"จากบทเรียนประวัติศาสตร์พงศาวดารจีน" เราได้ค้นพบว่า กลุ่มบุคคลที่มีส่วนอย่างมาก ทำให้ราชวงศ์แต่ละยุคเสื่อม และล่มสลายไปในที่สุดคือ กลุ่มขันทีในพระราชสำนัก โดยอาศัยความใกล้ชิด กับฮ่องเต้ ดูแลพระองค์มาตั้งแต่เยาว์วัย จนได้เป็นฮ่องเต้ จึงทำให้กลุ่มขันทีมีอิทธิพล เป็นที่หวาดกลัวเกรงใจ แก่ข้าราชการโดยทั่วหน้า มีบ่อยครั้งที่ใช้ อำนาจแฝงก้าวก่าย พระราชภารกิจ ในการบริหารประเทศ เพื่อแสวงหาอำนาจวาสนา ผลประโยชน์แก่ตน ยิ่งถ้าคราใด ทรงสถาปนา พระจักรพรรดิเยาว์วัย หรือทรงชราภาพ มากจนขาดวิจารณญาณ ในการปฏิบัติราชกิจ คณะขันที โดยเฉพาะ หัวหน้าขันที จะวางตน เช่นฮ่องเต้ สั่งราชการแทนพระองค์ ออกพระบรมราชโองการปลอม ขึ้นภาษีเรียก เก็บส่วย โยกย้ายข้าราชการแม่ทัพ นายกอง จนทำให้เกิด ความระส่ำระสาย ในหมู่ข้าราชการ เดือดร้อนแก่ประชาชนทั่วไป จนทำให้เกิด ความสิ้นศรัทธา ในราชวงศ์ต่าง ๆ ดังที่ได้ทราบโดยทั่วกัน
บัดนี้ ลักษณะดังกล่าวได้เกิดขึ้น ในสถาบันปกครองสงฆ์ ในพระพุทธศาสนาของเราได้มีกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่ง อาศัยบารมีของพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ในช่วงนั้น ได้อุปถัมภ์ดูแล สมเด็จพระญาณสังวรฯ ตั้งแต่เป็นพระมหามาจาก จังหวัดกาญจนบุรี เข้ามาอยู่ที่วัดบวรฯ ด้วยความสามารถ และจริยวัตร อันเป็นต้นแบบของ พระองค์ จึงได้เป็น สมเด็จพระสังฆราชฯ องค์ปัจจุบัน บุคคลกลุ่มน ี้แทนที่จะอนุโมทนาบุญ ที่ได้สร้างคุณไว้กับ พระพุทธศาสนา อิ่มบุญไว้ใช้ในชาตินี้ และชาติหน้า ใช้ชีวิตยามชรา อย่างเงียบ ๆ ด้วยความสงบสุข กลับใช้บุญคุณที่ตนเคยมี ทำให้สมเด็จพระสังฆราชฯ เกรงพระทัย
แสวงหาผลประโยชน์ใน พระราชภารกิจของ สมเด็จพระสังฆราชฯ จะต้องวิ่งเต้นกับกลุ่มห้องกระจก โดยมีเจ้าแม่ห้องกระจกเป็นผู้ดำเนินการ ฉะนั้น เราจึงเห็นภาพข่าว สมเด็จพระสังฆราชฯ เสด็จปฏิบัติภารกิจ ไม่ส่งเสริมพระเกียรติคุณของ พระองค์มากมาย เช่น พรมน้ำมนต์ ปลุกเสกพระ เหรียญต่าง ๆ ซึ่งเป็นผลประโยชน์ ร่วมกับกลุ่มพ่อค้า พระเครื่อง นับร้อยล้าน พันล้าน สาธุชนท่านใด จะมีภารกิจกับ สมเด็จพระสังฆราชฯ จะรู้กันว่า ต้องได้รับการอนุญาตจาก "ห้องกระจก" แต่ทุกคนก็เกรงกลัวในชาติสกุล จึงปล่อย วาง เพราะว่า เป็นเรื่องการแสวงหา ผลประโยชน์เฉพาะเรื่อง
แต่มาบัดนี้ ขันทีห้องกระจกได้บังอาจ ร่างพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชฯ เองตามความ ประสงค์ของตน (เสมือนขันที ออกพระบรมราชโองการเอง) แล้วให้สมเด็จ พระสังฆราชฯ ซึ่งชราภาพแล้ว ลงพระนาม (ได้ข่าวว่า ผู้สามารถเซ็นลงพระนามเหมือน สมเด็จพระสังฆราชฯ ได้ในวัดบวรฯ มี ๔ คน) ไม่แน่ว่า พระองค์จะลงนามเองหรือไม่ แม้รัฐมนตรีอาคม เอ่งฉ้วน