Peebee

The apple tree

 

     เขารักผมจริงๆหรือเปล่า ..... เป็นความคิดแรกที่วาบเข้ามาในหัวหลังจากเหยียบย่างเข้าไปในบ้านเก่าขนาดใหญ่ห่างไกลตัวเมือง ในสมองผมมัวแต่คิดทบทวนความคิดนี้ไปมาจนไม่ได้สนใจที่จะฟังคำอธิบายของมิสเตอร์ราวรีย์ที่เดินนำพาผมดูตามส่วนต่างๆของบ้าน แน่นอนบ้านหลังนี้ใหญ่โต โอ่โถง ขื่อคานหรือของประดับเล็กน้อยก็ดูหรูหรา แต่ก็คงจะเป็นเมื่อร้อยกว่าปีก่อน เพราะตอนนี้มันก็เป็นเพียงแค่ของเก่าที่ไม่ได้รับการดูแลเท่านั้นเอง
"คุณคาสเซลครับ" เสียงของมิสเตอร์ราวรีย์ปลุกผมขึ้นมาจากภวังค์ หลังจากพาผมเดินวนกลับมาที่ห้องรับแขก ผมเงยหน้าสบสายตาที่มองมาอย่างเคืองๆ เมื่อเขาพบว่าผมไม่ได้สนใจสิ่งที่เขาพูดออกไปแม้แต่น้อย

"ครับ" ผมพยักหน้ารับรู้
"นับจากวันนี้ไป คุณมีสิทธิ์อยู่ในบ้านหลังนี้แล้วนะครับ บอสอนุญาตให้คุณตกแต่งบ้านหลังนี้ได้ตามใจชอบ" เขายื่นซองเอกสารให้ผมพร้อมกับกุญแจพวงใหญ่และบัตรเครดิตอีกหนึ่งใบ ผมรับมาเงียบๆ
"คุณจะย้ายข้าวของของคุณมาเมื่อไหร่ก็ได้นะครับ โทรหาผมแล้วผมจะส่งบริษัทขนส่งไปรับ"
"เอ่อ...ไม่ต้องหรอกครับ..ข้าวของผมก็มีแค่กระเป๋าเดินทางใบนั้นใบเดียวแหละครับ" ผมตอบเสียงเบา พลางมองไปที่กระเป๋าเดินทางใบเขื่องที่ผมหอบหิ้วติดรถมิสเตอร์ราวรีย์มาด้วย
"ก็ดีครับ ไม่ยุ่งยากดี...ถ้าอยากจะได้อะไรใหม่ก็ซื้อมาตกแต่งบ้านก็แล้วกันนะครับ" ถึงแม้จะพูดอย่างสุภาพ แต่ผมก็รู้สึกได้ถึงน้ำเสียงดูถูกของเขา
แน่ละสิ ผมมันแค่พนักงานต้อนรับกระจอกๆของห้างสรรพสินค้า ที่จู่ๆมีนักธุรกิจหนุ่มอนาคตไกลมาติดพัน ให้ทั้งเงิน ให้ทั้งบ้าน ทั้งๆที่หน้าตาก็ไม่ได้ออกจะดีเด่อะไร...ผมสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำตัดสั้นที่ดูยุ่งเหยิง ตาสีเดียวกัน สีผิวซีดๆแถมยังมีกระจางๆที่แก้มอีก...ไม่ว่าจะดูมุมไหนผมก็ไม่เคยเห็นว่าตัวเองหล่อเลยสักครั้ง
ผมเดินตามมิสเตอร์ราวรีย์ออกไปนอกบ้านเพื่อฟังเขาอธิบายถึงอาณาเขตของบ้านต่อ ลมพัดโชยเอากลิ่นดินและกลิ่นดอกไม้ป่ามาเป็นระยะๆ ผมรู้สึกผ่อนคลายพอสมควร ชักเข้าใจถึงความรู้สึกคนเมืองที่อยากหลบออกมาพักร้อนตามชนบทบ้างแล้วสิ
"จากตรงนี้จรดรั้วที่กั้นตรงโน้นเป็นอาณาเขตของบ้านหลังนี้นะครับ" เขาบอกให้ผมฟังคร่าวๆ
ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ ถอนหายใจ สวนนี้ตอนนี้ไม่ต่างไปจากดงหญ้ารกๆ และตัวผมคงไม่มีปัญญาจัดการกับสวนขนาดใหญ่นี่ได้ด้วยตัวคนเดียวแน่ๆ สายตาผมหยุดมองไปที่ต้นไม้สูงตระหง่านกลางสวนซึ่งตอนนี้ผลิใบสีเขียวอ่อนเต็มต้น ปลิวรับลมฤดูร้อน
"ต้นแอปเปิ้ลนะครับ..." เสียงมิสเตอร์ราวรีย์ดังมาตามลม "แต่คุณคงไม่มีโอกาสได้กินลูกมันหรอก"
ผมหันไปมองหน้ามิสเตอร์ราวรีย์ด้วยความสงสัย
"เจ้าของคนเก่าเขาบอกผมว่า ต้นแอปเปิ้ลต้นนี้มันแปลกๆ ไม่เคยออกดอก ไม่เคยติดผล ไม่มีประโยชน์เท่าไหร่ที่จะปลูก" เขาหยุดเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ "ถ้าคุณเกิดอารมณ์อยากทำสวนก็บอกผมนะครับ ผมจะได้ส่งคนมาช่วยถางหญ้า แล้วก็ตัดต้นไม้"
ผมยังไม่ทันได้ตอบอะไรก็ได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาจอดในบริเวณบ้าน เทียบข้างกับรถที่จอดอยู่ก่อนหน้านั้น ผมมองด้วยความแปลกใจ แต่มิสเตอร์ราวรีย์กลับเดินเข้าไปหาคนขับคุยราวกับนัดหมายกันไว้ก่อน คุยกันสักพักเขาก็เดินเข้ามาหาผมยื่นกุญแจรถมาให้
"ผมคงต้องขอตัวกลับก่อน ส่วนรถนั่นบอสสั่งให้ผมซื้อให้คุณครับ"
ผมอ้าปากค้างก่อนจะพูดปฏิเสธไป
"เอ่อ...ผมคิดว่ามันมากเกินไป...ผมคงรับรถนั่นไม่ได้.."
"คุณคงลืมไปนะครับว่าบ้านหลังนี้มันอยู่ห่างจากตัวเมืองโขอยู่ รถประจำทางก็ไม่มี ถึงมีรถอย่างน้อยก็ต้องขับกว่าสี่สิบนาที คุณคงจะไม่ขอให้ผมมารับส่งทุกครั้งหรอกนะครับ"
ผมหน้าชากับเหตุผล ก่อนเอื้อมมือรับกุญแจรถนั่นมาถือไว้อย่างเสียไม่ได้ ผมมองกลับไปที่รถ ยังดีที่มันเป็นแค่รถยี่ห้อทั่วๆไปไม่ใช่หรูเลิศอลังการมีดาวประดับยศ...ไม่งั้นผมคงจะรู้สึกละอายกว่านี้แน่

เสียงเครื่องยนต์ของรถมิสเตอร์ราวรีย์เริ่มไกลออกไป มือที่กำกุญแจรถของผมเริ่มชื้นเหงื่อ ผมยังยืนรับลมอยู่ที่เดิม สายตามองไปยังบ้านก่ออิฐสีแดงที่อยู่ใกล้ที่สุดซึ่งถ้าคิดจะเดินไปทักทายละก็คงจะเสียเวลาเดินไม่ต่ำกว่ายี่สิบนาที ผมสูดลมหายใจเข้าปอดตะโกนออกมาสุดเสียง "ไอ้บ้า เซดริก!!" นกกาที่เกาะอยู่ตามต้นไม้แตกตื่นบินขึ้นท้องฟ้ากันใหญ่ หลังจากที่ผมระบายความเครียดออกไปได้แล้วก็ยิ้มออก....
แน่นอนชื่อที่ผมตะโกนด่าย่อมเป็นชื่อของคนรักของผม หรือ "บอส" ที่มิสเตอร์ราวรีย์พูดถึงนี่เอง...ผมรู้จักกับเซดริกมาได้เพียงแค่สามเดือน การพบกันอย่างบังเอิญของเราค่อนข้างจะขบขันอยู่ไม่น้อย เพราะประโยคแรกที่เขาพูดกับผมก็คือ
"คุณมีเงินให้ผมยืมสักยี่สิบปอนด์ไหม เดี๋ยวตอนเย็นผมใช้คืนให้"
เขาในตอนนั้นดูเร่งรีบและหอบหิ้วกระเป๋าเอกสารใบโต...รถแท็กซี่ที่เขาโดยสารมาจอดรออยู่ด้านนอกของห้างที่ผมทำงานอยู่...ดูก็รู้แล้วว่าเขาไม่มีเงินจ่ายค่าโดยสาร...ผมหยิบเงินในกระเป๋าสตางค์ส่งให้เขาไปยี่สิบปอนด์ เขารีบรับไปพร้อมกับบอกว่า "ขอบใจ"
ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าตอนนั้นทำไมถึงส่งเงินให้เขาไปง่ายๆ เงินยี่สิบปอนด์นั้นไม่ใช่น้อยสำหรับคนฐานะอย่างผม...อีกอย่างผมไม่ได้รู้จักเขาสักหน่อย...เขาจะคืนเงินผมหรือเปล่าก็ไม่รู้ ผ่านไปจนกระทั่งสี่โมงเย็น...เขาก็ยังไม่กลับมา...ผมชักเริ่มหมดหวังกับการได้เงินคืน เก็บของเตรียมที่จะกลับบ้าน
ตอนที่ผมยืนอยู่หน้าห้างนั่นเองผมก็ได้ยินเสียงเรียกของเขา....
"คุณครับ...คุณคนนั้นนะ" ผมหันไปมองตามเสียงเรียกก็พบกับชายหนุ่มเมื่อเช้า เขาวิ่งเข้ามายืนตรงหน้าผม ในมือยังหิ้วกระเป๋าเอกสารใบเดิม...
"ขอบคุณเรื่องเมื่อตอนเช้าจริงๆ ถ้าไม่ได้คุณผมเข้าประชุมไม่ทันแน่ๆ รถผมมีปัญหาผมเลยนั่งเท็กซี่มาแทนแล้วก็ดันลืมกระเป๋าเงินอีก" เขาอธิบายให้ผมฟังพร้อมยื่นแบงก์ยี่สิบปอนด์คืนให้ผมมา... ผมรู้สึกดีใจที่อย่างน้อยก็มองคนไม่ผิด...
"เซดริก...เซดริก ซัมเมอร์ฟิลว์ ครับ.." เขาแนะนำตัวกับผมพร้อมกับยื่นมือขวาขึ้นมาสัมผัสกับมือผม
"อัลวิน คาสเซล ครับ" ผมบอกชื่อตอบเขาไปบ้าง
"เอ่อ...ถ้าอย่างน้อยยังไงให้ผมเลี้ยงตอบแทนสักมื้อ" เขาเอ่ยปากชวนผม...แต่ก่อนที่ผมจะตอบก็ได้ยินเสียงท้องเขาร้องดังออกมา ผมอดหัวเราะไม่ได้
"ขอโทษครับ...คือตั้งแต่เช้าผมยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเท่าไหร่ นอกจากของว่างตอนบ่ายกับน้ำชา" เขาบอกผมตรงๆ หน้าแดงนิดๆ
"ผมว่าไม่ต้องไปเสียเวลาหาร้านอาหารที่ไหนหรอกครับ...บ้านของผมอยู่ไม่ไกล..ถ้าไม่รังเกียจอาหารง่ายๆพวกพาสต้าละก็ ผมชวนคุณไปกินอาหารที่บ้านผมก็แล้วกัน ถือว่าทำความรู้จักเพื่อนใหม่ไปในตัว"
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นผมกับเขาก็เริ่มสนิทกันมากขึ้น....จากตอนแรกที่ผมคิดว่าเขาเป็นแค่เพียงพนักงานบริษัทธรรมดาคนหนึ่งกลายเป็นว่าเขาเป็นถึงประธานกรรมการบริหารบริษัทใหญ่โต นักธุรกิจหนุ่มอนาคตไกล แต่ความสัมพันธ์ของพวกเราก็ไม่ได้เปลี่ยนไป เขามาหาผมเกือบทุกวัน ชวนไปดูหนังบ้างกินข้าวข้างนอกบ้าง ซึ่งผมเองก็ไม่ยอมให้เขาออกฝ่ายเดียว ทุกๆครั้งพวกเราจะแชร์กันเสมอ..จนกระทั่งวันหนึ่งที่ผมมีความสัมพันธ์อย่างว่ากับเขา...จากเพื่อนก็เริ่มคืบหน้ากลายเป็นคนรัก....ผมไม่รู้หรอกว่าเขารักผมหรือเปล่าเพราะเขามีคนให้เลือกมากมาย แต่ที่แน่นอนผมรักเขา! ทั้งใบหน้า ทั้งน้ำเสียง
ความคิดของผมสะดุดลงด้วยเสียงท้องร้องของตัวเอง...นี่ก็เย็นมากแล้ว...แต่แดดคงยังแรงอยู่เพราะเป็นช่วงเดือนที่กลางวันยาวกว่ากลางคืน....เอาเถอะ...อย่างน้อยคืนนี้ผมก็มีที่ซุกหัวนอน...ผมหันไปมองที่ต้นแอปเปิลต้นเดิม...ผมเองก็ไม่ได้แตกต่างจากต้นแอปเปิลต้นนั้นเท่าไหร่......ถ้าไม่ออกดอกออกผลยังจะมีคนคิดจะปลูกอยู่หรือเปล่า
"ยินดีที่ได้รู้จักนะ....เจ้าต้นแอปเปิล" ผมพูดเสียงเบาก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในบ้าน ระหว่างที่ผมหันหลังกลับนั้น ไม่รู้ว่าเพราะเสียงสะท้อนหรือว่าหูแว่ว เหมือนผมจะได้ยินเสียงตอบมาว่า....ยินดีที่ได้รู้จัก......


