ซามิวมองชายแก่ตรงหน้าอย่างปลงสังเวช ชายร่างเล็กหลังงองุ้มที่มีความรู้ด้านสมุนไพรเล็กๆน้อยๆก็คือหมอของหุบเขาซาราร็อก
ชายแก่จับชีพจร วัดความร้อน พร้อมกับลงมือเขียนรายชื่อสมุนไพรลงไปบนเศษกระดาษ
"มันเป็นยังไงบ้างท่านหมอ อาการไม่หนักหนาใช่ไหม" ฟาริมถามอย่างเป็นห่วง
เขามองหน้าเพื่อนรักที่ตอนนี้นอนไม่รู้สึกตัวอยู่บนเตียง
"เฮ้อ อาการแบบนี้ข้าก็ไม่เคยเห็น ธรรมดาสโตลมันแข็งแรงออกจะตาย
ไม่ค่อยเจ็บป่วย อาจจะไปติดไข้ป่ามาก็ได้ ลองต้มสมุนไพรพวกนี้กินดูก่อนก็แล้วกัน
เทียบสองเทียบก็อาจจะหาย" หมอยาพูดพร้อมกับยื่นรายชื่อยาให้ฟาริม
แล้วเดินกระย่องกระแย่งออกไป
"ท่านคงไม่คิดจะต้มยาเทียบนั้นให้เพื่อนท่านกินหรอกนะ"
เสียงพูดเบาๆดังมาจากทางด้านหลัง ฟาริมแทบจะลืมไปเลยว่าเจ้าของเสียงนี้อยู่ในห้องกับเขาด้วย
"เจ้าหญิงอะดิลล่า ยาเทียบนี้มันมีอะไรหรือพะยะค่ะ"
ฟาริมถามอย่างสงสัย
"มันก็ไม่มีอะไรหรอก เป็นยาแก้ไข้หวัดที่ได้ผลพอสมควร แต่เพื่อนท่านไม่ได้เป็นหวัดสักหน่อย
อาการแบบนี้มันเป็นอาการถูกพิษต่างหาก" ซามิวพูดเรียบๆอย่างมั่นใจ
"แต่ธรรมดาร่างกายของพวกเราสามารถต้านทานพิษได้อยู่แล้ว เพราะตั้งแต่ตอนพวกเราเป็นเด็กมักจะถูกบังคับให้กินสมุนไพรบางตัว
พร้อมกับแมลงพิษบางชนิด" ฟาริมพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าสโตลจะถูกพิษได้
ซามิวได้แต่สั่นหัว
"วิธีการนี้ของพวกท่าน สามารถป้องกันสัตว์พิษได้ก็จริง
แต่ก็เหมือนดาบสองคม ถ้าสัตว์ตัวนั้นมีพิษร้ายแรงจริงๆ ร่างกายของพวกท่านต้านทานไม่อยู่
แต่กว่าจะรู้ตัวก็สายเกินแก้เสียแล้ว แล้วยิ่งสัตว์พิษในป่าต้องห้าม
...." ซามิวพูดเตือน...
