|
Pround of destiny
"ความรักที่มีอุปสรรคกีดขวาง
ความแตกต่างของฐานันดร พวกเขาจะทำเช่นไร.........."
บทที่ 9
หลังจากที่ราวินซ์ทำแผลให้ฟอร์ดเขากลับมาที่ห้อง
นั่งคิดตลอดเวลา ถ้าฟอร์ดไม่ใช่ฟอร์ด? งั้นคนที่อยู่ในเกราะของฟอร์ดจะเป็นใคร?
หน้ากากรูปหมาป่าที่ใส่ตลอดเวลา? นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ฟอร์ดไม่ยอมเรียกหมอหลวงก็ได้
ลูกชายของฟอร์ดรึเปล่า? ราวินซ์ประหวัดนึกไปถึงชายหนุ่มผมทองในสระน้ำ
เสียงฟอร์ดที่ได้ยินมักจะเป็นเสียง แหบๆ ทุ้มต่ำตลอดเวลาราวกับจงใจ
ยิ่งคิดราวินซ์ก็ยิ่งปวดหัว
พลบค่ำราวินซ์เดินเอาอาหารที่สาวใช้มาส่งเข้าไปในห้อง
คนที่ตกเป็นเป้าสงสัยกำลังนอนพักอยู่
"อาหารเย็นมาแล้ว" เขาพูดเบาๆ
ร่างที่นอนบนเตียงหันมามอง
"วางไว้นั่นแหละ ข้ายังไม่หิว"
"ท่านควรจะกินสักหน่อยนะ" ราวินซ์พูดอย่างเป็นห่วง
แต่ร่างนั้นก็ไม่ขยับตัว ร่างบนเตียงยังใส่ชุดเกราะ ชุดเดิม แม้แต่หน้ากากก็ไม่ได้ถอดออก
"แล้วก็...ท่านควรจะถอดชุดเกราะกับหน้ากากออก
อยู่ในห้องอากาศร้อนอบอ้าวจะตาย ข้าไม่เห็นว่าจะมี ความจำเป็นอะไรที่จะต้องใส่มันตลอดเวลา
ไม่ว่าท่านจะใช่แม่ทัพฟอร์ดหรือไม่ก็ตาม" ราวินซ์พลั้งปากพูดออกมา
ร่างที่อยู่บนเตียงลุกพรวด
"เจ้าพูดว่าอะไรนะ" เสียงนั้นตะเบ็งอย่างโกรธๆ
"ข้าบอกว่าท่านควรถอดเกราะออก"
ราวินซ์ทวนอย่างประหลาดใจ
"ไม่ใช่!! ข้าหมายถึงประโยคสุดท้ายต่างหาก"
ฟอร์ดจ้องเขาอย่างเค้นเอาความ ราวินซ์เพียงแค่มองเห็น ประกายตาสีม่วงลอดออกมาจากหน้ากากเท่านั้น
"ข้าบอกว่าไม่ว่าท่านจะใช่แม่ทัพฟอร์ดหรือไม่ก็ตาม!!!"
"เจ้าคิดว่าข้าไม่ใช่แม่ทัพฟอร์ดงั้นรึ"
ร่างนั้นคำรามลุกขึ้นมาจากเตียง ราวินซ์เองก็ไม่ได้เกรงกลัวฟอร์ดอยู่
แล้ว เขาจ้องไปที่ฟอร์ดตรงๆ
"ท่านไม่ใช่แม่ทัพฟอร์ด ถ้าท่านใช่ทำไมถึงต้องใส่หน้ากากตลอดเวลา
ทำไมถึงไม่ต้องการรักษากับหมอ หลวง แล้วก็ทำไมถึงมีร่างกายที่หนุ่มเกินวัย..."