สองอาทิตย์ที่ผ่านมาผมไม่ได้เห็นหน้าเขาเลย.. ถึงแม้เขาโทรมาหาผมเกือบทุกคืน แต่ก็คุยกันแค่ครั้งละสิบนาทีแล้วเขาก็ขอตัวบอกว่าติดงาน ติดธุระตลอด ผมอยากจะตะโกนถามเขานักที่เขาเสนอตัวช่วยผมที่กำลังลำบากเรื่องที่อยู่ในตอนนั้นเป็นเพียงเพราะว่าสงสาร หรือว่าเขารักผมกันแน่
หลายวันผ่านไปผมเริ่มรู้สึกดีใจที่อย่างน้อยบ้านหลังนี้ก็ยังมีอะไรให้ทำบ้าง ผมจัดของตัวเองเข้าที่เข้าทาง เริ่มสำรวจบ้านอีกรอบเพื่อที่จะตกแต่ง บ้านหลังนี้ใหญ่โตจริงๆ ชั้นบนมีห้องนอนถึงสี่ห้อง ห้องอาบน้ำสองห้อง ส่วนด้านล่างประกอบไปด้วยห้องรับแขก ห้องครัว ห้องรับประทานอาหาร ห้องส้วม ห้องสมุดและห้องดนตรี ที่ผมรู้ว่าเป็นห้องดนตรีก็เพราะมีหนังสือดนตรีหลายเล่มวางอยู่ที่ชั้น และที่พื้นก็มีร่องรอยเหมือนกับเคยวางวัตถุหนักๆประเภทแกรนเปียโนอะไรทำนองนั้นมาก่อน ซึ่งตอนนี้มันไม่มีอยู่เสียแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรนักเพราะผมเล่นเปียโนไม่เป็น
ปึง ! เสียงประตูห้องดนตรีปิดลงอย่างแรง ผมหันไปมองด้วยความตกใจตัวเย็นเฉียบ...ใคร!? ผ่านไปสักพักผมก็ถอนหายใจเมื่อรู้สึกได้ถึงลมที่พัดผ่าน...หน้าต่างไม่ได้ปิดนี่เอง ลมคงพัดไปกระแทกประตูปิด ผมเดินไปที่หน้าต่างก็พบว่าห้องดนตรีนี้มองออกไปเห็นต้นแอปเปิลในสวนพอดี...ผมดึงหน้าต่างปิดลง

วันนี้ผมขับรถเข้าไปในตัวเมืองเพื่อเลือกซื้อสีและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านเล็กๆน้อยๆ ผมแวะร้านหนังสือซื้อหนังสือประเภท DIY (do it yourself) มาหลายเล่ม กะว่าอยากจะแต่งบ้านด้วยตัวเองเสียหน่อยอย่างน้อยก็เพื่อทำให้ตัวเองไม่เหงา ผมแวะซื้ออาหารแช่แข็งและเตาไมโครเวฟที่ร้านเครื่องไฟฟ้าอีกด้วย...ผมมันเป็นพวกฝากท้องกับอาหารสำเร็จรูปอยู่แล้ว ด้วยความที่โมโหเซดริก ผมจึงใช้บัตรเครดิตที่เขาให้ผมรูดจ่ายของทุกอย่าง...
หลังจากจ่ายของเสร็จก็ขับรถกลับบ้าน....ระหว่างทางผมก็สังเกตเห็นรถกระบะคันหนึ่งจอดตายอยู่ มีชายหนุ่มและหญิงชรายืนอยู่ข้างๆ ชายหนุ่มคนนั้นเมื่อเห็นรถผมก็โบกมือเรียกเพื่อขอความช่วยเหลือ ผมจอดรถลงข้างๆเปิดหน้าต่างออกเพื่อพูดคุย
"ขอโทษนะ...คุณกำลังจะขับรถเข้าไปทางถนนสายนั้นหรือเปล่า ขอผมกับยายติดรถไปด้วยได้ไหม รถผมเสียน่ะ"
"ได้สิครับ...ไม่มีปัญหาหรอก บ้านคุณอยู่ด้านในเหรอ" ผมถาม
"ใช่จ๊ะ พ่อหนุ่ม บ้านยายอยู่ถนนสายนั้นแหละ ขับรถต่อไปสักสิบห้านาทีก็ถึงแล้ว" หญิงชราที่ยืนอยู่ข้างๆยิ้มตอบแทน เธอชี้มือไปทางถนน ผมลองกะคำนวณเวลาดูก็พบว่าบ้านของพวกเขาไม่ห่างจากบ้านผมเท่าไหร่ น่าจะเป็นบ้านก่ออิฐสีส้มที่ผมเคยมองผ่านทางสวน
"พวกคุณคงเป็นเพื่อนบ้านผมแน่ๆ ผมชื่ออัลวิน คาสเซล นะครับพึ่งย้ายมาอยู่แถวนี้..." ผมแนะนำตัวให้พวกเขาได้รู้จัก พร้อมกับเปิดประตูรถต้อนรับพวกเขาขึ้นรถ
"ยายชื่อแวนดี้ แล้วนี่ก็หลายชายตัวดี ชื่อโรเจอร์จ๊ะ"เธอแนะนำตัวเองก่อนจะถามว่าบ้านหลังไหนที่ผมย้ายมาอยู่ ซึ่งผมก็ตอบไปตามตรงว่าบ้านเลขที่ 51 ถนนโอเวอร์ฮิลล์
"ต๊ายตาย พ่อหนุ่มนี่เองเหรอจ๊ะ ที่มาซื้อบ้านแฮปปี้มีลหลังนั้น..." คุณยายชวนผมคุย
"แฮปปี้มีล..." ผมถามด้วยความงุนงง
"อ๋อ...ชื่อของบ้านนะจ๊ะ...แต่ก่อนเด็กๆที่เคยอยู่ที่นั่นเค้าตั้งชื่อเอาไว้ ยายก็เลยเรียกติดปากไปด้วย"
"ชื่อน่ารักดีนะครับ....เด็กๆที่ว่านี่คงเป็นลูกเจ้าของบ้านคนเก่าใช่ไหมครับ" ผมเลี้ยวรถเข้าไปตามทางแยก ปากก็ยังชวนคุยอยู่
"เจ้าของคนแรกมากกว่า...เพราะบ้านหลังนั้นนะเปลี่ยนเจ้าของบ่อยยังกะอะไรดี" เสียงห้าวๆพูดแทรกขึ้นมา "คุณรู้ข่าวลือเรื่องบ้านหลังนั้นหรือเปล่า" ผมเหยียบเบรกดังเอี๊ยดเมื่อได้ยินเขาถามแบบนั้น ทำไม! บ้านหลังนั้นมันมีอะไรงั้นหรือ...ส่วนใหญ่บ้านเก่าๆมันก็มักจะมีข่าวลือเรื่องอย่างว่าอยู่แล้ว..ผมขนลุกซู่
"นี่...โรเจอร์ นายไปพูดอะไรให้คุณอัลวินเขากลัวแบบนั้น...มันจริงซะที่ไหนล่ะ" ยายตีแขนหลานชายตัวเองหนึ่งที ซึ่งโรเจอร์ก็ยักไหล่
"ผมก็ไม่ได้บอกว่ามันจริงนี่ยาย บอกแต่ว่าว่าข่าวลือ...ก็เห็นคนที่อยู่ก่อนหน้านั้นเขาว่ากัน" พูดจบเขาก็เงียบไป ไม่ได้พูดอะไรต่อ
เมื่อผมส่งพวกเขาเรียบร้อยแล้ว คุณยายแวนดี้ก็ชวนผมเข้าไปดื่มชาในบ้าน ส่วนหลานชายวิ่งเข้าไปในโรงเก็บของพร้อมกับขับรถแทรกเตอร์ออกมา
"เดี๋ยวผมจะไปลากอีแก่กลับมาก่อนนะครับ...ถ้าโรนัลกลับมาจะได้ให้มันซ่อม" พูดจบเขาก็ขับรถแทรกเตอร์คันใหญ่ออกไปตามถนน
"เอ้า...คุณอัลวิน..เข้ามาในบ้านดื่มน้ำชากับยายก่อน...มีเค้กทำเองกับแยมไว้กินกับน้ำชาด้วยนะจ๊ะ" เธอพูดพร้อมกับฉุดมือผมเดินเข้าไปในบ้าน...ข้างในบ้านผมพบผู้หญิงอีกคนหนึ่งอายุคงประมาณยี่สิบกว่าๆ เธอยิ้มให้ผมพร้อมกับบอกว่าเธอชื่อลอร่าเป็นหลานสะใภ้
เธอยกกาน้ำชามาให้ผมกับคุณยายแวนดี้ ระหว่างนั้นผมก็สังเกตการตกแต่งบ้าน...แจกันเหนือตู้มีดอกไม้ป่าประดับอยู่ ที่ฝาผนังบ้านมีขนมปังที่อบจนแข็งทำเป็นรูปพวงดอกไม้แขวนไว้...ซึ่งดูแล้วได้บรรยากาศสบายๆสไตล์คันทรี น่าอยู่ไปอีกแบบ

