กราบเรียน พระเถรานุเถระทุกรูป
เจริญพร ท่านพุทธศาสนิกชนชาวไทยทุกท่าน
ในช่วง ๑ เดือนเศษที่ผ่านมา ได้มีเอกสารที่อ้างว่า เป็นพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช ออกมาหลายฉบับ เกี่ยวกับเรื่องวัดพระธรรมกาย เรื่องพระได้รับ สมบัติมา ในขณะเป็น พระ แล้วไม่โอนให้วัด ต้องปาราชิก เป็นต้น กระผมเฝ้าดูเรื่องราวทั้งหมดด้วยความอึดอัด และเป็นห่วงผลกระทบ ที่จะมีต่อ พระพุทธศาสนา ในประเทศไทย เป็นอย่างยิ่ง จะออกมาแสดงความเห็นอะไรก่อนมหาเถรสมาคมจะตัดสิน ก็ดูจะเป็นการไม่เหมาะสม
ฉะนั้น เมื่อมหาเถรสมาคมได้พิจารณาตัดสินไปแล้ว เรื่องราวเกี่ยวกับวัดพระธรรมกาย ก็ถือว่าได้ข้อยุติไปในระดับหนึ่ง กระผมจึงเห็นว่า ถึงเวลาที่ควรแสดง ความเห็น เพื่อประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาในประเทศไทยโดยรวม
ทั้งนี้เพราะเอกสารที่อ้างว่าเป็นพระลิขิตนั้น ขอกราบเรียนตามตรงด้วยความเคารพศรัทธาในสมเด็จพระสังฆราชว่า กระผมไม่เชื่อเลยว่า สมเด็จพระสังฆราช เป็นผู้เขียน ขึ้นเอง สาเหตุเป็นเพราะว่า เนื้อหาของเอกสารที่อ้างว่าเป็นพระลิขิตนั้น ขัดต่อทั้งกฎหมาย ขัดต่อทั้งพระธรรมวินัย และประเด็นสำคัญ ที่ยังไม่ ค่อยมีใครฉุกคิดคือ ถ้าถือตามพระลิขิตนั้นแล้วก็จะเป็นการทำลายคณะสงฆ์ไทยลงอย่างเกือบจะสิ้นเชิงไปพร้อมๆ กันเลย จึงเป็นไปไม่ได้ที่ สมเด็จ พระสังฆราช จะเป็นผู้เขียนขึ้น
มีผู้รู้ได้ทำเอกสารวิเคราะห์พระลิขิตไว้อย่างน่าสนใจ ขออนุญาตนำมาอ้างถึงในที่นี้ ดังนี้
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๓๕ มาตรา ๘ ได้ระบุถึงอำนาจสมเด็จพระสังฆราชไว้ว่า "สมเด็จพระสังฆราชทรงดำรงตำแหน่ง สกลมหาสังฆปริณายก ทรงบัญชาการ คณะสงฆ์ และทรงตราพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช โดยไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม"
แต่ในเอกสารอันบังอาจอ้างว่าเป็น "พระลิขิต ในบรรทัดที่ ๕ มีข้อความว่า "ต้องมอบสมบัติที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระ ให้แก่วัดทันที"
ในทางกฎหมายข้อความนี้ ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๔๐ ซึ่งได้ระบุไว้ว่า
มาตรา ๔๘ "สิทธิของบุคคลในทรัพย์สินย่อมได้รับความคุ้มครอง ขอบเขตแห่งสิทธิ และการจำกัดสิทธิเช่นว่านี้ ย่อมเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ"
นอกจากนี้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ยังได้ให้การรับรองสิทธิในทรัพย์สินของพระภิกษุไว้ตาม มาตรา ๑๖๓๒ มีใจความว่า
