ร่าง พ.ร.บ. อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา
(พ.ร.บ. ฆราวาสปกครองพระ)
เปิดเผยขบวนการผู้อยู่เบื้องหลัง และผลกระทบต่อพระพุทธศาสนา
(ต่อย่อหน้าที่ ๓ พ.ร.บ.อุปถัมภ์)
รวมความในมาตรา ๑๔ นี้ คณะกรรมการชุดนี้มีอำนาจล้นฟ้า คือเป็นทั้ง
ฝ่ายนิติบัญญัติ (ออกกฎมาใช้บังคับ พระ/เณรทั่วประเทศ) เป็นการไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ที่จะนำฆราวาส มาควบคุมพระภิกษุ อย่าว่าแต่ฆราวาสเลย แม้แต่ภิกษุณีผู้มีศีล ๓๑๑ ข้อ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทรงกำหนดสิกขาบท มิให้ภิกษุณีกล่าวบริภาษ ด่า หรือสั่งสอนพระภิกษุ ให้ภิกษุณีฟังคำสั่งสอน ของพระภิกษุอย่างเดียว และถึงแม้จะอ้างว่า คณะกรรมการชุดนี้ มีพระภิกษุร่วมด้วย ก็ไม่ได้หมายความว่า จะมีคุณสมบัติ คุณธรรม และ ศีลาจารวัตร ที่งดงามหรือไม่ และถ้าเกิดว่า วันใดวันหนึ่ง รัฐมนตรีที่มีอำนาจดูแล (ซึ่งปัจจุบัน มิได้ระบุว่า เป็นกระทรวงใด) มิได้นับถือศาสนาพุทธ อาจจะแต่งตั้ง พระภิกษุหรือคฤหัสถ์ ที่มีคุณสมบัติไม่เหมาะสม เป็นกรรมการ แล้วเราจะเอา ความอยู่รอด ของพระพุทธศาสนา ไปอยู่ในการดูแล ตัดสินใจของเขา เหล่านี้ เช่นนั้นหรือ?
ฝ่ายบริหาร (อนุมัติแผนงาน มาตรฐานศีลธรรม และที่น่าอันตรายคือ อำนาจในการดูแลการเงิน ตามวงเล็บ ๑๐ (๑๐)
ฝ่ายตุลาการ (ยุบหรือรวมชมรมพระพุทธศาสนา ป้องกัน และขจัดผู้ปลอมปนมาบวช ตามในวงเล็บ ๑๑ (๑๑)
ผิดกับการปกครองคณะสงฆ์ในปัจจุบัน ซึ่งปกครองโดยมหาเถรสมาคม พระเถระทุกรูปบวช นับตั้งแต่สามเณร มีอายุพรรษากาลนานปี ทรงรอบรู้พระไตรปิฎก และรู้จักลึกซึ้ง ถึง อาจาระของพระภิกษุ เป็นอย่างดี ปกครองด้วยหลักพรหมวิหาร ๔ ไม่มีครอบครัว ไม่มีบุตร ไม่มีภรรยา ดังนั้น ระหว่างพระเถระผู้ใหญ่ กับฆราวาส ซึ่งเป็นใครไม่ทราบ มีชีวิตความเป็นอยู่ ไม่แจ้งชัด เย็นนี้อาจจะดื่มเหล้า วันพรุ่งนี้ เข้าประชุม เป็นกรรมการ เพื่อตัดสินพระ ศีลยังตกๆ หล่นๆ แล้วจะให้ปกครองพระ ได้อย่างไร สมควรอย่างยิ่ง ที่จะให้มติ คำสั่ง การออกกฎ ระเบียบ ข้อบังคับใดๆ ของที่ประชุม คณะกรรมการทุกชุด ใน พ.ร.บ.นี้ ผ่านมติความเห็นชอบอนุมัติ โดยมหาเถรสมาคมเสียก่อน จึงนำไปมีผล ปฏิบัติตาม กฎหมายต่อไป
วิเคราะห์โครงสร้าง
วิธีดำเนินงานของ กอค.พช. อันประกอบด้วย
คณะกรรมการโดยตำแหน่ง คณะกรรมการจากการแต่งตั้งมี ๑๒ คน ไม่เกิน ๑๕ คน
๑. รัฐมนตรีว่าการ - ประธานกรรมการ
๒. รัฐมนตรีช่วยว่าการ - รองประธานกรรมการ ตั้งจากพระภิกษุหรือคฤหัสถ์
๓. ปลัดกระทรวงการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม - รองประธานกรรมการ
๔. ปลัดกระทรวงกลาโหม - กรรมการ
๕. ปลัดกระทรวงมหาดไทย - กรรมการ
๖. ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ - กรรมการ
๗. ปลัดกระทรวงการคลัง - กรรมการ
๘. ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ - กรรมการ
๙. ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ - กรรมการ
๑๐. เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ - กรรมการ
๑๑. เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ - กรรมการ
๑๒. เลขาธิการคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ - กรรมการ
๑๓. อธิบดีกรมการปกครอง - กรรมการ
๑๔. อธิบดีกรมศิลปากร - กรรมการ
๑๕. อธิบดีกรมการศาสนา - กรรมการ
๑๖. นายกพุทธสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ - กรรมการ
๑๗. ประธานสภายุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ ในพระบรมราชูปถัมภ์ - กรรมการ
