กำเนิดดอกทานตะวัน
ครั้งหนึ่ง มีสาวน้อยนางหนึ่งชื่อว่า ไคลตี หล่อนเป็นสาวชาวทะเล บ้านของหล่อนคือถ้ำใต้ทะเลนั่นเอง ทรายสีขาวคือพรมของหล่อน หอยงามเป็นเตียงและคลื่นสีเขียวอ่อนของน้ำทะเลคือหมอนอันอ่อนนุ่มของเธอ
แสงอาทิตย์ไม่เคยสาดส่องลงไปถึงถ้ำของเธอเลย แต่เธอก็อยู่อย่างมัวๆ เช่นนั้น และไม่รู้สึกเศร้าโสกแต่อย่างใด หล่อนเป็นสุขและไม่เดือดร้อนในเรื่องที่อยู่ ตามปกตินั้นน้ำตามบริเวณรอบๆ ถ้ำของเธอเงียบสงบดี เพราะพายุ
จะพัดกระหน่ำเฉพาะบนพื้นผิวน้ำเท่านั้น ไคลตีไม่เคยนึกถึงคลื่นใหญ่ๆ ที่ซัดสาดหน้าผาและชายฝั่งซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสยดสยองของชาวเรือเลยแม้แต่น้อย
แต่วันหนึ่งพายุใหญ่ได้พักโหมกระหน่ำอย่างหนักยิ่งกว่าครั้งใดๆ เตียงที่เธอนอนอยู่ถูกแรงพายุลากพาออกไปจากถ้ำและเมื่อเธอตื่นขึ้นมาอีก
ครั้งหนึ่งก็พบว่าเธอไม่ได้อยู่ในถ้ำที่เคยอยู่เสียแล้ว หากเป็นเกาะที่มีต้นไม้เขียวขจีซึ่งเธอไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ต้นไม้ที่ชูยอดสูงสะพรั่งช่างน่ารัก
กว่าพืชทะเลที่เธอเคยรู้จักเป็นไหนๆ ใบไม้สะบัดใบเมื่องต้องสายลม ดอกไม้นานาชนิดส่งกลิ่มหอมระรื่น สิ่งเหล่านี้ไม่มีในท้องทะเลที่เธอได้เคยอยู่มาเป็นเวลานานนั้นเลย
เสียงนกที่ร้องพรอดกันจู๋จี๋นั้นเล่าก็ราวกับดนตรีสวรรค์ ทุกสิ่งทุกอย่างมันช่างประหลาดมหัศจรรย์อะไรเช่นนี้
ขณะนั้นแสงตะวันสาดส่องลงมายังเกาะนั้น ไคลตีเพิ่งเคยเห็นแสงของพระอาทิตย์เป็นครั้งแรก และรูสึกรักพระอาทิตย์ขึ้นมาอย่างจับจิตจับใจถึงกับปฏิญาณออกมาว่า
"ฉันจะอยู่บนเกาะนี้ตลอดไป ฉันจะไม่กลับลงไปอยู่ในถ้ำอีก ฉันจะเฝ้าดูพระอาทิตย์อันสง่างามตั้งแต่ร่งอรุณจนราตรี"
เย็นวันหนึ่งขณะที่ไคลตียืนอยู่บนฝั่งทะเล เธอรู้สึกว่าเท้าของเธอจะหยั่งลึกลงไปในดิน เครื่องแต่งกายของเธอกลายเป็นสีเขียว
ผมสีทองของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีเหลืองล้อมรอบดวงหน้าซึ่งมีแต่ดวงตาสีน้ำตาลที่กำลังมองตามพระอาทิตย์ที่กำลังข้ามขอบฟ้า
ด้วยความปรารถนาของไคลตีที่จะอยู่บนเกาะนั้นตลอดไป เธอจึงกลายเป็นดอกทานตะวันอันงดงาม ซึ่งใบหน้าหรือดอกทานตะวันนั้นจะหันตามดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นที่รัก
ของเธอตลอดไป ดังที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้