Pround of destiny
"ความรักที่มีอุปสรรคกีดขวาง ความแตกต่างของฐานันดร พวกเขาจะทำเช่นไร.........."
บทที่ 10
ตอนนี้ซามิวหรือเจ้าหญิงอะดิลล่าเป็นคนที่งานยุ่งที่สุดในหุบเขาซาราร็อค
ไหนจะมีคนป่วยสองคนที่ต้องดูแล คนหนึ่งถูกพิษมาตั้งนานแต่ก็ไม่ยอมหายสักที
ต้องให้เขาเข้าไปดูอาการแทบทุกวัน ส่วนอีกคนก็ดูเหมือนจะเป็นคนพิเศษของพี่ชาย
เมื่อยามที่ซามิวเห็นหน้าชายหนุ่มคนนั้นครั้งแรก เขาเองก็ตะลึงไปพักหนึ่งเช่นกัน
ถ้าสวยขนาดนั้นก็คงไม่แปลกที่พี่ชายเขาจะรู้สึกแปลกๆด้วย ส่วนอีกคนซามิวรู้สึกหมั่นไส้มากกว่า
น่าจะหายตั้งนานแล้ว บางครั้งเขาเองก็รำคาญไม่ได้ไปดูอาการ แต่ในที่สุดฝ่ายตรงข้ามก็ส่งคนมาตามไปจนได้
ด้วยความที่ราวินซ์ปลอดภัยกลับมาทำให้ซามิวหายโกรธสโตลไปได้มากโข
"คราวนี้ท่านเป็นอะไรอีกล่ะ ปวดหัวหรือว่าปวดท้อง อยากได้ยาที่กินแล้วหายทุกโรคเลยมั้ย"
ซามิวพูดกระทบกระเทียบ
ร่างสูงใหญ่ไม่ได้นอนอยู่บนเตียงแต่นั่งอ่านหนังสืออยู่ นี่นะเหรอคนปวดหัวจนต้องเรียกเขามา
"มีด้วยเหรอยาที่รักษาแล้วหายทุกโรคนะ" ร่างนั้นถามยิ้มๆ
มองซามิวไม่วางตา หลังจากที่ร่างสูงโกนหนวดโกนเคราออก ครั้งแรกที่ซามิวเห็นก็รู้สึกตะลึงไปเหมือนกัน
เขาไม่นึกว่าชายร่างใหญ่ไว้หนวดเคราดูอายุแยะคนนี้ พอโกนหนวดแล้วจะดูหน้าเด็กลงกว่าที่เขาคาดสักสิบปีได้
แถมหน้าตายังจัดได้ว่าหล่อเสียอีก
"ก็กินแล้วหายจากโลกไปเลยไง จะได้ไม่ต้องปวดหัวปวดท้องอีก"
ซามิวพึมพำ ร่างตรงข้ามหัวเราะร่วน แต่แล้วก็ชะงักยกมือขึ้นกุมหน้าอก
ซามิวตกใจรีบเดินเข้าไปดู
"ท่านเป็นอะไร...." พอเข้าไปใกล้ร่างสูงคว้ามือของซามิวเข้ามากุม
สายตาประสานกัน ร่างตรงข้ามโน้มศีรษะเข้ามาจูบปากเขาอย่างแผ่วเบา
ซามิวชะงักอึ้งไปพักหนึ่ง ร่างนั้นถอนตัวออก พร้อมกับพูดยิ้มๆว่า
"คราวนี้ไม่ว่าข้าแล้วเหรอ"
"ถ้าท่านหายแล้วก็ไม่ต้องเรียกข้ามาอีก ข้าไม่มีเวลาจะต้องมาวุ่นกับอาการป่วยจอมปลอมของท่าน"
ซามิวสะดุ้ง หน้าแดง พยายามดึงมือออก
