กาลครั้งหนึ่ง ในดินแดนแห่งกาลเวลา
ฉันได้พบเด็กสาวคนหนึ่ง ใบหน้าอิ่มใส ผิวพรรณขาวนวลผุดผ่องเป็นยองใย อยู่ในเครื่องแต่งกายไทยโบราณ
สไบสีเหลืองอ่อนปักดิ้นทอง ที่อกทับด้วยสังวาลย์ประดับบุศราคัมน้ำงามส่องประกายแพรวพราว
ท่อนล่างเป็นผ่าไหมสีขาวนวลทอลายวิจิตรด้วยไหมสีเหลือบรุ้ง เอวเล็กๆ ของนางโอบรัดด้วยเข็มขัดสีทองเข้ากับสังวาลย์
บนเศียรมีรัดเกล้ากับชฏาประดับไว้อย่างงดงาม เพียงแรกเห็นก็รู้ได้ทันทีว่า หล่อนต้องเป็นสาวสูงศักดิ์
มิใช่สาวน้อยธรรมดา
หล่อนมองฉัน แล้วคลี่รอยยิ้มอย่างเป็นมิตร
"ฟื้นแล้วหรือ เจ้ากลอย" สุรเสียงกังวานดุจระฆังแก้วเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน
"คุณเป็นใคร รู้จักหนูได้ยังไง" ฉันถามออกไปอย่างงงงัน
จำได้ว่าก่อนหน้านี้เพิ่งจะฟังพี่กรองอธิบายเรื่องสุริยุปราคาให้ฟัง หลังจากนั้นก็...
"เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราเป็นใคร เรามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร พอตื่นขึ้นมาเราก็เห็นเจ้า
แต่น่าแปลกนัก ที่เรากลับรู้จักชื่อของเจ้า" ใบหน้าอันอ่อนเยาว์ดูสลดลงในทันที
"เราเพียงแต่หวังว่าบางทีเจ้าอาจจะรู้จักเรา"
จริงสิ... บางทีฉันอาจจะรู้จักหล่อน มีบางอย่างในตัวหล่อนที่ทำให้ฉันคิดว่าฉันเคยเห็นหล่อนอยู่เป็นประจำ
เพียงแต่ฉันไม่อาจนึกให้ออกได้ในตอนนี้
เด็กสาวคนนี้แม้จะเป็นคนรูปร่างเล็กบาง อรชรอ้อนแอ้น ดูน่าถนอม ดวงหน้าใสดูอ่อนวัยก็ตาม
แต่มีบางอย่างที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าเธอมีอายุมากกว่าฉันอยู่หลายปี
น่าแปลก ที่ฉันกลับไม่รู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้แปลกหน้าต่อฉัน ห้องนี้เหมือนกับห้องนอนที่ปกคลุมด้วยแสงสลัวๆ
จนไม่สามารถประเมินความกว้างของห้องได้
ฉันเดินตามเด็กสาวที่กำลังเดินออกจากห้องไป
"จะไปไหนเหรอคะ"
"ไม่รู้สิ รู้แต่ว่าฉันต้องออกไปอีกแล้ว" หล่อนตอบโดยไม่หันมามองฉัน
อีกแล้วอย่างนั้นหรือ... แสดงว่าหล่อนต้องเคยไปที่นั่นมาแล้ว แล้วทำไมจึงไม่รู้ล่ะ
ว่าไปที่ไหน
จู่ๆ หล่อนก็หยุดเดินเสียดื้อๆ จนฉันเกือบจะชนหลังหล่อนเพราะไม่ทันตั้งตัว
"มีอะไรงั้นงั้นเหรอ"
"ชู่.
