Replication
เสียงคลื่น.... กลิ่นอายของทะเล...
ผมลืมตาขึ้น ท้องฟ้าเบื้องบนเป็นสีฟ้าใส ปุยเมฆสีขาวขนาดใหญ่เคลื่อนไปช้าๆ
ราวกับจะลอยลงมาให้คว้าได้
ที่นี่... ที่ไหน...
แขนผมกระตุกเบาๆ ราวกับจะเรียกร้องความสนใจ ผมขยับนิ้วช้าๆ ...เม็ดทรายเนียนละเอียด...
เกลียวคลื่นที่กระทบร่างกาย ซัดเอาน้ำทะเลเย็นเฉียบขึ้นมาถึงเอว
ทว่าร่างกายส่วนล่างกลับไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นที่เสียดผิวเนื้อแม้แต่น้อย
ราวกับขาทั้งสองข้างได้หายไปเสียแล้ว... หรือไม่มีอยู่แล้วตั้งแต่ต้น
หัวหนักอึ้งราวกับหลับลึกมาหลายสิบปี แสงอาทิตย์เบื้องบนค่อยๆ เจิดจ้าจนดวงตาผมไม่อาจทานทนได้
ผมหรี่ตาลง รู้สึกถึงร่มเงาที่เคลื่อนทับบนใบหน้า
"ไม่เป็นไรนะ" น้ำเสียงอ่อนโยน ดวงตาราวกับท้องฟ้าเบื้องบนที่สะท้อนแสงระยิบระยับของเม็ดทราย
เขายกร่างของผมขึ้นจากน้ำ เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นขอบฟ้าสีครามจรดผิวน้ำสีฟ้าใส
พื้นทรายที่สัมผัสเมื่อครู่ขาวเนียนพอๆ กับความนุ่มที่ได้สัมผัสเมื่อครู่
เขาพาผมเดินไปเรื่อยๆ ตามชายหาดที่ทอดยาว ไปจนสุดสายตา ฟองคลื่นสีขาวที่เคลื่อนเข้ามาใกล้
แล้วค่อยๆ จางหายไป
เข้ามาใกล้... จางหายไป
เข้ามาใกล้... จางหายไป
ซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดทางที่ผ่านมา
กระทั่งเขามาหยุดหน้าบ้านหลังเล็กๆ สีขาว ลอยเด่นตัดกับเนินเขาด้านหลังซึ่งเต็มไปด้วยพุ่มไม้สีเขียว
บนหลังคาเต็มไปด้วยเถาวัลย์เลื้อยพาดปกคลุมทอดปลายระย้าลงมาราวกับม่าน
เขาพาผมเดินเข้าไปข้างใน ผนังสีขาว... เสียงเดินบนพื้นไม้ดังเอียดอาด
ช่างคุ้นหูอย่างบอกไม่ถูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของกาแฟที่ลอยมาจากที่ไหนซักแห่ง
ความรู้สึกราวกับมีเงาบางๆ เข้ามาซ้อนทับทุกครั้งที่ผ่านประตูที่มีม่านเปลือกหอยประดับอยู่
ทุกครั้งที่มองเครื่องเรือนที่รายล้อม
เขาเปิดประตูห้องๆ หนึ่ง ความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างวาบเข้ามาในสมอง
กลางห้องนั้นมีเตียงซึ่งคลุมด้วยมุ้งสีขาววางเด่นอยู่ กลิ่นบางอย่างที่คุ้นเคยเหลือเกิน
กลิ่นที่ทำให้รู้สึกมึนชาไปหมดทั้งตัว
เขาวางผมลงบนเตียง
"นึกอะไรออกงั้นเหรอ"
นึก... ผมมองไปรอบๆ ห้อง ประตู หน้าต่าง โต๊ะ ตู้... ทุกอย่างดูคุ้นตาเหลือเกิน
"ผมเคยอยู่ห้องนี้"
เขาหัวเราะเบาๆ "จริงสิ เมื่อคืนคุณนอนที่นี่ แล้วคุณก็หายไปตอนเช้า
ผมออกไปตามหาจนเหนื่อย กลัวคุณจะเป็นอะไรไปอีก"
เมื่อคืนงั้นเหรอ... จริงสิ ผมนึกออกแล้ว เมื่อคืน... มันมืดมาก
ผมพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ที่นี่ จากนั้น ผมก็เดินออกไป... ออกไปไหน...
"คุณนึกอะไรออกงั้นเหรอ ถึงได้เดินออกไป" เขาลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ
เตียง
นึกออก... หมายความว่ายังไง
ผมหลับตานึกย้อนหลัง "ผม... ได้ยินเสียงคลื่น... มันมืดมาก
ผมกำลังเดิน... เดินบนพรมสีขาว... ประตูเปลือกหอย... แล้วก็ห้องห้องนี้...
ผมนอนอยู่บนเตียง... หลังจากนั้นก็...."
โอย... ปวดหัวเหลือเกิน ผมนิ่วหน้า รู้สึกว่ามีมือใหญ่เข้ามาลูบหน้าผากเบาๆ
ผมสะดุ้งถอยตัวออกห่าง
เขายิ้มอ่อนโยนให้ "ผมชื่ออลัน... เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้"
ผมจ้องหน้าเขานิ่ง "อลัน?"