ยังสัมผัสความรู้สึกดังกล่าว เพื่อหวังจะทำลาย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ให้ถึงที่สุด เพราะได้ผลักดันมา ๖ เดือนแล้วก็ไม่สำเร็จ จึงต้องอาศัย อำนาจ ทางกฎหมายของผู้ปกครองสงฆ์ โดยจัดทำพระลิขิต(เขียนเอง) ฉบับที่ ๑ ออกเมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๔๒ ส่งมอบให้มหาเถรสมาคม เข้าที่ประชุม เพื่อหวังว่า จะมีผล ผลักดันมหาเถรสมาคม ให้มีมติจัดการกับ เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ให้สึกให้ ได้แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะมหาเถระสมาคม มีหลักในการบริหารจัดการ และพิจารณา จึงออกมติ ๔ ข้อให้กับวัดพระธรรมกายปฏิบัติ ซึ่งก็น่าจะจบถ้าเราอาศัยหลักกฎหมาย หลักการให้ความสำคัญ ในสถาบันการปกครองของประเทศ
แต่กลุ่มขันทีห้องกระจกเคียดแค้น จึงเปลี่ยนยุทธศาสตร์ใหม่ ทำพระลิขิตฉบับที่ ๒ ลงวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๔๒ โดยใช้ข้อความซ้ำกับพระลิขิตแรก และเพิ่มข้อความ ให้ หนักขึ้นไปอีก หวังจะให้ฝ่ายบ้านเมือง เข้าไปจัดการสึก เสมือนพระปลอม จะได้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ ที่ต้องการ แต่ครั้งนี้ ได้สร้างกระแสมวลชนก่อน โดย FAX พระลิขิต ดังกล่าว ให้บริษัทสถานทูตต่างประเทศ หนังสือพิมพ์สื่อมวลชนทั่วไป ซึ่งก็ได้ผล ทำให้สื่อมวลชนเห็นเป็นข่าวใหญ่ นำมาตีพิมพ์เล่นข่าว คิดว่า คนวัดพระธรรมกาย จะมี ปฏิกิริยารุ่นแรง เมื่อรับทราบจากข่าวดังกล่าว จะได้เข้าจัดการได้ แต่ผลปรากฎว่า ไม่เป็นเช่นนั้น กัลยาณมิตรผู้ปฏิบัติธรรม ยังคงเงียบไม่โต้ตอบ
แต่พระลิขิตดังกล่าว กลับถูก วิพากษ์วิจารณ์จาก นักวิชาการทางศาสนาว่า หนังสือดังกล่าว มิใช่พระบัญชาของ สมเด็จ พระสังฆราชฯ ไม่มีเลขที่ ไม่มีตราประทับ และกรณี จะมีพระบัญชา จะต้องผ่านมติ มหาเถรสมาคม ที่อ้างว่า เป็นการใช้อำนาจของ สมเด็จพระสังฆราชฯ ตามมาตรา ๘ นั้น ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะพระบัญชาของ สมเด็จ พระสังฆราชฯ จะขัดต่อกฎหมาย กฎ มหาเถรสมาคมไม่ได้ สำหรับกฎมหาเถรสมาคม เรื่องการลงนิคหกรรมแก่ภิกษุ ผู้ถูกกล่าวหา ว่า ต้องปาราชิกนั้น จะต้องมีการจัดตั้ง คณะผู้ปกครอง เข้ามาสอบสวนข้อเท็จจริง ตามลำดับที่เรียกกันว่า ศาลสงฆ์ เพราะข้อหาปาราชิกนั้น เป็นข้อหาที่ร้ายแรง ประดุจโทษ ประหารชีวิต ในความเป็นสงฆ์คือ ต้องถูกจับสึก
ในทางโลกนั้นการจะตัดสินประหารชีวิตใคร ศาลจะพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ ถึงสามศาล ในทางสงฆ์ก็เหมือนกัน ควรจะรักษา ความชอบธรรมของระบบ มิใช่ทำตาม อารมณ์หรือ ความแค้นส่วนตัว หรือสร้างกระแสประชาชน ให้คล้อยตาม จะต้องใช้นิติธรรมและ พระธรรมวินัยเป็นหลัก มิฉะนั้น จะรักษาสถาบันชาติ ศาสนานี้ไม่ได้
