แผนทำลายพระพุทธศาสนาในประเทศไทย

(1) ดำเนินการโดยสำนักวาติกัน กรุงโรมประเทศอิตาลี คาทอลิกซึ่งเป็นที่ประชุม กำหนดนโยบายต่ออินโดจีน เอเชียใต้และประเทศไทย สภาบาทหลวงแห่งประเทศฝรั่งเศส เป็นหน่วยงานที่รับนโยบายมาปฏิบัติการ ในอินโดจีนและเอเชียใต้ ในฐานะประเทศเหล่านั้น เคยเป็นอาณานิคมของตน

(2) ทุนดำเนินการ แบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ

      (2.1) ทุนซื้ออาวุธให้กระเหรี่ยงคริสต์กู้ชาติในพม่าและฟิลิปปินส์ ขณะนี้กระเหรื่ยงพุทธได้แยกตัวออกมาจากการต่อสู้และได้ขึ้นต่อรัฐบาลทหารพม่าแล้ว
      (2.2) ทุนสื่อสารมวลชนที่เรียกว่า ทุนสื่อสารมวลชนคาทอลิกภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิก มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศฟิลิปปินส์ อยู่เบื้องหลังสื่อสารมวลชน ประเภท หนังสือพิมพ์ และรายการโทรทัศน์ต่างๆ ในประเทศไทย
      (2.3) ทุน เอ็น.จี.โอ. ที่เรียกว่าองค์กรเอกชนมีสำนักงานอยู่ในประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทย เป็นทุนที่สนับสนุนรางวัลแมกไซไซ

(3) ทุนที่ 2 และ 3 ที่ทุ่มเข้ามาในประเทศไทยในรูปแบบต่างๆ ที่เห็นได้เด่นชัดที่สุดในปี พ.ศ. 2525 และมาปรากฏผลในปี พ.ศ. 2527 เมื่อวิทยาลัยแสงธรรมของคาทอลิก ในประเทศไทย รับนโยบายมาดำเนินการถูกเปิดเผยขึ้น โดยชาวเยอรมันที่รู้เรื่องนี้ดี และได้มอบเอกสารบางส่วนที่รับมาจากวาติกันให้กับนักวิชาการไทย และจากเอกสาร บันทึก การประชุม กำหนดนโยบายที่บ้าน ศาสตราจารย์กีรติ บุญเจือ อดีตบาทหลวงข้างโรงเรียนเซนคาเบรียลหรือบ้านญวนถูกเปิดเผยขึ้น

(4) กองทุนสื่อสารมวลชนคาทอลิกภาคพื้นแปซิฟิกนี้ ในประเทศไทยดำเนินการโดยผ่านนายชัยณรงค์ มณเฑียรวิเชียรฉาย (อัศวินแห่งวาติกัน) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีของ ฝรั่ง ชาวเยอรมันที่ให้ข้อมูลนี้ และดร. เสรี พงษ์พิศ อดีตบาทหลวง และอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปัจจุบันดำเนินการเป็นประธานมูลนิธิพัฒนาชนบท ในรูปขององค์กร เอกชน ในด้านหนังสือพิมพ์ผ่านหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น กรุงเทพธุรกิจ มติชน ข่าวสด รวมวิทยุโทรทัศน์ ดำเนินการผ่านบุคคลต่อไปนี้ นายสุทธิชัย หยุ่น นายขรรค์ชัย บุญปาน นายเกียรติชัย พงษ์พานิช นายสมเกียรติ อ่อนวิมล นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง โดยใช้สิ่งสื่อชื่อรายการต่างๆ นายสุทธิชัย หยุ่น ได้รับสัมปทานรายการวิทยุ และโทรทัศน์ ร่วมกับนายสมเกียรติ อ่อนวิมล บริษัท แปซิฟิคมากที่สุด