ผมเดาได้อยู่แล้วว่าข่าวลือที่ว่าคงไม้พ้นเรื่องผีสาง แต่ทำไงได้ ถ้าผมไม่อยู่ที่นั่นผมก็ไม่มีที่ซุกหัวนอน....ผีคงไม่น่ากลัวเท่าเจ้าของบ้านที่ผมเช่าอยู่เก่าแน่ จู่ๆก็ไล่ตะเพิดผมออกมาพร้อมกับบอกว่าจะขายบ้าน ให้ผมไปอยู่ที่อื่นแทน คืนนั้นก็เลยต้องซมซานเก็บข้าวของไปอาศัยอยู่กับเซดริก แถมบ้านเซดริกก็ไกลจากที่ทำงานอีก จะให้ผมขอยืมเงินเซดริกผมก็ยังหน้าไม่หนาพอ ผมก็เลยลาออกจากที่ทำงานที่เก่าเพื่อที่จะเตรียมหางานใหม่ แล้วจู่ๆเซดริกก็เสนอให้ผมมาอยู่ที่บ้านที่เขาซื้อไว้
"เป็นไงจ๊ะ อร่อยไหม" เสียงคุณยายถามเมื่อผมลองชิมเค้กของเธอ
"อร่อยมากเลยครับ...ผมเองไม่ค่อยได้กินเค้กหอมกลิ่นนมเนยแบบนี้มานานแล้ว ขออีกชิ้นนะครับ" ผมเอ่ยปากขอพร้อมกับหยิบมีดมาทาแยมกับครีมก่อนจะหยิบเข้าปากอีกชิ้น คุณยายยิ้มแก้มแทบปริ หลังจากกินไปประมาณสี่ชิ้นผมก็เอ่ยปากถาม
"เอ่อ คุณยายครับ...เรื่องข่าวลือที่ว่า...."
"อ๋อ..คุณอัลวินไม่ต้องไปใส่ใจอะไรที่โรเจอร์มันพูดหรอกนะคะ...มันก็ชอบปากพล่อยไปแบบนั้น"
"แล้วมันคืออะไรละครับ..." ผมจ้องหน้าเธอด้วยความอยากรู้ เธอหยุดไปสักพักก่อนจะบอกว่า
"คนซื้อบ้านที่ย้ายออกไปนะคะ เขาชอบพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เห็นเด็กวิ่งอยู่ในบ้าน..ตอนกลางคืนก็ได้ยินเสียงฝีเท้า...บ้านหลังนั้นก็เลยร้างมาสักสองปีแล้ว เอ่อ...ขอเสียมารยาทนะคะ...คุณซื้อมาเท่าไหร่ล่ะ"
"เอ่อ...ก็ไม่แพงมาก..." ผมเลี่ยงไม่ตอบเธอว่าผมไม่รู้หรอกเพราะไม่ได้ซื้อเอง เท่าที่ฟังดูท่าทางคุณยายจะเป็นพวกพูดมากอยู่ไม่น้อย
"แหม...ยายก็คิดอยู่แล้ว...เพราะข่าวลืมเรื่องนี้แหละทำให้ราคาบ้านมันตก"
ผมนึกไปถึงเด็กๆที่ตั้งชื่อบ้านที่ผมอยู่ หรือว่า....
"เอ่อ ลูกเจ้าของบ้านนั่นเขาเสียชีวิตหรือไงครับ...."
"โอ๊ย...ไม่มีหรอกค่า...เด็กพวกนั้นป่านนี้โตอายุเท่าโรเจอร์หรือโรนัลหลานยายหมดแล้วล่ะ...สองพี่น้องน่ารักมากเลย แต่ก็น่าสงสาร ที่พ่อพวกเขาต้องขายบ้านก็เพราะว่าเศรษฐกิจล้มละลายอะไรนี่หรือไง...ตอนช่วงนั้นบ้านต่างจังหวัดกำลังเป็นที่นิยมของพวกเศรษฐีก็เลยราคาดี...พวกเขาก็เลยต้องขายบ้านบรรพบุรุษไป...เห็นว่าได้ราคาโขอยู่ว่าจะไปตั้งตัวใหม่ที่เมืองอื่นหรือไงนี่แหละคะ"
ผมพยักหน้าฟังประวัติของบ้านที่ตัวเองอยู่....ฟังดูก็น่าสงสาร...แต่ตอนนี้คงจะสงสารคนอื่นไม่ไหว สงสารตัวเองก่อนดีกว่า ผมลาคุณยายแวนดี้กลับเมื่อได้ยินเสียงรถแทรกเตอร์กลับเข้ามา...คุณยายเดินออกมาส่งผมที่หน้าประตูก่อนจะพูดส่งท้าย
"ยายคิดว่าเด็กที่คนอื่นๆเห็น น่าจะเป็นภูติประจำบ้านมากกว่า...เพราะไม่เห็นเคยทำร้ายใคร...คิดแบบนี้น่าจะสบายใจมากกว่านะจ๊ะ"
ก่อนกลับผมหันไปโบกมือให้โรเจอร์อีกรอบ


วันถัดมาอากาศดีผมก็เลยออกมานั่งใต้ต้นแอปเปิล ลมพัดโชยมาเรื่อยๆ จนเริ่มรู้สึกง่วง หนังสือที่ซื้อเมื่อวานถูกพลิกไปได้ไม่กี่หน้า เจ้าของก็วางมันลงข้างตัว พร้อมกับล้มลงนอนสายตามองขึ้นไปยังกิ่งก้านของต้นไม้ข้างบน....สายตาไล่ระเรื่อยไปตามพุ่มไม้...ผมมองเห็นรังนกเล็กๆ พร้อมกับได้ยินเสียงร้องเบาๆ ขณะสอดส่ายสายตาหาพ่อแม่เจ้าของรัง ผมก็ตัวเย็นเฉียบ เมื่อสายตาผมปะทะกับสายตาอีกคู่ที่จ้องมาจากมุมมืดของพุ่มไม้
เด็ก!! เลือดในกายผมเหมือนแข็งไปชั่วครู่ ผมทำอะไรไม่ถูกแต่ด้วยสัญชาตญาณผมรีบหลังตาลงทันที เหงื่อซึมออกมาทั้งๆที่แดดร้อนเปรี้ยง เมื่อผมลืมตาขึ้นอีกครั้งสายตาคู่นั้นก็หายไปแล้ว....หรือว่าผมฝันกลางวันกันแน่!! แน่นอนผมไม่คิดจะสืบสาวสาเหตุ เมื่อลุกขึ้นได้ก็หอบข้าวของทั้งหมดวิ่งเข้าบ้านทันที
พอถึงช่วงเย็นผมก็ไม่กล้าออกไปไหน....ถึงจะเก่งกล้ายังไงก็เถอะ แต่บ้านใหญ่โตกว้างขวางขนาดนี้อยู่คนเดียวก็รู้สึกขนลุกได้เหมือนกัน....ผมเปิดไฟจนทั่วบ้านนั่งขดตัวกอดหมอนอยู่บนโซฟาในห้องดนตรี เพราะเป็นห้องเดียวในบ้านที่มีขนาดเล็กที่สุด(ยกเว้นห้องน้ำ)
ผมไม่กล้าขึ้นไปนอนห้องนอนตัวเอง....โชคยังดีที่ช่วงนี้ถึงแม้สองทุ่มแต่ก็สว่างราวกับสักบ่ายสอง..ผมนั่งสัปหงกจนกระทั่งฟ้ามืด..ผมสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านบน..เสียงฝีเท้าจริงๆ!! ผมตัวแข็งทื่อ...เสียงฝีเท้าเริ่มกระชั้นขึ้นเหมือนเดินไปตามห้องต่างๆของชั้นบน...หรือว่ามิสเตอร์ราวรีย์...แต่ว่านี่มันเที่ยงคืนกว่านะเขาจะมาทำไม..หรือว่าขโมย...ผมสะดุ้งเมื่อเสียงฝีเท้านั้นมาหยุดที่หน้าห้องดนตรี ประตูที่ปิดไว้เริ่มแง้มตามแรงผลักทีละนิด...ละนิด....ละนิด....

"เซดริก!!" ผมตะโกนออกมาเมื่อเห็นเจ้าของฝีเท้าชัดตา
"อัลวิน ทำไมไม่อยู่ในห้องล่ะ มาทำอะไรที่นี่ ชั้นเดินหาแทบแย่" ร่างสูงใหญ่พูดเสียงเข้ม แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจเมื่อพบว่าเจ้าของฝีเท้านั้นไม่ใช่อะไรที่ผมกลัว ความตึงเครียดผ่อนคลายลง น้ำตาไหลอาบหน้าเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ ผมวิ่งเข้ากระโจนเข้าไปกอดเขา
"เฮ้ย!! นายเป็นอะไรไปนะ คิดถึงชั้นจนน้ำตาไหลเลยเหรอ" เสียงเขาเริ่มคลายความโกรธลง ยกมือขึ้นลูบผมสีน้ำตาลที่ยุ่งเหยิงของผม
"ฮือ...ๆ ไม่เอาแล้ว...ชั้นไม่อยากอยู่คนเดียวแล้ว...นายมาอยู่กับชั้นนะ..หรือไม่งั้นให้ชั้นกลับไปอยู่ที่ห้องนายเถอะ" ผมพูดเสียงสั่นปนสะอื้น
"ไม่เอาน่า...ช่วงนี้ชั้นงานยุ่งมาก ห้องที่เวสลอนดอนก็ไม่ได้กลับไปเลย ไปประชุมต่างเมืองตลอด นายไปนั่นก็ต้องอยู่คนเดียวอยู่ดีแหละ...อยู่นี่ดีกว่านะ...เด็กดี" เซดริกพูดพร้อมกับจูบซับน้ำตาให้ผม..ผมเงยขึ้นรับจูบจากเขา...แล้วก็เริ่มเอื้อมมือขึ้นไปรั้งคอเขาลงมา
จากจูบซับน้ำตาก็เริ่มเร่าร้อนรุนแรงขึ้น เขาเริ่มถอดเสื้อสูทของตัวเองออก ปลดเนคไทลงมาเล็กน้อย ดันผมกลับไปที่โซฟาตัวเดียวของห้อง เกือบสองเดือนแล้วที่ผมไม่ได้มีอะไรกับเขา ร่างกายผมโหยหาสัมผัสเขา....
"อ๊า..." ผมครางออกมาเมื่อริมฝีปากเขาเลื่อนต่ำลงมายังชุดนอนที่เปิดอ้า ผมแอ่นตัวรับสัมผัสรุ่มร้อนพร้อมกับความเปียกชื้นของปลายลิ้นที่ลากผ่านติ่งเนื้อ...เซดริกดึงชุดนอนที่ขวางทางออกจนผมเปลือย แล้วมือเขาเริ่มปฏิบัติภารกิจรักที่คุ้นเคย...
"คิดถึงนายจัง" เสียงพูดปนหอบกระซิบใกล้ๆหู ส่วนมือเขาก็กำลังยุ่งอยู่ที่หน้าท้องของผมของผม ผมได้แต่หอบกระเส่า...ในที่สุดผมก็สะดุ้ง เกร็งสุดตัว และแล้วความคิดถึงของผมก็ท่วมท้นออกมาเต็มมือของเขา เขาส่งเสียงด้วยความพอใจ ผมหอบกระเส่าจ้องหน้าเซดริก...เขายังหล่อไม่เปลี่ยน
ด้วยความคุ้นเคยเซดริกดึงกางเกงตัวเองลงและละเลงสิ่งที่เลอะมือเขาอยู่ลงบนอาวุธของตัวเองที่โป่งออกมา ก่อนจะจับผมคว่ำหน้ากับโซฟา ผมดันตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้สะดวก
"อืมม...." เขาครางออกมาด้วยอารมณ์ เมื่อดันตัวเองเข้ามาในช่องทางของผม..ถึงแม้ผมจะเคยมีอะไรกับเขามาก่อนแต่ทุกครั้งก็ค่อนข้างลำบากในการรับมือกับขนาดของเขา...ผมแอ่นตัวไปข้างหลังเมื่อรับรู้ถึงความแน่นเต็มที่ดันเข้ามาในร่างตัวเอง มือเขายึดจับสะโพกผมไว้แน่น..ขณะที่ร่างกายเริ่มขยับช้าๆ
ผมเริ่มรู้สึกจุกเมื่อเขาเข้ามาได้เต็มตัว แต่ก็เต็มไปด้วยความหฤหรรษ์...เสียงครางลอดออกมาเมื่อเขาเริ่มขยับเป็นจังหวะ..มือเขาเริ่มเข้ามาช่วยผมที่เริ่มชูชันขึ้นมาอีกครั้ง ผมจับพนักแขนโซฟาไว้แน่น เสียงลมพัดผ่านใบไม้.. หวีดหวิวราวกับเสียงหัวเราะ แต่ช่างเถอะ ตอนนี้ผีก็หยุดผมไม่ได้
"อัลวิน..." เขาอุทานชื่อผมขึ้นมาเมื่อถึงจุดสุดยอด สายน้ำอุ่นไหลเข้ามาในร่างกายผมเป็นระรอกๆ บางส่วนล้นเอ่อออกมา เขากระแทกตัวสุดแรงเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เราสองคนจะครางออกมาพร้อมกัน เขาซบลงกับหลังผม ผมเองก็เริ่มเอนไปกับโซฟา
ผ่านไปสักพักเขาก็ยังไม่ถอนตัวออก แต่จู่ๆ ก็กลิ้งตัวลงไปนอนกับพื้นพรมพร้อมกอดเอวผมไว้แน่นผมก็เลยต้องกลิ้งหล่นลงจากโซฟาตามเขาไปด้วย เสียงหัวเราะดังออกมาจากปากเขา...ตอนนี้ผมนอนหงายทับเขาอยู่ ผมรีบลุกขึ้นนั่ง แต่แล้วก็ครางออกมาอีกรอบเมื่อรู้สึกได้ถึงอาวุธของเขาที่อยู่ในตัวผม...
"ถอดกางเกงชั้นให้หน่อยสิ" เขาอ้อนผม ผมมองไปก็พบว่ากางเกงเขาลงมากองอยู่ตรงหัวเข่า ยังไม่ได้ถอดออก ผมหัวเราะในลำคอ ก่อนจะก้มๆเงยๆ พยายามดึงกางเกงเขาออก ค่อนข้างจะลำบากเล็กน้อยในเมื่อมือเขาจับอยู่ตรงสะโพกผม ดันตัวเองให้ค้างอยู่ในท่านั้น ในที่สุดผมก็ปฏิบัติภารกิจเสร็จเรียบร้อย กางเกงสูทราคาแพงพร้อมกับชั้นในถูกโยนไปทางหนึ่งอย่างไม่ใยดี
"ต่อไปก็เสื้อ..." เสียงเขาพูดเบาๆ...ถึงตอนนี้ค่อนข้างยากพอสมควร เมื่อผมต้องหมุนตัวเองไปอีกด้านหนึ่งทั้งๆที่เขายังคาอยู่ในตัวผม...ผมยกก้นตัวเองขึ้นเล็กน้อยตอนที่พยายามจะยกขาข้ามตัวเขา
"อ๊าาา..." ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าขนาดของเขาเริ่มคับแน่นในตัวผมอีกครั้ง...
"นายผอมไปนะ" เขาพูดขึ้นมาเมื่อสายตาเราประสานกัน มือผมเริ่มถอดเสื้อกับเนคไทที่หลุดลุ่ยของเขาออก ผมจ้องหน้าเซดริก...ใบหน้าแบบนี้แหละที่ผมหลงรัก...ผมสีวอลนัทนัยน์ตาสีดำสนิท... แบบมีเชื้อสายอื่นผสม...สันจมูกโด่งรับกับคางเหลี่ยมที่มีรอยบุ๋มตรงกลางเล็กน้อย.. ผมไม่ตอบก้มหน้าไปจนชิดก่อนจะเริ่มต้นจูบเขาอีกครั้ง...ตอนนี้ผมรู้สึกได้ถึงกล้ามเนื้อที่เต้นตุ้บๆ อยู่ในช่องทางของผม....อารมณ์เริ่มร้อนขึ้นมาอีกครั้ง
"ไปต่อที่ห้องนอนนะ" เซทดริกเอ่ยขึ้นมา...สอดมือเข้าใต้แขนผมพลิกตัวให้ผมอยู่ด้านใต้ ผมเกี่ยวกระหวัดขาตัวเองไว้รอบเอวเขา เซดริกอุ้มผมในท่านั้นก่อนพวกเราจะออกจากห้องดนตรี ทิ้งไว้แต่ความเร่าร้อนเมื่อชั่วโมงที่ผ่านมา