เราจะพบว่า คณะกรรมการโดยตำแหน่ง โดยทั่วไปแล้วจะมีสักกี่ท่าน ที่มีความสนใจ และมีเวลาให้ พระพุทธศาสนา จากการแจกแจงนี้ น่าจะมีไม่เกิน ๓ ท่าน คือบุคคลใน ข้อ ๑๔, ๑๕, ๑๖ เพราะท่านที่เหลือก็มีงาน ในตำแหน่งหน้าที่ราชการ มากพออยู่แล้ว ซึ่งการประชุมจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อ คณะกรรมการ มีจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง คือ ๑๕ คน ซึ่ง ๑๕ คนนี้ ไม่มีการกำหนดคุณสมบัติใดๆ เลย หรือไม่มีการตรวจสอบพฤติกรรม หรือประวัติอันโจ่งแจ้งได้ จึงเป็นช่องเปิดโอกาส ให้มีการตัดสินโดยทุจริต มีการคอรัปชั่น โกงกินเงินได้ เพราะกรรมการทุกท่าน สามารถมีบุตร ภรรยาได้ แล้วปัจจุบัน ประธานสภายุวพุทธิกสมาคมฯ คือนายสมพร เทพสิทธา เป็นบุคคลที่ยื่นกล่าวฟ้องนิคหกรรม พระราชภาวนาวิสุทธิ์ นั่นเอง
ใครเป็นใครในร่าง พ.ร.บ.การอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา
ทำไมจึงต้องมี พ.ร.บ.ฉบับนี้ออกมา
ถ้ามองโดยผิวเผินแล้วจะพบว่า เมื่อฟังชื่อร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ จะมีความรู้สึกที่ดีๆ เพราะใช้ชื่อว่า "การอุปถัมภ์ และคุ้มครอง พระพุทธศาสนา" เพราะตอนนี้ โดยภาพรวม ชาวพุทธในเมืองไทย รู้สึกว่า มีข่าวร้ายๆ เกี่ยวกับ วัดพระธรรมกาย ทำให้พุทธศาสนามัวหมอง และกระแสสื่อมวลชนบางประเภท มีการสร้างกระแสเรียกร้องว่า สังคม ต้องการให้มีการปรับปรุงกฎหมาย ที่ควบคุมคณะสงฆ์ ฉบับปัจจุบัน ที่ใช้บังคับอยู่ เพราะไม่สามารถลงโทษ วัดพระธรรมกายได้ เมื่อประเด็นนี้ ถูกจุดในความคิดของชาวพุทธ ในเมืองไทย จึงเป็นช่วงจังหวะที่เหมาะสม โดยชอบธรรม ตามกระแสสื่อมวลชน ที่จะมีการเปลี่ยนแปลง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ไทย และเมื่อได้มองถึง รายละเอียดแล้ว จะพบว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้
๑. ขัดกับรัฐธรรมนูญในหลายมาตรา เช่น มาตรา ๑๘ (๗) ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา ๓๘ เป็นต้น
๒. เปิดช่องว่างของบุคคลที่จะเข้ามา แสวงหาประโยชน์ จากทรัพย์สินใน พระพุทธศาสนา (ดูรายละเอียดเอก สารประกอบฉบับที่ ๒ หมวด ๕ ทรัพย์สิน ส่วน พระพุทธศาสนา)
๓. ริดรอนสิทธิเสรีภาพของ พระภิกษุสามเณร โดยสามารถยัดข้อหา แล้วจับสึกได้เลย (มาตราในหมวด ๖) ซึ่ง พ.ร.บ.ฉบับปัจจุบัน ที่บังคับใช้นั้น ต้องยัดข้อหา คดีอาญา เท่านั้น แต่ร่างฉบับใหม่นี้ ทุกข้อหา สามารถจับสึกได้เลย
๔. ทำให้คนศาสนาอื่น อาศัยช่องว่างของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ มาทำลายพระพุทธศาสนา โดยแฝงมาในรูป คณะกรรมการต่างๆ ใน พ.ร.บ.นี้
๕. ทำให้งานเผยแผ่พระศาสนาทำได้โดยยาก
เรื่องขัดกับรัฐธรรมนูญ ดังนี้
มาตรา ๑๔(๘) ๑๘(๗) ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา ๓๘
มาตรา ๑๔(๑๐)-๑๘(๙) ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา ๔๘
มาตรา ๑๔(๑๑) ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา ๔๐
พ.ร.บ.นี้มีการเปิดช่องว่างให้มีการแสวงหาผลประโยชน์ ดังนี้
มาตรา ๙, ๓๓ ใครจะเป็นผู้กำหนดตัดสินว่า "ตามความจำเป็น" และเป็นลักษณะเผด็จการแต่งตั้งสามารถ สมยอมในการ
(๑) ตั้งเงินเดือนปกติ
(๒) เงินช่วยปฏิบัติงานพิเศษ
(๓) สวัสดิการต่าง ๆ
(๔) เบี้ยเลี้ยง ค่าเดินทาง ฯลฯ
มาตรา ๓๖ เป็นการหาผลประโยชน์จากการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เพราะมีช่องว่างคำพูดว่า "ตามระเบียบว่าด้วยการนั้น แล้วแต่กรณี"