"องค์หญิงทรงมีความรู้ทางด้านการแพทย์หรือพะยะค่ะ" เสียงถามอย่างประหลาดใจ
พลางหวนนึกถึงตอนที่เจ้าหญิงรักษาราเวลกับโซล "ถ้าองค์หญิงรู้วิธีรักษากรุณาช่วยสโตลด้วย"
ซามิวถอนหายใจ เขาเองก็เป็นคนใจอ่อนอยู่แล้ว ถึงแม้อยากจะรักษาความลับขนาดไหนก็ตาม
แต่ซามิวก็ไม่ใจร้ายถึงขนาดปล่อยคนข้างหน้าให้ตายได้หรอก
"ท่านลองหาว่าบนร่างกายของเพื่อนท่านมีร่องรอยถูกพิษหรือถูกกัดตรงไหนหรือเปล่า"
ฟาริมเริ่มสำรวจค้นหาร่องรอยตามที่ซามิวบอก เจ้าของร่างตอนนี้เริ่มไม่รู้สึกตัวแล้ว
ได้แต่ส่งเสียงครางเบาๆ ในที่สุดฟาริมก็พบรอยจุดสีแดงเล็กๆหลายสิบรอยที่ฝ่ามือของสโตล
"ไม่รู้ว่าใช่รอยพวกนี้หรือเปล่าพะย่ะค่ะ มันไม่ค่อยเหมือนรอยกัดเท่าไหร่"
เขาพูดอย่างไม่แน่ใจ
"ไม่จำเป็นต้องเป็นรอยกัดเสมอไปก็ได้ สัตว์บางชนิดอาจจะมีพิษอยู่ทั้งตัว
แค่สัมผัสเพียงนิดเดียวก็ถูกพิษแล้ว" พูดจบซามิวก็นึกถึงแมงมุมตัวที่สโตลจับโยนออกไป
บางทีแมงมุมตัวนั้นอาจจะเป็นเจ้าของพิษร้ายนี่ก็ได้ ตอนนั้นเขาใส่เสื้อจึงไม่โดนพิษ
แต่คนที่ใช้มือจับออกไปจึงโดนพิษแทน
"ท่านรีบเตรียมถังอาบน้ำมา พร้อมกับต้มน้ำร้อนผสมกับสมุนไพรที่ข้าสั่งใส่ถังน้ำไว้ด้วย"
ซามิวรีบบอกถึงรายชื่อสมุนไพรอย่างรีบเร่ง สมุนไพรบางอย่างค่อนข้างหายาก
บางคนก็แทบไม่รู้จัก ซามิวอธิบายอยู่นานกว่าจะเข้าใจ ผ่านไปเกือบสองชั่วโมงฟาริมจึงหาสมุนไพรได้ครบ
น้ำต้มสมุนไพรกลิ่นพิลึกพิลั่นลอยคละคลุ้งอยู่เต็มห้อง ฟาริมกับซามิวหน้าแดงเพราะไอความร้อน
"ถอดเสื้อผ้าเพื่อนท่านออกแล้วจับลงไปแช่ในถังสมุนไพร"
ฟาริมทำท่าจะทำตามแต่แล้วก็ชะงักหันมามองหน้าซามิว
"เอ่อ..เจ้าหญิง...มันคงจะไม่เหมาะถ้าพระองค์จะ...เอ่อ.."
พูดได้เท่านี้ซามิวก็รู้ความหมายในคำพูดของฟาริม เขาลืมไปเลยว่าเขาเป็นเจ้าหญิงอยู่
ซามิวรีบหันหลังให้พร้อมกับพูดเสียงสั่น
"ท่านจะรีบทำอะไรก็ทำซะสิ" หลังจากนั้นฟาริมก็จัดการเอาเพื่อนตัวเอง
'ลงถัง' อย่างทุลักทุเล น้ำสมุนไพรในถังค่อนข้างร้อนจัด สโตลครางเพราะความร้อน
ฟาริมหันมาถามเจ้าหญิงอะดิลล่าว่าควรจะทำอย่างไรต่อดี
"ท่านลองเอามีดกรีดที่รอยแผลของเพื่อนท่านหน่อยสิว่าเลือดเป็นสีอะไร"
ฟาริมทำตาม แล้วเขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าเลือดที่ไหลออกมาเป็นสีดำสนิท
