Evergreen
สนต้นใหญ่สูงเด่นเป็นสง่าบนเนินเตี้ยๆ
ริมทะเลสาบซึ่งแวดล้อมด้วยไม้ผลัดใบนานาชนิดที่กิ่งก้านเริ่มแตกสีเขียวอ่อนๆ
ผมพบเขาครั้งแรกที่นี่...
ฝนต้นฤดูใบไม้ผลิ พัดกลีบดอกเชอรี่แรกแย้มร่วงหล่นลงมาเต็มผืนหญ้าสีเขียวสด
ผมเดินไปยังอีกด้านของต้นไม้เพื่อมองผิวน้ำในทะเลสาบที่ถูกละอองฝนโปรยปราย
สะท้อนภาพยุ่งเหยิงของทิวทัศน์ที่แวดล้อม
เขา... นั่งอยู่บนพื้นพรมสีชมพูอ่อนที่ชื้นแฉะ มือรองกลีบดอกเชอรี่ที่ค่อยๆ
ร่วงลงมาจากเบื้องบน
ทั้งที่เนื้อตัวเปียกปอน ทั้งที่เบื้องบนเหลือเพียงกิ่งก้านโปร่งเห็นเมฆฝนที่ยังคงกลั่นตัวโรยลงมาเป็นหยดน้ำอย่างไม่ขาดสาย
แต่เขาก็นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น
เขาหันมามองผม ดวงตาอันแสนเศร้าราวกับตุ๊กตาที่ทำจากกระดาษรอการเปื่อยสลายไปกับสายน้ำ
ตรึงผมไว้กับที่และค่อยๆ สลักความรู้สึกบางอย่างลงไปในหัวใจผมทีละน้อย
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เราเจอกันที่นี่เสมอ ริมทะเลสาบใต้ต้นเชอรี่ซึ่งบัดนี้ผลิใบสีเขียวอ่อน
ให้ร่มเงายามแสงแดดส่องมา ทองฟ้าเบื้องบนไม่ใช่เมฆฝนอีกต่อไปแล้ว
ทว่ากลับเป็นประกายแสงสีทองระยิบระยับลอดผ่านช่องว่างเล็กๆ ของหลังคาใบไม้
สายลมอุ่นพัดมาเบาๆ ปรากฏการเคลื่อนไหวเล็กน้อยของภาพสะท้อนในทะเลสาบ
เขามักจะนั่งอยู่ที่นี่ สวมเครื่องแบบของโรงเรียนมัธยมที่อยู่ใกล้ๆ
เรานั่งกันเงียบๆ ไม่ใคร่จะสนทนาอะไร เขามักจะมองไปยังอีกฝั่งหนึ่งเสมอ
ที่นั่นต้นสนสูงใหญ่แผ่กิ่งก้านสีเขียวกลมกลืนกับต้นอื่นๆ โดยรอบ
ต้นสนยืนตระหง่านลำต้นตรง กางแขนเป็นขั้นปกคลุมด้วยใบเล็กๆ ราวกับร่มคันใหญ่
"คุณเชื่อเรื่องนิรันดร์ไหม" จู่ๆ เขาก็ถามผมขึ้นในวันหนึ่ง
"นิรันดร์ไม่มีเกิดไม่มีดับไม่มีเปลี่ยนแปลง"
ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนแย้งไปว่า "ถ้าไม่มีเกิด ก็ย่อมไม่มีดับอยู่แล้ว
แต่ถ้าไม่มีเกิดก็จะไม่มีอะไรเลย แล้วจะเรียกนิรันดร์ได้อย่างไร"
"นั่นสินะ" เขาหัวเราะบ้าง "ถ้าเช่นนั้น ทำไมคำว่านิรันดร์ถึงได้เกิดขึ้นล่ะ
แล้วทำไมมนุษย์ถึงไฝ่หาสิ่งนี้กันนัก"
"ก็คงคล้ายๆ กับคำว่า 'ศูนย์' กระมัง ทั้งที่ไม่มีอะไรเลยตั้งแต่แรก
แต่ก็ต้องการให้มีความไม่มีนั้นมีอยู่ แต่เรื่องไฝ่หาน่ะ คงไม่ใช่ทุกคนหรอก"
"ผมเป็นคนหนึ่งที่ไฝ่หานะ" เขากล่าวดวงตาเป็นประกาย
"อยากมีชีวิตอยู่นานขนาดนั้นเลยหรือ" ผมถามกลับไป
เขาส่ายหัว "ทำไมชีวิตถึงได้สำคัญขนาดนั้นล่ะครับ หลายคนยอมเสียตัวตนเพื่อรักษาชีวิต
ในขณะที่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ยอมเสียชีวิตเพื่อรักษาตัวตน"
"ชีวิตกับตัวตนไม่เหมือนกันหรือไง"