"ทรัพย์สินของพระภิกษุ ที่ได้มาในระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศนั้น เมื่อพระภิกษุนั้นถึงแก่มรณภาพให้ตกเป็นสมบัติของวัด ที่เป็นภูมิลำเนาของ พระภิกษุ นั้น เว้นไว้แต่ พระภิกษุนั้น จะได้จำหน่ายไปในระหว่างมีชีวิต หรือโดยพินัยกรรม" และไม่มีประมวลกฎหมายใด ในประเทศไทย ทั้งในอดีตถึงปัจจุบัน กำหนดโทษว่า พระภิกษุระหว่าง อยู่ในสมณเพศ มีทรัพย์สินส่วนตัวไม่ได้ ถือเป็นความผิด ต้องโอนให้วัดหมด มีแต่รับรองสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้น ฉะนั้น เมื่อมีข้อความอันเป็นการบังคับให้มอบทรัพย์สิน ปรากฏใน เอกสารจึงระบุได้ชัดว่า ข้อความในเอกสารอันบังอาจอ้างว่าเป็น "พระลิขิต" ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย โดยชัดแจ้ง หากเป็นพระลิขิตของ สมเด็จพระสังฆราช จริง เหตุใดเจ้าหน้าที่สำนักงานเลขานุการ ฝ่ายกฎหมาย ซึ่งมีหน้าที่ตรวจตราโดยตรง จึงปล่อยให้ผ่านออกสู่สาธารณชนทั้งที่ผิดพลาด
เนื้อความในเอกสารที่อ้างว่าเป็นพระลิขิตที่ว่า "ไม่ยอมคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัด ก็แสดงชัดแจ้งว่า ต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจาก ความเป็นสมณะ โดย อัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด" นั้น ขัดต่อพระธรรมวินัย ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่เคยบัญญัติไว้เลยว่า พระภิกษุต้องยกสมบัติ ที่เกิดขึ้น ในขณะเป็นพระให้แก่วัด ใครไม่ทำ ต้องอาบัติปาราชิก เรื่องนี้มีเขียนอยู่ในหลักสูตรนักธรรมชั้นตรี ที่พระบวชใหม่พรรษา ๑ ก็ต้องเรียนและรู้แล้ว จึงเป็นไป ไม่ได้ที่สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งทรงภูมิ ความรู้อย่างยิ่ง จะเขียนออกมาเช่นนี้ มั่นใจว่าผู้เขียนจะต้องไม่ใช่พระ น่าจะเป็นเพียงผู้รู้พระธรรมวินัย แบบงูๆ ปลาๆ จับแพะชนแกะเขียนขึ้นมา ปลอมเป็นของ สมเด็จ พระสังฆราชแน่นอน
พระสังฆราชจะไปบิดเบือนพระไตรปิฎก เป็นกบฎต่อพระพุทธเจ้าได้อย่างไร
ข้อความในเอกสารที่อ้างว่าเป็น "พระลิขิต" นั้น กล่าวไว้ว่า
"...ต้องมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัดทันที.... เมื่อถึงอย่างไรก็ไม่ยอมมอบคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัด ก็แสดงชัดแจ้งว่า ต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด..."
มีคนบางคน พระบางรูป ออกมาสนับสนุนบอกว่าถูกต้อง เพราะถ้าไม่ได้เป็นพระ ญาติโยมเขาจะมาถวายปัจจัยข้าวของให้หรือ เพราะฉะนั้น สมบัติที่ได้รับ มา ในขณะเป็นพระ จึงต้องยกให้วัดหมด ใครไม่ทำต้องปาราชิก
เจตนาของผู้ร่างข้อความนี้ขึ้นมา ก็คงเพราะต้องการให้พระธัมมชโย ต้องอาบัติปาราชิกให้ได้ โดยไม่คำนึงถึงว่า เป็นการบิดเบือนพระธรรมวินัย
ผลตรงจุดนี้ กระผมก็คิดว่ามันไม่เป็นธรรม แต่ก็ยังเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล กระผมจึงไม่ค่อยสนใจนัก
แต่ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ว่า ถ้าเรายอมรับข้อความในเอกสารที่อ้างว่า เป็นพระลิขิตนี้ว่า ถูกต้องแล้ว ผลที่ตามมา จะเกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง คือ
๑) พระภิกษุสงฆ์ในประเทศไทยเกือบทั้งหมด หรืออาจจะทั้งหมดเลยจะต้องปาราชิกกันหมด รวมทั้งพระสังฆราชด้วย เพราะพระทุกรูป ที่มีญาติโยมเอา ปัจจัยไทยธรรม มาถวาย มีค่าตั้งแต่ ๓๐๐ บาทขึ้นไป แล้วเอาไปใช้ส่วนตัว ไม่ถวายวัด ต้องปาราชิกหมด
๒) ญาติโยมชาวพุทธที่เคยทำบุญถวายปัจจัยข้าวของต่างๆ ให้พระ มีมูลค่าตั้งแต่ ๓๐๐ บาทขึ้นไป ไม่ว่าจะในงานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ งานสวดศพ ทำบุญ ที่วัด ติดกัณฑ์เทศน์ ฯลฯ แล้วพระที่รับนำไปใช้ส่วนตัว ขอให้ทราบด้วยว่า ถ้าหากยอมรับว่า พระลิขิตนี้ถูกต้อง เท่ากับว่า ท่านได้ทำให้พระทุกรูปเหล่านั้น ปาราชิกหมดแล้ว ท่านเองต้องตกนรก แน่นอน เพราะทำให้พระปาราชิกมากมาย
๓) ญาติโยมคนไทยที่เคยบวชลูกชาย บวชพี่ บวชน้อง บวชญาติ แล้วถวายปัจจัยข้าวของต่างๆ ให้พระใหม่ใช้ ถ้ารวมมีมูลค่าเกิน ๓๐๐ บาท โดยพระลิขิตนี้ เท่ากับว่า ท่านได้ทำให้ญาติของท่าน ที่บวช ปาราชิกไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งญาติที่บวช ทั้งท่านเองด้วยทุกคน ต้องตกนรกหมด
๔) ชาวไทยที่เป็นผู้ชายแล้วเคยบวช ขอให้ย้อนระลึกดูว่า ระหว่างบวชเราเคยได้รับการถวายปัจจัยข้าวของเครื่องใช้จากญาติโยม แล้วนำไปใช้ส่วนตัว มีมูลค่ารวมถึง ๓๐๐ บาทหรือไม่ ถ้าถึง แสดงว่าท่านได้ปาราชิกไปเรียบร้อยตั้งแต่ครั้งนั้นแล้ว ที่บวชไปนอกจากไม่ได้บุญ ยังต้องตกนรกอีกด้วย และจากนี้ ไปตลอดชาติ ท่านห้ามบวชอีกเด็ดขาด เพราะปาราชิกไปแล้ว ยิ่งเป็นเศรษฐีเจ้าสัวมาบวช โอกาสตกนรกยิ่งเยอะ เพราะโยมถวายของมาก อย่างนี้อีกหน่อย จะมีใครกล้ามาบวช
๕) พระเถระผู้ใหญ่ทุกรูป ที่เป็นเจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด ฯลฯ พระเปรียญธรรม ๙ ประโยค พระราชาคณะตั้งแต่ชั้นสามัญ จนถึงสมเด็จ พระสังฆราช ซึ่งมีนิตยภัต (คล้ายเงินเดือนประจำตำแหน่งของพระ) แต่ละเดือน ก็ต้องปาราชิกกันไปหมดแล้ว พระพยอมและพระมหาบุญถึง ที่ออกมาสนับสนุนพระลิขิตนี้ ก็ต้องปาราชิกกัน ไปเรียบร้อยแล้ว เพราะรับนิตยภัตนี้ไปใช้ด้วยเหมือนกัน
โดยสรุปก็คือ ถ้าว่าตามพระลิขิต ต้องถือว่าขณะนี้ประเทศไทยไม่มีพระเหลืออยู่แม้แต่รูปเดียว เพราะพระสงฆ์ทุกรูป ก็คงเคยรับปัจจัยข้าวของ จากญาติโยม เกิน ๓๐๐ บาททั้งนั้น จึงปาราชิกไปหมดแล้ว ที่เห็นนุ่งห่มผ้าเหลืองอยู่ล้วนแต่เป็นพระปลอมทั้งสิ้น เท่ากับว่า คณะสงฆ์ไทยได้สูญสิ้นไปหมดแล้ว ชาวพุทธไทย เลิกทำบุญใส่บาตร ให้พระปลอมทั้งประเทศได้ เลิกถกเถียงโจมตีมหาเถรสมาคมอะไรกันวุ่นวายได้ เพราะตั้งแต่พระสังฆราช ตลอดจน กรรมการ มหาเถรสมาคม ทุกรูปก็ล้วนปาราชิกกันหมดแล้ว
ฉะนั้นจึงเท่ากับว่า พระลิขิตที่อ้างว่าเป็นของพระสังฆราชนี้เพียงฉบับเดียว ก็ได้ทำลายสังฆมณฑลของประเทศไทย ลงโดยสิ้นเชิง ทำให้ชาวพุทธไทย ทั้งหมด ตกนรกกัน ถ้วนหน้า เพราะมีแต่คนที่เคยปาราชิก (ผู้ที่เคยบวชเป็นพระ) และผู้ที่ทำให้พระปาราชิก (ผู้ที่เคยถวายปัจจัยไทยธรรมแก่พระภิกษุ รวมแล้วมีมูลค่าเกิน ๓๐๐ บาท) ตามพระลิขิตนี้ จะต้องจับพระสึกทั้งประเทศ เพราะเป็นพระปลอมทั้งนั้น
กระผมได้ติดตามข่าวที่มีผู้ออกมากดดันให้มหาเถรสมาคมทำตามพระลิขิตพระสังฆราชด้วยความอึดอัดและเห็นใจมหาเถรสมาคมเป็นอย่างยิ่ง ไม่ทำตาม เขาก็ถูกโจมตี ว่าไม่เคารพ พระสังฆราช กบฎต่อพระสังฆราช ถ้ายอมรับทำตามก็เท่ากับว่าทำผิดพระธรรมวินัย เป็น กบฎต่อพระพุทธเจ้า และส่งผลเป็น การทำลายพระพุทธศาสนา ในประเทศไทยทั้งหมด นึกไม่ออกเลยว่า มหาเถรสมาคมจะทำอย่างไร ภายใต้กระแสสังคมของผู้ไม่รู้ความจริง หรือรู้แต่แกล้งไม่รู้ ที่รุมด่ารุมประนามกดดันท่าน
ที่สุด มหาเถรสมาคมก็ประชุมและมีมติ เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๒ มีใจความเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
"ส่วนเรื่องพระดำริของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานมาทั้งหมด มหาเถรสมาคม มีมติสนองพระดำริโดยลำดับ ให้ชอบด้วย กฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม"
กระผมเห็นมติที่ประชุมนี้แล้ว ถึงกับน้ำตาคลอ ซาบซึ้งในคุณธรรมและปัญญาของพระมหาเถระแห่งมหาเถรสมาคม ที่ท่านสามารถหาทางออก ได้อย่าง บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น ไม่เปิดโปงความไม่ชอบมาพากลของเอกสารอันอ้างว่าเป็นพระลิขิต เพื่อถนอมพระเกียรติของสมเด็จพระสังฆราช และป้องกัน ไม่ให้คนชั่วที่จัดทำพระลิขิตขึ้น ทำลายคณะสงฆ์ไทยได้ เพราะการสนองพระดำรินั้น ระบุชัดเจนว่า ต้องให้ชอบด้วยกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎ มหาเถรสมาคม ก็เท่ากับว่า ข้อความในพระลิขิตใด ที่ขัดกับกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม ก็ทำไม่ได้ ท่านเลือกที่จะยอมเจ็บ ยอมถูกโจมตี ยอมถูกเข้าใจผิด ยอมถูกกล่าวหาว่ารับส่วย อะไรต่างๆ สารพัด เพื่อปกป้อง พระเกียรติพระสังฆราช และปกป้องพระพุทธศาสนา ในประเทศไทย เราชาว พุทธ ตระหนักบ้างไหมว่า เราโชคดีเพียงใด ที่มีผู้บริหารคณะสงฆ ์แห่งมหาเถร สมาคม ที่มีคุณธรรมสูงยิ่ง กระแสสังคมกำลังโจมตี พระมหาเถระผู้มีคุณธรรม ผู้เสียสละอย่างไม่มีเหตุผล มันเป็นบาปมหันต์ รีบหยุดเสียเถิดครับ
ในฐานะพระนิสิตแห่งมหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย อันทรงเกียรติ กระผมรู้สึกอับอาย และสลดใจเป็นอย่างยิ่ง ที่มีบุคลากรของสถาบัน คือ พระมหาบุญถึง ออกมาโจมตี พระมหาเถระผู้ใหญ่ อย่างเกรี้ยวกราด ปราศจากสมณสารูป และไร้ซึ่งความเคารพ ความกตัญญูต่อ พระมหาเถระผู้มีพระคุณ ต่อมหาจุฬาฯ ขอเรียนความจริง ให้ทุกท่าน ได้ทราบว่า พระมหาบุญถึง ปกติอยู่ในมหาจุฬาฯ ก็มีนิสัยอย่างนี้อยู่แล้ว จึงได้ฉายาว่า "เหลิมน้อย" แต่แทนที่เจ้าตัว จะละอายกลับมีความรู้สึกภูมิใจในฉายานี้ยิ่งนัก และพระมหาบุญถึงแม้จะมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจการนิสิต แต่จริงๆ แล้ว ไม่ค่อยมีบทบาท อะไร ในมหาวิทยาลัย ที่ได้เป็นผู้ช่วยอธิการบดี ก็เพราะอาจารย์รองอธิการบดีท่านหนึ่ง สนับสนุนชักนำมาเท่านั้น
ความเห็นที่พระมหาบุญถึงแสดงออกมา เราชาวมหาจุฬาฯ ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย พวกเราเคารพใน พระมหาเถระแห่งมหาเถรสมาคมเสมอ เจ้าประคุณสมเด็จ พระพุฒาจารย์ แห่งวัดสระเกศ ก็เคยเป็นเลขาธิการของมหาจุฬาฯ มาตั้งแต่เมื่อ ๓๐ กว่าปีก่อน และสนับสนุนมหาจุฬาฯ มาตลอด ท่านเจ้าคุณอาจารย์ อธิการบดี พระราชวรมุนี (ประยูร มีฤกษ์ ป.ธ.๙) ก็เคยออกมาห้ามปรามเสมอว่า ห้ามนำสถาบันไปอ้างแต่เขาก็ดื้อไม่ฟัง เพลิดเพลินไปกับสิ่งที่สื่อมวลชน แกล้งยกยอปอปั้นว่าเป็นพระชื่อดัง เพื่อจะเอาเป็นตัวให้ข่าว เห็นแล้วสะท้อนใจ นึกถึงคำที่ว่า "ขุยไผ่ฆ่าต้นไผ่ ลูกม้าอัสดรฆ่าแม่" จริงๆ ใคร่ขอเรียน ท่านมหาบุญถึงว่า ขอให้ลาออกไปจากมหาจุฬาฯ เสียเถิด อย่าทำความเสื่อมเสีย ให้สถาบันมากไปกว่านี้เลย
ขณะที่กระแสสังคมกำลังโจมตี มหาเถรสมาคม องค์กรสูงสุดในการปกครองคณะสงฆ์ไทย อย่างดุเดือด โดยอาศัยความไม่รู้ของประชาชนเป็นเครื่องมือ สร้างภาพว่า มหาเถรสมาคมไม่เป็นกลาง ไม่น่าไว้วางใจ ทำงานช้าอืดอาด ฯลฯ ก็มีผู้พยายามสวมรอย ผลักดันให้มีการเปลี่ยนระบบการปกครองสงฆ์ใหม่ จะให้มีการเลือกตั้งมหาเถรสมาคม จากพระหนุ่มๆ แทนบ้าง เราลองนึกดูว่า ถ้าองค์กรสงฆ์ใช้วิธีการเลือกตั้ง ก็ต้องมีการหาเสียง มีการโจมตีคู่ต่อสู้ อาจมีการ ซื้อเสียง มีการเล่นเกมสกปรกเหมือนในวงการเมือง อะไรจะเกิดขึ้น ต่อไปความเคารพ ระบบอาวุโสในวงการสงฆ์จะหมดไป จะมีความแตกแยก ขนานใหญ่ เกิดขึ้น ขอให้ดูการเลือกอธิการบดีโดยการเลือกตั้งที่ ม.รามคำแหง หรือ ม.ขอนแก่น เป็นตัวอย่าง
นอกจากนี้ ยังมีความพยายามผลักดันให้มีการเอาฆราวาสมาปกครองควบคุมพระ โดยร่างพระราชบัญญัติภายใต้ชื่อสวยหรูว่า พ.ร.บ.อุปถัมภ์พระพุทธศาสนา แต่แท้ที่จริงก็คือ การเอาฆราวาส มาควบคุมพระนั่นเอง สามารถจับพระสึกได้ ควบคุมการเงินของวัดแทนเจ้าอาวาส จะส่งผลสั่นคลอนคณะสงฆ์ไทย อย่างใหญ่หลวง ขอพระคุณเจ้าทุกรูป อย่าได้นิ่งเฉยตายใจ ต้องรีบยับยั้งแต่ต้น ไม่อย่างนั้นจะแก้ไขไม่ทัน ส.ส.คนไหนไปผลักดัน สนับสนุน ร่างพ.ร.บ.นี้ ขอให้ช่วยกันรณรงค์บอกญาติโยม ลูกศิษย์วัดให้รู้ อย่าไปเลือกส.ส. คนนั้น ตอนนี้ผู้ที่เป็นหัวหอกในการผลักดันคือ นายอำนวย สุวรรณคีรี ส.ส.จังหวัด สงขลา ผู้ที่มีเบื้องหลังคือ หวังจะโค่นนายอาคม เอ่งฉ้วน แล้วขึ้นมาเป็น รมช.ศึกษาฯ คุมกรมการศาสนาแทน พระภิกษุทั่วประเทศ จะต้องร่วมมือกันต่อต้าน มิให้ พ.ร.บ.นี้ออกมาบังคับใช้ได้ มิฉะนั้นฆราวาสผู้ไม่มีศีล ก็จะมาข่มขู่เรียกร้อง ผลประโยชน์ จากพระ เอาอำนาจการควบคุมบังคับ ชั้นเชิงทางโลก ที่เหนือกว่าวางกับดัก เรื่องการเงิน และอื่นๆ พอพระรู้ไม่ทัน พลาดเข้าก็จะขู่เรียกเงิน ฯลฯ ระบบการ ปกครองคณะสงฆ์ไทย จะสั่นคลอนอย่างรุนแรงถึงราก
ขอพระคุณเจ้าทุกรูป และญาติโยมชาวพุทธทุกคน ช่วยกันเขียนแสดงความเห็น เป็นสังฆมติ และเป็นประชามติ ส่งไปที่หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย และหนังสือ พิมพ์ ไทยรัฐ ซึ่งมียอดจำหน่ายสูงสุดของประเทศ ได้ช่วยเป็นสื่อกลาง รวบรวมเสนอรัฐบาล และมหาเถรสมาคมต่อไปด้วย
กราบเรียนมาด้วยความเคารพอย่างสูง/ขอเจริญพร
พระนิสิต / ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๔๒
ไทยรัฐ : โทรศัพท์ ๒๗๒๑๐๓๐ โทรสาร ๒๗๒๑๓๕๐-๒
พิมพ์ไทย : โทรศัพท์ ๗๔๒๑๙๐๐-๑๘ โทรสาร ๗๔๒๑๙๑๐, ๗๔๒๑๙๒๐
(ขอทุกท่านได้ช่วยกันทำสำเนาเผยแพร่ต่อๆ กันไปให้กว้างขวางที่สุด)