ราวินซ์พูดสิ่งที่อยู่ในใจเขาออกไป แต่ยังพูดไม่ทันจบ ชายที่อยู่ในร่างของฟอร์ดก็ยกดาบขึ้นฟันเขาอย่างไม่มีสาเหตุ
ราวินซ์กลิ้งตัวหลบอย่างตกใจ แต่ดาบที่สองก็ฟัน เข้ามาแล้ว เขารีบยกเก้าอี้ตัวเดียวของห้องขึ้นมารับ
แล้ววิ่งหนีออกไปข้างนอกห้อง ร่างที่บาดเจ็บวิ่งตามออกมา แต่ร่างกายนั้นยังไม่อำนวยที่จะต่อสู้ได้
พอออกมาถึงประตูหน้าห้องก็ยกดาบขึ้นยันกับพื้น หอบหายใจ
"ข้าไม่เคยคิดจะยุ่งเกี่ยวกับเจ้า
แต่ถ้าเจ้าจะเปิดโปงความลับของข้าล่ะก็ ข้าฆ่าเจ้าแน่ไม่ว่าเจ้าเป็นใครก็ตาม"
ร่างนั้นคำรามออกมาพร้อมกับรวบรวมกำลังยกดาบขึ้น
ข้างฝ่ายราวินซ์ เขาเพียงแต่ต้องการที่จะพิสูจน์ว่าใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากนั้นใช่ใบหน้าที่เขาคำนึง
ถึงอยู่หรือเปล่า ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่มีอาวุธติดตัวเลย แต่เขาก็ไม่ใช่ฝ่ายเสียเปรียบ
เขาก้มตัวหลบดาบที่ฟันมาได้ อย่างง่ายดาย แต่ต้นไม้ที่ถูกฟันถึงกับหักสองท่อน
ร่างนั้นทรุดลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง เลือดเริ่มไหลออกจากบาดแผล
"ข้าแค่ถามตามความรู้สึกของข้า ถ้านั่นเป็นความลับของท่านข้าก็ไม่เคยคิดจะยุ่งเกี่ยว
แต่ท่านคงจะมาข่มขู่ข้าด้วยร่างกายแบบนั้นไม่ได้หรอก" ราวินซ์พูดด้วยความโมโห
เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าฝ่ายตรงข้ามคิดจะฆ่าเขาอย่างจริงจัง แต่จากเหตุการณ์เมื่อครู่
ทำเอาเขาต้องเปลี่ยนความคิดใหม่
"ถึงข้าจะบาดเจ็บ แต่ข้าก็ฆ่าเจ้าได้แน่"
ร่างในชุดเกราะยังคงพูดปนหอบอยู่ ร่างนั้นสูดหายใจลึกๆ พร้อมกับยกดาบขึ้นฟันเขาต่อ
ราวินซ์กลิ้งตัวหลบ
ถึงแม้ราวินซ์จะได้เปรียบเรื่องกำลังและความเร็วอยู่ตอนนี้เพราะอาการบาดเจ็บเขาหายสนิทแล้ว
แต่เขาไม่มีแม้แต่อาวุธอะไรจะต่อกร จึงได้แต่กลิ้งหลบไปมา แต่ทันใดนั้นเอง!!!
ฟิ้วววว เสียงธนูฝ่าอากาศปักตรึงเข้าที่ไหลซ้ายของร่างตรงหน้า
ร่างนั้นชะงักกึกล้มลงกับพื้นทันที ราวินซ์ตะลึง รีบหันไปทางแหล่งต้นเสียง
ชายในชุดดำสามคนยืนอยู่ตรงประตูทางเข้าของห้องที่ห่างไปพอสมควร ราวินซ์ไม่รู้จักคนพวกนี้
คนพวกนี้เข้ามาช่วยเขารึ ? ชายสามคนนั้นเดินวิ่งเข้ามาหาเขา
"เจ้าชายราวินซ์" เสียงเอ่ยเหมือนย้ำเพื่อความแน่ใจถามขึ้นมา
"พวกเจ้าเป็นใคร" ราวินซ์มองอย่างระแวง
"พวกเราเป็นคนจากหุบเขาซาราร็อก ได้รับคำสั่งให้มาชิงตัวพระองค์"
หนึ่งในสามคนนั้นพูดออกมา
"รีบไปกันก่อนที่พวกยามจะแห่กันมาพะยะค่ะ"
"เดี๋ยว" ราวินซ์ชะงักก่อนที่จะวิ่งตาม
เขาหันไปมองร่างหมดสติของชายข้างหลัง
"พาเขาไปด้วย" ราวินซ์ไม่รู้เหมือนกันทำไมเขาถึงพูดแบบนี้
แต่เขาเป็นห่วงร่างนั้นมาก ถ้าเกิดสิ่งที่เขาคิดเป็นจริงล่ะก็ ร่างในชุดเกราะนี่ต้องเป็นผู้ชายคนนั้น
ผู้ชายที่ตรึงหัวใจเขาตั้งแต่แรกพบ
"แต่เราไม่มีเวลา...." ร่างในชุดดำเถียงขึ้นมา
แต่ราวินซ์ไม่ฟังเสียง เขาเข้าไปอุ้มร่างที่สลบขึ้นมา แต่น้ำหนักของชุดเกราะทำให้เขาต้องออกแรงมากพอดู
เขาจึงพยายามที่จะถอดเกราะออก
"รีบเข้าเถอะพะยะค่ะ ถ้าพระองค์จะทำอะไร....."