"ไม่เหมือน... คุณรู้จักจอห์น เลนนอนไหม"
"รู้สิ" ผมตอบไปทั้งที่ไม่เข้าใจว่าเกี่ยวกันตรงไหน
เขายิ้มราวกับให้คำตอบ แล้วก็เงียบหันไปมองสนต้นเดิมอีกครั้ง
สนต้นนั้น... มีอะไรอย่างนั้นหรือ เหตุใดจึงติดใจขนาดต้องมานั่งจ้องทุกวันขนาดนั้น
ผมแบกความสงสัยมานานนับตั้งแต่วันที่คบกับเขา จนตอนนี้แม้กระทั่งผมก็พลอยนั่งจ้องสนอีกฝั่งหนึ่งตามเขาไปด้วย
ราวกับติดเป็นนิสัยไปเสียแล้ว
"ถ้าชอบขนาดนั้นล่ะก็ ทำไมคราวหน้าเราไม่ลองนัดเจอกันที่นั่นล่ะ"
ในที่สุดผมก็เอ่ยถามเขาในวันหนึ่ง
"ไม่ได้... พวกเราไม่มีทางไปถึง"
"ทำไมล่ะ"
เขาหันมามองด้วยดวงตาคู่สวย ทว่าเศร้าเหลือเกิน "อยากลองดูหรือเปล่าล่ะครับ"
พูดจบเขาก็ถอดเสื้อผ้าทั้งหมด เดินลุยน้ำลงไปในทะเลสาบ
ผมมองตามเขาไปเรื่อยๆ อย่างไม่เข้าใจ ระดับน้ำก็ค่อยๆ ลึกลงทุกทีอย่างรวดเร็ว
กระทั่งเกือบมิดศีรษะของเขา ทว่าเขายังคงเดินต่อไป ยังไม่ถึงครึ่งทางด้วยซ้ำ
"เฮ้ย...กลับมา..." ผมตะโกนเรียก "จะฆ่าตัวตายหรือไงนะ"
ไม่ได้การ นี่ถ้ายังเดินต่อไปล่ะก็คงไม่มีทางถึงอีกฝั่งแน่ ทำไมเขาจึงไม่ว่ายน้ำ
หรือลอยคอขึ้นมานะ
ผมรีบถอดเสื้อเชิ้ตกับกางเกงออกก่อนกระโดดตามลงไป พยายามดำหาตัวเขาอยู่สองสามครั้งก่อนดึงร่างที่หายใจรวยรินขึ้นมา
ผมตบหน้าเขาเบาๆ เพื่อเรียกสติ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองผมอย่างเลื่อนลอยครู่หนึ่ง
จึงผุดลุกขึ้น
ผมรู้สึกโล่งใจ ตอนนั้นผมนึกว่าจะเสียเขาไปจริงๆ เสียแล้ว แม้ว่ามีอะไรหลายอย่างที่ผมไม่เคยเข้าใจในตัวเขา
แต่ผมก็ไม่เคยคิดสูญเสียสิ่งที่ไม่เข้าใจพวกนั้นไป
สายลมร้อนโชยพัดมา ผิวน้ำที่เคยนิ่งดุจกระจกเงากระเพื่อมเป็นระลอกช้าๆ
แสงแดดส่องให้ประกายสายน้ำระยิบระยับจนแสบตา
ผมกอดเขาแน่น เรากอดกัน ใบของต้นเชอรี่เขียวขจีเต็มที่ราวกับกำลังรออะไรบางอย่าง
กาลเวลา... จะว่าเปลี่ยนแปลงก็เปลี่ยน แต่จะว่าไม่เปลี่ยนแปลงก็ไม่เปลี่ยน
เวลาเป็นสิ่งที่มีอยู่ตลอดเวลาไม่เคยเกิด ไม่เคยหมด ทว่าไม่เคยหยุดนิ่งเช่นกัน
แต่... เราจะมีวันที่ 7 เดือนกรกฏาคม ปี 2002 เวลา 5 นาฬิกา 15 นาที
23 วินาทีได้เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ในขณะที่ทุกคนรับรู้ว่ามีเวลานั้น
แม้จะไม่สามารถย้อนกลับหรือเดินหน้าไปหามันได้ก็ตาม แต่มันมีอยู่จริง
และจะมีอยู่ตลอดกาล
มันคือจูบแรกของพวกเรา... ใต้ต้นเชอรี่ริมทะเลสาบต้นเดิม ในม่านละอองฝน
พวกเราสร้างห้องส่วนตัวที่เปียกชื้น กอดก่ายกันบนต้นหญ้าสีเขียวอ่อนนุ่ม
ร่างกายที่สอดประสานเป็นอันหนึ่งอันเดียว... เพียงแค่เวลาสั้นๆ ทว่าเขาก็ยังไม่ยอมละสายตาไปจากสนต้นนั้น
หลังจากนั้น... เขาก็ไม่ปริปากพูดอะไรอีกเลย นอกจากเรียกชื่อของผม...