ซามิวลองบอกให้กรีดที่ตำแหน่งอื่นดูก็ปรากฏออกมาเหมือนกัน
"เลือดของเพื่อนท่านเป็นพิษเกือบทั้งร่างแล้ว นี่แหละดาบสองคม
เพื่อนท่านร่างกายแข็งแรงพร้อมทั้งร่างกายต่อต้านพิษร้ายได้ ทำให้เขาไม่รู้สึกตัว
กว่าจะรู้ตัวก็ถูกพิษซึมไปทั่วแล้ว" ซามิวพูดอย่างกังวล เขาไม่เคยรักษาคนถูกพิษมากขนาดนี้มาก่อน
"แล้วเราจะทำยังไงดีพะยะค่ะ....มันจะตายหรือเปล่า" ฟาริมหน้าซีด
"ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน วิธีรักษาคนถูกพิษวิธีนี้เป็นวิธีที่ข้าอ่านเจอในหนังสือ
มีอีกวิธีหนึ่งดีกว่าแต่ว่า ต้องขึ้นกับเพื่อนท่านด้วยว่าจะอดทนได้แค่ไหนเพราะว่ามันค่อนข้างจะทรมาน"
"จะวิธีไหนก็ได้พะยะค่ะ สโตลมันถึกยิ่งกว่าควายคงทนได้แน่ๆ"
ฟาริมพูดอย่างร้อนรน
"งั้นท่านสุมไฟไว้ใต้ถังเลย" ซามิวสั่งฟาริม
"ท่านจะต้มมันงั้นเรอะ" ฟาริมตาเหลือกเมื่อได้ยินซามิวบอก
"ความร้อนจะช่วยเร่งให้สมุนไพรซึมซามเข้าสู่ผิวหนังเร็วขึ้นและกระตุ้นเลือดลมในร่าง
สมุนไพรจะละลายพิษในตัวออกมาทางผิวหนัง ท่านต้องหมั่นเปลี่ยนน้ำสมุนไพรทุกสามชั่วโมง
พร้อมทั้งห้ามคนป่วยรับประทานหรือดื่มกินอะไรทั้งสิ้น" ซามิวอธิบายอย่างมีหลักการ
ฟาริมอ้าปากค้าง ซามิวหันไปหยิบส้อมเงินบนโต๊ะขึ้นมา เขาเอามันจุ่มลงไปน้ำสมุนไพร
เมื่อดึงขึ้นมาส้อมสีเงินกลายเป็นสีดำปี๋
"ธรรมดาวิธีรักษาแบบนี้ขึ้นอยู่กับระดับการถูกพิษ หนึ่งวันสำหรับระดับการถูกพิษปกติ
แต่กับเพื่อนท่านอาจจะนานกว่านั้น ท่านต้องลองหมั่นเอาส้อมเงินจุ่มลงไปดู
ถ้าส้อมไม่เปลี่ยนสีก็แสดงว่าพิษสลายไปหมดแล้ว"
ฟาริมฟังแล้วขนลุก ถ้าเป็นเขาโดนพิษแบบนี้ละก็คงจะตายเพราะถูกต้มก่อนแน่ๆ
ณ.เบสแลนด์...
เสียงฝีเท้าสับสนหลายคู่เดินเข้ามาในสวนจำลอง ราวินซ์ยื่นหน้าออกมาดูก็เห็นฟอร์ดกับทหารหลายคนกำลังเดินเข้ามา
เขาเห็นร่องรอยการต่อสู้ที่หลงเหลืออยู่บนชุดเกราะของทหารเหล่านั้น
รอยเลือดเป็นหย่อมๆแยกไม่ออกว่าเป็นเลือดของเจ้าตัวหรือว่าเลือดของศัตรู
"ท่านแม่ทัพ..ท่านรีบเรียกหมอมารักษาก่อนเถอะ" ทหารนายนั้นหันไปพยุงฟอร์ด
"ไม่ต้อง ข้าไม่เป็นอะไรมากหรอกน่า" ร่างนั้นสะบัดมือข้างที่จะมาพยุงออก
"แต่ท่านถูกยิง.."