"ผมชื่อ... " ผมนิ่งคิด ไม่จริง... สมองขาวโพลนไปหมด
เขาจ้องหน้าผม คิ้วขมวดราวกับกำลังช่วยคิด
ไม่จริง... ผมนึกอะไรไม่ออกเลย ความทรงจำของผมมีแค่ตั้งแต่เมื่อคืนนี้เองงั้นหรือ...
"ไม่...." ผมกรีดร้องเสียงดัง เขาคว้าไหล่ผมบีบแน่นจนผมเจ็บไปหมด
ผมไม่สนใจดิ้นพล่านราวกับคนบ้า... ผมบ้าไปแล้ว นี่มันเกิดอะไรขึ้น
ผมเป็นใคร อยู่ที่ไหน แล้วทำไมถึงได้เป็นแบบนี้
ผมตะโกนไม่เป็นภาษาอย่างบ้าคลั่ง เขากอดผมไว้แน่น
"ไม่เป็นไร... ไม่เป็นไร" เขากระซิบเบาๆ ที่ข้างหู กระทั่งผมเหนื่อยหมดเรี่ยวแรง
"ผม... จำอะไรไม่ได้เลย" ผมสั่นไปทั้งตัว ความรู้สึกบางอย่างค่อยๆ
เข้ามาเกาะในใจอย่างแน่นหนาราวกับสนิมที่ขัดไม่ออก เคว้งคว้างราวกับช่องว่างระหว่างผืนน้ำและผืนฟ้า
ราวกับเสียงร้องเหงาๆ ของนกนางนวล ราวกับสายลมอันเหน็บหนาวที่พัดผ่านหน้าต่างเข้ามา
"ไม่เป็นไร... ไม่ต้องฝืน... ไม่เป็นไร" เขายังคงพร่ำกระซิบอยู่ข้างหู
เสียงนั้นฟังดูหนักแน่นและชัดเจนยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด เมื่อมองดวงตาที่แสนจะอบอุ่นของเขา
ผมก็รู้สึกสงบลงได้อย่างประหลาด
"ขาไม่เป็นไรใช่มั้ย" เขาเปลี่ยนเรื่อง
ผมมองขาตัวเอง แล้วพยักหน้า กางเกงยีนส์ที่ชุ่มน้ำทะเลทำให้ผ้าปูที่นอนพลอยเปียกไปด้วย
เขาลุกไปหยิบเสื้อออกมาจากตู้ แล้วยื่นให้ผม
"อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อซะก่อน เดี๋ยวจะเป็นปอดบวม"
ผมเดินเข้าห้องน้ำ ผ่านกระจกที่อ่างล้างมือ ทำให้ผมสะดุ้งสุดตัวราวกับมีใครอีกคนอยู่ในกระจก
แต่แล้วจึงได้รู้ว่านั่นเป็นภาพสะท้อนของตัวเอง หน้าตาผมเป็นแบบนี้เองหรอกหรือ
ผมสีน้ำตาลยาวปรกหน้ารูปไข่ ตาสีน้ำตาลอ่อน ที่แก้มมีรอยกระจางๆ
อยู่เล็กน้อย ผมลูบหน้าตัวเอง แล้วลูบหน้าบนกระจก ก่อนจะลงมือถอดเสื้อผ้า
ผมแช่น้ำร้อน ในห้องอาบน้ำ รู้สึกสบายตัวขึ้นเยอะ หัวก็โล่งขึ้นด้วย...
ไม่สิ จริงๆ มันโล่งอยู่แล้วต่างหาก... ความทรงจำของผม
คนที่ชื่อลันเป็นใครกันนะ ผมจำไม่ได้ว่าเคยเจอเขามาก่อน เขาคงไม่ใช่คนรู้จักของผมหรอกนะ...
หรือว่าใช่
ที่นี่คือบ้านของเขา เขาให้ผมเข้ามาอยู่อย่างสบายแบบนี้ คงไม่ได้มีเจตนาร้ายสินะ
ผมพยายามคิดอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย ทว่าดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์
ผมไม่รู้อะไรเลย
ผมมองมือตัวเอง ปลายนิ้วเริ่มซีด จนมองไม่เห็นเส้นลายนิ้วมือ
คงต้องขึ้นจากน้ำเสียที...