"อืม...ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนท่านไม่อยู่ข้ารู้สึกปวดแถวหน้าอก
แต่พอท่านเข้ามาใกล้อาการข้ามันก็หายไปเอง ข้าอาจจะเป็นโรคหัวใจก็ได้กระมัง"
ร่างนั้นพูดอย่างจริงจัง
"โรคหัวใจไม่ใช่แบบนี้สักหน่อย อาจจะเป็นอาการตกค้างจากพิษของท่านก็ได้"
ซามิวตอบอย่างครุ่นคิด สโตลถึงขั้นอ้าปากค้างด้วยไม่คิดว่าร่างตรงข้ามจะซื่อได้ถึงเพียงนี้
แต่แล้วเขาก็ถอนหายใจ
"ท่านพบพี่ชายท่านแล้วใช่ไหม ไม่มีปัญหาอะไรนะ" สโตลเปลี่ยนคำถาม
"ถ้าเสด็จพี่ราวินซ์ล่ะก็ไม่มีปัญหา แต่คนที่มีปัญหาน่ะ คือคนที่เสด็จพี่พามาด้วยต่างหาก"
ซามิวพูดอย่างกังวล "ไข้สูงมากแถมบาดแผลก็ยังติดเชื้อมีหนอง
เพ้อตลอดจนตอนนี้ยังไม่รู้สึกตัวเลย อันตรายพอดู ดีที่ร่างกายค่อนข้างแข็งแรง"
ซามิวพูดอย่างกังวล เขากับสโตลตอนนี้ก็สนิทกันพอสมควร หลังจากเรื่องวันนั้นสโตลทำตัวดีมาตลอด
แทบไม่เคยแตะต้องเขาอีกเลยก็ได้ จนซามิวเองเริ่มเป็นฝ่ายรู้สึกแปลกๆ
ซามิวเริ่มคุ้นเคยกับนิสัยของร่างสูงใหญ่ข้างหน้า บางทีก็เข้ามาพูดคุยเรื่องไม่สบายใจให้ฟังได้
เพราะอย่างน้อยก็ยังดีกว่าคุยกับโซลที่เป็นเพียงสาวใช้
"ท่านควรจะพักผ่อนได้แล้ว ข้ารู้สึกว่าท่านไม่ได้นอนมาทั้งคืน
ท่านจะอาศัยห้องนี้พักผ่อนก่อนก็ได้ เพราะว่าห้องท่านยกให้เจ้าชายราวินซ์กับคนเจ็บไปแล้ว
เดี๋ยวข้าจะสั่งคนให้จัดห้องให้ท่านใหม่" สโตลพูด ข้างฝ่ายซามิว
เขาชำเลืองมองไปที่เตียง ถึงแม้เขาจะอยากพักผ่อนขนาดไหนแต่เขาคงไม่กล้านอนห้องนี้แน่..ก็เพราะเจ้าของห้องนั่นแหละ..ขณะที่จะปฏิเสธ
สโตลก็พูดแทรกขึ้นมา
"ข้าจะออกไปสั่งงานกับฟาริมข้างนอก ท่านจะล็อกห้องไว้ก็ได้
ข้าจะเรียกสาวใช้ท่านมาให้" พูดจบเขาก็เดินออกไป ซามิวมองตามอย่างงงๆ
ไหนว่าไม่สบายไง หรือที่เรียกเขามานี่เพียงแค่ต้องการให้เขาพักผ่อน!
ร่างสูงถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังจากเดินออกไป
เขาเรียกโซลให้ไปปฏิบัติรับใช้เจ้าหญิงอะดิลล่าที่ห้อง พร้อมกับสั่งให้คนอื่นไปเตรียมห้องใหม่ให้เจ้าหญิง...