มาตรา ๔๕ คำว่า "คณะสงฆ์ส่วนกลางได้ให้ความเห็นชอบ" ใครคือคณะสงฆ์ส่วนกลาง คณะสงฆ์มีคุณสมบัติอย่างไร บวชกี่พรรษา มีประวัติความเป็นมาอย่างไร
คำว่า "ทรัพย์สินของวัด มากเกินความจำเป็น" เอาใคร และหลักเกณฑ์อะไร มาตัดสินว่า มากเกินความจำเป็น วัดเป็นนิติบุคคล เจ้าอาวาสดูแลอยู่แล้ว ทำไม ต้องไปโอนทรัพย์สิน เป็นส่วนกลาง ในพระพุทธศาสนา
มาตรา ๔๖ เป็นการเปิดโอกาสให้กรรมการอุปถัมภ์และคุ้มครองวัดที่เหลือ อยู่ดูแลจนกว่าจะยุบเลิกวัด เป็น การเปิดโอกาส ให้มีการหาผลประโยชน์จากวัด ก่อนมีการประกาศ ยุบเลิกวัด
มาตรา ๔๙, ๕๐ จะสร้างโบสถ์/ศาลา/หอระฆัง/พระพุทธรูป พระเหรียญ พระเครื่อง ต้องมาขออนุญาตหรือสอดคล้องกับ กอค.พช. ทำให้เกิดการหาผลประโยชน์ได้
มาตรา ๕๐ (ค) จะสร้างของสิ่งเหล่านี้ได้ "ต้องมีทุนทรัพย์เพียงพอ" ซึ่งในการปฏิบัติแล้วเป็นไปไม่ได้ เพราะถ้ารอให้มีเงินพอเพียง ต้องเรี่ยไร อาจจะเป็น ๓ ปี ๕ ปี เงินถึง จะพอ ในช่วงเวลาดังกล่าว เจ้าอาวาสอาจถูกกล่าวหาว่า ยักยอกเงินวัดไปก็ได้ จับสึกติดคุก เงินตกเป็นของ ส่วนทรัพย์สิน ของพระพุทธศาสนา ให้คณะกรรมการ เอาไปหา ประโยชน์ต่อได้
มาตรา ๕๑ อ่านแล้วรู้สึกทันทีว่า จะสร้างอะไรต้องไปขออนุญาต กอค.พจ หรือ กอค. พก.ท
มาตรา ๕๒, ๕๓, ๕๖, ๕๘ เปิดโอกาส กอค. พช.ให้มีการรับสินบน
มาตรา ๕๕ ระบุไว้ชัดเจนว่า "ไปเพื่อธุรกิจการค้า" จะขายพระพุทธศาสนาแล้วหรือ ปัจจุบันพระสงฆ์ไทย ยังระบุการทำวัตถุมงคล เพื่อการก่อสร้างโบสถ์ ศาลา ฯลฯ ซึ่งมี จุดประสงค์แน่นอนว่า จะเอาเงินไปทำอะไร เช่น สร้างโบสถ์ ศาลา ฯลฯ แต่มาตรานี้ระบุไว้ชัดเลยว่า "เพื่อธุรกิจการค้า" เป็นการเปิดช่องให้ กอค. พช. ขายพระพุทธศาสนา โดยชัดเจน แล้วเอาเงินไปทำอะไรไม่รู้ เป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ยิ่งกว่าคอมมิวนิสต์เสียอีก
มาตรา ๕๗ "การก่อสร้างศาสนสถาน ที่กำลังดำเนินการสร้าง มาก่อนวันที่ พ.ร.บ.นี้บังคับใช้ ให้นำมาตรา ๕๐ และ ๕๑ พูดง่ายๆ โบสถ์ ศาลา ที่ยังสร้างไม่เสร็จ ก็ต้องไป ขออนุญาต กอค. พช. หรือ กอค.พกท. เปิดโอกาสให้รับสินบน และ เป็นการ ออกกฎหมาย ใช้บังคับย้อนหลัง
มาตรา ๖๖-(๒) ถ้าวัดไหนมีทรัพย์สินเยอะ ก็ใช้หมวด ๖ จัดการให้พระวัดนั้นสึกให้หมด แล้วก็โอน ทรัพย์สินของวัด มาเป็นทรัพย์สินของ ส่วนพระพุทธศาสนา คณะกรรมการ ทรัพย์สินฯ จะได้มีเงินถลุงได้มากขึ้น
มาตรา ๖๖(๕) (๖) เงินจากการลงทุน /ลิขสิทธิ์ ตกลงจะขายศาสนาพุทธใช่ไหม ขายแล้วเอาเงินให้ใคร
มาตรา ๖๗ เงิน/ทรัพย์สิน/ผลประโยชน์ส่วนกลาง ในพระพุทธศาสนาทั้งหมด ให้นำมาใช้จ่าย ตามระเบียบ คณะกรรมการทรัพย์สินกำหนด ถามว่า คณะกรรมการทรัพย์สิน เป็นใคร มีคุณสมบัติอย่างไร ตรวจสอบอย่างไร เชื่อมั่นได้อย่างไรว่าสุจริต
มาตรา ๖๙ ให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ตรวจสอบคณะกรรมการทรัพย์สินฯ แล้วรายงานให้คณะกรรมการทรัพย์สินฯทราบ ตลกดีไหม เหมือนกับให้หมอตรวจสอบคนไข้ แล้วรายงานผลให้คนไข้ แปลกไหม หรือตำรวจตรวจสอบผู้ต้องหา แล้วรายงานให้ผู้ต้องหาทราบ ตลกดีไหม
มาตรา ๗๑ สำนักงานทรัพย์สินฯ เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วย องค์การมหาชน คือการเปิดในตลาดหุ้น ใช่ไหม? ต่างชาติซื้อหุ้นสบายไป ขายชาติและศาสนา ในเวลาเดียวกัน อย่างนี้ คอมมิวนิสต์ยังต้องเรียกพี่เลย
นอกจากนี้ กอค.พช.ยังมีอำนาจและกำหนดบทลงโทษใน พ.ร.บ.รุนแรงและเฉียบขาด ยิ่งกว่าระบบเผด็จ การทหารเสียอีก ดังนี้
พ.ร.บ.อุปถัมภ์พระพุทธศาสนา หมวด ๖ บทกำหนดโทษ