เขากำลังทำอาหารอยู่ในครัว
"สบายขึ้นมั้ย" เขาหันมาถามยิ้มๆ
ผมพยักหน้า กลิ่นอาหารโชยมาแตะจมูกจนทำให้รู้สึกตัวว่าหิวเหลือเกิน
"หิวสินะ... งั้นก็ทานกันเลยแล้วกัน"
เขายื่นช้อนให้ผมอย่างไม่มีพิธีรีตรอง
"นั่งสิ ตามสบายนะ"
ผมตักซุปอุ่นๆ เข้าปาก รสชาติของซุปไม่คุ้นเลยแม้แต่น้อย ราวกับผมเพิ่งรู้จักมันเป็นครั้งแรก
ไม่ใช่เพียงแต่ซุปเท่านั้น ทุกอย่างบนโต๊ะ... ราวกับเป็นอาหารที่เพิ่งเคยทานเป็นครั้งแรก
เขาเช็ดมือแล้วนั่งลงตรงข้ามผม ยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น "ถนัดซ้ายงั้นเหรอ"
ผมสะดุ้ง จริงสิ ผมจับช้อนมือซ้าย และรู้สึกว่าใช้มันอย่างถนัด ผมลองเปลี่ยนมาจับช้อนมือขวา
และก็พบว่าตักไม่ได้ดังใจเท่าไหร่
"ดอยล์" จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นอีก "เรียกคุณว่าดอยล์ได้มั้ย...
ระหว่างที่คุณยังนึกชื่อตัวเองไม่ออก"
ผมไม่ตอบ รู้สึกแปลกๆ กับการที่ถูกเรียกด้วยชื่อที่ไม่คุ้นหู ในขณะที่ในใจคิดว่า
เขาอยากเรียกผมยังไงก็ตามใจเขาเถอะ
"คุณอยู่ที่นี่คนเดียวเหรอครับ" ผมถามขึ้นบ้าง
"ใช่..." เขาตอบพลางเริ่มลงมือทานอาหาร
"ฉันเบื่อสังคมภายนอกน่ะ... มันช่างวุ่นวายและสกปรกโสโครกเหลือเกิน
ก็เลยคิดว่าอยากมาสร้างความทรงจำใหม่ที่นี่"
"สร้างความทรงจำใหม่?" ผมทวนคำพูด
"อืม... ในเมื่อเราหนีจากความทรงจำเก่าๆ ที่ไม่ต้องการรับรู้ไม่ได้
ก็คงต้องสร้างความทรงจำใหม่ๆ ที่สวยงามขึ้นมา"
"ความทรงจำใหม่ๆ ...ที่สวยงาม..."
"ผมถึงได้หนีมาอยู่ที่นี่ ลองมองออกไปข้างนอกสิครับ หาดทรายสีขาวสะอาด
น้ำทะเลใสๆ สบายตา สายลมโชยมาเบาๆ สำหรับผมที่นี่คือสวรรค์ นานๆ
ทีถึงจะแล่นเรือไปซื้อของมาเก็บตุนไว้"
"แล่นเรืองั้นเหรอ"
"ที่นี่เป็นเกาะ ผมซื้อที่นี่ไว้เป็นของขวัญให้กับตัวเอง เพื่อว่าซักวันจะได้มาอยู่กับคนที่ผมรัก"
"คนรัก..."
"ใช่ เธอชอบที่นี่มาก... ก่อนที่ผมจะซื้อเกาะแห่งนี้ เธอเคยบอกว่าที่นี่เป็นสวรรค์บนดินของเธอ
หลังจากเธอตาย ผมจึงตัดสินใจย้ายมาอยูที่นี่... บนสวรรค์ของเธอ"
"เธอตายแล้วเหรอครับ" การสูญเสียคนสำคัญไปนั้นจะเป็นความรู้สึกแบบเดียวกับการสูญเสียความทรงจำรึเปล่านะ
"จะว่าอย่างนั้นก็ได้ จริงๆ แล้วผมกำลังลืมอยู่ว่าเธอตายไปแล้วน่ะ"
"พยายามลืมงั้นเหรอครับ" ช่างเป็นคำพูดที่เสียดแทงใจผมเหลือเกิน
"จะว่าไป... ผมก็รู้สึกอิจฉาคุณนะ บางที... คุณอาจจะกำลังพยายามลืมบางอย่าง
แล้วคุณก็ทำสำเร็จ"
ผมกำหมัดแน่น รู้สึกกลั้นน้ำตาไม่อยู่
"คนที่มีความทรงจำอย่างคุณจะไปรู้อะไร คุณไม่เข้าใจหรอกว่าการอยู่อย่างหาตัวตนไม่เจอมันทรมานแค่ไหน"
ผมลุกพรวดออกไปทั้งๆ ที่ยังทานไม่เสร็จ
"ดอยล์" เสียงเรียกของเขาไล่ตามผมมา ทว่าผมเดินบึ่งออกไปนอกบ้าน
ผมกรีดร้องใส่ทะเลเสียงดัง ราวกับจะเรียกความทรงจำให้บินกลับมา ทว่ามีเพียงเสียงคลื่นที่ซัดเข้าฝั่งเท่านั้น
ที่ราวกับเสียงตะโกนตอบของทะเล
"อ๊า----" ผมก้าวขาลงไปในทะเลอันเย็นเฉียบ มือฟาดเกลียวคลื่นอย่างบ้าคลั่ง
เดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ
"ดอยล์... กลับมานะ คุณจะทำอะไร" เสียงของเขาตะโกนมาจากฝั่ง
"ผมไม่ได้ชื่อดอยล์... อย่ามาเรียกผมแบบนี้" ผมตะโกนกลับไป
เขาวิ่งลุยน้ำเข้ามาจับตัวผมไว้ ผมดิ้นสุดแรง ทว่าคลื่นในทะเลทำให้การเคลื่อนไหวเชื่องช้าไปหมด
ในที่สุดผมและเขาก็ค่อยๆ โดนคลื่นผลักเข้ามาบนหาดอีกครั้ง ผมหงายหลังล้มลงกลิ้งอยู่บนพื้นทราย
ทำให้เขาซึ่งจับตัวผมอยู่เสียหลักล้มลงมาด้วย มารู้สึกตัวอีกที ผมกำลังนอนอยู่บนร่างหนาๆ
ของเขา
ผมดันตัวลุกขึ้น ทว่าเขาคว้าแขนผมไว้
"เดี๋ยวก่อน... ผมขอโทษที่พูดจาทำร้ายจิตใจคุณเมื่อกี้"
สีหน้าเศร้าๆ ของเขาทำให้ผมใจอ่อน "อย่าทำอย่างนี้อีกได้มั้ย...