"แค่ธนูดอกเล็กๆ ออกไปซะข้าอยากจะพักผ่อน" ฟอร์ดคำรามใส่พวกทหาร
พร้อมโบกมือไล่อย่างไม่ใยดี ทหารเหล่านั้นจึงเดินออกไปทิ้งฟอร์ดยืนอยู่คนเดียว
ร่างนั้นยืนอยู่สักพักก็ทรุดกายลงนั่ง ราวินซ์จึงเดินออกมาหา
"จะให้ข้าช่วยไหม" เขาพูดเรียบๆ ร่างนั้นเงยหน้าขึ้นมอง
"ถ้าเจ้ารู้ว่าแผลพวกนี้ข้าได้มายังไง เจ้าอาจจะอยากฆ่าข้าแทนก็ได้"
ฟอร์ดพูดพร้อมกับพยุงตัวลุกขึ้นยืน
"หมายความว่า..." ราวินซ์หยุดพูด หน้าซีดด้วยความโกรธ
ใช่สิ ฝ่ายตรงข้ามเป็นแม่ทัพของศัตรู แผลที่ได้ย่อมเกิดมาจากการฆ่าฟันคนของฝ่ายเขา
"ข้าเพิ่งกลับจากการยกทัพไปโจมตีไฮแลนการ์ด..." ฟอร์ดพูดเรียบๆ
ราวินซ์จ้องมองบุรุษในหน้ากากรูปหมาป่าข้างหน้า..ตัวเขาสั่นด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกว่าโกรธหรือว่าเสียใจ
"ท่านไปโจมตีไฮแลนการ์ดงั้นหรือ" เขาผลักร่างนั้นเต็มแรง
ร่างนั้นหงายไปตามแรงมือ ล้มไปกองกับพื้นเสียงเกราะกระทบพื้นดังเคร้ง
แล้วไม่ได้ขยับตัวอีก ได้แต่นอนหอบหายใจอยู่
"หึ....แต่ฝ่ายที่ถอยทัพกลับมากลับเป็นฝ่ายข้า" ร่างนั้นพูดช้าๆ
ดวงตาจ้องมองไปที่ก้อนเมฆข้างบน
"หมายความว่า...ท่านแพ้งั้นเหรอ" ราวินซ์อุทาน ร่างนั้นไม่ได้ตอบอะไร
ยันกายลุกขึ้นนั่ง แต่แล้วก็ล้มหงายไปอีก
"ท่านควรจะรีบเรียกหมอมาดูอย่างที่ทหารท่านบอกมากกว่าที่จะมานอนแบบนี้"
ราวินซ์ถอนหายใจ
"ไม่ต้อง..." เสียงนั้นตะโกนใส่เขา รีบลุกขึ้นมา
"เจ้าเข้ามาพยุงข้าที" ร่างนั้นขอร้องเสียงเบาเป็นครั้งแรก
ราวินซ์ได้แต่อึ้ง เขาเดินเข้าไปพยุงฟอร์ด ถึงตอนนี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้สังเกตชายคนนี้อย่างใกล้ชิด
ฟอร์ดไม่เคยถอดหน้ากากนี้ออกเลย ตัวฟอร์ดเบากว่าที่เขาคิดมาก ถึงแม้จะรวมน้ำหนักชุดเกราะไปด้วยแล้ว
พอถึงในห้องฟอร์ดก็นั่งลงบนเก้าอี้ เขารื้ออุปกรณ์ทำแผลออกมาจากลิ้นชักโต๊ะ
"เจ้าไม่ต้องบอกใครว่าข้าได้รับบาดเจ็บขนาดไหน" เขายังไม่วายหันมาย้ำ
"ข้าเองไม่เคยมีความคิดจะคุยกับทหารของเบสแลนด์หรอกน่า แล้วเรื่องของท่านข้าเองก็ไม่ได้อยากยุ่งด้วย"
ราวินซ์พูดแกมรำคาญ "ท่านจะให้ข้าช่วยทำแผลด้วยหรือเปล่า หรือว่าจะทำเองคนเดียว"
ฟอร์ดนั่งเงียบไปพักหนึ่ง เขาถอดเกราะตรงช่วงแขนออก