"เป็นอะไรไปวะ สโตล ออกมาจากห้องได้แล้วเหรอฟะ" ฟาริมเดินเข้ามาตบไหล่
สโตลได้แต่เหลือบมองแต่ไม่ได้ตอบคำ
"เฮ้ย ทำซึมยังกะคนอกหักแนะ อุตส่าห์ลงทุนโกนนี่จะคุ้มไหม"
ฟาริมเอามือลูบหน้าเพื่อน สโตลยกมือขึ้นปัด
"ไม่ใช่เรื่องนั้นโว้ย ข้ากำลังคิดเรื่องต่อจากนี้ต่างหาก ตอนนี้เจ้าชายราวินซ์อยู่กับเราแล้ว
ข้ายังไม่แน่ใจว่าเจ้าชายราวินซ์ควรจะซ่อนตัวอยู่ที่นี่ต่อดี หรือว่าจะส่งกลับดี"
สโตลพูดครุ่นคิด ถ้าส่งเจ้าชายราวินซ์กลับ เจ้าชายซามิวก็ต้องกลับไปด้วย
เขาเองไม่อยากให้เจ้าชายซามิวกลับไปเลยจริงๆ
"อืม ถ้าพูดกันตามจริง พวกคนในหุบเขาซาราร็อกก็อาศัยอยู่ในแผ่นดินของมาดาแลนด์
ถ้าเกิดมาดาแลนด์ถูกเบสแลนด์ยึดได้จริง ฝ่ายที่จะลำบากต่อไปก็คงต้องเป็นทางเรา"
สโตลอ้างเหตุผลให้ฟาริมฟัง
"แต่พวกเราไม่ใช่ทหาร คนในหุบเขาส่วนใหญ่ก็เป็นผู้หญิงและคนแก่
แถมพวกเราก็ไม่ถนัดในการรบประชิดตัว ถ้าเอาตัวเข้าไปเสี่ยงก็เหมือนกับวิ่งเข้าไปตายนั่นแหละ
ปล่อยให้ทางมาดาแลนด์กับทางไฮแลนด์การ์ดช่วยเหลือกันเองดีกว่า สโตล"
ฟาริมหันมาพูดจริงจังบ้าง ถึงแม้เขาจะขี้เล่น แต่เวลาถกเหตุผลก็เป็นคนจริงจังคนหนึ่งเหมือนกัน
สโตลถอนหายใจ จริงอย่างที่ฟาริมบอก
"เจ้าเห็นทหารเชลยคนที่เจ้าชายราวินซ์พามาด้วยหรือเปล่า"
ฟาริมเปลี่ยนเรื่องพูดอย่างกระตือรือร้น
"ทำไม...."
"สวยมาก...." ฟาริมทำท่าเหม่อ
"รู้สึกว่าแกจะเห็นใครสวยไปหมดเลยนะเฟ้ยระยะนี้ อึดอัดไม่ได้ระบายรึไง"
สโตลรำคาญนิดๆ "ถ้าเจ้าชายราวินซ์เป็นห่วงขนาดนั้นแกคงหมดสิทธิ์ว่ะ
เพื่อนเอ๊ย"
ฟาริมหน้าม่อยลง ก็จริงอย่างที่สโตลบอก แต่เขาแค่บอกว่าสวยเท่านั้นเองไม่ได้คิดอะไรมากอยู่แล้วกับนิสัยกะล่อนนิดๆ
เจ้าชู้ไม่เลือกอย่างเขา
"แล้วปฏิกิริยาของทางเบสแลนด์เป็นไงบ้างล่ะ" สโตลถาม
"อืม...ข้าได้ข่าวจากสายของเราในเมืองว่าพระราชาดาซิลสั่งประหารทหารยามทั้งหมดฐานสะเพร่าน่ะ"
ฟาริมพูดถอนหายใจ สมกับเป็นพระราชาผู้โหดร้ายจริงๆ
"แล้วข้าก็ได้ข่าวว่าแม่ทัพฟอร์ดหายสาบสูญไปด้วยนะ" ฟาริมอธิบายต่อ
สโตลพยักหน้ารับรู้
ด้วยแสงแดดที่แยงตาทำให้ร่างบนเตียงยกมือขึ้นขยี้
พร้อมกับส่ายหน้าไปมา ริมฝีปากแห้งผาก
"น้ำ...น้ำ..ขอน้ำหน่อย...." แก้วใส่น้ำถูกประคองมาให้ตรงหน้า