สัญญากับผมว่าคุณจะใจเย็น"
ผมหลบตา รู้สึกหัวใจเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมาจากอก
ผมพยักหน้า เขายิ้มอ่อนโยน ก่อนจะลุกขึ้นยืน
"ดูสิ... เปียกหมดแล้ว" น้ำเสียงหยอกล้อราวกับพูดกับเด็ก
"เล่นน้ำทะเลหน้าหนาวจะเป็นหวัดเอานะ"
เขาตบไหล่ผมเบาๆ ก่อนจะเดินกลับเข้าบ้าน
"อลัน...ผมขอโทษ" ผมพูดเบาๆ ทำให้เขาเดินกลับมา นั่งยองๆ
อยู่ตรงหน้า
"ยกความทรงจำเก่าๆ ให้ผมได้มั้ย..."
ผมเงยหน้าสบดวงตาสีฟ้าใสที่มองลงมาอย่างจริงจัง
"ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเล่าเรื่องคนรักเก่าของผมให้ใครฟัง
จนกระทั่งเมื่อกี้ ผมเองยังนึกแปลกใจว่าทำไมถึงอยากเล่าให้คุณฟัง"
ผมยิ่งงง เขากำลังจะพูดอะไรงั้นหรือ
"เรามาเริ่มความทรงจำใหม่ๆ กันดีมั้ย บางที... ความทรงจำอันเก่าของคุณอาจทรมานจนคุณอยากจะปิดตาย
ไม่มีประโยชน์หรอกที่จะเรียกมันคืนมา อย่าไปเสียเวลาเพื่อที่จะต้องมาเสียใจซ้ำสองเลย
มันจะทรมาน... ทั้งคุณทั้งผม"
จริงสิ... ยิ่งผมทำตัวแบบนี้ คนที่เดือดร้อนที่สุดคือเขา ผมไม่ควรทำให้เขาซึ่งยื่นมือเข้ามาช่วยผมทั้งๆ
ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแท้ๆ ต้องมาลำบากใจเพราะปัญหาส่วนตัวของผม
เขาพยุงผมลุกขึ้น... รู้สึกขาไม่มีแรงเลย อย่างไรก็ตาม ถ้าผมมัวทำตัวอ่อนแอแบบนี้
ก็รังแต่จะเป็นภาระให้เขา ผมฝืนก้าวขาเดินโซเซตามเข้าไปในบ้าน
"อลันครับ" ผมหยุดที่ประตู นึกบางอย่างขึ้นมาได้ "เรียกผมว่าดอยล์เถอะนะครับ"
เขาหันกลับมายิ้ม "เข้าบ้านเร็วๆ สิ ดอยล์"
เวลาผ่านไป 2 สัปดาห์ได้แล้วกระมัง ผมค่อยๆ
รู้เรื่องของเขามากขึ้น แม้เขาจะหลบออกมาอยู่ที่เกาะแห่งนึ้โดยลำพัง
แต่เขาก็ไม่ได้ตัดขาดจากงานและบริษัท ผมไม่รู้หรอกว่าเขาทำงานอะไร
แต่เขาทำงานที่บ้าน ออกไปส่งงานตอนที่แล่นเรือออกไปซื้อของบนฝั่ง
"งาน" ที่เขาว่าเป็นแผ่นดิสก์ ไม่งั้นก็แผ่นซีดี ทำให้ผมคิดว่าเขาคงทำงานเกี่ยวกับข้อมูลหรือคอมพิวเตอร์กระมัง
แม้ดูจะขัดกับการออกมาอยู่ในที่ห่างไกลผู้คนแบบนี้ ที่บ้านไม่มีเครื่องมือสื่อสารใดๆ
เลย โทรศัพท์ โทรทัศน์ วิทยุ... แค่มีไฟฟ้าก็นับว่าแปลกมากแล้ว
ผมแม้จะทำใจลำบากอยู่มาก แต่ก็พยายามนึกเรื่องของตัวเองให้น้อยลง
เพราะทุกครั้งที่รู้สึกตัวว่าตัวตนเดิมหายไป ทำให้รู้สึกอึดอัดขนาดคลุ้มคลั่งทีเดียว
และทุกครั้งคนที่เดือดร้อนก็คืออลัน ผมจึงทำตัวให้ยุ่งอยู่เสมอ ด้วยการทำงานบ้านเวลาที่เขาทำงานอยู่ในห้อง
