Pround of destiny
"ความรักที่มีอุปสรรคกีดขวาง
ความแตกต่างของฐานันดร พวกเขาจะทำเช่นไร.........."
บทที่ ๑๑
ณ.ห้องโถงใหญ่ของอาณาจักรเบสแลนด์ บรรยากาศเต็มไปด้วยความเครียด
ไม่มีแม้แต่เสียงพูดคุย มีแต่เพียงเสียงลมหายใจเข้าออกของเหล่าทหารยามที่หมอบนิ่งอยู่บนพื้นห้อง
ไม่มีใครกล้าเอ่ยปาก รอยเลือดเป็นหย่อมๆกระจายไปทั่ว บางรอยสีคล้ำจนเกือบดำ
บางรอยยังสีแดงสด ข้าวของรอบข้างแตกกระจายเกลื่อนกลาด พระราชาดาซิลประทับอยู่บนบัลลังก์
ในมือกุมดาบเล่มใหญ่ยันอยู่กับพื้นห้อง ยังเห็นรอยเลือดจางๆได้ที่คมดาบ
หญิงรับใช้ยืนออกันอยู่ด้านหน้าประตูไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไป แต่ในที่สุดความเงียบก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาในห้อง
พระราชาดาซิลเหลือบสายตาขึ้นไปมองนิดหนึ่งเพราะเดาได้ว่าเป็นใคร
เขาเอ่ยปากสั่งการด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
"ประหารคนรับใช้ทุกคนที่อยู่ในปราสาทของฟอร์ดให้หมด... ปิดบังกันดีนัก
เห็นข้าเป็นตัวอะไร" พระราชาดาซิลแต่เดิมที่ว่าโหดร้ายอยู่แล้ว
ตอนนี้ยิ่งเหมือนคนบ้าคลั่ง เพียงแค่ใครทำอะไรไม่ถูกใจนิดหน่อยก็ถูกประหาร
ทหารชุดที่เฝ้ายามวันนั้นทั้งหมดก็ถูกสั่งประหารเช่นเดียวกัน แต่ก็ดูเหมือนไม่สามารถบรรเทาความพิโรธของพระองค์ลงไปได้
"เอ่อ หม่อมชั้นว่าพระองค์อย่าพึ่งใจร้อน......" วัลโลพยายามห้ามปราม
"แล้วยิ่งพระองค์ทำเช่นนี้ อาจจะทำให้ท่านออเดรยิ่งห่างจากพระองค์ออกไปอีก...."
"ออเดร...ออเดรรึ ถ้าพวกเจ้ายังเอาตัวออเดรกลับมาให้ข้าไม่ได้ล่ะก็
ข้าจะฆ่าพวกทหารยามที่เหลือทั้งหมดแน่" พระราชาดาซิลตาแดงด้วยความโมโห
เหล่าทหารยามที่หมอบอยู่แทบจะลืมหายใจ หน้าซีดเผือด วัลโลขมวดคิ้ว
"เอ่อ หม่อมชั้นทราบข่าวจากทหารที่ตามรอยไปแล้ว เห็นว่าเจ้าชายราวินซ์อุ้มท่านออเดรหนีไปทางหุบเขาซาราร็อกพะย่ะค่ะ"
วัลโลรายงาน
"หุบเขาซาราร็อก!!! ไอ้พวกโจรกระจอกๆนั่นนะรึคิดจะมาขัดแย้งกับข้า....."