ข้อสังเกต
         1. รายการวิทยุโปรแกรมต่างๆ ก็ดี ดาราที่แสดงนำก็ดี นักร้องที่แสดงโทรทัศน์ก็ดี ฉากหรือแฟชั่นการแต่งตัวดาราก็ดี จะต้องมีเครื่องหมายไม้กางเขนติดอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะดาราภาพยนต์คนที่จะสนับสนุน ต้องแต่งตัวที่มีแฟชั่นไม้กางเขน และสนับสนุนดาราที่นับถือศาสนาคริสต์เป็นพิเศษ เช่น จินตรา สุขพัฒน์ อัญชลี จงคดีกิจ
         2. หนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่ลงข่าวต่างๆ จะเป็นไปในลักษณะที่เป็นข่าว แต่หนังสือพิมพ์ดังต่อไปนี้ มติชน กรุงเทพธุรกิจ เดอะเนชั่น ข่าวสด ถ้าเกี่ยวกับพุทธศาสนา จะใช้วิธีวิเคราะห์เจาะลึก ชี้นำให้เป็นที่ติดตามของหนังสือพิมพ์อื่นๆ
         3. บทบาทที่เห็นได้ชัดของบุคคลที่ดำเนินการ เช่นเมื่อเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ รายการโทรทัศน์ของนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง หนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นของนายสุทธิชัย หยุ่น มติชนของนายขรรค์ชัย บุญปาน มีบทบาทอย่างมากในการชี้นำขับไล่รัฐบาลพลเอกสุจินดา คราประยูร โดยเชียร์พลตรีจำลอง ศรีเมือง ขึ้นเป็นพระเอกในฐานะ ได้รับรางวัล แมกไซไซ

(5) เป้าหมายประเทศไทย
         (5.1) เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศเดียว ที่นับถือพระพุทธศาสนาเป็นหลัก เป็นปราการที่แข็งแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่ง แต่จุดอ่อนอยู่ที่การเผยแพร่ศาสนาไปแบบต่างคนต่างทำ ไม่เป็นเอกภาพโดยเฉพาะเป็นการประกาศธรรมเฉพาะในวัดของตน
          (5.2) ประเทศไทยมีระบอบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธศาสนูปถัมภก ทำให้เกิดสถาบันทั้ง 3 คือ สถาบันชาติได้แก่ ทหาร ประชาชน สถาบัน พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะเชื่อมโยงเป็นเอกภาพ ทำให้ลัทธิอื่นโดยเฉพาะศาสนาคริสต์ ที่ใช้ความพยายามที่จะเปลี่ยนสังคมไทย มาเป็นเวลากว่า 400 ปี ไม่ประสบ ผลสำเร็จ
          (5.3) ตราบใดที่ละลายความเข้มแข็งทางพระพุทธศาสนาไม่ได้ ลัทธิอื่นก็ไม่สามารถที่จะเผยแพร่เข้าสังคมไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ พระสงฆ์เป็นศูนย์ศรัทธาของ ประชาชน เป็นพยานคำสอนของพระพุทธเจ้า ดำรงชีวิตแตกต่างจากคฤหัสถ์