เขาเองก็ช่วยผมโดยการหาอุปกรณ์วาดรูปมาให้ขีดๆ เขียนๆ จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน
สอนเปียโนให้ผมซ้อม เขาช่างใจดีกับผมเสียจริง
ผมรู้สึกลึกๆ ว่าเขาคงเหงาไม่น้อยกับชีวิตเพียงลำพังที่นี่ มองออกไปข้างนอกก็เห็นความเวิ้งว้างของทะเล
ที่นี่สมกับเป็นเกาะส่วนตัว นอกจากเรือของเขาแล้ว ทุกอย่างเรียกได้ว่เป็นธรรมชาติที่สุด
ผืนน้ำ หาดทราย สายลม แสงแดด
ผืนทรายที่นี่มีก้อนหินน้อยมาก พื้นทรายขาวราวกับผืนพรม ปูตัวใสๆ
ออกมาเล่นลมหนาวกลางแสงแดดตอนกลางวัน เปลือกหอยน้อยใหญ่ขึ้นมาเกยราวกับสร้างกำแพงเล็กๆ
บนหาดยามเช้า อากาศที่ใช้ร่วมกันระหว่างมนุษย์ สัตว์ และพืชช่างสดชื่นเสียจริงๆ
อลันปฏิบัติต่อผมเสมือนที่นี่ก็เป็นบ้านของผมด้วย ผมเข้าออกได้ทุกห้อง
และมีความสุขในการได้จัดบ้านใหม่อยู่เรื่อยๆ มีความสุขเวลาที่เห็นรูปที่ผมวาดแขวนอยู่บนผนังห้อง
ที่นี่กลายเป็นบ้านของผมแล้วกระมัง มีแค่เพียงห้องทำงานของเขาเท่านั้นที่เขาไม่ชอบให้ผมเข้าไป
ด้วยเหตุผลที่ว่าเอกสารทุกชิ้นแม้เพียงเศษกระดาษก็เป็นความลับของบริษัท
แม้เอกสารที่ไม่ใช้ก็ต้องเผาทิ้ง จะทำลายสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ กลายเป็นว่ามีแต่ห้องทำงานเท่านั้นที่ผมเข้าไปทำความสะอาดไม่ได้
อย่างไรก็ตามผมเคยเข้าไป 2-3 ครั้ง ห้องของเขามีคอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง
นอกนั้นก็เป็นชั้นวางหนังสือรอบห้อง หนังสือแต่ละเล่มก็ดูท่าทางยากๆ
ทั้งนั้น และยังหลากหลายอีกด้วย นี่สินะ...เครื่องเยียวยาความเหงาของเขา
ผมซ้อมเปียโนในห้องนั่งเล่น เงยหน้าขึ้นมาอีกทีท้องฟ้าก็มืดซะแล้ว
ทว่าเขาซึ่งแล่นเรือเข้าฝั่งไปตั้งแต่เช้ายังไม่กลับมา จริงอยู่ว่าปกติเขามักจะกลับเข้ามาตอนหัวค่ำ
ทว่าท้องฟ้าวันนี้ดูน่ากลัวเหลือเกิน กลุ่มเมฆสีดำลอยครึ้มต่ำเต็มท้องฟ้า
ทั้งๆ ที่เมื่อตอนกลางวันฟ้ายังใสอยู่แท้ๆ ประกายฟ้าแลบแปลบปลาบดูน่าหวาดเสียว
คลื่นสูงถาโถมผั่งอย่างบ้าคลั่งราวกับทะเลกำลังพิโรธ เขาจะกำลังเดินทางอยู่รึเปล่าหนอ...
ในสภาพดินฟ้าอากาศเช่นนี้ เขาจะปลอดภัยกลับมาหรือเปล่า
เสียงฟ้าคำรามลั่น จนผมตกใจปิดหูแน่น ผมซุกตัวอยูใต้เปียโนราวกับมันจะคุ้มกันผมได้
ความมืดทำให้ความหวาดกลัวค่อยๆ ก่อตัวขึ้น ทะเลนอกหน้าต่างเป็นสีดำสนิท
ฟองคลื่นสีขาวลอยเข้ามาหาฝั่งแล้วหายไป... เข้ามาหาฝั่งแล้วหายไป...