สามร่างนั้นร้อนรน เพราะว่าได้ยินเสียงฝีเท้าของทหารยามวิ่งมาตามทางเดินแล้ว
ราวินซ์ตัดสินใจถอดหน้ากากหมาป่าที่ร่างนั้นใส่อยู่
ปอยผมสีทองเป็นประกายหลุดออกมา ราวินซ์แทบลืมหายใจ ใบหน้าที่เขาคิดถึงตลอดหลังจากในคืนนั้น
ไม่ผิดแน่ ผมสีทองถูกม้วนเก็บไว้ตรงท้ายทอย แต่ยามนี้ดวงตาสีม่วงที่เขาเคยเห็นปิดสนิท
ใบหน้าแทบไม่มีสีเลือด ราวินซ์ใจหายวาบ เขาเอามือเข้าไปรองใต้จมูก
ร่างนั้นหายใจระรวย เป็นสัญญาณว่ายังมีชีวิตอยู่ เขารีบอุ้มร่างนั้นขึ้นมาแนบอกพร้อมกับพยักหน้าบอกกับชายสามคนว่าเขาพร้อมแล้ว
ทั้งหมดเริ่มวิ่งไปที่ประตู ตอนนี้เสียงทหารยามเข้ามาใกล้ประตูมากแล้ว
ชายในชุดดำสามคน ยิงธนูออกไปดักทาง พร้อมกับวิ่งไปที่ประตู
"รีบวิ่งออกไปก่อนพะยะค่ะ" เมื่อเห็นว่าทหารยามเข้ามาจวนตัว
ทั้งสามคนชักมีดออกมาถือในมือ ราวินซ์รีบวิ่งไปที่ประตูทางออก
โครม วัลโลลืมตัวตบโต๊ะด้วยความโมโห เจ้าชายราวินซ์หนีไปได้
เขาไม่เคยเสียหน้าเท่านี้มาก่อน ทหารยามที่รายงานตัวสั่นงกๆๆ พระราชาดาซิลนั่งบนเก้าอี้มองด้วยสีหน้าเรียบเฉย
"มีชายคลุมหน้าชุดดำสามคนได้เข้ามาชิงตัวเจ้าชายราวินซ์
ไปแล้วพะยะค่ะ.....ตอนนี้พวกหม่อมชั้นพยายามตามจับตัวอยู่...."