" เสียงเตือนให้ฉันเงียบ
ทันใดนั้น ก็ปรากฏร่างหนึ่งตรงหน้าเรา เป็นแผ่นหลังของชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ร่างนั้นสว่างไสวดุจห่อหุ้มกายด้วยเปลวไฟอันร้อนแรง
ฉันหรี่ตาลงอย่างทนต่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ ทว่าเด็กสาวกลับมองไฟอันเจิดจรัสได้อย่างไม่สะทกสะท้าน
ไม่นานร่างสูงใหญ่นั้นก็พลันจากไป
"ทุกครั้งที่เราออกมา มักจะเจอท่านผู้นั้นเสมอ"
"เขาเป็นใคร" ฉันถามด้วยความอยากรู้
ทว่าหล่อนกลับส่ายหน้า "เราเองก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าทุกครั้ง สิ่งที่เราเห็นก็คือแผ่นหลังนั้น
ไม่ว่าเราจะมาเร็วเท่าไหร่ เราก็ไม่เคยได้เห็นใบหน้าท่านผู้นั้นเลยสักครั้ง"
สายตาของหล่อนในขณะนี้ มองปราดเดียวก็รู้ว่ากำลังอยู่ในห้วงแห่งรัก
"มาสิ" หล่อนยื่นมือมาหาฉัน "เราจะพาเจ้าไปดูบางสิ่งที่เราต้องเห็นทุกวัน"
ฉันวางมือลงบนมืออันอ่อนนุ่มของหล่อน เพียงไม่กี่อึดใจ พวกเราก็เดินอยู่บนท้องฟ้าอันมืดมิด
"เหวอ" ฉันหน้าซีดตกใจ เมื่อมองลงไปด้านล่าง
หล่อนหัวเราะเบาๆ ด้วยความเอ็นดู ก่อนที่จะดึงฉันผ่านเมฆหมอกดิ่งลงไปยังข้างล่าง
ฉันหลับตาปี๋ รู้สึกเสียวไส้ จะหมดสติเสียให้ได้ หากหล่อนเป็นนางฟ้าล่ะก็ คงเป็นนางฟ้าที่ซนที่สุดบนสวรรค์เป็นแน่
"กรี๊ด~~~"
ฉันได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ หลังจากที่รู้สึกเหมือนทุกอย่างหยุดลง
"เจ้ากลัวเหรอ" หล่อนถามทั้งทียังไม่หยุดเสียงหัวเราะ "สนุกออก"
ฉันลืมตาขึ้นช้าๆ รู้สึกมือชุ่มไปด้วยเหงื่อ สนุกมันก็สนุกอยู่หรอกเมื่อคิดย้อนกลับไปแล้ว
แต่เมื่อครู่ เหมือนกับจะขาดใจตายเสียให้ได้
ตรงหน้าฉันตอนนี้คือกรอบหน้าต่างที่คุ้นเคย ฉันมองฝ่าความมืดเข้าไปข้างใน ปรากฏร่างของพ่อกับแม่กำลังหลับไหลอยู่
"นั่นมันพ่อกับแม่นี่นา" ฉันโพล่งออกมาด้วยความตื่นเต้น
"เจ้าจำพ่อกับแม่ได้ด้วยเหรอ" หล่อนถามฉัน
"แน่นอน ไม่มีใครจำพ่อกับแม่ตัวเองไม่ได้หรอก" ฉันตอบไปโดยไม่ได้คิดอะไร
ทว่าสีหน้าหล่อนกลับดูหมองลง
"ก็เรานี่ไง เราจำอะไรไม่ได้เลย เราจำตัวเราไม่ได้ เราไม่รู้ว่าพ่อกับแม่เราเป็นใคร"
ฉันรู้สึกเสียใจที่ทำให้หล่อนรู้สึกเศร้า
"หนูก็ไม่รู้ว่าจะช่วยคุณได้ยังไง หนูขอโทษจริงๆ ค่ะ"
"ได้สิ แค่เจ้าช่วยนึกให้เราหน่อยได้มั้ย ว่าเราเป็นใคร การที่เจ้ามาอยู่ใกล้ๆ
เรา เราเชื่อว่าเพราะการนี้"
ฉันอึกอัก แต่ก็รับปากไปอย่างเสียไม่ได้ ฉันไม่อยากให้เด็กสาวตรงหน้าฉันตอนนี้รู้สึกแย่เลย
"ถ้าเช่นนั้น" เธอแย้มยิ้มอย่างพอใจ "เธอก็ยังกลับบ้านของเธอไม่ได้
จนกว่าเธอจะนึกชื่อของฉันออก"
ฉันทำตาโตด้วยความประหลาดใจในคำพูดที่ฟังดูเอาแต่ใจของสาวสวยตรงหน้า ทว่าไม่ทันได้ตั้งตัวฉันก็ถูกพาให้ลอยห่างจากบ้านของฉันด้วยความเร็วสูงเหมือนกับตอนที่มา