ราวกับความทรงจำของผมที่ลอยเข้ามาราวกับจะนึกได้ แต่แล้วกลับกลายเป็นความว่างเปล่า
ผมสะดุ้งต่อประกายฟ้าแลบ ไฟในห้องดับลง ห้องทั้งห้องถูกบดบังด้วยความมืด
ผมคลานออกไปควานหาไฟฉายและเทียน มือไม้สั่น น้ำตาคลออย่างอ่อนแอ
ผมกลัวเหลือเกิน... กลัวความมืดที่ราวกับอดีตที่มองไม่เห็นของผม
ขณะที่กำลังใช้ไฟฉายส่องหาไม้ขีดไฟอยู่นั้น ผมก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงกรีดร้องอยู่ในห้องทำงานของอลัน
ผมสะดุ้งสุดตัว มือที่สั่นอยู่แล้ว ยิ่งสั่นจนทำอะไรไม่ถูก ผมค่อยๆ
ย่องไปยังห้องทำงานของเขา ทั้งๆ ที่ไฟดับ แต่กลับมีแสงสว่างลอดออกมาจากข้างใน
ผมค่อยๆ แง้มประตูเข้าไป แล้วต้องโล่งใจ ที่แท้ก็เสียงสัญญาณของไฟฉุกเฉิน
ผมรีบเดินไปปิดเสียง อลันเปิดคอมพิวเตอร์ไว้ทั้งวัน ดังนั้นเพื่อให้ข้อมูลปลอดภัยเขาจึงติดสัญญาณเตือนเวลาไฟดับไว้เพื่อที่จะได้รีบเข้ามาจัดการกับคอมพิวเตอร์ก่อนที่ไฟสำรองจะหมดกระมัง
ผมเดินเข้าไปสำรวจรอบห้องเพราะไม่มีอะไรทำ อย่างน้อยก็ทำให้ผมหายกลัวลงไปได้บ้าง
ดีกว่าอยู่เฉยๆ และห้องนี้ก็เป็นห้องเดียวที่สว่างอีกด้วย ผมเดินดูชั้นวางหนังสือ
แล้วต้องหยุดอยู่กับหนังสือเล่มหนึ่ง "โครงการชีวิตสำรอง"
ช่างเป็นชื่อโครงการที่แปลกเหลือเกินจนจินตนาการไม่ออกว่าเป็นโครงการเกี่ยวกับอะไรกันแน่
แต่ดูชื่อนามปากกาผู้เขียนจึงได้รู้ว่าเป็นเพียงนวนิยายเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ผมรู้สึกติดใจกับหนังสือเล่มนี้เหลือเกิน จึงหยิบออกมาพลิกๆ
ดู
น่าแปลก... ข้างในไม่มีตัวอักษรอะไรอยู่เลย นี่มันหนังสืออะไรกันแน่
ผมวางกลับเข้าชั้น
...สงสัย...
แต่ที่สงสัยไม่ใช่หนังสือเล่มนั้น แต่เป็นอะไรซักอย่าง... อะไรซักอย่างที่ทำให้ผมจ้องสันหนังสือที่เพิ่งวางกลับไปอยู่นาน
เสียงคลื่น เข้ามาใกล้... แล้วก็เงียบหายไป เข้ามาใกล้... แล้วก็เงียบหายไป
ผมสะดุ้งเมื่อเสียงฟ้าร้องดังจนห้องสะเทือน สายฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก
กระเซ็นสาดเข้ามาในห้อง ผมรีบวิ่งไปปิดหน้าต่าง เห็นแสงไฟจากข้างนอกทำให้รู้ว่าอลันกลับมาแล้ว...
ทันเวลาฝนพอดี
ผมวิ่งออกไปรับ เขาหิ้วของพะรุงพะรังลงมาจากเรือ ตัวเปียกชุ่ม
"ค่อยยังชั่ว นึกว่าจะตายอยู่กลางทะเลซะแล้ว" เขาพูดอย่างอารมณ์ดี
ผมเข้าไปกอดแน่นทันทีที่เขาเข้ามาในบ้าน ร้องห่มร้องไห้ตีโพยตีพาย
"นึกว่าคุณจะไม่กลับมาซะแล้ว... ถ้าไม่กลับมาผมจะอยู่ที่นี่คนเดียวได้ยังไง"
"ไม่เอาน่า... นี่ เปียกหมดแล้ว"
ผมไม่ฟัง เปียกก็เปียก ไม่อยากให้เขาหายตัวไปไหนอีกแล้ว
"ผมกลัวมากเลย... ไฟก็ดับ... แถมความทรงจำยัง...."
"ความทรงจำเหรอ" เขาบีบไหล่ผมแน่น "นึกอะไรออกงั้นเหรอ"
ผมส่ายหน้า "ความทรงจำทำให้ผมกลัว พอผมได้อยู่กับคุณผมก็ไม่อยากจำอะไรได้อีก
ไม่อยากนึกอะไรขึ้นมาได้ทั้งนั้น"
"หมายความว่ายังไง..." เขาขมวดคิ้ว สายตาเต็มไปด้วยความสงสัย
ผมอึกอัก... ความรู้สึกของตัวเองใตอนนี้เป็นยังไง ก็เพิ่งจะรู้ชัดเจนเมื่อกี้...