เป็นกฎหมายที่ออกมา เพื่อจัดการกับพระโดยเฉพาะ รุนแรงกว่าสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ที่จัดให้มีการสอบ ไล่พระภิกษุทั้งแผ่นดิน เพราะในยุคนั้น พระที่ถูกสอบไล่หรือ จับสึก ยังมีโอกาสพูด แต่ถ้า พ.ร.บ.นี้ประกาศใช้เมื่อ ไร ความพินาศจะบังเกิดขึ้นทันที เพราะสามารถถูกใส่ความได้ตลอดเวลา จับสึกได้ตลอด ๒๔ ช.ม. ดังนี้
มาตรา ๗๔ "...ไม่สึกในกำหนดก็ดี กระทำความผิดอาญา (๑) และพนักงานสอบสวน (๒) ขอให้สละสมณเพศก็ดี ต้องจำคุก กักขังหรือขัง ตามคำพิพากษา (๓) หรือคำสั่งศาล (๔) ก็ดี เมื่อคณะสงฆ์ (๕) พระสังฆาธิการ (๖) หรือพนักงานเจ้าหน้าที ่(๗) ร้องขอให้สึกก็ดี และยังไม่สึก หรือสละสมณเพศตามนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี หรือ ปรับไม่เกิน ๓ หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
(๑)และ(๒) ประโยคว่า "กระทำความผิดอาญา และพนักงานสอบสวน ขอให้สละสมณเพศ" หมายความว่า ต่อไปนี้หาก พระภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง สามารถถูกแกล้งจาก เพื่อน ภิกษุด้วยกัน หรือถูกแกล้งจากฆราวาส ที่ถูกไล่ออกจากวัด เนื่องจากทำผิด หรือใคร ศาสนาใดก็ได้ ที่จะแกล้งจับพระสึก สามารถกระทำได้ ดังตัวอย่างดังนี้
๑. นาย ก. ถูกว่าจ้าง หรือมีจิตอาฆาต พระกุศล สุภเนตฺโต นาย ก. จึงนำไม้ตีหัวตัวเอง แล้วไปแจ้งตำรวจ จับพระกุศล โดยมีการให้สินบนกับ พนักงานสอบสวน ขอให้จับพระกุศล สละสมณเพศ (จับสึก) เสียก่อน เมื่อตำรวจไปจับตัว ตำรวจก็สามารถ จับพระกุศลสึกตามนั้น ได้ทันที ถ้าไม่ทำตาม ต้องติดคุก ๓ ปี ปรับ ๓ หมื่น บาท หรือ
๒. นาย ก. ติดยาเสพติด พระกุศลไปพบเห็น จึงให้เจ้าอาวาสไล่นาย ก. ออกจากวัด นาย ก. แค้นพระ กุศล จึงให้เพื่อนลูกศิษย์วัดด้วยกัน นำยาบ้าไปซ่อน ในกุฏิ พระกุศล แล้วนาย ก. ไปแจ้งตำรวจให้มาค้นกุฏิพระกุศล ก่อนมีการสอบสวนใดๆ พระกุศลก็ต้องลาสิกขา ตามคำสั่งของพนักงานสอบสวน ถ้าไม่ทำตาม ก็ติดคุก ๓ ปี ปรับ ๓ หมื่นบาท
เหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้ เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต คือกรณีของท่านเจ้าคุณ "พระพิมลธรรม" ถูกใส่ความ ว่าต้องอาบัติปาราชิก เพราะเสพเมถุนธรรม และ ข้อกล่าวหาว่า เป็นคอมมิวนิสต์ อีกข้อหนึ่งด้วย แล้วเราชาวพุทธยุคปัจจุบัน จะยอมให้เกิด ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยหรือ? ถ้ายอม พระรูปต่อไปที่ถูกจับสึก โดย ไม่มีความผิด อาจเป็นหลวงพ่อ หลวงพี่ ที่ท่านผู้อ่านเคารพก็ได้
(๓) "ต้องจำคุก กักขัง หรือขังตามคำพิพากษา" ข้อนี้ก็เช่นเดียวกัน หากเป็นเพียงแค่ศาลชั้นต้น ที่ยังสามารถอุทรณ์และฎีกาได้อีก ก็เป็นไปได้ที่ ศาลอุทรณ์หรือศาลฎีกา อาจจะพิจารณายกฟ้อง หรือไม่สั่งจำคุก ดังนั้น การให้พระภิกษุสละสมณเพศ ก่อนคำพิพากษาถึงที่สุด ไม่เท่ากับเป็นการ สละสมณเพศ โดยมีเหตุอันไม่สมควร หรือ (พูดง่ายๆ ว่า ถูกจับสึกฟรี) ผิดรัฐธรรมนูญมาตรา ๓๘ "รอนสิทธิ์" อีกด้วย
(๔) เหมือนข้อ ๓ เป็นแค่คำสั่งศาล ยังไม่ใช่คำพิพากษาของศาลเลย ทำไมรีบจับสึก ผิดรัฐธรรมนูญมาตรา ๓๘ "รอนสิทธิ์"
(๕) "เมื่อคณะสงฆ์ร้องขอให้สึก" ก็แค่ "ร้องขอ" แค่นั้นเอง ยังไม่ใช่คำตัดสินว่าผิดเลย เช่น เจ้าอาวาสและพระรูปหนึ่ง มีเรื่องไม่เข้าใจกัน หรือถูกโยมยุแหย่ก็ดี หรือเข้าใจผิด กันเอง เจ้าอาวาสเลยไปแจ้งตำรวจว่า เจ้าอาวาสร้องขอ ให้พระที่มีเรื่องกับท่าน สึกเสีย แต่พระรูปนั้นไม่ยอมสึก ก็ต้องติดคุก ๓ ปี ปรับ ๓ หมื่นบาท อย่าง นั้นหรือ? ยุติธรรม แล้วใช่ไหม
(๖)และ(๗) ก็เหมือนกันเลย ถึงแม้พระรูปนั้นไม่ผิด แต่ถูกใส่ความ ก็ต้องสึก ถ้าไม่สึก ติดคุกอีก ทั้งๆ ที่ยังไม่มีการพิจารณาโทษใดๆ เลย ยิ่งกว่าเผด็จการคอมมิวนิสต์เสียอีก
ที่เขาออกกฎข้อนี้มา เพื่อใช้ปราบ เก็บ ปลด พระที่มีญาติโยมขึ้นเยอะๆ แล้วพระสังฆาธิการขี้อิจฉา สามารถ ใส่ความพระที่ประพฤติสุจริต ถูกแกล้งได้ ตลอดเวลา ไม่เชื่อลอง ไปถามคนยุคท่านเจ้าคุณ พระพิมลธรรม ดูเอาเถอะ ท่านก็โดนกฎหมายมาตรานี้ เปิดช่องเล่นงานท่าน จนอ่วมเหมือนกัน พอตอนหลัง ศาลทหารตัดสินว่า ท่านไม่ผิด ก็ต้อง ปล่อยตัวท่านออกมา แต่ต้องติดคุกฟรี ๘ ปี เราจะปล่อยให้มีพระรูปต่อไป ที่จะโดนกลั่นแกล้งต่อไปอย่าง นั้นหรือ? พ.ร.บ.มาตรา ๗๔ นี้ ขัดต่อรัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ มาตรา ๓๓/๓๘
มาตรา ๗๖ "ผู้ใดไม่รับโทษทางการปกครองถึงขั้นให้สึกหรือสละสมณเพศก็ดี พระสังฆาธิการหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ ขอร้องให้สึกแล้ว ยังฝ่าฝืนอยู่อีกก็ดี ต้องจำคุก ๑ ปี ปรับ ๑ หมื่นบาท"
มาตรานี้ก็เหมือนกับ "ไม่รับโทษทางการปกครอง" ต้องถามว่า ใครเป็นผู้ลงโทษ ทางการปกครอง? กฎหมาย กำหนดไว้กว้างๆ ถ้าจะใส่ความกัน โทษทาง การปกครองจาก ผู้ใหญ่บ้านหรือกำนัน มาตัดสินให้ท่านสึก แล้วท่านไม่สึก ก็ติดคุก ๑ ปี ปรับ ๑ หมื่นบาท มันน่าน้อยใจไหมครับ ที่ตอนบวช ไม่ต้องไป ขออนุญาต ผู้ใหญ่บ้านหรือกำนัน แต่ตอน ที่เขาจะสั่งให้สึก ต้องทำตาม ตลกดีไหมครับ
มาตรา ๗๗ นี้ถ้าภาษาชาวบ้านเรียกว่า ทุบหม้อข้าวกัน แต่เป็นพระต้องบอกว่า ทุบบาตรแตกเลยทีเดียว เพราะมาตรานี้กำหนดว่า
"ผู้ใดฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ที่ตั้งไว้ เรี่ยไรโดยไม่ได้รับอนุญาต ติดคุกไม่เกิน ๓ ปี ปรับไม่เกิน ๓ หมื่นบาท" คำว่า ผู้ใด หมายถึง พระ เณร แม่ชี ฆราวาส คลุมหมดเลย จะเรี่ยไรอะไร สักอย่าง ก็ต้องไปขออนุญาตก่อน ไม่งั้นคุกถามหา นี่เรี่ยไรตัวต่อตัวนะครับ แต่ถ้าโยมมานั่งที่ศาลา ๑๐๐ คน เกิดเผลอ ไปเรี่ยไรโยม ทำบุญค่าน้ำ ค่าไฟ โดยไม่ได้รับอนุญาต ติดคุก ๓ ถึง ๕ ปี ปรับ ๓ หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หนักขึ้นไปอีก สบายไปเลย
ดังนั้น พระที่จัดรายการวิทยุแล้วเรี่ยไร ต่อไปนี้โดนคุกถามหา ประตูคุกอ้าไว้รอแล้วนะครับ
มาตรา ๗๘ "ผู้ใด ทำการบิดเบือน ฉ้อฉล เหยียดหยามหรือทำลาย "ศาสนธรรม" ติดคุก ๓ ถึง ๕ ปี ปรับ ๓ ถึง ๕ หมื่นบาท"
ทีนี้เรามาดูความหมายของคำว่า "ศาสนธรรม" กันนะครับ ใน พ.ร.บ.นี้ให้คำนิยามว่า "พระธรรมวินัยซึ่งเป็นคำสั่งสอน ของพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า ปรากฏตาม พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา" เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ถ้าพระรูปใด เทศน์เรื่องใด นอกเหนือจากนี้ ที่ไม่มีในพระไตรปิฎก ก็อีกนั่นแหละ ประตูคุก เปิดรอรับ แล้วอย่างนี้ ใครจะกล้าเทศน์ กล้าสอน ศาสนาของเรา มิเรียวลงหรือครับ หรืออาจโดนข้อหา ทำลายศาสนธรรม เช่น เก็บพระไตรปิฎก ไว้ในตู้ แล้วมอดมันขึ้น หรือไฟไหม้ ทำให้ พระไตรปิฎก เสียหาย กรณีนี้ ก็เตรียมล้างคุกรอ เหมือนกันนะครับ
แต่ถ้าเทศน์สอนออกอากาศทางวิทยุ หรือกระจายเสียง จะมีคนฟังหรือไม่ฟัง ก็แทนที่จะโดนคุก ๓-๕ ปี ก็โดนไป ๕ ถึง ๑๐ ปี อ่วมอรทัย ดีเหมือนกัน ไม่ต้อง เดินบิณฑบาต ก็มีให้ฉันตั้ง ๑๐ ปี
มาตรา ๗๙ โทษปรับ ๒ หมื่น ถึง ๕ หมื่น ดังรายที่ฝ่าฝืนในมาตราต่อไปนี้
(๑) มาตรา ๔๘ ให้อนุรักษ์ ซ่อม สร้าง ศาสนสถานและศาสนวัตถุ (สร้างโบสถ์ ศาลา หอระฆัง พระพุทธรูป พระเครื่อง แม้กระทั่งส้วมในวัด) ซึ่งต้องมี สถาปนิก วิศวกร นักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดี นักวิชา การพิพิธภัณฑ์ หรือผู้เชี่ยวชาญ เป็นผู้ควบคุมดูแล ถ้าไม่มีคนดังกล่าวข้างต้น ผิดนะครับ ถูกปรับ ๒ หมื่น ถึง ๕ หมื่นบาท
(๒) มาตรา ๕๑ ใครจะสร้างศาสนสถาน หรือศาสนวัตถุ คือ สร้างโบสถ์ ศาลา หอฉัน กุฏิ พระพุทธรูป พระเครื่อง ต้องขออนุญาตก่อน ไม่งั้น ปรับ ๒ หมื่น ถึง ๕ หมื่นบาท
(๓) มาตรา ๕๒ วรรค ๒ การจำลองศาสนสถานและศาสนวัตถุ ต้องขออนุญาตก่อน เช่น จะจำลองพระ พุทธโสธร พระพุทธชินราช เป็นต้น ถ้าไม่ขออนุญาต โดนแน่ ๒ ถึง ๕ หมื่นบาท รอไว้เลย
(๔) มาตรา ๕๓ จะสร้างรูปปั้น รูปหล่อ รูปเหมือน หรือเหรียญ ศาสนบุคคล (หลวงพ่อ หลวงปู่ เกจิอาจารย์ดัง) ต้องขออนุญาตก่อน พูดง่าย ๆ จะทำเหรียญ หลวงปู่ทวด หลวงปู่แหวน อาจารย์มั่น หลวงพ่อสด ก็ต้องขออนุญาตก่อน ไม่งั้นโดนแน่
(๕) มาตรา ๕๔ ข้อนี้ บอกว่าถ้าสิ่งใดๆ ในมาตรา ๕๑, ๕๒, ๕๓ ห้ามวางของเหล่านี้ ในที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ควรตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ไม่งั้น โดนปรับแน่ แล้วอยากถามว่า ความตามในกฎกระทรวง ใครเป็นคนออกกฎกระทรวง มีศีล ๕ ครบหรือเปล่า นับถือพุทธหรือเปล่า ออกกฎมาแกล้งได้เสมอ ใช่ไหมครับ
มาตรา ๘๐ มาตรานี้ใครฝ่าฝืน คุก ๑ ถึง ๕ ปี ปรับ ๑-๕ หมื่นบาท ฝ่าฝืนอะไรหรือครับ มาดูกัน
"ห้ามมิให้ พระ เณร แม่ชี ฆราวาส ผู้ใดหรือวัดใด ทำ สร้าง ปลุกเสก ซื้อ ขาย แลกเปลี่ยน ให้ ให้เช่า มีไว้สักการบูชา ให้ประกอบพิธีกรรม ใบ้หวย โดยไม่เกื้อกูลต่อ ศาสนธรรม ในพระพุทธศาสนา ใครทำไม่ขออนุญาต จำคุก ๑ ถึง ๕ ปี" เว้นแต่ได้ขออนุญาต เพื่อที่เขาจะได้มีโอกาส กินสินบน รวยกันคราวนี้ ท่านผู้เจริญ
มาตรา ๘๑ และ ๘๒ "ผู้ใด ฝ่าฝืน ถอน ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า ทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งพระพุทธรูปต่างๆ หรือศาสนสถาน อันได้แก่ ศาลา โบสถ์ ต้องติดคุก ๓ ถึง ๑๐ ปี ปรับ ๓ หมื่นถึง ๑ แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
ดังนั้นต่อไป วัดไหนมีพระพุทธรูป ไม่มีคนมากราบไหว้ ศาลาไม่มีคนมานั่ง ปล่อยให้ไร้ประโยชน์ ขอแนะนำให้เจ้าอาวาสวัดนั้น รีบสึกหนีเสียก่อน ไม่งั้นคุก ถามหา อีกแล้ว พระคุณเจ้าที่เคารพ พูดง่ายๆ ก็คือ วัดไหนไม่มีคนเข้า เจ้าอาวาสเตรียมเข้าคุก เขาล้างคุกรอไว้แล้ว
มาตรา ๘๔ "ผู้ใดเข้าไปครอบครองทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่ง วัด ศาสนสถาน จัดกิจกรรมรื่นเริง การแสดง หรือการกระทำใดๆ อันเป็นการรบกวนวัด หรือ ศาสนสถานโดย ปกติสุข ต้องจำคุกไม่เกิน ๓ ปี ปรับไม่เกิน ๓ หมื่นบาท"
พูดภาษาชาวบ้านคือ ต่อไปนี้ ลิเก หนังจอ หมอลำ รำวง ดนตรีลูกทุ่ง หรือแม้แต่กระตั้วแทงเสือ ก็ห้ามมีในวัด เพราะเป็นการรื่นเริง เขาออกกฎมานี้ เพื่อเอาไว้ เก็บส่วย ถ้าใครจ่าย ก็ไม่โดนเล่นงาน เก็บส่วยแบบถูกกฎหมาย ดีไหมครับ
มาตรา ๘๕ "ผู้ใดก่อความวุ่นวาย ฆ่าสัตว์ (มด ยุง วัว ควาย) เล่นการพนัน (ไพ่ ไฮโล ทอยเส้น) ดื่มน้ำเมา (เหล้า เบียร์ ยาดองเหล้า) เสพยาเสพติด (ยาบ้า บุหรี่) ประกอบพิธี ไสยศาสตร์ (สะเดาะเคราะห์ ต่ออายุ เป่ากระหม่อม พรมน้ำมนต์) อวดอิทธิปาฏิหาริย์ ใบ้หวย หลอกลวง เพื่อลาภสักการะในวัดหรือใน ศาสนพิธี ต้องโทษคุกไม่เกิน ๓ ปี ปรับ ไม่เกิน ๓ หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
มาตรานี้ชัดเจนในตัวอยู่แล้ว ไม่ต้องสงสัย
หมวดสุดท้าย เบ็ดเตล็ด
มาตรา ๙๑ "จัดตั้งเป็นสำนักงานทรัพย์สิน ส่วนพระพุทธศาสนา และโอนกิจการ ทรัพย์สิน หนี้สิน และ เจ้าหน้าที่ สมบัติกลาง ไปเป็น สำนักงานทรัพย์สิน ส่วนพระพุทธ ศาสนา"
มาตรานี้เป็นการหาผลประโยชน์ครั้งใหญ่ เราลองมานึกดูซิว่า ใครเป็นหัวหน้าสำนักงานทรัพย์สิน ส่วนพระพุทธศาสนา ต้องเรียกว่า รวยอภิมหารวย
บทสรุป มาตราในหมวดที่ ๖ บทกำหนดโทษ
เราพบว่า ต่อไปนี้หลังจากที่ พ.ร.บ.ประกาศใช้เป็นกฎหมาย พระถูกจับสึกกัน เป็นเรื่องปกติ สมมติ พระ ก. ตั้งใจดูแลวัด มีชาวบ้าน (ศาสนาอะไรก็ได้) มารุกที่ดินวัด ไปปลูก ต้นไม้ ทำเกษตรกรรม พอพระ ก. ไปทวง ที่คืน ก็โดนชาวบ้าน แจ้งความเท็จว่า พระ ก. รุกที่ชาวบ้านบ้าง ยักยอกที่ดินวัดบ้าง (เลียนแบบคดีดัง ในปัจจุบันนี้) หรือไปหาหญิง โสเภณีมาจากถิ่นอื่น เสพสังวาสเสร็จแล้ว ก็แกล้งให้เธอ วิ่งออกมาจากวัด มาขอความช่วยเหลือ กล่าวหาว่าพระ ก. ข่มขืนบ้าง หรือเอาไม้ตีหัวตัวเองแตก แล้วไปแจ้งความว่า พระ ก. ตีบ้าง อุบายง่ายๆ แค่นี้ ล้วนเป็นคดีอาญาทั้งนั้น พระ ก. ก็ต้องสึกแล้ว ทำไมพระเรา ถูกจับสึกง่ายจัง แต่ทีในมาตรา ๑๓ พ.ร.บ.ฉบับเดียวกัน คนที่จะพ้นสภาพจาก กรรมการ กอค.พช. ในวงเล็บ ๖ กว่าจะหลุดจากตำแหน่งต้อง
(๖) ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษ สำหรับความผิด ที่ได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ
สำหรับฆราวาส จะพ้นจากตำแหน่ง ยังต้องรอให้พิพากษา ถึงที่สุด ให้จำคุก แต่ถ้าเป็นพระ ให้จับสึกก่อนเลย ยุติธรรมดีไหมล่ะ แล้วยิ่งมีประโยคว่า "สึกไปก่อน ถ้าไม่ผิด แล้วให้บวชใหม่" คำพูดนี้ มันพูดง่ายไป เหมือนฆ่าให้ตาย แล้วชุบชีวิตให้ฟื้น ความเชื่อถือศรัทธาของญาติโยมที่เสียไปล่ะ งานพระศาสนาที่ทำไว้ ต้องหยุดชะงัก เสียหาย ไปล่ะ ใครจะรับผิดชอบ
ดังนั้นกล่าวได้ว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้ควรจะเรียกว่า พ.ร.บ.ทำลาย พระพุทธศาสนา มากกว่า เพราะเมื่อสามารถ จับพระสึกได้ง่าย และถูกกฎหมายยิ่งด้วยแล้ว ยิ่งกว่าสมัย ที่มี คอมมิวนิสต์เสียอีก แล้วสมควรจะให้ พ.ร.บ.นี้ผ่านสภาเป็นกฎหมายบังคับใช้หรือ?
มีวิธีการอย่างไรในการผลักดัน
๑. สร้างกระแสยอมรับว่า มีปราชญ์ทางศาสนา ที่น่าเคารพนับถือ แต่ไม่เคยมีการเผยแผ่ เป็นรูปธรรมหรือ จัดการให้คนมาทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ที่วัดมีพระกี่รูปก็ไม่รู้ ไม่มีผลงานอะไร นอกจากการเขียนตำรา (มีพระอื่นๆ ที่มีผลงานมากกว่าเยอะๆ เช่น หลวงตามหาบัว) แล้วก็ใช้กระแสสื่อ ประโคมว่า เป็นปราชญ์ทางศาสนา มีผลงานที่เด่นชัด เป็นการยกตนข่มท่าน ดูถูกผู้อื่น แต่ก็สามารถ สร้างกระแสยอมรับได้ โดยการออกทีวี เป็นเวลา ๓ ปี (น่าสงสัย ใครเป็นคนให้เงินสนับสนุน) เมื่อเป็นกระแสที่ยอมรับ ของ ประชาชน จึงดำเนินการขั้นที่ ๒ ต่อไปคือ
๒. เปิดประเด็นโจมตีวัดพระธรรมกาย ทุกรูปแบบ ทุกสื่อ เพื่อ
๒.๑ สลายกลุ่มลูกศิษย์ให้มีจำนวนลดลง จากล้านเหลือแสน จากแสนเหลือหมื่น จากหมื่นเหลือพัน ให้เหลือจำนวนน้อยที่สุด เพื่อง่ายในการขจัดไป
๒.๒ สร้างกระแสสังคมให้เห็นว่าธรรมกายผิด อยู่ร่วมโลกกันมิได้ ตัองขจัดให้สิ้นจากประเทศไทย
๒.๓ สร้างกระแสใครที่เห็นด้วยกับธรรมกาย หรือแม้กระทั่งคนที่เป็นกลางว่า คนเหล่านี้ล้วนรับสินบน จากวัดพระธรรมกาย เช่น มหาเถรสมาคม จึงไม่เหมาะต่อ การปกครองคณะสงฆ์ ชราภาพแล้ว ไม่ทันโลก ชักช้า เชื่องช้า ต้องเปลี่ยนระบบ
๒.๔ ยัดข้อหาคดีอาญา แล้วใช้อำนาจรัฐ ไม่ให้ประกัน จับสึกพระธัมมชโยทันที