บ้าที่สุด!! บ้า ๆ ๆ ๆ!! ไอ้บ้าเซดริก!! ผมได้แต่ตะโกนสุดเสียงอยู่ในสวน ไม่ต้องอายใครในเมื่อไม่มีใครได้ยิน ผมตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็พบว่าที่นอนข้างตัวเย็นเฉียบ...ไม่มีแม้แต่คำลา เขาเห็นผมเป็นอะไรกันแน่...โสเภณีข้างทางงั้นเหรอ นึกจะมาก็มาจะไปก็ไป...ผมยืนตะเบ็งอยู่อย่างนั้นจนเหนื่อย พอผมเริ่มสงบลงก็ได้ยินเสียงเล็กๆจากดงหญ้าใต้ต้นแอปเปิล...เมื่อเดินเข้าไปดูก็พบลูกนกตัวหนึ่งนอนอยู่กลางพงหญ้า...ตัวมันยังเป็นสีชมพูขนก็ยังไม่ขึ้น...มันคงจะตกลงมาตั้งแต่เมื่อคืนละมั้งเพราะลมพัดค่อนข้างแรง.....ผมช้อนมันขึ้นมาอย่างเบามือ เงยหน้าขึ้นมองไปตามกิ่งไม้เพื่อหารัง....ในที่สุดก็เริ่มตัดสินใจที่จะปีนต้นแอปเปิล...ผมค่อนข้างมันใจในความสามารถด้านนี้ของผม ตอนเด็กๆผมปีนต้นไม้ในสวนสาธารณะประจำ...แถมบางทีแอบไปปีนอนุสาวรีย์ในสวนตอนเย็นๆกับเพื่อนๆเสียอีก...พอตำรวจมาไล่ก็รีบวิ่งหนี...สนุกอย่าบอกใครเชียว
"เอ้า...ระวังตัวหน่อยนะ...นี่ถ้าชั้นเห็นนายช้ากว่านี้นายคงได้เป็นนกตากแห้งแน่ๆ" ผมวางเจ้าลูกนกตัวน้อยลงในรังอย่างเบามือ....ยังมีลูกนกเล็กๆอีกสองตัวอยู่ในรัง..อ้าปากร้องขออาหาร...
"นายนี่เป็นคนดีเหมือนกันแฮะ..." เสียงพูดเบาๆดังมาจากด้านหลัง ผมตกใจสะดุ้งปล่อยมือที่เกาะต้นไม้ หงายหลังตกลงมาดังตุ๊บ ยังดีที่พื้นด้านล่างหญ้าขึ้นรกทำให้ไม่บาดเจ็บอะไร แต่มันซ้ำรอยที่ถูกใช้งานเมื่อคืนนี้สิ (T*T)...ผมสูดหายใจลึกครางออกมาแต่ก็ยังไม่กล้าลืมตาขึ้น
"นี่....นายเป็นอะไรหรือเปล่า ชั้นไม่ได้ตั้งใจจะให้นายตกใจนะ.." เสียงเดิมถามขึ้นมาอย่างกังวล...ผมเริ่มทำใจกล้าลืมตาขึ้นมอง สายตาผมประสานกับนัยน์ตาสีเขียว..เมื่อผมรีบลุกขึ้นมานั่งอย่างลืมเจ็บ ร่างนั้นหันหลังวิ่งไปแอบอยู่หลังต้นแอปเปิล
"นาย...!!" ผมชะงักไปแค่นั้น....ร่างเล็กที่ผมเห็นแต่งตัวด้วยชุดสีเขียวทั้งร่าง ...ผิวสีขาวจนเรียกได้ว่าไม่มีสีเลือด...ดวงตาสีเขียวใหญ่โตกว่าคนปกติ...ผมก็สีเขียวอ่อนราวกับใบไม้...ผมตะลึงไป...ดูยังไงก็ไม่ใช่มนุษย์แน่!! หรือว่าภูติที่ยายแวนดี้พูดถึง ร่างนั้นทำท่าจะวิ่งหนี
"เดี๋ยวสิ..." ผมร้องเรียกไว้ ร่างนั้นหยุดหันมามองผมกล้าๆกลัว ผมยิ้มให้
"นาย....นายชื่ออะไร...." ผมเอ่ยถาม...
"กรีน..." ร่างเล็กตอบเสียงเบา
"นายเป็นภูติงั้นหรือ..." ผมเริ่มตื่นเต้น...เป็นครั้งแรกในชีวิตของผมที่ได้พบเจอเทวดาหรือว่าภูติจริงๆ..มันไม่ใช่แค่เพียงนิทานหรือเรื่องเล่าเท่านั้น...
ร่างเล็กส่ายหัว...หยุดไปสักพักก่อนจะพูดต่อ
"ชั้นคือต้นแอปเปิล...ต้นแอปเปิลก็คือชั้น..." ร่างนั้นบอก...
"นายคือภูติประจำต้นแอปเปิลต้นนี้งั้นเหรอ" ผมเอ่ยถาม
"ไม่รู้สิ...." กรีนยังคงตอบเสียงเบา...
ผมยังจ้องเด็กคนนั้นต่อราวกับกลัวว่าจะเป็นภาพลวงตา....
"นายคงเป็นข่าวลือที่ทุกคนพูดถึง" ผมเริ่มเอ่ยปาก ร่างตรงหน้าดูยังไงก็เป็นเด็ก...
"ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น....ชั้นไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย แค่จะเอ่ยปากทักทุกคนก็ตกใจวิ่งหนีกันหมดแล้ว..." ร่างนั้นหยุดเงียบไปสักพักก่อนจะพูดต่อ "แต่บางคนชั้นก็ตั้งใจหลอก....คนพวกนั้นไม่เห็นจะดีสักเท่าไหร่ มาถึงก็ขายเปียโน...ขายของเก่าในบ้านไปหมด...แถมยังจะมาตัดชั้นเสียอีก" กรีนเล่าเรื่องให้ผมฟัง...เริ่มจะคุ้นเคยมากขึ้น...ผมฟังอ้าปากค้าง เอามือหยิกแขนตัวเองเล็กน้อยเพื่อยืนยันกับตัวเองว่านี่ไม่ใช่ฝันกลางวัน...แต่เมื่อขยับตัวจะลุกขึ้นยืนก็ต้องสูดปากเสียงดัง เอามือลูบบั้นท้ายตัวเอง
"ผู้ชายคนนั้นทำร้ายนาย...."
ผมขมวดคิ้วหันไปมองกรีนงงๆ....ก่อนจะหันไปมองที่หน้าต่างห้องดนตรีที่เปิดอยู่กับต้นแอปเปิลสลับกัน...หน้าแดงเมื่อเข้าใจความหมายของกรีน
"เอ่อ....ไม่ใช่อย่างนั้น....เซดริกนะ...เอ่อผู้ชายคนนั้นเป็นคนรักของชั้น" ผมอธิบายอ้อมๆแอ้มๆ
"แต่เมื่อคืนพวกนายร้องครวญครางน่าดู...ชั้นเห็น..."
"เฮ้ย!!" ก่อนที่กรีนจะถามมากไปกว่านี้ ผมรีบยกมือห้ามก่อนจะปิดท้ายไปว่า...กรีนยังเด็กไปที่จะเข้าใจ
"ชั้นเห็นเขาขับรถออกไปก่อนรุ่งสางนะ...ท่าทางรีบน่าดู" ร่างเล็กเปลี่ยนหัวเรื่องพูดถึงเซดริกแทน ทำให้จุดประกายโมโหของผมขึ้นมาอีก
"ไม่ต้องพูดถึงมันเลย!!"


หลังจากที่ผมรู้ความจริงเรื่องผีในบ้านก็รู้สึกดีขึ้น.....ผมเริ่มตกแต่งบ้านอย่างสบายใจ บางวันก็ขี่รถจักรยานที่ซื้อมาใหม่ไปบ้านคุณยายแวนดี้ ตอนนี้ผมกับคุณยายกลายเป็นคู่ขาที่คุยกันถูกคอมาก บางทีโรเจอร์ก็จะเข้ามานั่งคุยด้วย โรเจอร์มักมีเรื่องตลกโปกฮามาเล่าให้ฟังตลอด ส่วนใหญ่จะเป็นพวกเดอร์ตี้โจ๊กที่เล่ากันตามวงเหล้า ส่วนตอนกลางคืนก็นั่งคุยกับกรีน ตอนนี้เซดริกเริ่มหายไปจากหัวผม...หลังจากวันนั้นเขาโทรติดต่อมาอีกสองสามครั้ง แต่ช่วงนี้ก็หายไปแทบไม่ติดต่อกลับมาเลย
เชอะ ก็ดี ตอนนี้ชั้นอยู่โดยไม่มีนายก็ได้ !!

"ต้นไม้ทุกต้นนี่มีจิตใจเหมือนนายหรือเปล่า" ผมเอ่ยถามกรีนในคืนวันหนึ่ง เขากับผมนั่งคุยกันแทบทุกคืน ส่วนใหญ่กรีนจะเล่าเรื่องเด็กๆในบ้านให้ฟัง.. ท่าทางบ้านนี้จะเป็นบ้านที่มีแต่ความสุขสมชื่อ แฮปปี้มีล จริงๆ
"ไม่รู้สิ...แต่ชั้นอยู่นี่ตัวคนเดียว ไม่เคยพบต้นไม้ต้นไหนที่เหมือนกับชั้น...เพื่อนส่วนใหญ่ก็เป็นพวกนกพวกแมลงแถวนี้" กรีนเงียบ"ชั้นกำลังรอนะ....รอที่จะได้พบกับเด็กๆพวกนั้นอีก"
"นาเดียกับนิคนะเป็นเด็กน่ารักมากเลยนะ นาเดียแก่กว่านิคประมาณสามปี....เธอเป็นคนปลูกผม...ส่วนนิคถึงจะซนแต่ก็น่ารัก บางครั้งเขาจะชอบมาปีนกิ่งก้านของผม..พวกเขารักผมส่วนผมก็รักพวกเขา ตอนที่พวกเขาต้องขายบ้าน นาเดียมาร้องไห้ข้างใต้ผม บอกว่าไม่อยากจากบ้านหลังนี้ไป เธอยังอยากเห็นผมติดลูกอีกด้วย..." กรีนเล่าถึงเด็กๆด้วยสีหน้ายิ้มแย้มตลอด "ผมอยากให้นาเดียเป็นคนคนแรกที่ได้เห็นลูกผม"
"แต่ว่า..." ผมจะเอ่ยอะไรขึ้นมาแล้วก็ชะงักไป ไม่อยากทำร้ายน้ำใจกรีน จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็กว่ายี่สิบปีแล้ว เด็กนาเดียนั่นป่านนี้คงจะอายุสามสิบกว่าได้แล้วละมั้ง แถมอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้อีก..โลกใบนี้มันกว้างใหญ่กว่าที่กรีนเห็น..กรีนอาจจะคอยอย่างไร้ความหวังไปตลอด
"อาจจะเพราะเหตุนี้ละมั้ง ทำให้ผมมีตัวตนขึ้นมา....แต่ผมก็ทำอะไรมากไม่ได้หรอก นอกจากบางครั้งจะปรากฏกายออกมาข้างนอกได้บ้าง"

โรเจอร์กับโรนัลหลานชายคุณยายแวนดี้นั้นเป็นฝาแฝดที่มีหน้าตาเหมือนกันมาก ทั้งสองคนมีผมหยิกสีน้ำตาลแดงและผิวสีคล้ำแบบคนทำงานกลางแดด..โรเจอร์คือคนที่ชอบสวมหมวก ส่วนโรนัลนั้นบางวันต้องเข้าไปทำงานในเมือง ตกเย็นถึงจะขับรถอีกคันกลับมาบ้านผมจึงไม่ค่อยได้พูดกับเขาบ่อยนัก นอกจากบางครั้งที่บังเอิญเขาอยู่บ้าน
โรนัลแต่งงานแล้วกับลอร่าแต่เขาก็ยังอาศัยอยู่กับคุณยายแวนดี้ เขาใจเย็นกว่าโรเจอร์ซึ่งเป็นคนค่อนข้างจะโผงผางเอะอะโวยวาย โรนัลไม่ชอบดื่มเหล้าแต่โรเจอร์ดื่มยังกับน้ำ คุณยายแวนดี้ชอบบ่นให้ผมฟังตลอด
"ไว้เดี๋ยวถ้าอัลวินจะทำสวนเมื่อไหร่ ยายจะส่งเจ้าโรเจอร์กับโรนัลไปช่วยทำสวนนะจ๊ะ ขับรถแทรกเตอร์ไถแป๊ปเดียวก็เรียบร้อยแล้ว..." คุณยายแวนดี้ออกปากช่วยผมเมื่อได้ยินผมเล่าให้ฟังเรื่องสวน
"ขอบคุณครับคุณยาย....ทีแรกผมกะว่าจะจ้างใครมาทำเพราะผมคนเดียวไม่ไหวแน่ ไว้ยังไงผมจะออกเงินค่าน้ำมันกับค่าแรงให้นะครับ"
"โธ่ อัลวิน เพื่อนบ้านกันแท้ๆ ยายไม่คิดเงินหรอกจ๊ะ เธอก็ช่วยยายตั้งแยะ....ไว้ยังไงวันหลังมาช่วยยายทำขนมไปขายในเมืองก็แล้วกัน"
"ครับ ขอบคุณครับคุณยาย!!" ผมยิ้มร่าด้วยความยินดี

อีกสองวันถัดมาตั้งแต่เช้าตรู่ ผมตื่นขึ้นมาด้วยเสียงรถแทรกเตอร์ที่เข้ามาจอดในรั้วบ้าน...เมื่อชะโงกหน้าออกมาดูก็พบร่างๆหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นแอปเปิล....ผมรีบเปลี่ยนชุดวิ่งลงมาต้อนรับ ขณะจะเอ่ยปากทักก็ชะงักไปนิดหนึ่ง โรเจอร์หรือว่าโรนัลกันละเนี่ย
"หวัดดี" ร่างนั้นทักผมยิ้มๆ "ยายบอกให้ชั้นมาช่วยนายปรับสวนนะ ทำแต่เช้าเลยก็ดีนะ ไม่ร้อนดี" ร่างนั้นพูดฉอดๆ แต่ผมก็ยังดูไม่รู้อยู่ดีว่าใคร เขามองไปที่ต้นไม้รอบๆ
"หญ้าขึ้นรกไปหมดแล้วนะเนี่ย....สูงเกือบถึงเข่าแล้ว นายอยากจะตัดต้นไม้ด้วยไหม.." เขามองไปที่ต้นแอปเปิล
ผมไม่ได้ตอบ แต่รู้สึกได้ว่าต้นแอปเปิลสั่นไหวเมื่อยามที่เขาถาม ผมแอบหัวเราะในใจ
"นายคิดว่ายังไงล่ะ...ต้นนี้มันไม่เคยออกลูกเลยนะ" ผมแอบแกล้งถาม
"ไม่ตัดดีกว่า...ถึงไม่ออกลูกแต่อย่างน้อยมันก็ให้ร่มเงา แถมเมื่อกี้ชั้นเห็นรังนกบนต้นไม้ด้วย" เขาพูดต่อ ผมแอบสังเกต นิสัยนุ่มนวล ใจดี แล้วก็ไม่ได้ใส่หมวก แบบนี้น่าจะเป็นโรนัล
"งั้นก็ไม่ตัดแล้วกันนะ โรนัล" ผมตอบพร้อมกับยิ้มให้เขา เขาหยุดชะงักไป
"ทำไมถึงคิดว่าเป็นโรนัลล่ะ" เขาถามเสียงขุ่นเล็กน้อย ผมยิ้มแหยๆ
"เอ่อ...ก็เห็นนายไม่ได้ใส่หมวกนะ..." ผมตอบอ้อมแอ้ม โธ่เว้ย รู้งี้ถามชื่อไปตั้งแต่แรกเลยก็ดี
"โรนัลมันพาลอร่าไปเที่ยวในเมืองนะ..." โรเจอร์เสียอ่อนลงไปเล็กน้อย เขาถอดเสื้อเชิ้ตที่สวมแขวนไว้ที่รถแทรกเตอร์ก่อนจะเริ่มสตาร์ทเครื่อง ผมอธิบายให้เขาฟังว่าผมอยากจะทำอะไรบ้าง เขาพยักหน้ารับรู้ก่อนจะเริ่มงาน
ผมเข้าไปเตรียมโคล่ากับน้ำเย็นๆใส่น้ำแข็งไว้ เพื่อเวลาที่โรเจอร์เหนื่อยๆจะได้ดื่ม ผมยกถาดออกมาวางไว้ที่โต๊ะด้านนอก ตอนนี้แดดเริ่มออกแล้ว ปีนี้ค่อนข้างร้อนเป็นพิเศษ เห็นว่าเก้าสิบกว่าองศาฟาเรนไฮด์ ผมมองโรเจอร์ที่เริ่มเหงื่อออก โรเจอร์นั้นเป็นหนุ่มที่มีรูปร่างดีมาก ยิ่งตอนที่ถอดเสื้ออาบเหงื่อทำงานแบบนี้ผมก็ยิ่งสังเกตได้ถึงกล้ามเนื้อบึกบึนสวมส่วนที่กำลังเคลื่อนไหว เขากำยำกว่าเซดริกคนรักของผม เซดริกนั้นถึงแม้จะรูปร่างดีแต่ก็ไม่ได้มีกล้ามเนื้อแบบคนทำงานออกแรงแบบนี้

"อ้อ ทำสวนอยู่หรือครับ" เสียงที่จู่ๆดังขึ้นมาด้านหลังทำให้ผมสะดุ้งร้องออกมา โรเจอร์หยุดขับรถหันมามองทันควัน
"มิสเตอร์ราวรีย์!!" ผมถอนหายใจ "มาตั้งแต่เมื่อไหร่นะครับ"
"ก็เมื่อสักครู่ ผมขับรถเข้ามาจอดหน้าบ้านแต่คุณคงไม่ได้ยินเพราะเสียงรถแทรกเตอร์มันดัง" เขาอธิบายให้ฟังพร้อมกับมองสวนที่เริ่มเกลี่ยดินไปได้บางส่วน
"รับน้ำชาหรือว่ากาแฟไหมครับ." ผมเอ่ยปากตามมารยาทเจ้าบ้าน
"ขอเป็นโคล่าตรงนี้ก็แล้วกัน.. ผมคงจะมาแป๊ปเดียวแล้วก็จะกลับ เพราะวันนี้วันหยุด แค่มาดูความเรียบร้อยแค่นั้นนะครับ" เขาพูดเรื่อยๆพร้อมกับบริการตัวเองไม่ได้รอผมรินให้
"เมื่อกี้ผมเดินผ่านมาทางห้องรับแขก...รูปภาพที่ซื้อมาติดใหม่สวยดีนะครับ" เขาเอ่ยปากชม
"ขอบคุณครับ..เอ่อ...แล้วเซดริก..ช่วงนี้เขางานยุ่งหรือครับ" ในที่สุดผมก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม
"ช่วงนี้บอสไปออสเตรียกับคุณนาตาลีครับ" มิสเตอร์ราวรีย์ตอบ
ผมอึ้งไป ใคร นาตาลี!! ชื่อผู้หญิงนี่ ผมหน้าซีด โรเจอร์เข้ามายืนข้างๆ มิสเตอร์ราวรีย์เหลือบสายตามองมาทางผมนิดหน่อยเหมือนจะดูปฏิกิริยา...ผมพยายามระงับอารมณ์ไม่แสดงออกแต่ในใจนั้นคุกรุ่น
"คุณนาตาลี...หุ้นส่วนธุรกิจหรือครับ" ผมถามแบบไม่ใส่ใจ
"น่าจะเป็นหุ้นส่วนชีวิตมากกว่ากระมังครับ เพราะว่าคุณนาตาลีกับบอสหมั้นกันมาได้ปีกว่าแล้ว ผมนึกว่าคุณคาสเซลรู้แล้วซะอีก"
เคร้ง!! แก้วร่วงลงจากมือผม ถึงจะพยายามระงับสีหน้าแต่มือผมก็สั่นจนจับแก้วไม่อยู่ คู่หมั้น !! หมั้นกันได้ปีกว่าแล้ว...เขาหมั้นกับผู้หญิงคนนั้นก่อนที่จะเข้ามายุ่งกับผม..เขาเห็นผมเป็นอะไร!!
ผมมันคงเป็นไอ้งั่งที่ถูกเขาปั่นหัวใช่ไหม...ดันไปหลงรักเขาหัวปักหัวปำ มิน่าที่ผมขอไปอยู่ที่ห้องเขาในเวสลอนดอนก็ไม่ยอม คงกลัวแม่นาตาลีอะไรนั่นรู้ เขาคงยังจะมีไมตรีกับผมอยู่บ้าง ถึงได้ช่วยส่งให้ผมมาอยู่ในบ้านห่างไกลความเจริญอย่างนี้ คิดอยากจะมีเซ็กซ์เมื่อไหร่ก็มาระบายแล้วก็ไป...
มิสเตอร์ราวรีย์ขอตัวกลับบ้านหลังจากที่หย่อนระเบิดลงไปได้ไม่กี่นาที ผมยังนั่งอยู่ที่เดิมแต่ตัวสั่นจนโรเจอร์สังเกตเห็น
"อัลวิน เป็นอะไรไปนะ หน้าซีดเชียว ไม่สบายหรือเปล่า" เขาทำท่าเป็นห่วงผม เมื่อผมได้ยินเสียงคนข้างๆก็น้ำตาไหลออกมา โรเจอร์ตกใจจนมือไม้ป่วนไปหมด
"เฮ้ย...เกิดอะไรขึ้นนะ...ชั้นไม่ได้แกล้งนายนะ..ร้องไห้ทำไม" เขาพูดอย่างตกใจ นั่งยองๆลงมาเสมอตัวผม..พยายามเอามือปาดน้ำตาให้ ผมเองก็ซบหน้าลงกับไหล่ของเขาร้องไห้อย่างไม่อายใคร โรเจอร์ยกมือขึ้นลูบผมหัวเบาๆ
"ถ้านายไม่สบายใจอะไรก็ระบายกับชั้นได้นะ...ผู้ชายคนนั้นเขาบอกอะไรนาย.."
ผมยังสะอื้นให้อยู่กับไหล่ของเขา "ถ้านายรู้เรื่องชั้น นายอาจจะรังเกียจชั้นก็ได้..ชั้นมันพวกวิปริต.."
"ใครจะไปรังเกียจนาย...นายก็ยังเป็นนายไม่ใช่หรือไงล่ะ..ชั้นยังไม่เห็นนายวิปริตตรงไหน ทุกคนในบ้านชั้นก็ชอบนาย...ยายก็เอาแต่พูดถึงนาย นายเป็นคนดี.." โรเจอร์พูดวกไปวนมาเล็กน้อย ธรรมดาเขาเป็นคนโผงผาง พูดจาปลอบคนไม่ค่อยเป็น.. ครั้งนี้จึงค่อนข้างลำบากพอดู เขาพูดไปนึกคำไปอยู่นาน
"ชั้นมันเป็นเกย์...หลงรักผู้ชายด้วยกัน...ถูกเขาปรนเปรอเข้าหน่อยก็หน้ามืดตามัว ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขามีคู่หมั้นอยู่แล้ว..." ผมได้ทีพูดพร่ำออกมาเป็นชุด โรเจอร์อ้าปากค้าง..ผมยังสะอื้นตัวสั่นแบบคุมไม่อยู่...แทนที่เขาจะผลักไสผมอย่างรังเกียจเขากลับโอบผมแน่นเขากว่าเดิม
"นายก็เลิกซะสิ...นายอายุยังน้อย...หางานทำแล้วก็ตัดใจซะ...ผู้ชายพรรค์นั้นไม่เหมาะกับนายหรอก" เขาพูดเบาๆ..
"ชั้นรักเขา...รักมาก" ผมยังไม่ยอมหยุดสะอื้น แต่แล้วผมก็ต้องตกใจเมื่อจู่ๆโรเจอร์ก็ก้มลงมาจูบผม ?ริมฝีปากเขาบดขยี้ริมฝีปากผมอย่างแรง เสียงที่ผมร้องออกมาก็ถูกดูดกลืนเข้าไปในปากฝ่ายตรงข้าม มือที่โอบหลังผมอยู่ก็หนีบผมไว้ไม่ให้ขยับ ผมพยายามที่จะหันหน้าหนีแต่ริมฝีปากนั้นก็ตามติดไม่ลดละ แต่แล้วจู่ๆเขาก็หยุด ปล่อยผมนั่งผิงเก้าอี้อย่างหมดแรง
"ขะ...ขอโทษ ชั้น..." เหมือนเขาพึ่งรู้ตัวเองว่าทำอะไรกับผมไป...สายตาเขามองริมฝีปากที่เริ่มบวมแดงของผม โรเจอร์อึ้งไปก่อนที่จะหันหลังเดินออกไปทางรั้วหลังบ้าน
"ชั้นฝากรถไว้ที่บ้านนายก็แล้วกัน ไว้พรุ่งนี้จะมาทำต่อให้...." พูดจบเขาก็เดินจ้ำอ้าวออกไป เมื่อเดินห่างจากตัวบ้านไปสักสิบห้าเมตรเขาก็ตะโกนกลับมา
"นายทำใจให้สบายนะ...ไม่ต้องไปคิดมาก ถ้ามีปัญหาอะไรนายมาอยู่บ้านชั้นก็ได้ ทุกคนที่บ้านต้อนรับนายเสมอ"
ถึงผมไม่เห็นหน้าเขาแต่ผมก็มั่นใจว่าโรเจอร์ต้องหน้าแดงแน่...ผมไม่ได้รังเกียจโรเจอร์ แต่ผมคงรักโรเจอร์ไม่ได้ เพราะผมรักเซดริกไปเสียแล้ว..ผมถอนหายใจออกมา...มองตามหลังเขาที่วิ่งไวๆ ก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าบ้าน

ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์มือถือที่คุ้นเคย อย่างน้อยผมขอพิสูจน์ความจริงด้วยตัวเองสักครั้ง
"ฮัลโหล..." ผมได้ยินเสียงเขาตอบรับมาตามสาย
"สวัสดี เซดริก" ผมพูดเสียงสั่นนิดๆ
"อัลวินเหรอ...นายโทรมาหาชั้นเหรอเนี่ย..." เสียงเขามีแววดีใจเล็กน้อย
"อือ...งานนายเป็นไงบ้างล่ะ เรียบร้อยไหม" ผมพยายามพูดให้ธรรมดาที่สุด
"ก็งานหนักแหละ ช่วงนี้ชั้นวุ่นน่าดูทำงานแทบไม่ได้หลับนอนเลย" เขาพูด
"ทำงานหนักที่ออสเตรียกับคู่หมั้นที่ชื่อนาตาลีใช่ไหม" ผมพูดช้าๆเน้นหนัก ผมได้ยินเสียงเขาอุทานออกมาเล็กน้อย
"ใครบอกนายเรื่องนาตาลี!!" ผมกำหูโทรศัพท์จนแน่น มืออีกข้างกำจนกระดูกโปนออกมา เขาไม่ได้ปฏิเสธเรื่องที่ไปออสเตรียกับนาตาลี...
"........"
"อัลวิน!! มันไม่ใช่อย่างที่นายคิดนะ...นาตาลีเป็นคู่หมั้นชั้นก็จริง...แต่ชั้นรักนายนะ.."
ผมไม่ยอมฟังเขาพูดต่อกระแทกหูโทรศัพท์ลงกับแป้น...แล้วก็ยกหูโทรศัพท์ออกโยนไปอีกทางหนึ่ง ผมล้มตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างหมดแรง น้ำตาซึม....
ใช่สิ ถึงแม้เขาจะรักผมบ้างก็เถอะ... แต่ผมซึ่งเป็นผู้ชายทั้งแท่งจะชนะผู้หญิงที่จะให้กำเนิดลูกเขาได้ยังไง ผมมันก็เป็นแค่ต้นแอปเปิลที่ไม่ออกดอกออกผล เขาก็คงอยากจะมีภรรยามีลูกเหมือนครอบครัวปกติทั่วๆไป ส่วนผมก็คงถูกเก็บไว้เป็นโสเภณีชั่วคราวแบบนี้ใช่ไหม...ระหว่างที่ผมนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่นั้นสายตาผมก็เหลือบไปเห็นกรีนซึ่งยืนแอบๆอยู่ตรงผนังห้องด้านหนึ่ง เด็กคนนั้นยืนเงียบๆมองมาทางผมเหมือนจะปลอบแต่ก็ไม่ได้เข้ามาใกล้ ผมรู้สึกเห็นใจเขาขึ้นมา กรีนเองก็เหมือนกับผม...ทุกวันได้แต่รอคอย...
"กรีน.." ผมเรียกเขาเสียงเบาพร้อมกับกวักมือเรียก เขาเดินเข้ามาหาผม
"โรเจอร์เป็นผู้ชายนิสัยดีนะ..." ประโยคแรกที่กรีนพูดขึ้นมา เขามองตาผม
"อือ...ชั้นรู้ เขาเป็นคนมีน้ำใจ" ผมยอมรับ
"เขารักนาย..." กรีนพูดต่อช้าๆ ผมถอนหายใจ...
"อือ....แต่ชั้นรักเซดริก..."
"ไม่เห็นจำเป็นจะต้องรักผู้ชายแบบนั้นเลย...เขาทำนายร้องไห้ตั้งไม่รู้กี่ครั้ง..ชั้นได้ยินนายตะโกนด่าเขาตลอดตั้งแต่ที่นายมาอยู่ที่นี่" กรีนเริ่มพูดเสียงดังขึ้น..
"ถ้าชั้นไม่อยู่ที่นี่นายจะเหงาไหม" จู่ๆผมก็เปลี่ยนเรื่องพูดขึ้นมา
"ไม่นะ..นายจะไปจากที่นี่เหรอ" กรีนตะโกนเสียงดัง
"ก็บ้านหลังนี้เป็นของเซดริก...ถ้าชั้นคิดจะเลิกกับเขาฉันก็คงอยู่ที่นี่ไม่ได้" ผมพูดเสียงเบา ดวงตาเหม่อลอย...ทั้งๆที่ผมเริ่มผูกพันกับบ้านหลังนี้แล้ว
"นายไปอยู่กับโรเจอร์สิ...โรเจอร์ก็บอกแล้วว่าถ้านายมีปัญหาอะไรก็ไปอยู่กับเขาได้ ที่นั่นก็มีแต่คนชอบนาย...นายเป็นคนดีนะ...ชั้นเองก็ชอบนาย ไม่อยากให้นายไป" กรีนเริ่มพูดเสียงสั่น...เขาเองอยู่ที่บ้านหลังนี้รอคอยนาเดียมาเกือบยี่สิบปี...ก็มีแต่อัลวินนี่แหละที่เขารู้สึกผูกพันด้วย
"ถ้าชั้นไปอยู่กับโรเจอร์ก็มีแต่ทำให้เขาเจ็บปวด...ชั้นไม่ได้รักเขา..." ผมพูดพร้อมกับเหยียดมุมปากเล็กๆ "ถ้าความรักมันเปลี่ยนกันง่ายๆเหมือนเปลี่ยนเสื้อก็ดีสิ...คงจะไม่มีใครเจ็บปวดขนาดนี้" ผมพูดเนือยๆ


วันต่อมาผมเริ่มเอาของส่วนตัวเก็บใส่กระเป๋าเดินทางที่มีอยู่ใบเดียวของผมพร้อมกับเปิดหนังสือพิมพ์หน้าสมัครงาน...ผมคงไปไหนตอนนี้ไม่ได้หรอก อย่างน้อยก็คงจะอยู่จนกว่าจะสมัครงานอะไรเรียบร้อยซึ่งคงกินเวลาประมาณสองสามวัน...
โรเจอร์ก็มาทำสวนให้ผมตามที่บอกตั้งแต่เช้า แต่พวกเราแทบจะไม่ได้มองหน้ากันเลย...โรเจอร์คงอายจากเรื่องเมื่อวาน ผมได้แต่ยกน้ำไปไว้ที่โต๊ะหลังบ้านแล้วก็เดินเข้ามาเลือกของจัดกระเป๋าต่อ อย่างน้อยบ้านหลังนี้ที่ผมตกแต่งภายในไปได้ตั้งแยะคงจะพอถูไถไปกับค่าที่เขาให้ผมมาอยู่ฟรีที่นี่ได้ตั้งเกือบสามเดือน ตาผมยังบวมเนื่องจากร้องไห้มาเกือบทั้งคืน
พูดถึงเรื่องหางานจริงๆ มันก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรมากถ้าไม่เลือกงาน ผมเองจบแค่คอลเลจไม่ได้มีดีกรีอะไรติดตัวสักอย่าง งานเงินเดือนสูงๆมันคงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว..
"อัลวิน..ชั้นเกลี่ยดินเรียบร้อยแล้วนะ ถ้านายจะเอาหญ้ามาลงก็บอกชั้นได้" โรเจอร์เดินเข้ามาในบ้าน แล้วเขาก็ชะงักเมื่อมองเห็นกระเป๋าเดินทางที่ผมยกมาด้านล่าง
"นายจะไปไหน" เขาถามเสียงเข้ม ผมเองหลบหน้าไม่ได้ตอบอะไร ในที่สุดเขาเดินแทบจะวิ่งเข้ามาหาผม เขาจับไหล่ผมให้หันหน้าไปเผชิญกับเขา
"นายกำลังจะไปไหน!!" เขาถามเสียงดังขึ้นมา
"ชั้นกำลังจะไป" ผมตอบโดยหันหน้าไปอีกทางหนึ่ง
"ผมไม่ให้คุณไป!!" โรเจอร์ตะโกนเสียงดัง
"บ้านนี้ไม่ใช่ของชั้น มันเป็นของเซดริก!! จะให้ชั้นทนอยู่ที่นี่ได้ยังไง" ผมตอบเสียงดังบ้าง
"นายไปอยู่บ้านชั้นสิ.." โรเจอร์พูดเสียงนุ่มขึ้น แต่ผมได้แต่สั่นหัว
"ทำไมนายจะไปอยู่กับชั้นไม่ได้!! ก็ในเมื่อชั้นเต็มใจจะให้นายอยู่" เขาจับไหล่ผมไว้แน่น เขย่าอย่างแรงจนผมหัวสั่น
"นายจะให้ชั้นอยู่ในฐานะอะไร!! แล้วอีกอย่างชั้นทนเห็นหน้าเซดริกที่นี่ต่อไปไม่ได้แน่" ผมเริ่มร้องไห้
"ชั้นชอบนายนะ...นายก็มาเป็นคนรักชั้นไง" โรเจอร์พูดเขากอดผมไว้แน่น "ถ้านายมาอยู่กับชั้นแล้วไอ้เซดริกอะไรนั่นยังมายุ่มย่ามอีก ชั้นจะไม่เอามันไว้แน่!!"
"ไม่นะ!!" ผมตะโกนเสียงดังเมื่อได้ยินเขาพูดว่าจะไม่เอาเซดริกไว้แน่... "ขอเวลาชั้นคิดหน่อยได้ไหม.." ผมพูดเสียงเบา โรเจอร์ได้แต่ถอนหายใจ เขาจูบหน้าผากผมก่อนจะเดินออกไป

วันรุ่งขึ้นโรเจอร์มาหาผมเสียแต่เช้าตรู่ แถมยังตามผมแจราวกับว่าจะกลัวผมหายไปอย่างนั้นแหละ
"กรี๊งงง!!" เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้นมา ผมตัวแข็งไม่กล้าลุกขึ้นไปรับ...ในที่สุดโรเจอร์จึงเข้าไปรับแทนเพราะเขาพอเดาได้ว่าใครเป็นคนโทรมา
"ฮัลโหล..." เสียงเขาพูดกระแทกตามสาย
"นายเป็นใคร! ผมขอพูดกับอัลวินหน่อย" เซดริกถามขึ้นอย่างร้อนรนเมื่อคนรับสายไม่ใช่คนที่เขาคาดไว้
"ถ้านายคือเซดริกละก็ ชั้นคิดว่าอัลวินเขาคงจะไม่อยากคุยกับนาย"
"ทำไม...นายมีสิทธิอะไรไปตัดสินใจแทน...ชั้นมีเรื่องอยากจะคุยกับเขา..เรียกเขามาคุยกับชั้นที"
โรเจอร์หันมามองหน้าผมที่ยืนส่ายหัวอยู่ ผมยังไม่อยากพูดกับเซดริก...
"ขอโทษนะ อัลวินเขาไม่อยากจะคุยกับผู้ชายหลายใจแบบนายว่ะ...อีกอย่างตอนนี้ชั้นยังไม่มีสิทธิ์อะไร แต่ถ้าอัลวินเขาเต็มใจจะไปอยู่กับชั้นเมื่อไหร่ นายก็คงหมดสิทธิ์มาตะโกนใส่ชั้นแบบนี้" โรเจอร์พูดกรอกหูโทรศัพท์แบบเล่นเอาผมอ้าปากค้าง...! ฝ่ายเซดริกเองก็อึ้งไปเหมือนกัน สักพักเขาก็ตะโกนออกมา เสียงดังจนผมที่ยืนข้างๆโรเจอร์ได้ยินเสียง
"ชั้นไม่เชื่อ! แกเป็นใคร เรียกอัลวินมาคุยกับชั้นเดี๋ยวนี้! อัลวินเขาไม่ทิ้งชั้นไปหรอก! ชั้นไม่เชื่อ"
"ทำไมเขาจะทิ้งแกไม่ได้ ก็ในเมื่อแกเป็นฝ่ายทิ้งเขาก่อน!" โรเจอร์ตะคอกใส่หูโทรศัพท์ด้วยความโมโห พร้อมกับกระแทกหูใส่แป้นดังโครม!!
"นายย้ายของไปบ้านชั้นเลยดีกว่า...ไม่ต้องหย่งต้องอยู่มันแล้วไอ้บ้านหลังนี้น่ะ.." เขาหันมาพูดกับผม ซึ่งผมเองก็เงียบไป คิดอะไรเล็กน้อยในที่สุดก็พยักหน้ารับ
"ชั้นขอเก็บของด้านบนอีกเล็กน้อยนะ...พรุ่งนี้นายค่อยมารับชั้นก็แล้วกัน" ผมบอกเสียงเบา โรเจอร์เมื่อได้ยินผมตอบรับ เขาก็ยิ้มหน้าบานก้มลงมาหอมแก้มผม ซึ่งผมเองก็ไม่ได้ว่าอะไร

คืนนั้นผมตัดสินใจว่าผมคงจะไปโดยไม่บอกโรเจอร์ ผมรู้ว่าเขาหวังดีกับผม แต่ผมขอเลือกทางเดินของผมเองดีกว่า ผมนั่งคิดอยู่ว่าจะจัดการกับตัวเองอย่างไร ผมเองมีเงินเก็บส่วนตัวอยู่เล็กน้อย ผมคงต้องอาศัยรถที่เซดริกซื้อให้ขับไปจอดที่ไหนสักที่ในตัวเมืองเสร็จแล้วค่อยหาโรงแรมแถวนั้นอยู่สักคืนก่อนส่งกุญแจรถกลับไปให้มิสเตอร์ราวรีย์เลขาของเซดริกทีหลัง
เมื่อคิดได้ผมก็ล็อกห้องทุกห้องเหมือนกับตอนผมมาครั้งแรก ผมลากกระเป๋าใบโตไปที่รถ เมื่อไปถึงก็เห็นกรีนยืนบังอยู่ด้านหน้า
"นายอย่าไปเลย...โรเจอร์ไม่ดีตรงไหน..."
"ชั้นตัดสินใจแล้ว นายหลีกทางเถอะ" ผมพูดเสียงหนักแน่น จ้องหน้ากรีน ละอองฝนเริ่มโปรยลงมาราวกับจะโศกเศร้าไปกับผมด้วย กรีนเองก็หัวไหล่สั่นไหว
"ทำไมล่ะ..." เขาพูดเสียงสะอื้น ผมเองก็พยายามกล้ำกลืนความเศร้าของตัวเอง
"นายน่าจะเข้าใจชั้นมากที่สุด...ความรักของชั้นที่มีให้เซดริกก็เหมือนกับความรักของนายที่มีให้นาเดีย...ถ้าไม่ใช่เขาชั้นคงรักใครไม่ได้อีก" ผมพูดเสียงเรียบมองหน้ากรีน ในที่สุดเขาเองก็เดินหลีกทางให้ผมอย่างเงียบๆ ผมเดินขึ้นไปนั่งที่คนขับพร้อมกับสตาร์ทรถ....
ฝนที่เริ่มโปรยปรายเริ่มหนาเม็ดขึ้นเรื่อยๆ แต่ผมก็ยังไม่ละความพยายาม ผมเปิดไฟหน้ารถจนสว่างเนื่องจากไม่มีไฟถนน ที่ปัดน้ำฝนด้านหน้าทำงานเต็มที่ ผมขับรถออกจากบ้านมาได้สักสิบนาทีแล้ว อีกเกือบครึ่งชั่วโมงถึงจะถึงตัวเมือง ผมจึงเร่งสปีดขึ้น ผมสบถออกมา ชะตาชีวิตมันช่างเล่นตลกจริงๆ ขณะที่ผมกำลังโมโหอยู่นั่น ผมก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นสัตว์ชนิดหนึ่งวิ่งตัดหน้ารถออกไป ผมเหยียบเบรกเต็มที่หักพวงมาลัยไปอีกทางหนึ่ง รถผมหมุนตามแรงอย่างบังคับไม่ได้ ผมรู้สึกได้ว่าตัวเองกระดอนขึ้นลงเมื่อรถเฉตกถนนพร้อมกับวิ่งเข้าไปกระแทกต้นไม้ใหญ่ข้างทางอย่างแรง หัวผมโขกกับพวงมาลัยก่อนที่ถุงลมนิรภัยจะทำงาน...ผมรู้สึกได้ว่าเลือดอุ่นๆไหลลงมาตามหน้า...ตอนนี้ผมยังไม่ตาย.. แต่ฝนตกหนักขนาดนี้พร้อมกับถนนที่แทบจะไม่มีรถผ่าน...ใครจะมาช่วยผมกันละเนี่ย...ผมรำพึงก่อนที่สติของผมจะถูกความมืดเข้าครอบงำ


"อัลวิน! อัลวิน!" เสียงตะโกนเรียกชื่อผมอยู่ไกล..สติของผมเริ่มจะกลับคืนมา...เสียงช่างคุ้นเหลือเกิน นี่เป็นความฝันหรือเปล่านี่...ผมคงจะตายไปแล้วใช่ไหม...ผมพยายามเปิดเปลือกตาขึ้น ใบหน้าที่ผมคิดถึงทุกลมหายใจมองมาอย่างเป็นห่วง
"เซดริก" ผมเอ่ยชื่อเขาเบาๆ เขายกมือผมขึ้นมากุมจรดใบหน้า นิ้วมือผมสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้น เขาคงจะร้องไห้
"ชั้นนึกว่านายจะจากชั้นไปแล้วซะอีก...." เขาพูด
"ชั้น...." ผมพยายามลุกขึ้นนั่ง พร้อมกับมองไปรอบตัว...ห้องสีขาว คงจะเป็นโรงพยาบาลที่ไหนสักแห่ง สังเกตดูเซดริกหน้าตาเขาซีดเซียวราวกับว่าอดนอน ผมเผ้ายุ่งเหยิง หรือเขาเฝ้าผมทั้งคืน...
ผมเจ็บหัวจี๊ดเมื่อลุกขึ้นนั่งได้ เมื่อยกมือขึ้นแตะก็สัมผัสได้ถึงผ้าที่โพกหัวอยู่ มันคงต้องแตกแน่ๆ
"นายขับรถไปชนต้นไม้ข้างทางนะ...หัวแตก" เขาอธิบายให้ผมฟังเรียบๆ มือยังกุมมือผมไว้
"ชั้นขอโทษ..ชั้นทำรถนายพัง.."
"จะบ้าเรอะ...เห็นชั้นห่วงรถมากกว่านายหรือไง!" เขาพูดโมโหเล็กน้อย "ชั้นมีเรื่องต้องคุยกับนายด้วยนะอัลวิน" ผมเริ่มรู้สึกตัวว่าที่ผมขับรถไปเจออุบัติเหตุนั้นเพราะว่าอะไร ผมพยายามดึงมือออกจากมือเขา
"ไม่! ชั้นไม่อยากฟังเรื่องอะไรของนายอีก...นายจะไปอยู่กับคู่หมั้นของนายที่ไหนก็ไป..เชิญไปเที่ยวพักร้อนกันตามสบายเลย ชั้นไม่อยากฟังคำโกหกของนายอีก" ผมพูดอย่างโมโหเมื่อเขาพยายามฉุดมือผมไว้ เราสองคนเยื้อยุดกันอยู่สักพัก ประตูห้องก็เปิดออก โรเจอร์วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน
"อัลวิน..นายเป็นอะไรมากไหม" เขาถามผมอย่างเป็นห่วง
ที่จริงเมื่อเช้าโรเจอร์ขับรถไปที่บ้านของอัลวินอย่างอารมณ์ดี แต่เมื่อไปถึงเขาก็พบว่าคนที่เขารอนั้นไม่อยู่เสียแล้ว อัลวินจากไปเมื่อคืน..โรเจอร์เสียใจแทบบ้า เขาขับรถตามถนนเข้าเมืองอย่างเร่งรีบ ระหว่างทางกลับพบซากรถของอัลวินเข้า อัลวินจะเป็นไรหรือเปล่าเนี่ย! เขาวิ่งเข้าไปดูซากรถแต่ก็ไม่พบอะไร ในที่สุดเขาจึงขับรถเข้าเมืองไปสอบถามตามโรงพยาบาลจนในที่สุดก็เจอ...
แต่แล้วเขาก็ชะงักเมื่อพบว่าผมกำลังเยื้อยุดอยู่กับเซดริก ด้วยความที่เขาเป็นคนใจร้อน โผงผาง เขาจึงเดินเข้าไปต่อยเซดริกอย่างไม่รอช้า ผมร้องอุทานอย่างตกใจ เซดริกเองก็ใช่ย่อย เขาไม่ยอมให้ใครมาต่อยเขาฟรีๆแน่ ในที่สุดทั้งสองคนก็เลยฟัดกันกลิ้งอยู่ในห้องคนป่วย ด้วยความที่โรเจอร์ตัวใหญ่กว่าและก็ได้พักผ่อนเพียงพอ ผิดกับเซดริกที่หน้าตาซีดเซียวอดนอน เขาจึงถูกโรเจอร์ต่อยฟรีๆไปเสียหลายหมัด ก่อนที่จะสวนกลับไปได้แค่เล็กน้อย เสียงข้าวของแตกกระจาย ปนกับเสียงร้องห้ามของผม หมอกับพยาบาลรีบวิ่งเข้ามาดูเหตุการณ์ ในที่สุดทั้งสองคนก็ถูกจับแยกด้วยฝีมือของบุรุษพยาบาลถึงสี่คน
เซดริกคิ้วแตกปากแตกพร้อมกับรอยฟกช้ำตามตัวหลายแห่ง ส่วนโรเจอร์ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ เพียงแต่รอยฟกช้ำน้อยกว่าเท่านั้น
"ผมคิดว่าพวกคุณคงพาคนป่วยกลับได้วันนี้เลย เพราะตรวจแล้วไม่มีอะไรมาก แค่หัวแตกเย็บไปสิบเข็ม" คุณหมอพูดพร้อมกับถอนหายใจ "ส่วนคุณสองคน คนหนึ่งคิ้วแตกเย็บไปสามเข็มส่วนอีกคนก็ต้องนวดยาแก้ปวดกล้ามเนื้อ..แล้วก็เอายาแก้อักเสบกับยาแก้ปวดไปกินทั้งสามคน" คุณหมอรายงานให้พวกเราสามคนฟังอย่างเหนื่อยใจ
"ค่ารักษาไม่เท่าไหร่ แต่ค่าเสียหาย....." ผมทำหน้าปูเลี่ยนๆเมื่อได้ยินรายการคุณหมอบรรยายให้ฟัง...

ผมตัดสินใจนั่งรถของเซดริกกลับมาที่บ้าน โรเจอร์เองก็ขับรถของตัวเองตามมาไม่ห่าง เมื่อมาถึงบ้านผมก็ไขกุญแจเข้าบ้านไปพร้อมกับชายหนุ่มอีกสองคนก็ตามเข้ามาติดๆ เซดริกกับโรเจอร์เองก็ทำท่าเหมือนกับจะฟัดกันอีกสักรอบ ใบหน้าของเซดริกตอนนี้ดูไม่จืด ขอบตาล่างดำคล้ำพร้อมกับที่คิ้วมีผ้าก็อซปะติดไว้ ปากก็เจ่อบวมเล็กน้อย..
"อัลวิน นายรู้สึกดีขึ้นไหม.." โรเจอร์ถามด้วยความเป็นห่วง เซดริกมองด้วยความขุ่นเคือง
"นายไม่ต้องมายุ่งกับอัลวินเลย..ชั้นดูแลเขาได้" เซดริกพูดแทรกขึ้นมา
"ถ้าไม่ใช่เพราะนายอัลวินก็คงไม่เป็นแบบนี้หรอก!" โรเจอร์ตะโกนใส่เซดริก "ชั้นจะพาเขาไปรักษาตัวที่บ้านชั้น!" โรเจอร์ฉุดมือผมลุกขึ้นมา แต่เซดริกก็เข้ามาดึงไว้
"เขาเป็นคนรักของฉัน นายไม่มีสิทธิ์มายุ่ง!"
"ที่อัลวินเป็นแบบนี้ไม่ใช่เพราะเขาต้องการจะไปจากนายหรือไง ถ้านายเป็นลูกผู้ชายพอก็ปล่อยมือจากเขาได้แล้ว"
"ชั้นไม่ปล่อย...พวกเรามีเรื่องต้องคุยกันก่อน" เซดริกดึงมือผมแรงขึ้น โรเจอร์ทนไม่ไหวเข้าไปผลักเซดริกล้ม มวยยกที่สองกำลังจะเริ่มขึ้นในห้องนั่งเล่นแล้ว นี่ผมโชคดีหรือโชคร้ายกันนี่ จู่ๆก็มีชายหนุ่มหน้าตาดีถึงสองคนลงมือต่อยกันเพื่อที่จะแย่งผม...
แต่คราวนี้ผมต้องประหลาดใจเมื่อเห็นว่าเซดริกต่อยโรเจอร์ล้มไปกองกับพื้นได้...โรเจอร์เองก็ตกใจไปเหมือนกัน ด้วยรูปร่างเขาเองเป็นต่ออยู่แล้ว แต่ไหงเขากลับถูกต่อยล้มไปง่ายๆหลายครั้งล่ะเนี่ย
"เฮอะ...ชั้นลืมบอกนายไปว่ะ ว่าชั้นเคยฝึกคิกบ็อกซิ่งกับนักมวยอาชีพอยู่สามสี่ปี" เซดริกพูดยิ้มยั่ว "เพียงแต่เมื่อเช้าชั้นไม่ทันตั้งตัวเท่านั้น" พูดจบเขาก็ฟุตเวิร์คหลบหมัดของโรเจอร์พร้อมกับสวนกลับไปตรงลิ้นปี่ โรเจอร์ล้มไปกองกับพื้น ผมเองอ้าปากค้าง...
"ถ้านายคิดว่าสู้ชั้นไม่ได้ละก็ เรียกไอ้น้องชายฝาแฝดของนายมาร่วมวงด้วยก็ได้" เซดริกพูดต่อ..คราวนี้ทั้งผมทั้งโรเจอร์มองทางเขาอย่างงงๆ โรเจอร์อ้าปากค้าง
"นายรู้ได้ไงว่าชั้นมีน้องชายฝาแฝด!" เขาตะโกนอย่างแปลกใจ จ้องหน้าเซดริก
"ทำไมชั้นจะไม่รู้ว่ะ...พวกนายสองคนเป็นหลายคุณยายแวนดี้ที่อยู่บ้านสีส้มทางโน้น"
โรเจอร์ขมวดคิ้วมองหน้าเซดริก ในที่สุดเขาก็อุทานอะไรออกมา
"แก ไอ้นิค!!" เขาชี้ไปที่เซดริกซึ่งตอนนี้ยืนหัวเราะแค่นๆอยู่ ผมเองก็คุ้นๆชื่อที่โรเจอร์เรียกเหมือนกัน แต่จำไม่ได้ว่าได้ยินที่ไหน
"เออ...ชั้นนึกว่าสมองของแกจะฝ่อเหมือนกับกล้ามเนื้อนั่นซะอีก..ยังดีที่จำชั้นได้..ตอนเด็กๆพวกแกชอบแย่งของชั้นบ่อยๆ ตอนนี้โตแล้วแกก็ยังจะมาแย่งของชั้นอีก" เซดริกยังพูดปนโมโหต่อ แต่ตอนนี้โรเจอร์กลับไม่ได้ทำท่าโมโหแล้ว เขายิ้มกว้างก่อนตะโกนออกมา
"แก ไอ้บ้านิค! ชั้นนึกว่าแกตายห่าไปแล้วเสียอีก" เขากระโจนเขาไปจะกอดเซดริก แต่ถูกเซดริกหลบทัน หน้าเขาจึงทิ่มไปกับโซฟาแทน
"ถ้ายายแวนดี้รู้ว่าแกกลับมาอยู่ที่นี่ ได้ดีใจตาย" โรเจอร์ลุกขึ้นมานั่งบนโซฟาแทน "แล้วคนอื่นๆล่ะ.."
"ถ้าแกหมายถึงนาเดียรักแรกของแกละก็...เสียใจด้วยว่ะ เธอลูกสองแล้ว" เซดริกพูดต่อ ตอนนี้ผมหูผึ่งเมื่อได้ยินคำว่านาเดีย...
"นาเดียเป็นยังไง" ผมถามขึ้นมาบ้าง...ผู้หญิงที่กรีนรอคอย...
คราวนี้เซดริกกลับมองผมอย่างแปลกใจ..
"นายรู้จักพี่สาวชั้นด้วยเรอะ..เธอแต่งงานแล้วกับหนุ่มอเมริกัน ตอนนี้อยู่ที่ฟลอริด้านะ" เซดริกเล่าให้ผมฟัง
"แล้วแกอยู่ดีๆทำไมถึงเปลี่ยนชื่อว่ะ...ชื่อนิโคลัสอยู่ดีๆไหงกลายเป็นเซดริกอะไรไปได้"
"เรื่องมันยาวขอเล่าทีหลังได้ไหม....ชั้นขอคุยกับอัลวินก่อน" เซดริกพูดช้าๆ ตอนนี้ผมถึงรู้สึกตัว..เขาหันมาหาผมที่นั่งอยู่ที่โซฟา
"ชั้นถอนหมั้นกับนาตาลีแล้ว" เซดริกพูดช้าๆ ผมอ้าปากค้าง...
"นายถอนหมั้นแล้ว...นายเพิ่งไปเที่ยวออสเตรียกับเธอไม่ใช่รึไง!" ผมถามอย่างระแวง เซดริกถอนหายใจ
"ชั้นไปเจรจาธุรกิจจริงๆ นาตาลีตามชั้นไปด้วยเพราะว่าเธอเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัท...พ่อของเธอกับพ่อของชั้นเป็นเพื่อนกัน ตอนที่พ่อชั้นล้มละลายเขาอาสาเข้ามาช่วยเหลือโดยขอชั้นไปเป็นลูกบุญธรรม พ่อของนาตาลีไม่มีลูกชาย เขาขอให้ชั้นเปลี่ยนชื่อพร้อมกับส่งเสียชั้นเรียนต่อจนจบมหาลัย ชั้นเรียนจบมาก็มาดูแลบริษัทให้กับเขา เขาอยากให้ชั้นแต่งงานกับนาตาลีชั้นเองก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร เพราะตอนนั้นชั้นยังไม่เจอกับนาย!" เซดริกอธิบายให้ผมฟังช้าๆ โรเจอร์เองก็อึ้งไปเหมือนกัน..
"แต่นาย...นายทำเหมือนกับชั้นเป็นโสเภณี...คิดจะมาก็มาคิดจะไปก็ไป นายทิ้งชั้นอยู่ที่นี่โดยไม่หันมาแล" ผมยังพึมพำอยู่
"ทำไมชั้นจะไม่สนนาย ชั้นส่งมิสเตอร์ราวรีย์มาดูแลนายพร้อมกับให้รายงานให้ชั้นฟังตลอด...วันนั้นชั้นต้องไปติดต่องานต่างประเทศ แต่ชั้นเกิดคิดถึงนายขึ้นมาชั้นจึงบึ่งรถมาหานายตอนกลางดึก ตอนที่ชั้นจะต้องรีบไปเห็นนายหลับสบายชั้นก็เลยไม่อยากปลุก..." เขาหยุดไปพักหนึ่งเพื่อถอนหายใจ
"ชั้นโหมทำงานหนักเพราะชั้นรู้ว่าชั้นคงแต่งงานกับนาตาลีไม่ได้ ชั้นต้องการตอบแทนพ่อของนาตาลีก่อนที่ชั้นจะลาออก.." เขาอธิบายให้ผมฟัง...ผมน้ำตาปริ่ม
"จริงๆ นายไม่ต้องคิดถึงชั้นไปแต่งงานกับนาตาลีก็ได้...ถ้าแต่งงานกับเธอนายจะได้มีครอบครัวที่สมบูรณ์ ชั้นมันแค่ต้นไม้ที่มีลูกไม่ได้"
"ก็ชั้นไม่ได้รักนาตาลี ชั้นรักนายต่างหาก...บ้านหลังนี้ชั้นซื้อกลับมาได้ด้วยเงินที่ชั้นทำงานมาตลอด...ชั้นให้นายมาอยู่ที่นี่ก็เพราะชั้นมั่นใจว่านายจะทำให้บ้านหลังนี้กลับมาอบอุ่นได้เหมือนตอนที่ชั้นอยู่ นายเป็นบ้านของชั้น เป็นที่ที่ชั้นจะกลับไปพักพิงต่างหาก"
หลังจากเขาพูดจบผมแทบกระโจนเข้าไปกอดคอเซดริก ผมร้องไห้ซบอยู่ที่ซอกคอเขา เขาเองลูบศีรษะผมอย่างเบามือพร้อมยิ้มน้อยๆ ส่วนโรเจอร์เองเมื่อเขาเห็นภาพแบบนี้เขาจึงเดินออกจากห้องไปเงียบๆ

หลังจากนั้นเซดริกเล่าให้ผมฟังว่าตอนที่โรเจอร์กระแทกหูโทรศัพท์ใส่เขานั้น เขาแทบไม่ได้สนใจอะไรรีบจับเครื่องบินเที่ยวล่าสุดกลับมาลอนดอนพร้อมกับขับรถบึ่งมาหาผมที่บ้านทันที...
"ตอนแรกชั้นไม่เห็นรถนายที่ข้างทางหรอก...แต่ชั้นเหมือนกับว่าเห็นเด็กคนหนึ่งยืนขวางอยู่ที่ถนนด้านหน้าชั้นก็เลยเหยียบเบรคจะเข้าไปถาม..แต่พอลงจากรถไปก็ไม่พบเด็กคนนั้นแต่กลับเห็นรถนายแทน" เขาพูดให้ผมฟังตอนที่พวกเรานั่งโอบคอกันอยู่บนโซฟา ผมคิดว่าเด็กคนนั้นคงต้องเป็นกรีนแน่ๆ
"ตอนชั้นเห็นนายเลือดอาบชั้นแทบจะหยุดหายใจแนะ...ชั้นนึกว่านายจะตายซะแล้ว" เซดริกเล่าพร้อมจับไหล่ผมแน่น ผมเงยหน้าขึ้นไปจูบกับเขา...แน่นอนคราวนี้ไม่มีความแคลงใจ ผมรักเขาและเขารักผมแน่...เซดริกเองก็จูบตอบผมอย่างเร่าร้อน ขณะที่เขาเริ่มจะถอดชุดที่ผมใส่อยู่ ผมก็จับมือเขาไว้แน่น ยิ้มให้เขา
"ไม่ใช่ที่นี่...ขอเป็นที่ห้องนอนดีกว่า"
"ทำไม.." เซดริกมองผมงงๆ
"เดี๋ยวมีคนแอบมอง.."


ผมเองมีความสุขกับเซดริกแล้ว แต่กรีนกลับหายไป ผมพยายามเรียกเขาที่ต้นแอปเปิลหลายครั้งก็ไม่พบ ช่วงคริสมาสต์ผมได้พบกับนาเดียเป็นครั้งแรก เธอมาเยี่ยมเซดริกพร้อมกับสามีและลูกสาวของเธอสองคน...นาเดียเป็นคนสวย เธอไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจผมที่มาอยู่กับเซดริกเลย...เธอคุยกับผมหลายเรื่อง แถมเธอยังจำได้ถึงต้นแอปเปิลที่เธอเคยปลูก

ถึงแม้จะไม่ได้พบกรีนอีก แต่ตัวผมรู้ว่าเขาได้พบจุดหมายที่เขารอคอยแล้ว ปีถัดมาผมได้เก็บลูกแอปเปิลกับเซดริกจนเต็มหลายตะกร้า..แถมผมยังแพคลูกมันส่งไปให้นาเดียซึ่งอยู่ที่ฟลอริด้าอีกด้วย

End
17 / 08/ 03
02:51 am.

แนะนำติชมได้ที่บอร์ดนิยายนะคะ...................
1