"ในเมื่อท่านไม่ใช่เจ้าหญิงอะดิลล่า ข้อสัญญาของทั้งสองฝ่ายก็ถือว่าเป็นโมฆะ"
สโตลหรี่ตามองปฏิกิริยาของร่างในอ้อมแขน ถึงแม้ร่างเล็กนี้จะไม่ใช่เจ้าหญิงอะดิลล่า
แต่ก็ต้องเป็นคนสำคัญทีเดียว เพราะสังเกตจากการปฏิบัติของข้ารับใช้ทั้งสองคน
"ไม่นะ... ถ้าท่านไม่บอกออกไปก็ไม่มีใครรู้" ซามิวหน้าซีด
เขาพูดเสียงสั่น
"ข้าไม่ใช่ลูกน้องของท่าน และเรื่องนี้ก็เป็นข้อเสียเปรียบของทางฝ่ายเรา
ฝ่ายท่านเป็นคนผิดสัญญาต่างหาก" สโตลพูด ซามิวอึ้งไป ก็จริงอย่างที่สโตลบอก
"ข้า..เอ่อ..ถ้าท่านต้องการเงิน...ขอเพียงอย่ารายงานเรื่องนี้ให้หัวหน้าท่านทราบ...."
ซามิวพยายามจะหาทางตกลงกับสโตล เขาไม่รู้จะเสนออะไรให้ชายตรงหน้าดี
"หึ ท่านอย่าพูดถึงเงินเลย ถ้าท่านต้องการให้ข้ารักษาความลับ
ท่านบอกมาก่อนว่าท่านเป็นใคร และมีศักดิ์ใดในมาดาแลนด์" สโตลจ้องซามิว
"ข้าไม่เห็นจำเป็นต้องบอก เรียกข้าว่าอะดิลล่าก็ได้นี่"
ซามิวพูดพร้อมจ้องหน้าสโตล
"อืม ถ้าท่านไม่บอกข้าก็จะโยนท่านลงตรงนี้แหละ ข้าเองก็ไม่ได้อยากจะอุ้มคนที่ข้าไม่รู้จักตัวตนจริงๆหรอก...."ทำท่าจะโยนซามิวลงกับพื้นจริงๆ
ซามิวกอดคอคนตรงข้ามแน่น
"จะบ้าเหรอ...เดี๋ยวก่อน....ซามิว เราชื่อซามิว" ซามิวบอกอย่างกลัวๆ
"ซามิว" สโตลทวนชื่อนั้นซ้ำๆสักพัก สักครู่เขาก็พูดออกมาว่า
"ยินดีที่ได้รู้จัก เจ้าชายซามิว....ส่วนค่าตอบแทนที่ปิดความลับข้าจะขอทีหลังแล้วกัน"
สโตลพูดยิ้มๆ
ซามิวอึ้งไป ชายคนนี้รู้ศักดิ์ฐานะเขาเพียงแค่บอกชื่อ ถึงแม้เขาเป็นเจ้าชายแต่ก็ไม่ค่อยมีความสำคัญเท่าไหร่
แสดงว่าชายคนนี้ต้องรู้เรื่องราชสำนักพอสมควรทีเดียว
เมื่อพอมาถึงเนินเขา ฟาริมกับโซลวิ่งเข้ามาดูด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นสโตลอุ้มซามิวเข้ามา
ข้างฝ่ายซามิวก็ตกใจพอสมควรเมื่อเห็นโซลกับราเวล โซลนั้นไม่มีบาดแผลใหญ่เท่าไหร่แต่ก็มีรอยขีดข่วนเลือดซึมหลายแห่ง
ส่วนราวเวลนั้นถูกกัดที่แขนเป็นแผลเหวอะหวะเลือดไหลชุ่ม ยังดีที่พันแผลกันเลือดไว้บ้าง
แต่หน้าตาก็ซีดเซียว แถมที่ตัวก็มีรอยข่วนเสื้อขาดหลายรอย เนี่ยนะแผลขีดข่วนเล็กน้อยที่บอกเขา
สำหรับเขามันเรียกได้ว่าแผลฉกรรจ์ทีเดียว ซามิวรีบเรียกราเวลกับโซลให้เข้ามาหา
ซามิวเอาน้ำสะอาดที่พกมาล้างแผลให้ราเวลแล้วใช้ผ้าสะอาดในกระเป๋าพันแผลไว้ให้อย่างชำนาญ