พระราชาดาซิลกัดฟันกรอดๆ
"ถึงแม้จะเป็นหุบเขาเล็กๆ แต่ทางเข้าทางออกของหุบเขาล้วนเป็นหน้าผาสูง
และทางยังวกวนราวกับเขาวงกต ถ้าคนไม่รู้จักทางก็อาจจะหลงตายอยู่ในนั้นได้
แถมอีกด้านก็ติดกับป่าต้องห้าม ที่มีมังกรและสัตว์ร้ายทั้งหลายอาศัยอยู่
กระหม่อมเคยได้ข่าวว่าทางมาดาแลนด์เองก็ยกทัพไปปราบปรามแต่ก็ต้องถอนกำลังกลับมา"
วัลโลอธิบาย
"ข้าไม่สน ยกกำลังไปล้อมหุบเขานั้นไว้ ต่อให้ล้อมเป็นปีข้าก็ต้องเอาตัวออเดรกลับมาให้ได้"
พระราชาดาซิลออกคำสั่ง วัลโลเงียบได้แต่พยักหน้ารับคำ ถึงจะเป็นเขา
แต่ถ้าตอนนี้จู่ๆเข้าไปขวางละก็อาจจะถูกสั่งประหารได้เหมือนกัน
ความร่ำรวย อำนาจ เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนใฝ่ฝันต่อสู้เพื่อให้ได้มาแม้จะต้องเหยียบย่ำคนอื่นขึ้นไป
แต่ใครจะรู้บ้างว่าเมื่อได้มาแล้วจะต้องสูญเสียอะไรไปบ้าง
ความงาม.....อาวุธธรรมชาติที่อันตรายที่สุด...ทุกยุคทุกสมัย แม้แต่จอมทรราชที่โหดร้ายหรือนักรบผู้กล้าแกร่งกลับต้องมาสยบอยู่ใต้อำนาจของมัน
วัลโลได้แต่ถอนหายใจ... ยี่สิบห้าปีก่อน เขากับฟอร์ดเป็นเพียงแค่ทหารรับจ้างธรรมดา
ส่วนพระราชาดาซิลเป็นแค่เจ้าชายหนุ่มรูปงามที่มีนิสัยบ้าบิ่น ยามที่พวกเขาสามคนดื่มน้ำร่วมสาบานเป็นพี่น้องกัน
เขากับฟอร์ดก็ได้ปฏิญาณตนว่าจะจงรักภักดีต่อเจ้าชายดาซิลจวบจนชีวิตจะหาไม่
แต่ด้วยเพราะความงามนี่แหละที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสามคนเปลี่ยนแปลงไป...
ตอนนี้ราวินซ์มาอยู่ที่หุบเขาได้เกือบสี่วันแล้ว..โดยส่วนตัวราวินซ์ชื่นชมฟาริมกับสโตลมาก
ถ้าเป็นไปได้เขาอยากให้ทั้งสองคนเข้าไปรับราชการหลังจากเรื่องวุ่นๆทั้งหมดนี้จบลง
แต่คงเป็นได้ยาก เพราะทั้งสองคนรักอิสระและดูท่าทางไม่สนใจยศถาบรรดาศักดิ์อะไร
"เมื่อไหร่ข้าถึงจะได้พบหัวหน้าของพวกท่าน" ราวินซ์ถามฟาริมกับสโตลในห้องส่วนตัว
ซามิวเองก็อยู่ด้วย เขาเองแทบลืมเรื่องหัวหน้าของหุบเขาไปเสียสนิท
เพราะตั้งแต่เหยียบย่างมาถึงที่นี่มีแต่เรื่องที่ทำให้เขาต้องวิ่งวุ่นตลอด
"จริงด้วย...ข้าเองก็แทบลืมเรื่องนี้ไป..." ซามิวเอ่ยปากสนับสนุน
"เฮ้ย!! เจ้ายังไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้เจ้าหญิงรู้เรอะ สโตล"
ฟาริมอ้าปากค้าง สโตลได้แต่ยิ้มเก้อๆ
"ตอนนี้เราไม่มีหัวหน้าหรอก" ฟาริมจ้องตาราวินซ์ที่มองอย่างสงสัย
"หัวหน้าเราเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อสองเดือนที่แล้ว ทางหุบเขามีกฎว่าเมื่อใดที่หัวหน้าเสียชีวิต
ร้อยวันหลังจากนั้นจะทำการคัดเลือกหัวหน้าใหม่โดยการโหวตจากคนของหุบเขาทั้งหมด
ตอนนี้ข้ากับสโตลเป็นเพียงแค่คนดูแลหุบเขาเท่านั้น แต่ข้าว่าตำแหน่งหัวหน้าคนต่อไปสโตลมันเกือบจองได้แล้วมั้ง
ถ้าท่านต้องการตกลงอะไรกับทางเราก็พูดกับข้าหรือว่าสโตลก็ได้"
ฟาริมพูดพลางมองหน้าเพื่อนรัก พร้อมกับหันไปหัวเราะให้เจ้าชายราวินซ์
ราวินซ์พยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่คนที่อึ้งไปพักใหญ่ก็คือซามิว สโตลคือว่าที่หัวหน้า
งั้นที่เขาบอกให้สโตลรักษาความลับก็เท่ากับไม่มีประโยชน์อะไร ในเมื่อว่าที่หัวหน้ารู้อยู่แล้ว
แถมบางทีเจ้าตัวยังอ้างเรื่องที่ต้องรักษาความลับมาขโมยจูบเขาเล็กๆน้อยๆอีก
ซามิวมองสโตลตาเขียว แต่เจ้าตัวคนมองกลับยิ้มมุมปากเล็กๆ
"ถ้าเรากลับถึงวังเมื่อไหร่ เราจะตอบแทนพวกท่านอย่างดี"
ราวินซ์พูด
"ถ้าเรื่องตอบแทนล่ะก็พวกเราได้รับเพียงพอแล้ว..." สโตลพูดเรียบๆ
เสียงฝีเท้าวิ่งดังถี่ยิบก้องไปตามระเบียงทางเดิน
พร้อมกับเสียงใสตะโกนก้องด้วยความดีใจ
"เสด็จแม่เพคะ..เสด็จพี่ซามิวส่งข่าวมาว่าช่วยเสด็จพี่ราวินซ์เป็นผลสำเร็จแล้ว"
เสียงเจ้าหญิงอะดิลล่าดังมาตามระเบียงทางเดิน อ้าปากหอบเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น
พระราชินีฟอจูน่าแววตาเป็นประกายด้วยความยินดี
"จริงหรือ อะดิลล่า แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไร" นางยังคงสงสัยกับคำพูดของเจ้าหญิงอะดิลล่าอยู่
"เอ่อ..." อะดิลล่าตอบอ้อมแอ้ม "เมื่อเช้านี้ตอนหม่อมชั้นออกไปเดินเล่นในสวน
มีนกอินทรีย์สีขาวตัวหนึ่งคาบจดหมายมาหย่อนลงตรงหน้าหม่อมชั้นเพคะ...หม่อมชั้นจำลายมือเสด็จพี่ซามิวได้..."