ไม่จริง... นี่ฉันถูกนางฟ้าลักพาตัวหรือนี่ หนำซ้ำยังต้องนึกอะไรที่ไม่รู้ว่าจะนึกออกเมื่อไหร่ด้วย
...พ่อจ๋า แม่จ๋า พี่กรอง... ใครก็ได้ช่วยหนูที
ฉันอยู่กับนางฟ้าองค์นี้มาได้ระยะหนึ่งแล้ว จะว่าไปก็จัดว่าเป็นการลักพาตัวที่ไม่เลวทีเดียว
เพราะทุกคืนหล่อนจะพาฉันบินไปดูสิ่งแปลกใหม่มากมาย บางทีก็น่าเบื่อด้วยความเงียบสงบและการหลับไหล
ทว่าบางที่ก็น่าตื่นตาตื่นใจไปกับแสงสี เพียงแต่ว่าฉันทำได้เพียงแค่ดูอยู่ห่างๆ
เท่านั้น
"หนูไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย" ฉันมองไปยังต้นเสียงของความอึกทึกเบื้องล่าง
หญิงสาวและชายหนุ่มกำลังโยกย้ายไปกับเสียงดนตรี
"นั่นเป็นเพราะ เวลากลางคืนเป็นเวลานอนของเด็กน่ะสิ" หล่อนตอบยิ้มๆ "ไปกันเถอะ
ที่นี่ไม่ใช่ว่าจะดีนัก เราไม่อยกให้เจ้าเห็นด้านเสื่อมของยามวิกาล เพราะยามวิกาลเป็นมิตรแท้ของเรา"
นอกจากนี้ทุกครั้งที่นางฟ้าออกมาจากห้อง จะต้องพบแผ่นหลังอันเจิดจ้านั้นทุกครั้ง
ฉันค่อนข้างแน่ใจว่าหล่อนกำลังตกหลุมรักเจ้าของแผ่นหลังนั้นเป็นแน่ ยิ่งกว่านั้น
ด้วยความที่ฉันมักจะเดินตามหล่อนเสมอเวลากลับมายังห้อง ฉันจึงได้รู้ว่า เจ้าของแผ่นหลังที่นางฟ้าหลงไหลตนนั้น
แท้จริงแล้วก็แอบมองตามชายสไบของหล่อนเหมือนกัน
เอ... แบบนี้ก็แสดงว่า ต่างคนก็ต่างหลงรักกันทั้งคู่น่ะสิ
เมื่อสรุปได้ดังนั้น ฉันก็รีบเล่าให้หล่อนฟังในทันที
"จริงหรือ" หล่อนถามด้วน้ำเสียงตื่นเต้น ดวงตาเป็นประกาย
"จริงสิคะ ในเมื่อต่างก็รักกันอย่างงี้ ทำไมคุณไม่ลองเข้าไปคุยกับเขาดูล่ะคะ"
ฉันเสนอความคิด
"ไม่ได้หรอก... เรายังไม่แน่ใจว่าท่านผู้นั้นจะคิดอย่างไรกับเรา"
"ถ้างั้นก็ต้องลองไปทำความรู้จักกันก่อน หนูว่าเขาก็คงจะดีใจเหมือนกันที่คุณเข้าไปชวนคุย"
"แต่..."
"อย่ามาแต่เลยค่ะ ลุยเลยนะคะ เผื่อเขาจะรู้ว่าคุณเป็นใครไงล่ะ"
ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงตกลงกันว่าจะให้นางฟ้าหันไปทักเขาในราตรีต่อมา
และแล้วเวลานั้นก็มาถึง ขณะที่นางฟ้าและฉันกำลังเดินกลับ
ฉันก็รู้สึกว่าเบื้องหลังมีไอร้อนระอุเช่นทุกที ...นั่นไงล่ะ เขามาแล้ว...
ฉันสะกิดหลังนางฟ้าเบาๆ เป็นการให้สัญญาณ ทว่าน่งฟ้ากลับไม่มีท่าทีจะหันกลับมาแต่อย่างใด
เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ? ก็ตกลงกันไว้แล้วนี่
จนกระทั่งร่างอันโชติช่วงผ่านเลยไป ฉันหันไปหาหล่อนอย่างแสนเสียดาย
"ทำไมคุณไม่หันกลับมาล่ะคะ ดูสิ เขาไปอีกแล้ว"
"ก็เราอายนี่ เจ้าจะให้เราซึ่งเป็นผู้หญิงเข้าไปทักก่อนน่ะหรือ" หล่อนแก้ตัว
"ไม่รู้ล่ะ เข้าไปทักเขาเถอะนะ เมื่อกี้หนูเห็นเขามองคุณอย่างเสียดายด้วยล่ะ"
ฉันดึงข้อมือบอบบางของหล่อนให้ออกมาข้างนอกอีกครั้ง
"แต่..."
ฉันไม่ฟังเสียง ลากร่างระหงของหล่อนตามรัศมีเจิดจ้าไปติดๆ เมื่อเข้าใกล้ได้ระยะ
ก็ผลักหล่อนออกไปเผชิญหน้าร่างสูงใหญ่ข้างหน้า
ร่างสว่างไสวมองหล่อนอย่างฉงน
"เอ่อ.
" นางฟ้าองค์น้อยอึกอักด้วยความอาย ทว่ายังไม่ทันที่จะได้กล่าวอะไร
ท้องฟ้าก็มืดลงในทันใด
"เจ้าบังอาจทำให้กลางวันซ้อนทับกับกลางคืน" สุรเสียงทรงอำนาจที่เพิ่งเคยได้ยินจากร่างอันสูงใหญ่นั้นเป็นครั้งแรก
กังวานไปทั่วฟ้า
ฉับพลันฉันจึงนึกออกในทันใดว่า นางฟ้าองค์นี้เป็นใคร...
"พระจันทร์ ใช่แล้ว คุณคือพระจันทร์..." ฉันตะโกนออกไป
เรื่องราวที่พ่อกับแม่เล่าให้ฉันฟังเมื่อครั้งยังเด็ก
ก่อนที่พี่กรองจะเล่าความเป็นมาของสุริยุปราคาให้ฉันฟังเมื่อไม่นาน
ตำนานความรักของพระจันทร์และพระอาทิตย์...
พระจันทร์และพระอาทิตย์ เดิมทีนั้นเป็นพี่น้องกัน แม้จะรักกันมากมายสักเพียงไหน
ก็ไม่อาจจะอยู่เป็นคู่กันได้ ด้วยทั้งคู่มีสิริโฉมงดงามกว่าใครในสวรรค์ จึงได้มีกฎให้พระอาทิตย์ปรากฏตัวในเวลาตรงข้ามกับพระจันทร์
ทำให้ไม่สามารถเจอหน้ากันได้ จนกระทั่งวันหนึ่ง สิ่งที่สวรรค์กังวลก็เป็นความจริง
ทั้งคู่ได้ฟังกิตติศัพท์ความงาม และเกิดหลงรักซึ่งกันและกัน พระจันทร์ซึ่งเกิดเป็นหญิง
มีความอ่อนไหวทางอารมณ์มากกว่า จึงตัดสินใจออกมาเจอกับพระอาทิตย์ผู้เป็นเชษฐาในเวลาหนึ่ง
แต่นั่นกลับทำให้โลกต้องมืดมิดไปชั่วขณะ และเกิดความโกลาหลเพราะความหวาดกลัวของผู้คนที่อยู่บนโลก
สวรรค์จึงลงโทษให้พระจันทร์ซึ่งเป็นผู้ก่อเหตุ สูญเสียความทรงจำเกี่ยวกับตัวเอง
เพื่อเป็นการไถ่บาปต่อความรักต้องห้ามนั้น พระจันทร์ต้องถูกกักบริเวณทุกๆ คืนเดือนมืด
และออกมาฉายแสงอันอ่อนโยนในคืนเดือนหงาย
นั่นเป็นสิ่งที่ฉันนึกขึ้นได้ก่อนลืมตาตื่น ป่านนี้พระจันทร์คงจะโดนลงโทษให้สูญเสียความทรงจำเพราะฉันเป็นต้นเหตุแล้วสินะ
"เป็นอะไรไปกลอย เหงื่อแตกพลั่กๆ เชียว" เสียงพี่กรองดังอยู่ข้างหู "เด็กคนนี้
จู่ๆ ก็ล้มไปเฉยเลย เลยอดดูสุริยุปราคาเลย"
ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้พ่อกับแม่พาพวกเรามาดูสุริยุปราคา แต่เพราะคนเยอะ ฉันก็เลยเป็นลมไปเพราะหายใจไม่ออก
"ไม่เป็นไรหรอกค่า เพราะหนูไปเจอต้นเหตุของสุริยุปราคาตัวจริงมา"
"พูดจาเหลวไหลใหญ่แล้ว รู้รึเปล่า พี่เลยพลอยอดดูไปด้วยเพราะมัวแต่มานั่งพยาบาลเราเนี่ยแหละ"
พี่กรองทำเสียงหงุดหงิดใส่
"น่านะ ดีกันนะ ไว้คราวหน้าก็ได้ไง"
"กว่าจะถึงคราวหน้าพี่ได้แก่ตายไปซะก่อนน่ะสิยะ" พี่กรองเขกหน้าผากฉันเบาๆ
อย่างหมั่นไส้ แล้วเราสองคนก็หัวเราะพร้อมๆ กัน
"ไม่เป็นไร ดูเองก็เสียสายตา เอาเป็นว่า เดี๋ยวเราไปดูอีกทีทางทีวีก็แล้วกัน"
พี่กรองพูดน้ำเสียงเจือความเสียดายอยู่นิดๆ จริงสิ จะว่าไปหน้าพี่กรองเนี่ย ก็คล้ายๆ
นางฟ้าที่ชื่อพระจันทร์เหมือนกันแฮะ!
จบ