พร้อมกับมือที่พยุงด้านหลังให้ลุกขึ้นมานั่ง
ร่างนั้นดื่มน้ำอย่างกระหาย หลังจากเสร็จก็ช้อนตาขึ้นมองคนที่ประคองอยู่
ทั้งสองตะลึงกันอยู่พักหนึ่ง
ซามิวเพิ่งสังเกตเห็นสีตาของคนป่วยชัดๆ เป็นตาสีม่วงที่สวยมาก เมื่อรวมกับใบหน้าและผมยาวสีทองทำให้ใบหน้านั้นดูนุ่มละมุนกว่าใบหน้าของผู้ชาย
ดูมีเสน่ห์เย้ายวนพร้อมกับความแข็งแกร่งไปในตัว ข้างฝ่ายร่างตรงข้ามก็จ้องซามิวเขม็ง
ผู้หญิงที่เขาเห็นเลือนรางในความฝัน....ผู้หญิงที่มองเขาด้วยสายตาเป็นห่วง
"ที่นี่ที่ไหน...เจ้าเป็นใคร....." ร่างนั้นเอ่ยปากถาม
ถึงแม้เขาจะได้สติแต่ร่างกายก็ยังถูกเผาผลาญด้วยพิษไข้...สมองมึนชาไปหมด
แผลที่ไหล่ก็เหมือนถูกเหล็กไฟนาบ
"ทีนี่คือหุบเขาซาราร็อก...ส่วนเราเป็นคนรักษาท่าน..ชื่อซา...เอ้ย
อะดิลล่า" ซามิวตอบพร้อมกับแตะหน้าผากร่างตรงข้าม ร่างตรงข้ามผงะถอยหลังไปนิดแบบไม่คุ้นเคย
"ตัวท่านยังร้อนมากอยู่เลย ... ท่านเอ่อ..." ซามิวเอ่ยเหมือนจะถามชื่อ
"ออเดร.." ร่างนั้นตอบเบาๆ โดยไม่ละสายตาจากซามิว
"เอ่อ ออเดร ท่านบาดเจ็บสาหัสมาก ที่ไหล่ซ้ายทั้งด้านหน้าและด้านหลังถูกธนูยิงมา
ข้าเย็บแผลให้แล้ว...เอ่อ" ซามิวรู้สึกแปลกๆเมื่อถูกจ้องไม่วางตา
"ท่านจ้องข้าทำไม..." ซามิวถามเขินๆ กดศีรษะออเดรให้นอนลง
"....ข้า...ข้าไม่เคยเห็นผู้หญิงสวยเช่นท่านมาก่อน.."
ร่างนั้นตอบตรงๆ ทำเอาซามิวหน้าแดง
"เอ่อ...ข้าไม่รู้ควรจะดีใจหรือเปล่า ในเมื่อคนชมสวยกว่าตัวข้าเนี่ย"
ซามิวพูดยิ้มๆ ด้วยความรู้สึกแปลกๆ หลังจากพูดจบเขาสังเกตเห็นร่างตรงข้ามหน้าซีดเผือด
ยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง
"หน้ากาก...หน้ากากของข้าไปไหนล่ะ" ร่างนั้นเสียงสั่น
"เอ๋ ท่านมีหน้ากากอะไรด้วยหรือ ไม่สบายไม่เห็นจำเป็นต้องใส่เลย
นี่ก็ไม่ใช่ช่วงออกรบสักหน่อย" ซามิวตอบงงๆ ร่างนั้นกุมหน้าตัวเอง
เล็บจิกเข้าไปบนใบหน้า เลือดซึมออกมา
"หน้ากาก....ข้าจะเอาหน้ากากของข้า...." ร่างนั้นยังพูดเหมือนเดิม
"ข้าเกลียดใบหน้านี้.....ข้าเกลียดตาสีนี้....ข้าเกลียดทุกอย่าง....บนใบหน้าของข้า"
ร่างคนป่วยเริ่มสั่นเทา ซามิวตกใจพยายามดึงมือร่างตรงข้ามออกจากใบหน้าตัวเอง
แต่ออเดรเหมือนไม่รู้สึกตัว..ซามิวต้องออกแรงสุดแรงเพื่อที่จะขืนมือคนป่วยไว้