ตอนที่เห็นเขาลงมาจากเรือนี่เอง
"คุณเจอผมได้ยังไงครับ" ผมถามพลางจุดเทียนที่วางอยู่รอบๆ
เตียงทีละเล่ม
"นั่นสินะ" เขายิ้ม "คุณถูกคลื่นซัดมาเกยอยู่ที่หาด
ตัวเย็นเฉียบ ตอนแรกผมคิดว่าคุณตายแล้วด้วยซ้ำ"
"แล้วทำไม... คุณถึงช่วยผม" ผมตั้งเทียนเล่มสุดท้ายลงบนโต๊ะที่หัวเตียง
"เพราะที่นี่มีผมอยู่คนเดียวน่ะสิ... ถ้าผมไม่ช่วยคุณแล้วใครจะช่วยล่ะ"
เขาตอบขำๆ
ไม่โรแมนติกเอาซะเลย... ผมคิดก่อนเอนกายลงข้างๆ เขา
"เหนื่อยจังเลย" เขาคว้าผมไปกอด แล้วหลับตาพริ้ม "แต่ที่ผมรีบดั้นด้นกลับมาเนี่ย
เป็นเพราะไม่อยากทิ้งคุณไว้คนเดียว และผมจะไม่ยอมทิ้งคุณไว้คนเดียว..."
"แต่ผมกลับคิดตรงข้าม... ถ้าคุณเป็นอะไรไปกลางทาง คราวนี้ผมคงได้อยู่คนเดียวจริงๆ"
เขาจูบที่หน้าผากเบาๆ "งั้นผมสัญญา คราวหน้าผมจะรอให้พายุสงบลงก่อน
แล้วค่อยกลับมา... ว่าแต่คุณจะอยู่คนเดียวได้เหรอ"
"พูดยังกับผมเป็นผู้หญิงไปได้ ผมต้องอยู่ได้อยู่แล้ว... ถ้าแค่วันเดียวล่ะนะ"
เขาหัวเราะเบาๆ เสียงฝนข้างนอกเงียบลงแล้ว ผมกอดเขา มองไปนอกหน้าต่าง
"หิมะนี่" ผมพูดอย่างตื่นเต้น
"ไม่จริงน่า กว่าที่นี่กว่าหิมะจะตกน่าจะอาทิตย์หน้า"
"จริงครับ คุณดูสิ"
เขาพลิกตัวไปทางหน้าต่าง "จริงด้วย... สวยจังเลยนะ"
"มิน่าล่ะ ถึงได้ถึงได้หนาวกว่าทุกวัน หนาวไปถึงกระดูกเลยล่ะ"
เขาหันมายิ้ม "งั้นคงต้องทำให้อุ่นซะหน่อยล่ะ"
"ชีวิตสำรอง" ภาพหนังสือเล่มนั้นเข้ามาในหัว
โอย... ปวดหัวเหลือเกิน...
เสียงคลื่นซัดฝั่ง เข้ามาใกล้... แล้วก็หายไป เข้ามาใกล้... แล้วก็หายไป
ผมลืมตาขึ้น ที่ปลายเท้ามีแสงอันอบอุ่นของเตาผิงไฟ รู้สึกราวกับหนังสือเล่มนั้นร้องเรียกผมอยู่
ผมคลายวงแขนของอลันที่โอบรอบตัวผม เขาหลับสนิทราวกับเด็กเล็กๆ ผมหยิบเสื้อกับกางเกงขึ้นมาสวม
แล้วค่อยๆ ย่องออกจากห้อง
ไฟมาแล้ว ผมเดินไปปิดไฟที่ห้องนั่งเล่น แล้วเดินเลยไปยังห้องทำงานของเขา
"ชีวิตสำรอง" จำได้แล้ว... ความทรงจำของผม อ้อมแขนของใครสักคน
สภาพสะลืมสะลือไม่ได้สติของผม และหนังสือเล่มนี้
หนังสือที่วางขนาบอยู่ 2 เล่ม ที่สันไม่มีชื่อเรื่องเขียนไว้ทั้งคู่
ทั้งยังสีเหมือนกันน่าจะเป็นเรื่องเดียวกันด้วยซ้ำ ถ้าเป็นคนทั่วไปคงจะไม่วางแยกกันโดยมีหนังสืออื่นมาคั่นแบบนี้
ทำไมผมไม่เอะใจกับเรื่องนี้เลยนะ
ผมดึงหนังสือทั้ง 2 เล่มออกมา ปรากฏว่าทั้ง 2 เล่มดึงออกมาได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
ผมจึงดึง "โครงการชีวิตสำรอง" ออกมาด้วย แล้วก็ต้องตกใจเมื่อตู้หนังสือซีกหนึ่งเคลื่อนตัวออกจากกำแพง
เห็นซอกมืดๆ คล้ายช่องประตูอยู่ด้านหลัง
ผมเดินเข้าไปข้างใน เป็นทางเดินมืดๆ แคบๆ สักพักไฟก็ค่อยๆ สว่างขึ้น
ผมสะดุ้งหน้าซีดเผือด เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ข้างหน้า เบื้องหลังของบ้านที่น่าอบอุ่นริมทะเล
มันคือห้องวิจัยโคลนนิ่ง ที่มีร่างโคลนมากมายถูกขังอยู่ในแคปซูลแก้วราวกับถูกดองเอาไว้
มีทั้งร่างผู้หญิง และร่างผู้ชาย ผมเดินเข้ามองใกล้ๆ แต่ละร่าง...
ผมสีน้ำตาล ใบหน้ารูปไข่... ราวกับกำลังสะท้อนใบหน้ายามหลับของตัวเองอยู่
นี่มันอะไรกัน? อลันเป็นใครกันแน่
จู่ๆ ผมก็รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว ถ้าความทรงจำของผม... ที่ว่าหายไป...
หรือจริงๆ มันไม่มีมาตั้งแต่ต้นแล้วล่ะ
"ผมบอกเคยบอกแล้วไง ว่าจะไม่ยอมทิ้งคุณไว้คนเดียว" ผมสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงทุ้มที่คุ้นหูดังอยู่ด้านหลัง
"แต่ไม่คิดเลยว่า แค่ผมละเลยคุณเพียงไม่กี่ชั่วโมง จะกลายเป็นความผิดพลาดขนาดนี้"
ร่างสูงของเขากำลังเดินเข้ามาใกล้ช้าๆ
ผมถอยหลังไปชนโต๊ะที่วางอยู่กลางห้อง ได้ยินเสียงของบางอย่างหล่นลงที่พื้น
อยู่ข้างๆ เท้าของผม มันคือรูปถ่ายที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ ผมชาไปทั้งตัวเพราะมันคือรูปของเขาและใครบางคนที่หน้าเหมือนผม
เขาหยุดอยู่ตรงหน้า ก้มลงหยิบรูปขึ้นมาตั้งไว้ที่เก่า ทว่าตำแหน่งที่ยืนไม่ต่างจากการกันผมไว้ตรงนี้ซักเท่าไหร่
"เธอชื่อเอลซ่า เป็นรุ่นพี่ที่ห้องทดลองของผม... เธอทรยศผมและผมก็ฆ่าเธอ"
เขาพูดด้วยดวงตาที่เลื่อนลอยราวกับไม่มีสติ นี่มันอะไรกัน ผมงงไปหมดแล้ว
"ก่อนผมจะฆ่าเธอ... ผมโคลนเธอขึ้นมา และตั้งชื่อว่า 'ดอยล์'
แค่เพี้ยนเสียงจากคำว่า 'ดอลล์' นิดหน่อย"
"เพื่ออะไร" ผมถามเสียงสั่น
"เธอบอกว่าไม่เคยรักผม ผมอยากจะพิสูจน์... ว่าถ้าให้โอกาสเธออีกครั้ง
เธอจะรักผมอีกหรือไม่"
ผมใจเต้นไม่เป็นส่ำ ร่างสูงใหญ่ตรงหน้าผมตอนนี้ ไม่เหมือนอลันคนเดิม
ราวกับมีเงามืดสีดำครอบคลุมเขาไว้ ดวงตาส่องประกายราวกับสัตว์ป่าที่กำลังจะขย้ำคอเหยื่อ
"เอาล่ะ คุณรู้ไปก็เสียเวลาเปล่า แค่เห็นดวงตาของคุณผมก็รู้คำตอบแล้ว"
สายตาเขาเย็นชาเหลือเกิน
...เรามาเริ่มความทรงจำใหม่กันดีมั้ย...
...เข้าบ้านมาสิ ดอยล์...
...คุณถูกคลื่นซัดมาเกยอยู่ที่หาด...
คำพูดของเขาดังซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัวของผม
...เอลซ่า รุ่นพี่ของผม...
...ผมฆ่าเธอ...
...เธอบอกว่าไม่เคยรักผม...
สับสนไปหมด นี่ผมเป็นใคร แล้วเขาเป็นใคร ที่นี่มันที่ไหนกันแน่
...แค่เห็นดวงตาของคุณ ผมก็รู้คำตอบแล้ว...
ผมเข่าอ่อน มือของเขากำลังเข้ามาใกล้ สติพร่าเลือน ผมรู้สึกเจ็บแปลบที่ท้ายทอย
เขากำลังทำอะไรผม
"แต่ผมรักคุณ" ผมรู้สึกถึงน้ำตาอุ่นๆ ของตัวเอง ภาพใบหน้าของเขาตรงหน้าเหมือนอยู่แสนไกล
เขากำลังกอดผม ผมหวาดกลัว ทว่ากลับต้องการอ้อมกอดของเขาเหลือเกิน
เรากลับไปเหมือนเดิมไม่ได้หรือ... ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ผมจะรับได้หรือเปล่า
ก่อนจะหมดสติลง ผมอยากถามเขาเหลือเกิน... ว่า...
คนที่เขากำลังกอดอยู่ตรงนี้ เป็นใคร... ผม... หรือเอลซ่า...
"ลาก่อนที่รัก แล้วมาเริ่มต้นกันใหม่"
ความมืด... ทะเลสีดำ เห็นฟองคลื่นสีขาวซัดฝั่งเข้ามา
แล้วก็จางหายไป ซัดเข้ามา แล้วก็จางหายไป
ผมค่อยๆ ลืมตา ตรงหน้าผมคือท้องฟ้าที่สะท้อนภาพของผืนทรายระยิบระยับ
"ฟื้นแล้วเหรอ... ตอนแรกผมนึกว่าคุณตายไปแล้วซะอีก" น้ำเสียงอ่อนโยนดังอยู่ไม่ไกล
ผมเป็นใคร... ที่นี่ที่ไหน...