สโตลกับฟาริมมองด้วยความประหลาดใจในความคล่องแคล่ว
"พวกท่านได้สำรวจโพรงของมันบ้างหรือยัง" เสียงสโตลดังขึ้นมาข้างๆ
ทั้งสามคนสะดุ้งอย่างตกใจ
"พวกเราไม่มีเวลาจะเข้าไปสำรวจหรอก เจ้าหญิงหายไปทั้งคน"
โซลร้อง
"หึ...เจ้าหญิงของพวกท่านนะแทบจะไม่มีบาดแผลเลย ไม่ต้องเป็นห่วงมากมายหรอกน่า"
สโตลตอบอย่างไม่ใส่ใจ หันไปเหลือบมองซามิว เขาเขี่ยซากสัตว์ออกไปข้างๆ
พร้อมเดินไปที่โพรงของมัน เขาปาดเถาวัลย์ที่หน้าผาออกไป หลังจากสำรวจสักพักก็ตะโกนออกมาด้วยความดีใจ
"ที่นี่เอง" สโตลร้องบอก ที่ด้านข้างของโพรงมีร่องรอยสลักตัวหนังสือสัญลักษณ์แปลกๆเอาไว้
เขาจุดคบเพลิงพร้อมกับเดินเข้าไป คนอื่นๆจึงเดินเข้าไปสมทบหลังจากได้รับการปฐมพยาบาลไปบ้างแล้ว
"พักสักครู่แล้วค่อยเดินทางต่อเถอะสโตล" ฟาริมตัดสินใจให้
ถึงแม้สโตลจะรีบร้อนขนาดไหนก็ตาม แต่ดูจากท่าทางคนร่วมเดินทางแล้วถ้าจะไปไม่ไหว
ซามิวหันไปพยักหน้าให้ฟาริมเป็นเชิงขอบคุณ
หลังจากพักผ่อนสักชั่วโมง ทุกคนเริ่มจะฟื้นกำลังได้บ้างแล้ว สโตลก็เริ่มนำขบวนเดินเข้าไปในถ้ำ
ทางในช่วงต้นๆเหม็นคละคลุ้งด้วยกลิ่นมูลสัตว์ พอเดินได้สักพักจากเส้นทางแคบๆ
ก็เริ่มกว้างขึ้นจนกลายเป็นทางเดินขนาดใหญ่ ระหว่างทางเดินนั้นมีหินงอกหินย้อยสลับซับซ้อนห้อยย้อยระลงมาตามเส้นทาง
บางก้อนมีรูปทรงประหลาดและสีสันแปลกตา แสงจากคบเพลิงส่องกระทบเห็นประกายผลึกวิบวับราวกับอัญมณี
เสียงน้ำหยดติ๋งๆทำให้บรรยากาศไม่เหงียบเหงาเกินไปนัก แถมน้ำใต้ดินทึ่ขังอยู่เป็นแอ่งตามพื้นกับตามร่องหิน
ส่องให้เห็นภาพภายในสะท้อนไปมา ทุกคนตกตะลึงกับความงามที่คาดไม่ถึงนี้
ซามิวถึงกับเอ่ยปากชม
"ไม่น่าเชื่อมาก่อนเลยว่าจะมีสถานที่สวยงามอย่างนี้ซ่อนอยู่ในป่าต้องห้าม"
"แต่น่าเสียดายเราคงไม่มีเวลาหยุดชมหรอกพะยะค่ะ ต้องเร่งเดินทางให้ถึงหุบเขาซะก่อน
ไว้วันหลังถ้าองค์หญิงอยากจะมาอีกเรียกหม่อมชั้นได้ทุกเมื่อ"
ฟาริมพูดพลางยิ้มให้ ประกายตาระยิบระยับ ซามิวอึ้งไปเขาเองเหมือนมีชนักติดหลัง
ระหว่างเดินก็เหลือบมองสโตลไปเรื่อยๆ
สุดเส้นทางอันสวยงามเป็นประตูเหล็กขนาดใหญ่สีดำ เมื่อสโตลเอาคบไฟส่องดูใกล้ๆ
ก็เห็นว่าสีดำที่เห็นนั้นคือเจ้าสัตว์พันธุ์แปดขาตัวขนาดฝ่ามือเดินไต่ยั้วเยี้ยน่าขยะแขยงเต็มไปหมด
ทุกคนรู้สึกเหมือนดึงกลับมาสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง สโตลแหย่ไฟเข้าไปใกล้เจ้าสัตว์พวกนั้นก็เริ่มเดินหนีออกไปคนละทิศละทางเผยให้เห็นประตูสีเหลืองซีดๆที่มีร่องรอยสนิมจับเต็มไปหมดบ่งบอกถึงอายุได้เป็นอย่างดี
สโตลเอาดาบเขี่ยใยแมงมุมที่หนาเตอะออกไป ในขณะที่ซามิวมองตามสโตลอยู่นั้น
เขาก็รู้สึกถึงสิ่งแปลกปลอมที่อยู่ๆ ก็หล่นตุ๊บลงมาเกาะอยู่ที่หลังเขา
แถมมันเริ่มใต่ขึ้นมาที่คอ เขาเอี้ยวตัวไปมองก็ร้องด้วยความตกใจ
แมงมุมตัวใหญ่กว่าที่เห็นเมื่อสักครู่เกือบสองเท่า ขาแปดข้างที่เต็มไปด้วยขนของมันกำลังใต่ขึ้นมาที่ไหล่
ซามิวเห็นตาสีแดงทั้งห้าของมันเรืองแสงในความมืดพร้อมเขี้ยวสีขาวหุบเข้าหุบออก
เขาพอเดาได้ทีเดียวว่าเจ้าตัวนี้ต้องมีพิษร้ายแรงขนาดไหน ขณะที่ทุกคนกำลังตกใจนั่นเอง
สโตลรีบคว้าแมงมุมตัวนั้นสะบัดลงพื้นอย่างแรง พร้อมกับใช้เท้าเหยียบบี้มันจนเละ
ทุกคนผ่อนลมหายใจ ซามิวตะลึงอยู่สักพักก็พูดขึ้นมาว่า
"ขะ....ขอบคุณมาก"
แต่สโตลเหมือนไม่ได้ฟังเสียง เขากำมือแน่น กระชากประตูเหล็กเปิดออก
พร้อมกับแสงแดดภายนอกส่องเข้ามา
คนในหุบเขาซาราร็อคออกมาต้อนรับด้วยความประหลาดใจ
ฝ่ายผู้เฒ่าในหุบเขามองพวกเขาด้วยความตกใจ
"สโตล ฟาริม พวกเจ้าผ่านมาทางป่าต้องห้ามงั้นรึ" ชายแก่เครายาวคนหนึ่งตะโกนถาม
ทุกคนรุมล้อมเข้ามา
"เอาน่า เดี๋ยวข้าจะรายงานให้พวกท่านฟังทีหลัง" ฟาริมพูดด้วยความรำคาญ
ตอนนี้ข้างฝ่ายซามิวกับคนรับใช้ทั้งสองกำลังมองอย่างตื่นตะลึงกับสถานที่ใหม่
ตอนนี้พวกเขาเป็นเป้าสายตานับร้อยคู่ของคนเฒ่าคนแก่ลูกเด็กเล็กแดงในหุบเขา
"ข้าพึ่งส่งม้าไปให้พวกเจ้าเพิ่มสี่ตัวเมื่อเช้านี้" ชายแก่คนเดิมตอบ
สโตลพยักหน้ารับรู้ ไม่แน่ว่าม้าอาจจะไปไม่ถึงเพราะมีสงครามขวางอยู่ทั้งกองทัพ
เขาต้องรายงานเรื่องนี้ก่อน
"ตอนนี้ข้าก็มีเรื่องจะพูดเหมือนกัน เรียกประชุมด้วย"
สโตลบอก ชายแก่คนนั้นไม่ตอบคำแต่หันมามองซามิวกับพวกด้วยสายตาแสดงความสงสัย
ก็ตอนนี้พวกเขาสภาพดูไม่ได้กันทั้งนั้น ทั้งเสื้อผ้าที่ถูกกิ่งไม้เกี่ยวรุ่งริ่ง
พร้อมทั้งบาดแผลทั่วตัวเลือดเกรอะกรังไปหมด
"นี่คือเจ้าหญิงอะดิลล่า กับคนรับใช้ พวกท่านช่วยเตรียมห้องแล้วก็เตรียมน้ำอาบให้ด้วยนะ"
ฟาริมบอกแทน ชายแก่คนนั้นส่งสายตาแสดงความตกใจออกมา เขารีบหันไปสั่งการกับผู้หญิงที่มุงอยู่ด้านหลัง
ข้างฝ่ายซามิวกับโซล เมื่อได้ยินเรื่องน้ำอาบก็รู้สึกเริ่มเหนียวตัวขึ้นมาเป็นกำลัง....
บ้านที่พักอาศัยของคนในหุบเขาซาราร็อกจะมีสองแบบคือแบบเป็นห้องเจาะเข้าไปในผนัง
บางผนังหน้าผาจะเห็นห้องไม่ต่ำกว่าร้อยห้อง ห้องแต่ละห้องจะเชื่อมกันด้วยบันไดที่ผูกต่อๆกันอยู่ทางด้านนอก
กับแบบบ้านธรรมดาที่อยู่โดดเดี่ยวออกไป บ้านส่วนนี้จะค่อนข้างใหญ่ซึ่งพอจะเดาฐานะของผู้อาศัยได้เป็นอย่างดี
ข้างในจะตกแต่งตามแต่ใจชอบ แต่ทุกบ้านเมื่อถึงเวลาจะทำครัวรับประทานอาหาร
พวกผู้หญิงก็จะออกมานั่งทำกันที่ลานกลางหุบเขา เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็จะมานั่งล้อมวงกินกัน
ซามิวกับลูกน้องได้ห้องพักแบบที่เป็นบ้านธรรมดาอยู่ลึกเข้าไปในหุบเขา
แต่ไม่ห่างจากห้องของสโตลกับฟาริมเท่าใดนัก
"โซล เจ้าเห็นถุงของข้าหรือเปล่า" ซามิวถามขึ้นหลังจากอาบน้ำชำระล้างตัวอยู่ในห้องพักเรียบร้อยแล้ว
"หม่อมชั้นไม่เห็นเพคะ เจ้าชาย...เอ้ย เจ้าหญิงไม่ได้ถือมาด้วยหรือเพคะ"
โซลถามงงๆ
"เราเข้าใจว่าเจ้าถือมาให้เราตลอดการเดินทาง" ซามิวเริ่มหน้าเครียด
ในถุงนั้นบรรจุเงินที่อะดิลล่าเตรียมมามากโขอยู่ แล้วมันหายไปไหน
โซลนั่งคิดอยู่สักพักก็ร้องขึ้นมา
"หม่อมชั้นนึกออกแล้ว หม่อมชั้นผูกสัมภาระไว้กับม้าสองตัวที่ถูกพวกอูลดูดเลือด"
ใช่แล้วเขาก็นึกออก สโตลเดินเข้าไปหยิบสัมภาระของเขาออกมาให้ แต่หลังจากนั้นเงินก็ไม่อยู่แล้ว..หรือว่า...ซามิวคิดด้วยความโมโห
ซามิวเดินอย่างรีบร้อนไปที่ห้องของสโตล เขาไม่สนใจที่สาวใช้บอกว่าสโตลกำลังพักผ่อนอยู่
พลักประตูเข้าไปโดยไม่ฟังเสียง สโตลนั่งอยู่บนเตียงท่าทางค่อนข้างเหนื่อย
เขามองมาด้วยสายตาตำหนิอย่างชัดเจน
"เอ่อ..เราขอโทษที่มารบกวนเวลาท่าน..." ซามิวพูดออกมาอย่างลืมตัว
แต่เมื่อนึกถึงจุดประสงค์ที่มาเขาก็เชิดหน้าขึ้นถาม
"ท่านเห็นถุงของข้าหรือเปล่า"
ร่างตรงข้ามพูดอย่างเหนื่อยๆ
"ถุงอะไรล่ะ ถึงข้าจะเห็น แต่ท่านมีหลักฐานอะไรบ่งบอกว่าเป็นของท่าน"
ซามิวมองไปที่กองสัมภาระบนโต๊ะ เขาเห็นถุงสีเขียวปักลายถูกกองทับอยู่
ซามิวจำได้ทันทีว่าเป็นถุงของเขา เขาเดินเข้าไปจะหยิบ แต่สโตลกลับโยนเข้าไปไว้ในหีบข้างตัวแล้วล็อคกุญแจ
"นั่นมันถุงของข้านี่ ข้าจำได้..ข้าผูกไว้กับสัมภาระบนม้า"