(6) ยุทธวิธีแทรกซึมและทำลาย
          (6.1) จากประสบการณ์ที่ผ่านไป ทำให้ได้รับคำตอบจากการวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนแล้วได้พบว่า คำสอนในศาสนาพุทธเป็นจุดแข็ง ที่คาทอลิกพยายามที่จะหักล้าง มาตลอด เป็นการโจมตีตรงๆ ที่เรียกว่า มิชชั่น เห็นว่าไม่ได้ผล เพราะพระสงฆ์ในฐานะเป็นศูนย์รวมศรัทธาของประชาชน แต่มีจุดอ่อนที่สามารถทำลายได้ง่ายกว่าข้อ (2)
          (6.2) จากอดีตถึงปัจจุบันบทบาทที่พบมากที่สุดคือ การร่วมกับขบวนการทางการเมืองในการโจมตีรัฐบาล เช่นในสมัย 14 ตุลาคม 2516 ร่วมกับขบวนการล้ม รัฐบาล ถนอม ประภาส และในปี 2519 วันที่ 6 ตุลาคมในรัฐบาลของ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช และพฤษภาคม 2535 เกิดพฤษภาทมิฬรัฐบาล พลเอกสุจินดา คราประยูร บุคคลต่างๆ ที่แฝงตัวอยู่ในรูปนักวิชาการ นักหนังสือพิมพ์ ได้แสดงตัวออกมาอย่างชัดเจน การอยู่เบื้องหลังของบุคคลเหล่านี้ ทำให้ประชาชนขบวนการนิสิตนักศึกษาชนกับรัฐบาล โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง พยายามจะให้ชนกับองค์ประมุข เช่น อย่างเหตุการณ์ 14 ตุลาคม เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ
          (6.3) บทบาทในศาสนา บนหลักการและนโยบายที่ว่าการทำลายพุทธศาสนา ต้องทำลายพระภิกษุเพราะพระสงฆ์ คือ มวลชนที่สัมพันธ์อยู่กับประชาชน อย่างแยก ไม่ออก เป็นผู้ประกาศ และรักษาพุทธศาสนา ที่มีจุดอ่อนที่สุด โดยยุทธวิธีนารีพิฆาต จึงเกิดขึ้นตามมา และได้ผลตลอดมา เป็นการโยนเผือกร้อน เข้าปากคณะสงฆ์ และจัดการ กันเองยกตัวอย่างเช่น

ตัวอย่างที่ 1 ในปี พ.ศ. 2521

           พระอาจารย์สมชาย ฐิตวิริโย แห่งวัดเขาสุกิม จันทบุรี ถูกพลเรือเอกสงัด ชลออยู่ กล่าวโทษว่า เป็นคอมมิวนิสต์สายรัสเซียนำเรื่องเข้า กอ.รมน. จนกระทั่ง เลขานุการ มหาเถรสมาคมในสมัยนั้น ร้อยเอกสุภาพ สุภูตโยธิน ต้องดำเนินการช่วยเหลือรอดมาได้ (ภรรยาของพลเรือเอกสงัดฯ นับถือศาสนาคริสต์ แม้พลเรือเอกสงัดฯ จะถึงแก่กรรม แต่ศพ ก็ยังฝังตามลัทธิคริสต์)

ตัวอย่างที่ 2

            พระเถระผู้เป็นผู้นำชุมชนที่มีชื่อเสียงในภาคต่างๆ ในปี พ.ศ. 2535 ในปีเดียวเสียชีวิตด้วยโรคเดียวกันถึง 13 ท่านและถูกกล่าวหาอาบัติปาราชิก 7 ท่าน โดยเฉพาะ อาจารย์กรรมฐานทางภาคอีสาน เช่นพระอาจารย์แบนฯ วัดป่าดอยธรรมเจดีย์ก็รู้เรื่องนี้ดี พระราชธรรมนิเทศแห่งวัดบวรวิหาร ก็รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี

ตัวอย่างที่ 3

             เรื่องคดีเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เจ้าคุณอุดมฯ แห่งวัดเทพศิรินทราวาส ได้ถูกหนังสือพิมพ์มติชน ดำเนินการเกาะติด เขี่ยคุ้ย เอาเรื่องจนในที่สุด หนังสือพิมพ์มติชน ถือว่า เป็นความสูงสุด เพราะทำให้ศรัทธาประชาชน ที่มีต่อสถาบันกษัตริย์สั่นคลอน