๒.๕ ออก พ.ร.บ.คณะสงฆ์ฉบับใหม่เผด็จการสุดๆ (จับพระสึก ง่ายกว่าจับปลากระตักในทะเล) เพื่อขจัดพระภิกษุ ในพระพุทธศาสนา ให้หมดประเทศไทย (อ่านรายละเอียด ในหมวด ๖ ของเอกสารฉบับที่ ๒)
๒.๖ แล้วใน พ.ร.บ.เดียวกันในหมวด ๕ ให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการทรัพย์สินส่วนพระพุทธศาสนา มีหน้าที่จัดการทรัพย์สิน ของศาสนาสมบัติกลาง/ ทรัพย์สิน ของวัดร้าง ที่เขาใช้มาตราในหมวด ๖ สึกพระไปหมดแล้ว ตกเป็นของส่วนกลาง ทำให้คณะกรรมการทรัพย์สินฯ หาผลประโยชน์ได้ ซึ่งทรัพย์สิน ของวัด ต่างๆ ทั่วประเทศ ประมาณการได้ดังนี้
จำนวนวัด ทรัพย์สินและรายได้ต่อปี (บาท) (สมมุติ) รวมกันได้ ๓๐,๐๐๐ ๑๐,๐๐๐ ๓๐๐ ล้านบาท ๓๐,๐๐๐ ๑๐๐,๐๐๐ ๓,๐๐๐ ล้านบาท ๓๐,๐๐๐ ๑,๐๐๐,๐๐๐ ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท
แน่นอนที่สุด ฝ่ายบุคคลที่ต้องการขายชาติ และพระศาสนา ต้องรีบนำให้ร่าง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ และร่าง พ.ร.บ อุปถัมภ์และคุ้มครอง พุทธศาสนา เร่งผ่านสภาให้เร็วที่สุด ก่อนที่ชาวพุทธจะรู้ตัว และแก้ไขอะไรได้ทัน ภายในสมัยประชุมสภานี้ แน่นอน ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่พวกเราชาวพุทธทั้งหลาย ที่ได้ทราบเรื่องราวของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ ร่วมกัน คัดค้านร่าง พ.ร.บ.ขายชาต และขายพระศาสนาฉบับนี้ ทันที มิเช่นนั้นผลที่เกิดขึ้นตามมาคือ
๑. มีการแจ้งความดำเนินคดีอาญากับพระภิกษุทุกวัน เพื่อทำให้เกิดวัดร้างมากที่สุด เร็วที่สุด และพระที่มีชื่อเสียงจะค่อยๆ ถูกจับสึกไปอย่างน้อยเดือนละ ๑ ท่าน
๒. ยึดทรัพย์สินวัดร้าง ให้อยู่ในการดูแลควบคุมของ คณะกรรมการทรัพย์สิน ส่วนพระพุทธศาสนา ซึ่งในอนาคต จะมีการออกกฎหมาย ให้ทรัพย์สินส่วน พุทธศาสนา แก่ต่างชาติเช่าได้ ซึ่งสามารถเช่าได้ ๑๐๐ ปี เช่าเพื่อหาประโยชน์ให้แก่ต่างชาติ
๓. เมืองไทยจะไม่มีพุทธศาสนาต่อไป จะเหลือไว้แต่ประวัติศาสตร์ความทรงจำว่า ครั้งหนึ่งเมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๕๕๐ พุทธศาสนาได้หมดไปแล้ว โดยฝีมือคนไทย ด้วยกัน เอง แล้วท่านจะยอมให้ เหตุการณ์เช่นนี้ เกิดขึ้นหรือ หยุด พ.ร.บ.ขายชาติ ขายศาสนา วันนี้
**********************************************
ตื่นเถิด .ชาวพุทธ
ขอให้พระภิกษุสามเณรและชาวพุทธทั้งหลาย จงได้ตระหนักว่า พระพุทธศาสนากำลังพบกับภัยคุกคาม ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เราจะต้อง ไม่ประมาท ต้องตื่นตัว ช่วยกันป้องกัน มิให้พ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับนี้ ผ่านรัฐสภา ออกประกาศบังคับใช้ได้เป็นอันขาด ใครรู้จัก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ วุฒิสมาชิกท่านใด ขอให้ช่วยกัน บอกกล่าว เล่าเบื้องหน้าเบื้องหลัง รวมทั้งผลกระทบนี้ ให้ฟัง และขอให้ช่วยกันหยุดยั้งพ.ร.บ.นี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด คณะสงฆ์ และชาวพุทธ ในจังหวัดสงขลา ขอให้ช่วย ตักเตือน นายอำนวย สุวรรณคีรี ให้รีบหยุดการกระทำนี้โดยทันที ใครรู้จักผู้มีอำนาจ มีบทบาทในสังคมไทย หรือสื่อมวลชนท่านใด ก็ขอให้ช่วยกันบอกเล่า ความจริงนี้ให้ทราบ จะโดย วาจา หรือจดหมายก็ตาม ช่วยกันขัดขวางพ.ร.บ.ทำลายพระพุทธศาสนานี้ด้วย และขอให้ชาวพุทธทุกคน ผนึกกำลังรวมใจกัน ทั้งประเทศ ปกป้อง พระพุทธศาสนา อันเป็น ที่รักยิ่ง ของเราด้วยเถิด อย่าให้ใคร มาหาผลประโยชน์ และทำลาย ลงไปได้เลย
**********************************************