ซามิวพูดด้วยความโกรธ
"แต่ม้าสองตัวนั้นก็ถูกพวกท่านทิ้งเอาไว้ในป่าไม่ใช่รึ ข้าเก็บถุงนี้มาจากม้าที่ท่านทิ้งมันก็ควรจะเป็นของข้า"
สโตลพูดด้วยเหตุผลที่ทำเอาซามิวถึงกับอึ้ง
"ท่านมันพวกโจรชัดๆ ไหนว่าเงินไม่สำคัญไง" ซามิวต่อว่าด้วยความโมโห
"เงินไม่สำคัญเพราะข้ามันก็โจรอยู่แล้ว จะหาเมื่อไหร่ก็ได้...เจ้าหญิงอะดิลล่า"
สโตลเน้นเรียกเจ้าหญิงอะดิลล่าชัดเจนเหมือนจะเตือนความทรงจำ
ซามิวเงียบ เขาโกรธจนตัวสั่นแต่ก็พูดไม่ออก
สโตลเองก็ถอนหายใจ เขารู้สึกว่าร่างกายเหนื่อยอ่อนกว่าปกติ วันนี้เขาวิ่งวุ่นทั้งวันตั้งแต่เช้า
ต้องมานั่งอธิบายแจกแจงถึงเรื่องการใช้ทางต้องห้าม แถมต้องกำหนดตัวคนที่จะไปช่วยทัพไฮแลนการ์ดอีก
ยังดีที่ฟาริมรับเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงให้ เขาปวดหัวตุ๊บๆ ไม่อยากต่อปากต่อคำกับคนข้างหน้า
แต่การเงียบไปของเขาทำให้ซามิวยิ่งโมโห เขาเดินเข้าไปแย่งลูกกุญแจในมือของร่างใหญ่
ร่างนั้นไม่ได้ขยับมือหนี แต่จับลูกกุญแจไว้แน่นไม่ยอมปล่อย มือต่อมือสัมผัสกัน
ซามิวพยายามแกะนิ้วร่างใหญ่ออก แต่ไม่เป็นผลเขาหอบด้วยความโมโห สักพักซามิวรู้สึกถึงความร้อนประหลาดที่แผ่ออกมาจากร่างตรงข้าม
"ท่านไม่สบายหรือเปล่า" ซามิวพูดออกมาด้วยสัญชาติญาณหมอ
ความโกรธไม่รู้ละลายหายไปเมื่อไหร่ ร่างตรงข้ามมีประกายตาประหลาดวูบหนึ่งเมื่อสายตาสบกัน
ซามิวยกมืออีกข้างขึ้นแตะหน้าผากร่างข้างหน้าอย่างลืมตัว มือที่สัมผัสกับหน้าผากร้อนแทบลวกเลยทีเดียว
ร่างนั้นพยายามฝืนตัวออกหยิบกุญแจขึ้นร้อยกับสร้อยคอ สโตลเองรู้สึกแปลกเมื่อยามที่ซามิวสัมผัสตัวเขา
เขาเองไม่เคยสนใจผู้หญิงมาก่อน แต่กับเจ้าชายซามิว.....ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้นอาการปวดหัวเริ่มเข้ามารบกวนอีก
เขาอาจจะไม่สบายจริงอย่างที่เจ้าชายซามิวว่า เกิดมาเขาเองไม่เคยเจ็บป่วยหนักมาก่อน
ร่างกายเขาแข็งแรงผิดกับคนอื่น คิดไปได้ไม่เท่าไหร่ ภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเลือน
สโตลเอามือกดขมับทั้งสองข้าง เขาลองลุกขึ้นยืน แต่เดินไปไม่กี่ก้าวก็ทรุดกายลง
ซามิวเดินตามมาพยุงอย่างตกใจ พร้อมกับตะโกนเรียกคนข้างนอก