ตัวอย่างที่ 4

              พระกิตติวุฑโฒ ซึ่งมีบทบาทเคลื่อนไหวเข้าถึงชุมชนมาโดยตลอด เป็นพระภิกษุที่มองการณ์ไกล มีความเคลื่อนไหวอยู่เสมอ จึงถูกจ้องทำลายหลายต่อหลายครั้ง
              การเล่นงานพระนิกรธรรมวาทีนั้น เป้าหมายที่แท้จริงคือ พระกิตติวุฑโฒ ในปี พ.ศ. 2537 ถูกแจ้งความดำเนินคดีที่โรงพักชนะสงคราม เกี่ยวกับเงินซื้อที่ดิน เพื่อปลูกป่า จริง ๆ มีปัญหากันมาตั้งแต่ 2 ปีแล้ว แต่ทำไมจึงแจ้งจับในสัปดาห์วิสาขบูชา ซึ่งเป็นสัปดาห์ที่คนไทยทั้งชาติ ให้ความสำคัญกับพระพุทธศาสนา และประโคมข่าว ให้เป็นความ เสียหาย และภาพพจน์ที่ไม่ดีต่อศรัทธา และต้องให้พลตรีเสรีย์ เตมีย์เวส เป็นผู้ประกาศจับ(ยศขณะนั้น)
              กรณีของพระยันตระ(พระวินัย อมโร) ถือว่าเป็นเหยื่อที่ชัดเจนที่สุด เป็นเหตุการณ์ที่แสดงถึงบุคคล 3 พวก ที่ปรากฏชัดเจน 

             1. บุคคลที่อยู่เบื้องหลัง 2. บุคคลที่รับเงิน 3. บุคคลที่ตกเป็นเครื่องมือ 

             เพราะเรื่องของพระยันตระใช้เวลายาวนานมาก ต่างจากเหตุการณ์อื่นๆทั้งหมดเป็นเวลา 1 ปีกว่า เรื่องยังไม่จบ 

            บุคคลที่ปรากฏตัวแสดงออกในตอนแรก และคุม เกมส์นี้ ในเบื้องต้นคือ นายสุทธิชัย หยุ่น โดยหนังสือพิมพ์ เดอะเนชั่น กรุงเทพธุรกิจ นายขรรค์ชัย บุญปาน หนังสือพิมพ์มติชน และนายเกียรติชัย พงษ์พานิช หนังสือพิมพ์ ข่าวสด ผู้ปฏิบัติการ น.ส. ทิพย์วรรณ ทิพย์ทัศน์ ดร.กิ่งแก้ว อัตถากร นางบุญช่วย รุกขชาติ

           คนที่ตกเป็นเครื่องมือคือหม่อมดุษฎี บรพัตร นางแก้วตา หม่องจินดา นางจันทิมา มายะรังษี บุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อผลประโยชน์ที่ชัดเจนคือนายเสถียรพงษ์ วรรณปก นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ผู้ที่คุมนโยบายคือ ม.ร.ว. สุขุมพันธ์ บรพัตร ผู้ดำเนินการได้วางแผนอย่างแยบยล และติดตามเรื่องนี้ก่อนเปิดประเด็นใช้เวลาอยู่ 2 ปี ประชุมครั้งสุดท้าย ก่อนปีใหม่เดือนธันวาคม 2536 โดยจะเปิดประเด็นในวันปีใหม่ 2537 แต่ที่ประชุมคัดค้านกันเอง ขอให้ผ่านบรรยากาศปีใหม่ไปก่อนเ พราะเป็นเรื่องเสียหายต่อบรรยากาศ จึงเปิดประเด็นในวันที่ 16 มกราคม 2537 