เมื่อนำพระลิขิตสองฉบับออกมา ยังไม่เป็นผล แต่ผลเสียเกิดขึ้นแก่ สมเด็จพระสังฆราชฯ ซึ่งเป็นประมุขสูงสุด ในพระพุทธศาสนา ที่ออกพระลิขิต มาอย่างพร่ำเพรื่อซ้ำซ้อน ไม่มีมาตรฐาน ขาดหลักนิติธรรมและเมตตาธรรม การกล่าวอ้างลอยๆ ไม่ระบุบุคคล เพื่อสร้างกระแสทำลาย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ซึ่งการดึงสมเด็จพระสังฆราชฯ มาเป็น เครื่องมือ สนองความต้องการของตน โดยทำให้พระองค์ เสื่อมพระเกียรติอย่างมาก ขันทีห้องกระจก จึงได้ออกพระลิขิต มาอีกฉบับมาแก้เกี้ยว เพื่อขยายความลิขิต สองฉบับ แรก โดยกล่าวเป็นกลางๆ อ้างอิงหลักการ
"การโกงสมบัติผู้อื่นตั้งแต่ ๕ มาสก (๓๐๐ บาท) ขึ้นไปภิกษุนั้น จะต้องอาบัติปาราชิก และหาทางออกว่า ประกาศนั้นเป็นคำบอกเล่า เป็นคำเตือนให้รู้เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับ มส. ไม่บังคับใครให้เชื่อ ไม่บังคับใครให้ทำอะไร เป็นเพียงแสดงความถูกผิด ให้ปรากฎอยู่เท่านั้น ในฐานะเป็นประมุขสงฆ์ในพระพุทธศาสนา"
การออกพระลิขิตฉบับหลัง เป็นการแก้ข้อผิดพลาด ในสองฉบับแรกผิดหลักนิติธรรมฉบับ ๑ ต้องการบีบคั้นมหาเถรสมาคม ให้มีมติตามพระลิขิตฉบับที่ ๒ ต้องการสร้าง กระแสมวลชน ให้บีบคั้นเถรสมาคม ให้มีมติตามฉบับที่ ๓ ออกมา เพื่อรักษาหน้า สมเด็จพระสังฆราชฯ ฉบับที่ ๕ ออกมาเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม เพื่อสรุปอย่างนุ่มนวล หาทางออก แต่ย้ำใส่ชื่อวัดพระธรรมกาย เสริมข้อบกพร่อง ที่ไม่ได้ระบุผู้กระทำผิดใน ๓ ฉบับแรก (คิดว่าคงจะมีอีกหลายฉบับ หากไม่บรรลุผล)
จากข้อเท็จจริงดังกล่าว เราได้ปล่อยให้กลุ่มขันทีห้องกระจก ใช้อิทธิพลแสวงหาผลประโยชน์ ในความใกล้ชิด สมเด็จพระสังฆราชฯ มาเป็นระยะอันยาวนาน จนเหิมเกริมร่าง พระลิขิต ให้ สมเด็จพระสังฆราชฯ ลงนามตามอำเภอใจ สำนวนของปุถุชนที่มีความ โลภ โกรธ หลง ทั้งเนื้อหาถ้อยคำเต็มไปด้วย ภาษของชาวโลก ที่ห่อหุ้มไปด้วยกิเลส และ ทำผิดพลาดซ้ำซาก เพียงเพื่อจะกำจัด ผู้ที่ตนไม่ชอบ ถึงกับอาจเอื้อมดึง สมเด็จพระสังฆราชฯ มาเป็นเครื่องมือ สมเด็จพระสังฆราชฯ พระองค์ ทรงเป็นนักปราชญ์ จบมหา เปรียญ ๙ ประโยค ถ้าใครได้อ่านหนังสือ ที่พระองค์เขียน จะรับทราบถึงภูมิปัญญา การใช้ภาษาที่สูงมีเมตตา มีเหตุผล
แต่พระลิขิตดังกล่าว ถูกเขียนโดยขันทีห้องกระจก อย่างแน่นอน หากไม่แน่ใจ ขอให้นักข่าวไปทูลถาม สมเด็จพระสังฆราชฯ ว่าพระลิขิตดังกล่าว พระองค์เขียนเองหรือไม่ มีกี่ฉบับ จะได้ถ่ายทอดให้ ประชาชนฟังก็ได้ เพราะสำนวนของพระองค์ นุ่มนวลมีเมตตา
ดังนั้น จึงขอเรียกร้องให้ทางราชการ ดำเนินการสอบสวน ขันทีห้องกระจำดังกล่าว ไม่ต้องเกรงใจใคร มีชั้นตำแหน่งใด ๆ เพราะใคร ๆ ก็ทำความชั่วได้ หากไม่คุมกิเลสภายใน ของตน มิฉะนั้น กลุ่มบุคคลกลุ่มนี้ จะอาศัยความพระชราภาพ ของสมเด็จพระสังฆราชฯ สร้างสิ่งที่ก่อให้เกิด ความเสื่อมเสีย แก่พระองค์ และสถาบันสงฆ์ในที่สุด
สำหรับเรื่องวัดพระธรรมกาย ขอให้เทียบเคียงหลักของ ศาลสถิตยุติธรรม การที่จะลงโทษประหารชีวิต ผู้ต้องหาจะต้องละเอียดรอบคอบ มีหลักฐานชัดเจน มีเหตุผลและ มีโจทก์ มีประเด็นชี้มูลความผิด ในการปกครองสงฆ์ ได้มีระเบียบปฏิบัต ิในการลงนิคหกรรมพระภิกษุแล้ว ถ้าผิดก็ว่าไปตามผิด มิใช่สร้างประเด็น สร้างกระแส บีบบังคับ เอาอย่างใจ สื่อมวลชน เสมือนเคยล้ม รัฐบาลบรรหาร ชวลิต
ด้วยวิธีนี้ ช่วงคุณบรรหารครองอำนาจ ถูกสร้างกระแสทุกอย่าง ชั่วเลวหมด สัญชาติก็ปลอม การศึกษาก็จ้างเขา ทำวิทยานิพนธ์ เบื้องหลัง ก็เป็นพ่อค้าหาผลประโยชน์ ทำงานไม่เป็น ชอบล้วงลูก พอคุณบรรหาร พ้นจากอำนาจ ทุกอย่างก็สิ้นสุด หาความผิดอะไรไม่ได้
ความเจริญเติบโตของวัดพระธรรมกาย เริ่มไปทำให้บุคคลอื่น เสียผลประโยชน์ในหลายวงการ และความหวาดระแวง ในโครงสร้างอำนาจ อีกทั้งยังมีแผนงานขยายไปทั่วโลก ทำให้ศาสนาอื่นเดือดร้อน ฉะนั้น การสร้างกระแสความชั่วความเลวต่างๆ จึงมาลงที่เจ้าอาวาสเ พื่อให้หยุดโครงงานการเจริญเติบโต ของวัดพระธรรมกาย ในที่สุด ฉะนั้น เกมนี้จึงมีผู้จุดไฟ ผู้ใส่เชื้อ ผู้กระพือไฟอย่างครบเครื่อง
ฉะนั้นปัญหามิใช่อยู่ที่ประเด็นที่ถูกสร้างขึ้น แต่อยู่ที่เมื่อไรจะหมดอำนาจ หมดศรัทธาจากประชาชน เรื่องอัตตา อนัตตา สีกา ที่ดิน ฯลฯ ที่พยายามสร้างขึ้นมา ก็จะหายไป ในที่สุด แต่ถ้าศรัทธาประชาชน ก็ยังคงมีอยู่ ประเด็นต่างๆ ก็จะถูกสร้าง อย่างไม่จบสิ้น จนกว่าบุคคลบางคน จะกระอักเลือดตายไปก่อน
ในอดีตสังคมของเรา เคยทำความผิดมาแล้ว ที่รักษาคนดีไว้ไม่ได้ หลวงประดิษฐ์ มนูธรรม เคยประกาศเค้าโครงเศรษฐกิจปฏิรูปที่ดิน ให้มีคนละ ๕๐ ไร่ ขณะนั้น ยุคเจ้าขุน มูลนาย ยังมีที่ดินกันเป็นพันไร่ หมื่นไร่ ท่านถูกสร้างกระแส เป็นคอมมิวนิสต์ และมีกระแสที่สร้างได้ผลคือ เพียงแต่ส่งคนตะโกน ในโรงภาพยนตร์ว่า หลวงประดิษฐ์ ท่านปลง พระชนม์ในหลวง ก็เป็นผลให้เราต้องเสียคนดีมีค่าของประเทศอีก จนตลอดชีวิต ครั้งที่ ๒ เราเสียอาจารย์ป๋วย อึ้งภากรณ์ จากขบวนการขวาพิฆาตซ้าย
ตามกระแสที่ถูกปลุกโดย สถาบันปกครองสงฆ์ รักษาหลักการระเบียบกติกา กฎหมายบ้านเมือง ให้ท่าน ทำหน้าที่ของท่าน เราจะได้ยึดระเบียบหลักการ ในการจัดการกับ สถาบัน พระศาสนาอย่างถูกต้อง มิใช่ใช้อารมณ์ เพื่อเราจะได้รักษาสถาบันชาติศาสนา พระมหากษัตริย์ไว้ได้
หากเราไม่มีหลักเกณฑ์ และดำเนินการโดยละเอียดรอบคอบ มีหลักฐาน "มีเหตุผลอ้างอิง ตามหลักนิติธรรมได้แล้ว แม้ชาติของเราก็จะเอาไว้ไม่อยู่"
กลุ่มปกป้องสมเด็จพระสังฆราชฯ