เผยให้เห็นหัวธนูที่ฝังลึกตรงช่วงไหล่ด้านซ้าย อีกทั้งตัวลูกศรหักคาอยู่อีกด้วย
"ท่านต้องผ่าเอาหัวธนูออกไปนะ แค่ใส่ยาอย่างเดียวไม่ได้หรอก"
ราวินซ์แตะแผลเบาๆ ร่างนั้นสะดุ้งเฮีอก
"เจ้าทำให้ข้าเลยก็แล้วกัน"
"หา...ข้าไม่ใช่หมอน่ะ แล้วก็ไม่เคยทำด้วย"
"แค่ผ่ามันออกจะไปยากเย็นอะไร" ร่างนั้นตะคอกใส่ด้วยความโมโห
ราวินซ์ชักเคือง
"ก็ได้ ท่านถอดเกราะออกสิ แล้วนอนลง"
ราวินซ์เดินไปเตรียมน้ำสะอาด ผ้า แล้วก็ตะเกียง เขาเอามีดลนไฟเพื่อฆ่าเชื้อโรคก่อน
ร่างที่บาดเจ็บนอนนิ่ง ร่างนั้นถอดเกราะเฉพาะตรงช่วงตัวออก ราวินซ์ส่ายหัว
เขาจรดมีดลงไปที่บาดแผล ร่างนั้นสะดุ้งนิดหนึ่ง ราวินซ์กดปลายมีดลง
เลือดทะลักออกมา เขาคว้านเอาหัวธนูออก ร่างที่อยู่เบื้องล่างเกร็งแน่น
มือกำผ้าปูที่นอน เส้นเลือดเกร็งขึ้นตามนิ้วมือแต่ไม่มีเสียงร้องเล็ดลอดออกมา
เขามองไม่เห็นสีหน้าของคนข้างล่าง แต่แน่นอนว่าร่างนั้นพยายามกลั้นเสียงร้องอย่างเต็มที่
ราวินซ์เช็ดแผลให้ร่างนั้น เขาสังเกตว่าร่างนี้ไม่ใช่ร่างของชายวัยกลางคนแน่
กล้ามเนื้อตึงแน่นแบบหนุ่มวัยฉกรรจ์ ผิวเนื้อละเอียดแต่มีรอยแผลเป็นเล็กๆหลายรอย
ใจเขาประหวัดนึกไปถึงร่างบางท่ามกลางแสงจันทร์ในคืนนั้น หรือว่า....
มือเขาเอื้อมไปแตะหน้ากากเหล็กอย่างอดไม่ได้ ร่างนั้นเหมือนจะรู้สึกตัวรีบสะบัดหนีถอยไปจนสุดเตียง
"เจ้าจะทำอะไรน่ะ" เสียงนั้นหอบด้วยความเหนื่อย ราวินซ์ชะงัก
"เอ่อ..ข้าเห็นว่าท่านควรจะถอดหน้ากากออก ในห้องนี้มันร้อนแล้วก็อบด้วย"
"ไม่ต้อง... เจ้าออกไปได้แล้ว" ร่างนั้นไล่อย่างไม่ใยดี
ราวินซ์จึงได้แต่เดินเก็บของออกไป ระหว่างนั้นเขาเหลือบไปเห็นหัวธนูที่หล่นอยู่จึงได้หยิบขึ้นมาดู
"นี่มันธนูของพวกหุบเขาซาราร็อกนี่" เสียงอุทานอย่างอดไม่ได้
"เจ้าว่าไงนะ" ร่างที่บาดเจ็บลุกขึ้นมานั่ง
"ข้าบอกว่าท่านโดนพวกหุบเขาซาราร็อกทำร้าย หัวธนูของพวกนี้มีลักษณะพิเศษ
ปลายจะแหลมและหนักกว่าธรรมดา"
"หมายความว่าพวกที่ลอบยิงข้าเป็นพวกโจรป่าพวกนั้นรึ" ร่างนั้นหรี่ตามอง
ด้วยเพราะว่าแม่ทัพบาดเจ็บ ทหารทางฝ่ายเขาจึงถอนทัพกลับมา
ราวินซ์นิ่งอึ้ง เขาคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าทำไมพวกโจรในหุบเขาถึงช่วยเหลือพวกเขา
คงต้องมีผลประโยชน์ใดเป็นแน่