           บุคคลที่ดำเนินการให้ข้อมูลในเบื้องต้น มี นพ. ประเวศ วะสี ดร. ระวี ภาวิไล เป็นที่น่าสงสัยว่าขณะนี้ นายเสถียรพงษ์ วรรณปก ได้แสดงบทบาทเป็นตัวตั้งตัวตี ด้านพระสงฆ์ฝ่ายธรรมยุต และมหานิกาย และเนื้อเรื่องการเขียนอยู่ที่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ไม่ตกลงที่จะร่วมมือกับเรื่องนี้ นายเสถียรพงษ์ รู้สึกอึดอัด จึงมารวมกลุ่มกับมติชน และข่าวสด เป็นผลให้เกิดการกระทบกระทั่งขัดแย้งกันกับ คอลัมนิสต์ปฐมพงษ์ โพธิประสิทธินันท์ ที่เขียนอยู่กับนายขรรค์ชัย บุญปาน ประกาศขีดเส้นตายว่า เรื่องยันตระ ต้องจบสิ้นในวันที่ 15 มีนาคม ประกาศให้ผู้สื่อข่าวได้ยินว่า ฟันพระยันตระไม่ตาย เราแขวนคอตายดีกว่า เครื่องราชใหญ่กว่า เรายังล้มได้ เมื่อพ้น 3 เดิอนไปแล้ว จึงมอบ นโยบาย ให้นายเกียรติชัย พงษ์พานิช ดำเนินการต่อเป็นขั้น

             สาเหตุที่พระยันตระ ตกเป็นเหยื่อที่ชัดเจนที่สุดยิ่งกว่า กิตติวุฑโฒเพราะ พระยันตระ ดำเนินการเผยแพร่พุทธศาสนา แบบเชิงรุกทั้งในและนอกประเทศ โดยเฉพาะ ในยุโรปและออสเตรเลีย เป็นการดำเนินการเผยแพร่ที่ได้ผล ทำให้สมาคมคาธอลิกแห่งยุโรป ซึ่งมีศูนย์กลางที่ฝรั่งเศส ต้องติดตามบทบาทอยู่ถึง 2 ปี

             อดีตนักประกาศ ศาสนา ชาวเยอรมันได้เปิดเผยกับอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ด้วยความรู้สึกว่าเขาสงสารคนไทย เพราะเขาชอบวัฒนธรรมไทย ไม่อยาก เห็น สังคมไทยแตกแยก และเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม เขาไม่รังเกียจพระพุทธสาสนา เพราะศาสนาพุทธเป็นวัฒนธรรมสายหนึ่งของมนุษยชาติ เขาจึงเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ ตอนกลางปี พ.ศ. 2537

             อดีตรองอธิการบดีท่านหนึ่ง ได้ทำการวิเคราะห์ เหตุการณ์นี้ โดยเพียงเพ่งมองไปที่บุคคลต่างๆ ที่แสดงอยู่ในเกณฑ์นี้ ยืนยันว่า 100% เงินที่มาดำเนินการนั้น ส่วนหนึ่งมาจากวาติกัน และวิเคราะห์ได้คำตอบตรงกันกับ ฝรั่งชาวเยอรมันให้ข้อมูล

             สาเหตุที่พระยันตระถูกทำลาย เนื่องจากพระยันตระ มีบทบาทในต่างประเทศมากนี่เอง ทำให้คาธอลิคถือว่า เป็นอันตรายที่จะเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม ของ พวกเขา ดังนั้นจึงต้องหาทางทำลาย 

สาเหตุที่พระยันตระ ถูกกล่าวร้ายในประเทศไทย

วิเคราะห์เหตุการณ์ปัจจุบันของพระยันตระ

          ข้อที่ 1 จากรูปแบบการทำลายโดยสื่อสารมวลชน ดำเนินการเช่นเดียวกับการล้มรัฐบาลถนอม ประภาส รัฐบาลพลเอกสุจินดา คราประยูร โดยสร้างกระแสให้เกิดว่า เป็นความชอบธรรม นั่นคือสื่อสารมวลชนตั้งตนเป็นโจทก์เสียเอง กรณีพระยันตระ เป็นเรื่องบุคคลแต่ผลักดันให้เป็นเรื่องส่วนรวม พระยันตระเป็นพระลูกวัด แต่ผลักดันให้เป็นเรื่องใหญ่ระดับเถรสมาคม ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชต้องเกี่ยวข้อง