"พวกเจ้านี่ไม่ได้เรื่องเลย" วัลโลตะคอก "น่าโดนทำโทษนัก"
"ใจเย็นน่าวัลโล โดยส่วนตัวเราเองไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องสำคัญอะไร
ไม่ต้องทำโทษหรอก" พระราชาดาซิลพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม
"ทำไมจะไม่สำคัญพะย่ะค่ะ ถ้าเราไม่มีตัวประกัน
ไฮแลนด์การ์ดกับมาดาแลนด์รวมตัวกันโจมตีเราเมื่อไหร่ เราอาจจะเป็นฝ่ายเสียหายนะพะย่ะค่ะ"
วัลโลพูดด้วยสีหน้าร้อนรุ่ม
พระราชาดาซิลดวงตาเป็นประกาย
"เราไม่เคยคิดว่าเราจะเป็นฝ่ายเสียหาย
เรารอโอกาสที่จะได้รบทัพจับศึกอย่างสนุกสนานซะทีต่างหาก" รอยยิ้มเหี้ยมปรากฏบนใบหน้า
สีหน้าพระราชาดาซิลตอนนี้ราวกับว่ากำลังรอความสนุกสนานมากกว่า
"แล้วแม่ทัพฟอร์ดล่ะ" พระราชาดาซิลถามถึงแม่ทัพคู่ใจ
"คือแม่ทัพฟอร์ดหายตัวไปพะย่ะค่ะ
หม่อมชั้นหาทั่วทั้งห้องก็ไม่พบเลย พบแต่ชุดเกราะของแม่ทัพอยู่ด้านนอกของห้อง"
ทหารนายนั้นรายงาน
พระราชาดาซิลสีหน้าเป็นห่วง ถึงพระองค์จะเป็นคนโหดร้ายขนาดไหน
แต่กับแม่ทัพคู่ชีพที่รบมาด้วยกันยี่สิบปีก็ทำให้เขากังวลบ้าง
"เจ้าแน่ใจนะ ว่าฟอร์ดไม่ได้ถูกจับเป็นตัวประกัน"
วัลโลเอ่ยถาม ทหารนายนั้นทำท่าลำบากใจ ก่อนจะรายงานว่า
"หม่อมชั้นตามกลุ่มคนที่มาช่วยเจ้าชายไปพะย่ะค่ะ
เห็นเจ้าชายราวินซ์อุ้มคนบาดเจ็บอยู่คนหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่หม่อมชั้นคิดว่านั่นไม่ใช่แม่ทัพฟอร์ด....เป็นชายหนุ่มผมสีทองที่หม่อมชั้นไม่รู้จักพะย่ะค่ะ"
"ว่าไงน่ะ" คราวนี้เสียงที่ตะโกนขึ้นมากลับเป็นเสียงของพระราชาดาซิล
ร่างนั้นยืนขึ้นพร้อมกับส่งสายตาโมโหจับจ้องมา "เจ้ารายงานให้ละเอียดสิ"
ร่างนั้นพูดเสียงกร้าว วัลโลหน้าซีด
"คะ คือว่า....เจ้าชายราวินซ์อุ้มคนบาดเจ็บออกมาจากห้องของท่านแม่ทัพ
เป็นชายหนุ่มผมยาวสีทองพ่ะยะค่ะ หม่อมชั้นไม่ทันเห็นหน้าชัดเจน.....เลยอธิบายไม่ถูก"
ทหารนายนั้นรายงานตัวสั่นเทา พยายามบอกรายละเอียดเท่าที่เขาจะทำได้
แต่พอยิ่งบอกมากขึ้นพระราชาดาซิลยิ่งโกรธเกรี้ยวเข้าไปเรื่อยๆ
"เลี้ยงเสียข้าวสุกนัก.......จับพวกทหารยามทุกคนไปตัดหัวให้หมด"
พระราชาดาซิลส่งเสียงคำราม ทหารยามนายนั้นหน้าซีดเผือด คราวนี้วัลโลเป็นฝ่ายพูดบ้าง
"เอ่ออ....พระองค์ เรายังไม่แน่ใจเลยว่าชายหนุ่มคนนั้นจะเป็น....เอ่อ...
พระองค์อย่าพึ่งด่วนตัดสินใจ"
พระราชาดาซิลหันมามองวัลโลด้วยแววตาโกรธเคือง
"ส่งทหารออกไปค้นที่คฤหาสถ์ของฟอร์ดนอกเมือง...."
พระราชาดาซิลหันกลับกลับมามองวัลโลอีกครั้ง
"ถ้าเกิดเป็นอย่างที่เราคิดล่ะก็.....จับทหารยามไปตัดหัวให้หมด"
พูดจบพระราชาดาซิลก็สะบัดหน้าเดินออกจากห้องประชุมไป วัลโลได้แต่ยืนทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ข้างฝ่ายทหารยามนายนั้นก็กลัวจนร้องไม่ออกเหมือนกัน เจ้าชายราวินซ์หนีไปได้กลับไม่ถูกลงโทษ
แต่นี่เพียงแค่ชายหนุ่มผมทองที่ไม่มีใครรู้จักกลับทำพระราชาดาซิลร้อนใจได้ขนาดนี้...