อะดิลล่ายื่นจดหมายที่พูดถึงให้พระราชินีดู พระองค์ถึงกับน้ำตาซึม
รับจดหมายจากมืออะดิลล่ามาอ่าน พระนางยังจำได้ถึงตอนที่พระสนมฝ่ายซ้ายแม่ของอะดิลล่ากับซามิววิ่งเข้ามารายงานนางหน้าตาตื่นว่าซามิวตามกลับไปกับพวกตัวแทนจากหุบเขาซาราร็อกแทนอะดิลล่าแล้วนั้น
นางเองก็ใจหาย..แต่ยามนี้เหมือนยกภูเขาออกจากอก อะดิลล่ากับซามิวเหมือนเกิดมาสลับเพศกัน
ซามิวร่างกายอ่อนแอจนฝึกดาบไม่ได้ถึงแม้ตอนนี้จะดีขึ้นก็ตาม ส่วนอะดิลล่าถึงจะแข็งแรงฉลาดเฉลียวแต่ก็ดันเกิดมาเป็นผู้หญิง...คงไม่มีใครยอมให้ออกรบจับดาบเป็นแน่...
"พวกเจ้าสองคนนี้น้า....แทบจะทำให้หัวใจเราวายได้ทุกวัน เจ้าเองก็ไม่ต้องปิดบังเราหรอกว่าออกไปในสวนทำไม
แม่ของเจ้าบอกเราหมดแล้ว" พระราชินีถอนหายใจ นางแอบรู้มาว่าอะดิลล่าซุ่มฝึกดาบกับทหารรับใช้หลังจากซามิวจากไปแล้ว
อะดิลล่าหน้าแดง...เหมือนเด็กที่ถูกจับได้ว่าทำอะไรผิด
"เอ่อ...หม่อมชั้นเพียงแต่คิดว่าหม่อมชั้นน่าจะเรียนอะไรป้องกันตัวไว้บ้าง...ยิ่งช่วงเวลาสงครามแบบนี้ด้วยแล้ว"
อะดิลล่าพูดเสียงเบา "หม่อมชั้นยังไม่อยากเลิกเรียนนะเพคะ"
"เราก็ไม่ได้สั่งห้ามเจ้าสักหน่อยอะดิลล่า....ครูฝึกเจ้ายังชมให้เราฟังว่าเจ้ามีทักษะเป็นเลิศด้านนี้"
พระราชินีฟอจูน่าถอนหายใจ...อะดิลล่ายิ้มร่าเข้ามากอด
"ขอบพระทัยเสด็จแม่เพคะ"
ราวินซ์ตัดสินใจที่จะเดินทางกลับมาดาแลนด์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพราะเมื่อกลับไปแล้วยกทัพไปตีเบสแลนด์คราวนี้ทางฝ่ายเขามีโอกาสที่จะชนะมากขึ้น....ในเมื่อทางเบสแลนด์ขาดแม่ทัพที่สำคัญอย่างฟอร์ดหมาป่าผู้กระหายเลือดไปเสียแล้ว
พอซามิวทราบเขากลับรู้สึกแปลกๆ ถ้าเสด็จพี่ของเขาอยากจะกลับเขาเองก็คงต้องกลับไปด้วย
เขาพึ่งขอยืมเนกซ์จากสโตลให้ส่งข่าวไปทางพระราชวังเมื่อวานว่าช่วยเหลือเจ้าชายราวินซ์ได้แล้ว
เขาถอนหายใจ ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจที่จะได้กลับบ้านเมือง แต่มีความรู้สึกเหมือนอ้างว้างลึกๆ
เขานั่งเหม่ออยู่ในห้องจนคนนอนบนเตียงทักขึ้นมา
"เจ้าหญิงอะดิลล่า..." เสียงเรียกเบาๆ ทำให้ซามิวรู้ตัวว่าเขากำลังเช็ดแผลให้ออเดรอยู่
แต่แทนที่จะเช็ด เขากลับจุ่มผ้าแช่อยู่ในอ่างใบใหญ่แทน