ซ้ำไปซ้ำมา ราวกับจะไม่มีวันได้เรียกอีก
วันต่อมา เขายังนั่งอยู่ที่เดิม ท่าเดิม ทว่า... ร่างกายผอมบางนั่นดูบอบช้ำเหลือเกิน
แววตาแสนเศร้าที่เคยฉายอยู่บนดวงตาคู่สวย วันนี้กลับทอประกายแข็งกร้าวราวกับสร้างกำแพงบางอย่างปิดบังอะไรเอาไว้
"เป็นอะไรหรือเปล่า" ผมถามพลางลูบรอยช้ำที่มุมปากของเขา
ตามร่างกายก็ดูเหมือนจะมีรอยฟกช้ำอีกหลายรอย สีหน้าที่อ่อนล้า
"พวกเขารู้หมดแล้ว... เรื่องของพวกเรา" เขาตอบเสียงสั่น
"เมื่อวานมีคนเห็น"
"ขอโทษนะ" ผมลูบหัวปลอบโยน
"ขอโทษทำไมล่ะครับ ผมก็คนบาปเหมือนกัน"
บาปงั้นเหรอ... บาปสินะ... บาปที่ภายนอกนั่นกำหนดไว้...
"พรุ่งนี้... ผมจะรอคุณที่นั่น" เขาชื้ไปยังสนต้นที่เรานั่งมองกันเป็นประจำ
"ทำไมล่ะ"
"ต้นเชอรี่ต้นนี้ พอฤดูใบไม้ผลิ ใบของมันจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล
แล้วร่วงโรยลง แต่ต้นสนต้นนั้นไม่ว่าจะฤดูใดก็ยังเขียวอยู่เสมอ"
รุ่งขึ้นผมไปนั่งรอเขาที่ต้นสนตามสัญญา ทว่า... เขาไม่มา ผมจ้องไปยังอีกฝั่งซึ่งเป็นที่ที่เรานั่งด้วยกันประจำ
ต้นเชอรี่ยังคงเขียวชอุ่ม แต่ก็ไม่มีเขาอยู่ มันก็แปลกอยู่เหมือนกันที่ได้มานั่งมองต้นเชอรี่จากที่ซึ่งเรามองมาอยู่เสมอ
ผมรอเขาจนค่ำ เริ่มหมดความอดทน เดินอ้อมทะเลสาบไปยังที่เก่าของเรา
เขากำลังเล่นตลกอะไรกับผม หรือว่าวันนี้เขามาไม่ได้จริงๆ อย่างไรก็ตามผมกลับรู้สึกว่าเขามาแล้ว...
น่าแปลก ทั้งที่ยังไม่เห็นเขา
ทะเลสาบยามหัวค่ำ รู้สึกวังเวงอย่างไรพิกล แสงริบหรี่ของหิ่งห้อยกระพริบวิบวับอยู่ในเงามืดของต้นไม้
อากาศที่อบอ้าว ทว่าสายลมกลับเย็นสบาย ที่ต้นเชอรี่มีกระดาษเล็กๆ
ติดเอาไว้ด้วยเทปใสใจความว่า "ผมรักคุณจากใต้ร่มเงาของต้นสน"
ผมเงยหน้าพบขาสองข้าง... ร่างของเขาแขวนอยู่บนนั้นแน่นิ่ง ราวกับกลายเป็นส่วนหนึ่งของกิ่งก้านสาขา
เปลือกตาไม่ปิดสนิทนักเห็นแววตาที่มองลงมาทางผมอย่างเศร้าสร้อยราวกับร่างนั้นยังมีลมหายใจอยู่
ฤดูใบไม้ร่วงในปีเดียวกัน ใต้พรมสีแดงของใบเชอรี่ที่ปลิดปลิวลงมาจนเกือบหมดต้น
ร่างของเราสองคนนอนเคียงข้างกันอยู่ที่นั่น แต่ความรักของเราอิงแอบอยู่ใต้ต้นสนย้อนมองกลับมายังอีกฝั่งซึ่งไม่นานจะขาวโพลนด้วยเกล็ดหิมะ
และเมื่ออากาศอุ่นลงก็จะผลิดอกสีชมพูอ่อนเต็มต้น แล้วร่วงโรยตามสายลม
ก่อนที่จะออกใบเขียวขจีเช่นฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมาตราบนิจนิรันดร์