Cherry March

Mad story

ทรมานเหลือเกิน...
ทุกครั้งที่จินตนาการถึงเขาซึ่งอยู่ใต้ชายคาเดียวกับผู้หญิงคนนั้น
ทั้งๆ ที่ผมมาก่อนแท้ๆ แต่เขา กลับเลือกที่จะเดินตามวิถีของจารีตประเพณี
ประเพณีรึ... สิ่งน่าขำ กรอบซึ่งบดบังตัวตนของมนุษย์ล่ะสิไม่ว่า
เราพบกันครั้งแรกตอนอยู่มหาวิทยาลัย
เขาเป็นคนแรกที่ชมภาพเขียนของผม
"วาดเก่งจังเลยนะ... อ๊ะ ขอโทษ จริงๆ แล้วฉันไม่ค่อยมีหัวทางศิลปะซักเท่าไหร่ แต่เห็นเธอนั่งวาดภาพนี้มาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว รู้สึกว่าสวยมากทีเดียว"
"จริงเหรอ รู้มั้ยว่าไม่เคยมีใครพูดอย่างนายมาก่อนเลย ภาพของเราน่ะ ไม่ดีทั้งองค์ประกอบ ทั้งความคิดรวบยอด"
ผมจึงได้รู้ว่าเขาเรียนอยู่ปีเดียวกับผม คณะรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ หลังจากนั้นเราก็คบหากันมาเรื่อยๆ กระทั่งเรียนจบ ไม่สิ ต้องเรียกว่าออกจากมหาวิทยาลัยพร้อมกันมากกว่า เพราะคนที่จบคือเขา ส่วนผมลาออกมาเพราะเกิดความไม่เข้าใจว่าทำไมจึงต้องเรียนให้จบ
หลังจากออกจกรั้วมหาวิทยาลัย เขาก็รับราชการอยู่ที่กระทรวงต่างประเทศ ส่วนผมใช้ชีวิตอยู่ในอพาร์ตเมนต์ผลาญเงินมรดกจากพ่อแม่ไปวันๆ จริงๆ แล้วผมวาดภาพขาย แต่ไม่ค่อยรุ่งซักเท่าไร
"การค้าขายก็แค่เขายื่นเงินมา เรายื่นสินค้าไป" จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมาหลังจากที่เรานอนด้วยกัน
"จะมาเทศน์อะไรตอนนี้ล่ะ เสียอารมณ์หมด"
"ก็ฉันเห็นนายขายภาพไม่ค่อยจะได้เลยนี่นา ถ้าขืนนายไม่ง้อลูกค้าแบบนี้นะ มีหวังอดตายกันพอดี"
"ฉันจะไม่ขายภาพให้คนที่ไม่รู้ค่าของมันหรอกนะ นายรู้มั้ยว่าพวกเศรษฐีที่มาขอซื้อภาพของฉันน่ะ ก็ด้วยเหตุผลแค่ สีมันเข้ากับห้องบ้างล่ะ ดูไม่รู้เรื่องดีดูมีรสนิยมบ้างล่ะ แต่ไม่มีใครคิดเลยว่า กว่าฉันจะวาดมันออกมาได้น่ะ ฉันคิดอะไร ฉันถ่ายทอดอะไร"
"แต่ฉันก็ไม่เคยคิดอย่างนั้นนี่" เขาพูดหน้าขึงขัง
"แต่อย่างน้อยนายก็บอกว่ามันสวย... นายเข้าใจโลกของฉัน"
"ฉันอาจจะไม่เข้าใจเลยก็ได้" เขากอดผมแน่นขึ้น "โลกของนายน่ะ มันคือความอัจฉริยะ ส่วนโลกของฉัน... มันก็แค่สังคมธรรมดา"
"อัจฉริยะงั้นเหรอ" ผมหัวเราะเสียงดัง ทำให้เขาขมวดคิ้วอย่างุนงง "คนที่เรียนไม่จบอย่างฉันเนี่ยเหรอ อัจฉริยะ ฮ่าๆๆๆ" ผมหัวเราะจนแทบจะตกเตียง
ไม่นานเขาก็แต่งงาน ด้วยหน้าที่การงาน เขาจำเป็นต้องแต่งงานกับลูกคุณหญิงคุณนายคนหนึ่ง เขาว่าอย่างนั้น ทั้งๆ ที่เขาดูเป็นเจ้าบ่าวที่มีความสุขที่สุดในโลกขนาดนั้น ทำให้ผมไม่สามารถเข้าไปแสดงความยินดีให้เขาได้ วันนั้นเป็นวันเดียวในชีวิตที่ผมใส่สูท ตัดผมไปอย่างเรียบร้อย แต่ก็ทำได้แค่ยื่นกล่องของขวัญให้กับโต๊ะหน้างาน แล้วเดินกลับบ้านเท่านั้น
ผมหวังว่าของขวัญของผมจะเป็นของขวัญที่ประทับใจคู่สามีภรรยาใหม่จนเขาจะต้องมาเคาะประตูขอบอกขอบใจผมอย่างสุดซึ้งในวันต่อมา
แล้วเขาก็มาจริงๆ...
ผมนั่งวาดรูปอยู่ตลอดทั้งคืนด้วยความตื่นเต้น ระหว่างที่รอเขา แล้วเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
"นายทำอะไรลงไปน่ะ" เขาเดินเข้ามาในห้องโดยไม่มีการทักทาย
ผมยังคงวาดรูปต่อไปอย่างใจเย็นโดยไม่หันไปมอง ทั้งๆ ที่จริงๆแล้วหัวใจแทบจะกระโดดออกมาจากอก
เขาคว้าตัวผมไปอย่างโมโห จับเหวี่ยงลงบนเตียงเต็มแรงโดยไม่สนใจว่าผมกำลังถือพู่กันที่เลอะสีอยู่ในมือ เขากดตัวผมราวกับจะให้จมหายไปอยู่ในเตียง
เราจ้องตากันอยู่พักใหญ่
แต่แล้วก็ต้องหัวเราะออกมาทั้งคู่
"นายรู้มั้ย ยัยนั่นกรี๊ดลั่นบ้านเลยพอแกะห่อของขวัญดู"
"แล้วนายทำไงต่อล่ะ"
"ฉันก็อุดหูดูอยู่ห่างๆ ซัก 5 นาทีได้ ซักพักคนใช้ก็กรูกันมาเคาะประตูห้อง ฉันถึงได้ต้องเข้าไปปลอบ ยัยนั่นเกือบเอาผมนายไปทิ้งแล้วรู้มั้ย"
ผมเบิกตากว้าง "จะบ้าหรือไง นั่นน่ะมันของล้ำค่าเชียวนะ กว่าจะยาวได้ขนาดนั้นน่ะ"
"เพราะงั้น ฉันก็เลยยึดไว้ก่อน บอกเขาไปว่า อาจเป็นใครมาเล่นไสยศาสตร์ ทิ้งสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ แต่จริงๆ ก็เก็บเอาไว้ในตู้เสื้อผ้านั่นแหละ" พูดจบพวกเราก็หัวเราะชอบใจกันอีก
"ว้า... ผมของฉันกลายเป็นคุณไสยไปซะแล้วเหรอเนี่ย"
จู่ๆ เขาก็จ้องหน้าผมนิ่ง ก่อนที่จะเอามือไล้แก้มเบาๆ จนผมขนลุกไปหมด
"เสียดายออก... ผมนายออกจะสวยขนาดนั้น"
"ฉันไว้เพื่อนาย ถึงได้ตัดให้เป็นของขวัญยังไงล่ะ พอนายไปอยู่กับผู้หญิงคนนั้นแล้ว นายคงไม่ได้ชื่นชมมันอีก ฉันก็เลย..."
เขาก้มลงจูบเส้นผมที่สั้นกุดของผม ก่อนที่จะไล้เลยมาถึงใบหน้า ริมฝีปาก และซอกคอ ผมพอจะเดาได้ว่ายังไงวันนี้เขาก็คงไม่ได้ออกจากบ้านผมไปง่ายๆ แน่
ผมปล่อยให้ผมยาวมาตั้งแต่จบม.ปลาย ตอนเข้าปี 1 ใหม่ๆ หัวผมกระเซอะกระเซิง เพราะไม่ยอมทั้งสระทั้งหวี มันน่ารำคาญออก ทำไมคนเราจะต้องมาเรื่องมากกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างนี้ด้วยนะ เสื้อผ้า ทรงผม มันทำให้จิตใจของคนประเสริฐขึ้นได้งั้นหรือ มีแต่จะทำให้ยิ่งเหยียบย่ำกันเสียมากกว่า และที่ทำให้ผมต้องกำพร้าตั้งแต่เด็กๆ ก็เพราะเสื้อผ้าทรงผม กับสังคมที่เริ่ดหรูนั่นแหละ
อย่างไรก็ตาม ผมก็เริ่มเอาใจใส่กับผมตัวเองมากขึ้นตั้งแต่คบกับเขา
เขาชอบผมยาวตรงและสุขภาพดี เขาบอกว่ามันรู้สึกดีเมื่อได้สัมผัส และเขาก็เป็นคนแรกที่สัมผัสมันอย่างอ่อนโยน เรื่องบนเตียงระหว่างเราแทบจะไม่ต้องพูดกันเลยแม้แต่น้อย เพราะเขามักจะเริ่มต้นจากการหวีผมแทบทุกเส้นของผมก่อนเสมอ เขาบอกผมเสมอว่า ผมจะเป็นคนแรก คนเดียว และคนสุดท้าย ที่จะหวีผมให้ หลังจากนั้นแม้ผมจะแต่งตัวโทรมขนาดไหนแต่เรื่องเส้นผมจะต้องสะอาดและสุขภาพดีไว้ก่อน น่าขำที่จู่ๆ เส้นผมก็กลายเป็นเรื่องสำคัญของผู้ชายอย่างผมไป
อย่างไรก็ตาม ถ้าเพื่อความสุขของเขาแล้ว ผมยอมทิ้งทุกสิ่งที่สำคัญไปได้หมด ดังนั้นผมจึงตัดผมให้เขา
วันนั้นเรานอนด้วยกันจนถึงค่ำ นี่คงเป็นวันสุดท้ายของพวกเรา
เขาสวมเสื้อผ้าเดินออกจากห้องไปโดยไม่ร่ำลาทั้งๆ ที่ผมยังนอนอยู่บนเตียง... เหมือนเช่นทุกๆ ครั้ง
... เขารักผมบ้างรึเปล่านะ...
แต่ผมรักเขาจนหมดหัวใจ
หลังจากนั้นเขาก็ยังคงวนเวียนมาซื้อภาพเขียนของผม จริงๆ แล้วผมรู้ว่าเขาซื้อไปติดที่บ้านเหมือนกับพวกเศรษฐีทั่วไป แต่เพราะเป็นเขา ผมจึงยอมขายให้ อันที่จริงเขาอาจจะคิดว่ากลัวผมอดตายเสียมากกว่า
ภาพของผม... ไม่มีความสมดุลย์ขององค์ประกอบใดๆ ทั้งนั้น เพราะองค์ประกอบพวกนั้นสามารถทำให้คนเป็นคนได้งั้นหรือ บางภาพก็ไม่มีความคิด เพราะความคิดนั่นจะมีประโยชน์อะไรถ้าไม่มีคนพยายามจะเข้าใจมัน บางภาพไม่มีอารมณ์ เพราะอารมณ์ไม่ใช่สิ่งที่จะตัดสินความเป็นตัวตนของใครได้
หลังจากเขาแต่งงานไปได้ 2 ปีมานี่ ผมวาดภาพโดยไม่รู้ว่า ทำไปเพื่ออะไร ตัวเองกำลังค้นหาอะไร ความหมายของชีวิตงั้นรึ... น่าขำสิ้นดี ของแบบนั้นน่ะ มีด้วยหรือไง หากมองรอบๆ ตัวแล้วผมช่างเป็นมนุษย์ที่ไม่มีอะไรเอาเสียเลย หรือจะเรียกตามภาษาทั่วไปก็คือ ไม่เอาถ่าน หัวไม่ดี ไม่มีทั้งเพื่อน ไม่มีทั้งญาติพี่น้อง ไหนจะเพิ่งเสียคนรักไป ไม่มีหน้าที่การงาน หรือถึงมีก็ไม่มีใครยอมรับ และนอกจากการวาดรูปแล้ว ผมก็ไม่มีอะไรอื่นที่สนใจอีกด้วย ยิ่งกว่านั้น แม้กระทั่งสัญชาตญาณในการดำรงเผ่าพันธุ์ที่สัตว์โลกควรจะมีก็ไม่มีในตัวผมอีกด้วย
หลังจากเขาจากไป ผมทำตัวเหลวแหลก เสพยาเพียงเพื่อจะให้ได้ผลงาน ฮึ... ผลงานที่เพียงแค่ไม่มีสติไม่ว่าใครก็ทำได้... ผลงานที่น่าดูถูกเหลือเกิน ผมนอนกับผู้ชายไปทั่วเพียงแค่อยากค้นพบใครซักคนที่ดีกว่าเขา แต่ในที่สุดก็เข้าใจว่าไม่มีครั้งไหนที่จะมีความสุขเท่ากับการได้อยู่กับคนที่เรารัก ผู้ชายพวกนั้น... อาจจะเก่ง แต่คุณรู้มั้ยว่า ความเก่งของเขาไม่ได้ครึ่งหนึ่งของความสุขเพียงแค่ผมได้เห็นหน้าเขาเลย
เขารู้... ทุกเรื่องของผม เขายังคงเอาใจใส่ผมเช่นเคย แต่ในฐานะเพื่อนเก่า และผมก็รู้ว่าเขาก็ทรมานไม่น้อยที่ผมเป็นอย่างนี้
ไม่นานเขาก็มีลูก... ลูกสาวแสนน่ารัก
ผมทันทีที่ผมรู้ข่าวนี้ ผมแทบบ้า ผมอดไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงตอนที่เขากกกอดกับแม่นั่น เขาจะหวีผมยาวสลวยของเจ้าสาวของเขารึเปล่า อีกหน่อยพอลูกเขาโต เขาก็คงหวีผมเส้นเล็กๆ อันอ่อนนุ่มของลูกสาวด้วยความเอ็นดูสินะ
โลกของเรา... ซ้อนทับกันตรงไหน
ผมสับสนแทบบ้า ทุกครั้งที่มองเขาทำตัวเป็นพ่อที่ดีของลูก สามีที่ดีของภรรยา เขายิ้มร่าเริงเหมือนกับเมื่อครั้งงานแต่งงานของเขาไม่ผิดเพี้ยน
และปีหน้า... เขากำลังจะย้ายไปทำงานที่ต่างประเทศ
ใช่แล้ว... ผมก็กำลังจะไปเช่นกัน... ไปสู่โลกของผม
อย่างน้อยผมควรจะส่งของขวัญไปให้เขา ... สิ่งที่มีค่าของผม
ผมหวังว่าเมื่อเขาเปิดกล่องขึ้นมา เขาจะเข้าใจว่า สำหรับผม พรสวรรค์กับความวิกลจริตมันห่างกับเพียงนิ้วก้อยข้างขวาของผมเท่านั้น...

แนะนำติชมได้ที่บอร์ดนิยายนะคะ...................
1