"เอ่อ...ขอโทษ...ข้ามัวคิดอะไรเพลินอยู่นะ" ซามิวยิ้มบางๆ
ถอนหายใจ ยังไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นผู้ชายนอกจากสโตลกับราวินซ์ แล้วก็ผู้ติดตามประจำตัวของเขาเอง
แม้แต่กับฟาริมสโตลก็ไม่เคยบอกความลับนี้ เขาให้เหตุผลง่ายๆว่า เรื่องนี้คนรู้น้อยเท่าไหร่ยิ่งดี
ซามิวหันมาสนใจกับการเช็ดแผลให้ออเดรต่อ เขาคิดไม่ออกเลยว่าร่างบอบบางตรงข้ามจับดาบต่อสู้ในสนามรบมาได้อย่างไรตั้งสองปี
เขาเคยเห็นร่างท่อนบนของออเดรแล้วก็นึกสงสาร ออเดรมีแผลเป็นจากการต่อสู้มากมาย
และยิ่งสองแผลสุดท้ายที่ถูกธนูและไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
คงจะทำให้ร่างกายสวยๆนี้มีแผลเป็นตลอดชีวิตแน่
"อื้อ.." เสียงครางลอดออกมาจากลำคอ เมื่อซามิวจุ่มยาทาที่บาดแผล...เขาเองทึ่งกับความอดทนของออเดรยิ่งนัก...แม้ยามนี้จะอ่อนแอจนไม่มีแรงแม้แต่จะลุกขึ้น...แต่ออเดรไม่เคยร้องหรือแหกปากอย่างคนอื่น
อย่างมากก็แค่ส่งเสียงครางเบาๆเท่านั้น...
"ท่านคงต้องนอนเฉยๆอีกสักอาทิตย์นึง..เอ่อ..ไม่สิสองอาทิตย์ดีกว่าแผลถึงจะสมานกันดี"
ซามิวกะเวลา ก่อนบอกคนป่วย...เขาถอนหายใจ หันไปหยิบผ้าสะอาดขึ้นมาเพื่อที่จะพันแผล
"ท่านมีเรื่องไม่สบายใจใช่ไหม..." ออเดรหันมาจ้องซามิวที่กำลังก้มๆเงยๆอยู่กับแผลของเขา
พยายามดันตัวขึ้นมา ซามิวเงยหน้าขึ้นมามอง นี่เขาแสดงออกทางสีหน้าจนคนอื่นดูออกเลยหรือนี่..
"อีกสองวันข้ากับพี่ชายคงจะต้องเดินทางกลับมาดาแลนด์แล้ว...เสด็จพี่ราวินซ์อยากจะยกทัพไปตีเบสแลนด์"
ซามิวตอบเสียงเบาๆ...เขาไม่แน่ใจว่าราวินซ์จะเอาตัวออเดรไปด้วยหรือเปล่า...แต่ออเดรบาดเจ็บไม่น่าที่จะเดินทางได้...
"หึ..สงครามอีกแล้ว...พี่เจ้าคงไม่อยากพลาดโอกาสดีๆ
แบบนี้ไปหรอก พวกนักรบนี่กระหายเลือดกันทั้งนั้น"
"พี่ข้าไม่ได้กระหายสงครามนะ พระราชาดาซิลต่างหาก" ซามิวเถียงด้วยความโมโห
ถึงเขาจะไม่ชอบสงครามแต่คงไม่ยอมให้ใครมาว่าพี่ชายเขาง่ายๆแน่ "เจ้าเองก็เหมือนกันแหละ...เป็นแม่ทัพของพระราชาดาซิลแท้ๆ"ออเดรสะอึก
ใช่สิ ตัวเขาเองก็ฆ่าคนไปนับไม่ถ้วนในระหว่างสองปีนี้ แรกๆก็รู้สึกขยะแขยง
แต่พอนานเข้าก็เคยชิน..ตอนนี้เรียกได้ว่าฆ่าคนได้โดยไม่กระพริบตา
หรือว่าเขาเองก็กระหายเลือดเหมือนชายคนนั้น......