ราวินซ์วิ่งหนีพลางประคองร่างในอ้อมอกอย่างทะนุถนอม
พวกทหารก็ยังตามเขามาติดๆ ด้วยความที่อุ้มคนหนีทำให้ราวินซ์ไม่สามารถต่อสู้ได้
เขาจึงกลายเป็นตัวถ่วงตัวสำคัญทีเดียว คนของหุบเขาซาราร็อกต้องเข้ามาช่วยหลายต่อลายครั้ง
"เจ้าชาย !!! ทิ้งทหารคนนั้นไปเถอะพะยะค่ะ
เป็นตัวถ่วงพวกเราเสียเปล่าๆ พวกเราจะตายกันหมดซะก่อน"
ราวินซ์ไม่ยอมตอบคำ แต่เขาทำเหมือนไม่ได้ยินอุ้มร่างบางวิ่งต่อ
ร่างที่มาช่วยทั้งสามได้แต่ถอนหายใจ ในที่สุดพวกเขาได้อาศัยความชำนาญในการเดินป่าสลัดหลุดทหารที่ติดตามไปได้ทุลักทุเลพอสมควร
เมื่อถึงยามค่ำคืน เจ้าชายราวินซ์อาศัยหลบภัยอยู่ในถ้ำ
พวกเขาไม่กล้าที่จะก่อไฟเพราะกลัวจะเป็นที่สังเกต ร่างบางในอ้อมแขนจนบัดนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น
แถมตัวร้อนทำท่าจะจับไข้อีก ราวินซ์ถอดเสื้อออกเพื่อดูบาดแผล โชคยังดีที่ตอนถูกธนูใส่เสื้อเกราะอยู่
มิฉะนั้นแผลคงจะสาหัสกว่านี้
"พวกเจ้ามียาสมานแผลรึเปล่า"
ราวินซ์เอ่ยปากถาม หนึ่งในสามโยนตลับยาเล็กๆมาให้เขา ราวินซ์ยิ้มให้อย่างขอบใจ
พร้อมกับป้ายยาลงบนปากแผล ผ่านไปสักครู่ ราวินซ์ก็เริ่มหันมาถามคนจากหุบเขาซาราร็อก
"พวกเจ้าได้รับคำสั่งใครให้มาช่วยข้าน่ะ"
"นี่เป็นข้อตกลงของทางเรากับมาดาแลนด์
ตอนนี้เจ้าหญิงอะดิลล่าก็เสด็จมาประทับในหุบเขาซาราร็อกด้วย"
ชายที่ผิวคล้ำที่สุดตอบคำ
"หา อะดิลล่าเนี่ยนะ" ราวินซ์ร้องด้วยความตกใจ
ด้วยนิสัยของอะดิลล่า เขาเองก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่กล้าเดินทางมา
แต่ที่แปลกใจคือทำไมทุกคนถึงกล้าปล่อยอะดิลล่ามาต่างหาก แต่ราวินซ์ก็ไม่ได้เอ่ยปากถามต่อ
เมื่อร่างบางข้างๆส่งเสียงครางออกมา ราวินซ์เอามือลูบใบหน้า พิษไข้ทำให้ร่างนั้นร้อนราวกับไฟ
ราวินซ์เริ่มกังวล
"ในหุบเขามีหมอรึเปล่า" ราวินซ์เอ่ยปากถาม
"เรามีหมอกิลอยู่ในหุบเขา แต่ก็แค่หมอยาธรรมดา
จากนี่ไปหุบเขาต้องใช้เวลาประมาณสามวัน"
"สามวัน!!!" ราวินซ์อุทาน แล้วร่างบางจะทนพิษบาดแผลไปได้จนถึงสามวันหรือเปล่าเนี่ย
"ถ้าเราเร่งเดินทางเต็มที่คงจะประมาณสองวันได้"
ราวินซ์พูดพร้อมกับมองหน้าชายทั้งสาม
หนึ่งในนั้นทำท่าจะเถียงแต่เมื่อมองหน้าร่างที่สลบไม่ได้สติก็พอจะเดาได้ว่าร่างนั้นต้องมีความสำคัญกับเจ้าชายราวินซ์มากทีเดียว
เขาเลยไม่ได้กล่าวอะไร
"ท่านพ่อ...ท่านพ่อ....อย่าทิ้งข้าไป...อ่า..."