          ข้อที่ 2 เมื่อเห็นว่าการต่อสู้ยืดเยื้อยาวนาน ความจริงเริ่มปรากฏไม่เป็นผลดีต่อฝ่ายโจทก์หรือผู้กล่าวหา ประชาชนเริ่มเข้าและเห็นใจผู้ถูกกล่าวหา กลุ่มบุคคลผู้ดำเนินการ จึงใช้วิธีรวบรัดโดยการทำให้เกิดการปะทะชนกัน ระหว่างผู้ถูกกล่าวหาและกรมการศาสนา ในขณะเดียวกัน ก็พยายามทำลายความเชื่อถือ ของศาลสงฆ์ โดยยกภาคยกถิ่นนิยม ขึ้นมา

          ข้อที่ 3 เพื่อที่จะให้ประชาชนคล้อยตามและสร้างภาพให้พระยันตระเป็นผู้ผิดอย่างแท้จริง ไม่พยายามที่จะให้มีการดำเนินงานตามขั้นตอนคือ ตามกฎนิคหกรรม ที่ นักวิชาการ นายเสถียรพงษ์ วรรณปก นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เป็นต้น เข้ากราบทูลสมเด็จพระสังฆราชตั้งแต่ตอนแรก โดยพยายามรวบรัด เสนอประเด็นขัดแย้งขึ้นมา เช่น การเจาะเลือด หรือพยายามชี้นำให้คณะสงฆ์ ใช้อำนาจพิเศษมาตรา 27 ทำการสึกพระยันตระ โดยไม่ต้องมีการสอบสวน เป็นต้น

          ผลร้ายที่ตามมากรณีที่มหาเถรสมาคม ใช้มาตรา 27 ต่อพระยันตระ

          ข้อที่ 1 จะก่อให้เกิดนิกายใหม่

          ข้อที่ 2 ศาลสงฆ์หรือดำเนินการตามกฏนิคหกรรม ซึ่งมหาเถรสมาคมตั้งขึ้นเองตามพระราชบัญญัติ การปกครองตามคณะสงฆ์นั้นก็ไร้ความหมาย เป็นการเขียน ด้วยมือ แต่ลบด้วยเท้าหาหลักเกณฑ์อะไรมิได้ มหาเถรสมาคมจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบ

          ข้อที่ 3 ไม่มีระบอบประกันความยุติธรรมในคณะสงฆ์เมื่อพระภิกษุถูกกล่าวหา มหาเถรสมาคมก็จะไม่เป็นองค์กรสูงสุด ที่พระสงฆ์ในราชอาณาจักรนี้เพิ่งได้

          ข้อที่ 4 จะเกิดภาวะเอาตัวรอดแบบตัวใครตัวมันในวงการสงฆ์ ขาดความเคารพนับถือยำเกรงระหว่างพระผู้น้อยกับพระผู้ใหญ่

          กรณีพระยันตระเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่ง ที่จะต้องมีตัวอย่างรายอื่นเกิดขึ้นอีกต่อไป โดยเฉพาะอาจเกิดขึ้นกับพระผู้ใหญ่ ภายในอีกไม่นาน และตอนนี้ก็มา พระภาวนาพุทโธ วัดสามพรานแล้ว ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวิทยาลัยแสงธรรมของคาทอลิคนัก แล้วเหยื่อรายต่อไปจะเป็นองค์กรไหน วัดไหน ก่อนหลัง?


           ภัยของพระพุทธศาสนากำลังเข้ามาถึงพุทธศาสนิกชนทุกคนแล้ว เราจะมัวนั่งเชื่อหนังสือพิมพ์ที่กำลังขายศาสนา(พุทธ) อยู่ได้อย่างไร ลุกขึ้นเถิดชาวพุทธทั้งหลาย อย่าให้หนังสือพิมพ์ชั่วๆ บางฉบับจูงจมูกเราเลย 


ที่มา : http://geocities.datacellar.net/Pentagon/Bunker/9631/

1