"ออเดร เจ้าใจเย็นๆสิ สูดหายใจลึกๆ" ซามิวหน้าซีดพยายามพูดใส่หูออเดร
เขารู้สึกว่าร่างตรงข้ามคงต้องมีปัญหาทางจิตอย่างหนึ่ง มิฉะนั้นคงไม่ตกใจขนาดนี้
ซามิวไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ในเมื่อเกิดมาหน้าตาดี ทำไมต้องเกลียดใบหน้าตัวเองด้วย
ร่างคนป่วยยังถูกซามิวจับไว้แน่น ดีที่ตอนนี้ออเดรป่วยอยู่ ซามิวจึงดึงมือออเดรไว้ได้
เขาโอบออเดรไว้พยายามปลอบให้หายสั่น ร่างบนเตียงก็กอดเขาแน่นเล็บจิกไปที่หลัง
"นี่!!! พวกเจ้าทำอะไรกันน่ะ" เสียงสองเสียงประสานกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
สโตลกับราวินซ์จ้องภาพที่เห็นด้วยความรู้สึกต่างกัน ราวินซ์จ้องออเดรแทบไม่วางตาถึงแม้จะรู้ว่าเพศเดียวกันก็เถอะแต่เขาก็อดรู้สึกหึงซามิวนิดๆไม่ได้
นี่มันเกิดอะไรขึ้น ฝ่ายสโตลเขามองซามิวกับออเดรด้วยสายตาแปลกๆ หน้าตาแบบนี้นี่เองฟาริมถึงได้เอาไปเพ้ออีกคน
ออเดรเงยหน้าขึ้นตามเสียง พอมองเห็นราวินซ์เขาก็ชะงักไป ร่างสั่นแรงขึ้น
ซามิวถูกออเดรพลักหงายหลังตกลงจากเตียง สโตลรีบวิ่งเข้าไปรับ...
"เจ้าไม่เป็นไรนะ...." สโตลพูดอย่างเป็นห่วง ซามิวรีบลุกขึ้นมาหอบหายใจ
"ใครช่วยจับออเดรไว้ด้วย..." ซามิวพูดพร้อมชี้ไปที่ออเดรผู้ซึ่งไม่สนใจอาการป่วยตัวเอง
ที่พยายามพลิกตัวจะลุกขึ้นจากเตียง แผลที่ถูกเย็บไว้ก็เหมือนจะปริแตกออกมา
เลือดไหลอาบหัวไหล่และผ้าปูเตียง ราวินซ์รีบวิ่งเข้าไปจับกดไว้กับเตียง
ออเดรได้แต่ส่ายศีรษะไปมา พร้อมกับถลึงตามองเขา
สโตลพยุงซามิวลุกขึ้น ซามิววิ่งไปที่ตู้ยาควานหายาอย่างหนึ่งเมื่อได้ก็รีบวิ่งกลับมา
เขาเอายานั้นชโลมไปที่เศษผ้าก่อนที่จะกดไปที่จมูกของออเดรที่ดิ้นอยู่
สักพักร่างนั้นก็ค่อยๆสงบลง ศีรษะซบลงกับหมอน สโตลกับราวินซ์มองด้วยสายตาตึงเครียด
ซามิวได้แต่ส่ายหัวเมื่อเห็นแผลที่หัวไหล่ฉีกออกมาอีก
"ที่มันเกิดอะไรขึ้น!!" ราวินซ์ถามอย่างตกใจ
"ข้าจะไปรู้หรือไง...เขาเอาแต่ถามหาหน้ากาก...พอเสด็จพี่เข้ามาก็กลายเป็นแบบนี้"
ซามิวตอบเคืองนิดๆ "เขาเป็นใครน่ะ เสด็จพี่...ถ้าเสด็จพี่ไม่อธิบายให้รู้เรื่อง
หม่อมชั้นจะไม่รักษาเขาต่อ"
"เอ่อ..." ราวินซ์มองซามิวกับออเดรสลับกันไปมา..ก่อนจะพึมพำออกไป
"แม่ทัพฟอร์ด..."
เมื่อออเดรรู้สึกตัว...เขาพบว่าตัวเองถูกมัดไว้กับหัวเตียงเพื่อไม่ให้ขยับ
เมื่อมองไปโดยรอบก็เห็นราวินซ์กับสโตลยืนมองเขาอยู่ ซามิวได้แต่มองด้วยความเป็นห่วง
ราวินซ์ทำท่ากระสับกระส่าย
"ข้าไม่ได้..เอ่อ ตั้งใจจะมัดเจ้า.." ราวินซ์พยายามบอก
แต่สโตลพูดแทรกขึ้นมา
"เจ้าเป็นเชลยของพวกเรา... แม่ทัพฟอร์ด..ตัวปลอม..." สโตลพูดด้วยเสียงเหยียดๆ
ออเดรกัดฟันตัวเองกรอดๆ หอบหายใจแรงขึ้น...แต่ก็ยังไม่ยอมเอ่ยปากพูด
"ท่านเป็นใครกันแน่...ออเดร" ราวินซ์ถามเสียงนุ่มเมื่อเห็นออเดรเกร็งจนตัวสั่น
เขาตกใจเมื่อเห็นเลือดซึมออกมาจากปาก..
"พวกท่านเลิกถามคำถามได้แล้ว! สงสารคนป่วยบ้างสิ" ในที่สุดซามิวทนไม่ได้หันไปบอกกับราวินซ์และสโตลเสียงเข้ม
ทั้งสองคนทำท่าจะไม่ยอม แต่ก็ถูกซามิวจ้องจนในที่สุดก็เงียบไป เห็นซามิวเงียบๆ
แต่เวลาโมโหก็ร้าย
ซามิวหยิบผ้ามาเช็ดเลือดที่ปากของออเดรอย่างเบามือ ร่างตรงข้ามผ่อนคลายลง
ซามิวแกะผ้าที่มัดมือออก รอยมัดแดงเห็นเด่นชัด ซามิวกุมมือนั้นไว้
"ท่านนอนพักผ่อนดีกว่า...ตัวยังร้อนอยู่เลย เดี๋ยวข้าจะต้มสมุนไพรมาให้อีก"
ออเดรเองก็เงียบไปสักพัก จนในที่สุดเขาก็พูดออกมาว่า
"สำหรับตัวข้า ข้าคิดว่าข้าคงไม่มีความสำคัญอะไรในเบสแลนด์
แต่สำหรับคนบางคนที่คิดเอาเอง อาจจะคิดว่าข้าสำคัญมากก็ได้"
ร่างนั้นยิ้มเหยียดๆ "การพาตัวข้ามาอาจจะทำให้พวกท่านลำบากทีหลัง"
"แล้วฐานะของเจ้าในเบสแลนด์คืออะไรล่ะ" สโตลถามเรื่อยๆ
ไม่ได้มีท่าทีขู่เข็นเหมือนทีแรก
"ข้าเป็นเพียงบุตรชายของฟอร์ดแม่ทัพฝ่ายซ้ายเท่านั้น....ไม่เคยเข้ารับราชการ"
ออเดรตอบเสียงเรียบ
สโตลกับราวินซ์มองหน้ากัน สำหรับแค่บุตรชายของแม่ทัพซึ่งไม่เคยรับราชการมาก่อนไม่น่าจะมีความสำคัญมากเท่าใดนัก
ถึงแม้แม่ทัพฟอร์ดจะเป็นแม่ทัพคู่ใจก็เถอะ
"แล้วแม่ทัพฟอร์ดอยู่ไหน...ทำไมเจ้าถึงปลอมเป็นแม่ทัพฟอร์ด"
สโตลถาม ร่างบนเตียงกระตุกนิดหนึ่ง
"บิดาข้าเสียชีวิตได้สองปีเศษแล้ว"
"หา!!!" เสียงแทบทุกเสียงประสานพร้อมกัน
"งั้นคนที่ออกรบตลอดสองปีมานี่ก็คือเจ้างั้นเรอะ...."
ราวินซ์ถามเสียงสั่น "คนที่ฆ่าพี่ชายกับน้องชายข้าในสนามรบก็คือเจ้า"
ซามิวเองก็หันไปมองออเดรด้วยความตกใจ
ร่างบนเตียงไม่ตอบคำ ถึงยังไงเขาก็คงไม่มีข้อแก้ตัว ถึงแม้เขาไม่ได้เป็นคนลงดาบฆ่า
แต่ยังไงเขาก็คือแม่ทัพ ทุกอย่างอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของเขา
สโตลหรี่ตามองออเดร "เจ้ามีเหตุผลอะไรถึงต้องปลอมตัวเป็นแม่ทัพฟอร์ดด้วย....พระราชาดาซิลยังไม่รู้ความจริงเรื่องนี้ใช่ไหม"
แววตาของออเดรมีประกายตาปวดร้าวแวบหนึ่ง "ข้าไม่ต้องการฟังชื่อๆนั้นอีก"
ออเดรตะโกน หน้าซีด ตัวเริ่มสั่นอีกครั้ง
"เสด็จพี่กับสโตลได้โปรดออกไปก่อน ถึงเขาจะค่อยยังชั่วมากแล้วก็เถอะ
ขอให้คนป่วยได้พักผ่อนบ้าง ท่านอย่าตั้งคำถามอะไรตอนนี้เลย"
ซามิวอดไม่ได้ต้องพูดขึ้นมาเขาออกปากไล่สองชายมองด้วยสายตาบังคับ
สโตลกับราวินซ์จึงจำต้องออกไปด้วยความไม่เต็มใจนัก
"เจ้าเองก็คงจะแค้นข้าเหมือนกันใช่ไหม...เจ้าไม่ต้องรักษาข้า
ปล่อยข้าตายไปก็ได้" ออเดรพูด เขาได้ยินร่างสวยตรงหน้าเรียกราวินซ์ว่าเสด็จพี่
ซามิวถอนหายใจ "ถึงข้าจะฆ่าท่านไปก็คงไม่ได้ประโยชน์อะไรในเมื่อคนออกคำสั่งยังอยู่
พวกเราทุกคนล้วนทำตามหน้าที่ พี่ข้ามีหน้าที่ต้องปกป้องประเทศ ส่วนท่านก็มีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง
ข้าไม่รู้หรอกว่าทำไมท่านถึงปิดบังเรื่องแม่ทัพฟอร์ดเสียชีวิตกับพระราชาดาซิล
ท่านเองก็คงมีเหตุผลของท่าน" ซามิวพูดพร้อมกับจ้องตาฝ่ายตรงข้าม
"ท่านพักผ่อนเถอะ พึ่งฟื้นไข้"
"ข้าว่ามันทะแม่งๆนา" ฟาริมพูดขึ้นหลังจากฟังเรื่องทั้งหมดจากสโตล
"ทำไมต้องปิดบังตัวจริงด้วย ที่จริงพ่อตายลูกชายก็สมควรได้สืบตำแหน่งแม่ทัพต่อถ้ามีความสามารถจริง
แล้วแถมเจ้าตัวปลอมเป็นแม่ทัพฟอร์ดได้ตั้งสองปีไม่มีใครจับได้ ก็แสดงว่าฝีมือก็คงพอตัวอยู่"
คนทั้งกลุ่มถกเถียงกันในห้อง
"มันจะต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่าง..ที่ทำให้ออเดรไม่ต้องการให้พระราชาดาซิลรู้ว่าฟอร์ดเสียชีวิตแล้ว"
ราวินซ์พูดต่อ
"เฮ้อ...ถ้าคิดแบบง่ายๆเลยก็ หน้าตาแบบนั้นใครเขาอยากจะให้ออกสนามรบล่ะ
เอาไปไว้ข้างเตียงไม่ดีกว่าเหรอ ถึงแม้จะเป็นผู้ชายก็เถอะ"
ฟาริมพูดได้ตรงใจทุกคน นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ดีที่สุดแล้วก็ได้ พระราชาดาซิลอาจจะอยากได้ออเดรไว้เชยชม
ติดแต่ว่าเป็นบุตรชายแม่ทัพคู่ใจเขายังคงเกรงใจฟอร์ดอยู่ แต่ถ้าฟอร์ดเสียชีวิตเมื่อไหร่เขาเองก็มีโอกาสที่จะดึงตัวออเดรไป...มิน่าออเดรถึงเกลียดพระราชาดาซิลมาก
ราวินซ์หวนนึกถึงวันแรกที่เขาพบหน้าพระราชาดาซิลก็ขนลุก