ร่างบางเพ้อเพราะพิษไข้
"ออเดร เจ้าอย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก"
ในฝันเขานึกถึงเหตุการณ์ในอดีต "ใบหน้าของเจ้า....อา....ข้าไม่อยากเห็นใบหน้าของเจ้า"
เขาเห็นพ่อของเขากุมหน้าเดินจากไป
"อย่าเกลียดข้าเลย ท่านพ่อ อย่าเกลียดข้า...
ข้าเกลียดใบหน้าตัวเองนัก ข้าเกลียดใบหน้านี้ ข้าเกลียดดดด ทำไมข้อต้องมีตาสีม่วงเหมือนมัน
เหมือนมัน..."
"ท่านพ่อ...ข้าเกลียดมัน พระราชาดาซิล
ท่านพ่อ....." ร่างโปร่งคราง พร้อมกับเอามือปัดป่ายไปมา ในฝันเขาเหมือนสัมผัสกับความเย็นบางอย่างมาแตะที่หน้าผาก
เขาพยายามลืมตาก็รู้สึกเหมือนพบกับใบหน้าสวยที่ไม่เคยรู้จักมองอย่างเป็นห่วง
ร่างนั้นกุมมือเขาไว้ แต่เขาก็ไม่มีแรงจะตอบสนองอะไรทั้งสิ้น ในที่สุดก็ม่อยหลับไป
"อาการเป็นยังไงบ้างซามิว" เสียงเบาๆกระซิบถามราวกับไม่อยากให้ใครได้ยิน
"ก็ค่อยยังชั่วแล้วเสด็จพี่ ดีที่ร่างกายเขาค่อนข้างแข็งแรงเลยทนพิษบาดแผลได้นาน
นี่ถ้าเกิดทิ้งไว้หลายวันอาจจะอันตรายได้" ซามิวตอบคำ
เมื่อยามที่ราวินซ์เดินทางมาถึงหุบเขาซาราร็อคนั้น
บุคคลแรกที่เขาต้องการพบก็คือหมอกิล เขาแทบไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ร่างในอ้อมแขนก็ทำท่าจะอาการหนักขึ้นทุกวัน
เขาเดินทางโดยไม่หลับไม่นอนในที่สุดก็ใช้เวลาเพียงแค่สองวันเดินทางมาถึงหุบเขา
เมื่อยามที่เขาเห็นซามิวแทนที่จะเห็นอะดิลล่า ราวินซ์รู้สึกเหมือนพระเจ้ามาโปรด
เขาเกือบจะตะโกนออกไป ดีที่โซลกับราเวลรีบเข้ามาแทรกดึงออกไปอีกทาง
"ชายคนนี้เป็นใครเหรอเสด็จพี่"
ซามิวเอ่ยปากถามยามเมื่ออยู่กันสองต่อสอง เขาไม่เคยเห็นราวินซ์แสดงอาการเป็นห่วงใครขนาดนี้มาก่อน
ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายซามิวต้องคิดว่าราวินซ์หลงรักคนคนนี้แน่.....
"พี่ก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่เขาเคยช่วยชีวิตพี่ไว้....."
ราวินซ์ตอบแบบอ้อมแอ้ม ซามิวถอนหายใจ
"เสด็จพี่ทำท่าเป็นห่วงราวกับเป็นคนรักแนะ..."
อีกฝ่ายอึ้งไปเมื่อซามิวพูดจบคำ
"คนรัก.....งั้นเหรอ" ราวินซ์พึมพำเบาๆ
ความรู้สึกแบบนี้เขาก็เพ่งเคยครั้งแรก หรือว่า.....
|
|
|